​​​ กระโถนข้างธรรมาสน์ ฉบับที่ ๑๘๕

 

เก็บตกบ้านวิริยบารมี เดือนกันยายน ๒๕๕๔


      ถาม :  ยันต์มหาพิชัยสงคราม ถ้าไม่มีเหรียญเอกราช จะสามารถเลี่ยมแบบเดี่ยว ๆ ไหมครับ ?
      ตอบ :  ได้…แล้วใครเขาบังคับให้เลี่ยมคู่ ?
      ถาม :  รบกวนปลุกด้วยครับ ?
      ตอบ :  ปลุกก็ตายห่...พอดี …!
              จำไว้เลยว่ายันต์พิชัยสงครามห้ามปลุกเด็ดขาด หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านสั่งห้ามเอาไว้
              ตัวอย่างที่ชัดที่สุดคือ หลวงตาวัชรชัย สมัยยังไม่ได้บวช พอเขาเอาผ้ายันต์พิชัยสงครามมาวางจำหน่ายที่บ้านสายลม จะมีเศษผ้าที่เขาตัดเป็นเส้นเล็ก ๆ ผูกอยู่เป็นมัด พอแกะออก หลวงตาก็เอาเศษผ้ามาคาดหัว แล้วก็ทำท่าให้ถ่ายรูป ไม่รู้เท้าใครเตะมา โครมเดียวหลวงตากระเด็นไปติดข้างฝา นั่นแค่เศษ ๆ ผ้าที่เข้าพิธีนะ...ท่านยังห้ามเล่นเลย
              หลวงตาคอเอียงเลย ต้องให้พี่ ๆ เขามานวดให้ พอพี่ตั้วช่วยจับเส้นก็ถึงกับสะบัดมือพรวดเลย เหมือนโดนไฟดูด “ไอ้ห่...มึงไปทำอะไรมาวะ ? ของแรงปานนี้”
              หลวงตาสารภาพว่า เอาเศษผ้าที่ผูกยันต์พิชัยสงครามมาคาดหัวเล่น
              พี่ตั้วไปเอาน้ำมนต์ของหลวงพ่อมาควั่นข้อมือตัวเองจึงนวดได้ ไม่อย่างนั้นจะเข้าตัว
              หลวงพ่อถึงได้เตือนว่า ธงพิชัยสงครามอย่าปลุก ถ้าปลุกแล้วทานกำลังไม่ได้ เดี๋ยวจะตายเอา น่าจะเป็นประเภทเส้นโลหิตในสมองแตก เป็นวัตถุมงคลอย่างเดียวที่ห้ามลองด้วยการปลุก ใครจะลองก็ไม่ว่า ให้จองเมรุไว้ก่อนเลย...!
              อะไรที่หลวงพ่อสั่ง นานแค่ไหนอาตมาก็จำไม่ลืม เพราะว่าคำสั่งที่ท่านสั่งก็เพื่อประโยชน์ของเราทั้งนั้น
*************************

              ธงมหาพิชัยสงครามพอพ้นจากหลวงพ่อวัดท่าซุงแล้ว คนอื่นทำก็ได้แค่สวยเท่านั้น ท่านบอกว่าอานุภาพได้ไม่ถึง ๕ เปอร์เซ็นต์ เพราะว่าไม่ใช่เชื้อสายของท่าน
              ท้าวมหาชมพู ก็คือพระร่วง ท่านเป็นเจ้าของธงมหาพิชัยสงคราม ในเมื่อหลวงพ่อท่านไม่มีลูกไม่มีหลานที่สืบสายท่านโดยตรง ท่านจึงถวายตำราพระร่วงให้กับในหลวง ร.๙ ไป
              ด้วยความที่เป็นพระเจ้าแผ่นดิน สามารถเริ่มต้นสายวิชาการใหม่ได้ทุกประเภท อยู่ในลักษณะที่ทรงประทานให้ เพราะฉะนั้น...ใครอยากได้ให้ไปขอจากในหลวง ถ้าในหลวงประทานให้ ถือว่าท่านครอบครูให้เราเป็นต้นสายใหม่ วิชาการอะไรที่ขาดช่วงลง ในหลวงสามารถที่จะครอบครูให้ใหม่ได้ เพราะถือว่าท่านเป็นทั้งเจ้าฟ้าเป็นทั้งเจ้าแผ่นดิน เขาถือกันอย่างนี้มาตั้งแต่โบราณ
*************************

      ถาม :  ก่อนพุทธศาสนาจะเกิดขึ้น มีศีล ๕ ศีล ๘ หรือไม่ครับ ?
      ตอบ :  พวกโยคีฤๅษีส่วนใหญ่เขามีศีล ๕ ศีล ๘ เป็นปกติอยู่แล้ว เพราะฉะนั้น...อย่าคิดว่าศีล ๕ เป็นของศาสนาพุทธ ความจริงศีล ๕ เป็นของศาสนาเชน
      ถาม :  ใครสร้างกฎขึ้นมา ?
      ตอบ :  ศาสนาเขาเห็นว่าเหมาะ เขาจึงสร้างขึ้นมา ศาสดาของศาสนาเชนคือ ท่านมหาวีระ มีศีล ๕ ก่อนศาสนาพุทธจะเกิดขึ้น มีวันหยุดธรรมสวนะ ศาสนาพุทธมามีตามหลัง
              ถึงได้บอกว่าคนที่จะเอาศาสนาพุทธบริสุทธิ์ หาทั้งชาติก็หาไม่เจอ โดยเฉพาะธรรมะของพระพุทธเจ้ามีส่วนที่ท่านเห็นว่า สิ่งที่ศาสนาอื่นบัญญัติไว้เหมาะสมแล้ว ท่านก็นำมาใช้ อย่างเช่น ศีล ๕ หรือวันพระ เป็นต้น
              นอกจากนี้ ยังมีส่วนที่ท่านดัดแปลงจากศาสนาอื่นมาเพื่อให้สมบูรณ์ เช่น สิงคาลกสูตร ที่สิงคาลกมานพไหว้ทิศทั้ง ๖ อยู่ พระพุทธเจ้าทรงแนะนำว่า ถ้าจะไหว้ให้ถูกต้อง ต้องไหว้ดังนี้
              ทิศเบื้องบน คือ สมณชีพราหมณ์ ต้องปฏิบัติอย่างไร
              ทิศเบื้องล่าง คือ ข้าทาสบริวาร ต้องปฏิบัติอย่างไร
              ทิศเบื้องหน้า คือ พ่อแม่ ต้องปฏิบัติอย่างไร
              ทิศเบื้องหลัง คือ บุตรภริยา ต้องปฏิบัติอย่างไร
              ทิศเบื้องขวา คือ ครูบาอาจารย์ ต้องปฏิบัติอย่างไร
              ทิศเบื้องซ้าย คือ มิตรสหาย ต้องปฏิบัติอย่างไร
              นี่คือส่วนที่ท่านดัดแปลงให้ถูกต้องสมบูรณ์
              ส่วนที่เป็นพุทธแท้ ๆ ก็คือ อริยสัจ เป็นสิ่งที่ท่านตรัสรู้มากกว่าศาสดาอื่นเขา
              เพราะว่าหลักการปฏิบัติ ศาสนาอื่นเขาก็มีถึงสมาบัติแปดแล้ว เพียงแต่ว่าการปฏิบัติของเขาเน้นร่างกายมากเกินไป คิดว่าใครทรมานได้ยิ่งกว่า ก็จะทำให้พระเจ้ารักมากกว่า กลายเป็นผิดไปหน่อยเดียว ถ้าเลี้ยวถูกทางก็ไปลิบโลกแล้ว
              แต่ว่าท่านทั้งหลายเหล่านี้ เท่ากับว่าบ่มเพาะตัวเองจนไปถึงระดับที่บารมีของท่านเต็ม พอฟังเทศน์จบเดียวก็บรรลุกันเป็นแถว
              เพราะฉะนั้น...จะว่าสิ่งที่ท่านทำจะไม่มีประโยชน์ก็ไม่ได้ อย่างท่านที่เสียประโยชน์ไป เช่น ท่านอาฬารดาบส ตายก่อนพระพุทธเจ้าตรัสรู้ ๗ วัน ท่านอุทกดาบสยิ่งน่าเสียดายใหญ่ ตายวันเดียวกับที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ ไม่ทันได้เจอพระพุทธเจ้าตอนตรัสรู้แล้ว
              แสดงว่าท่านอาฬารดาบส ตายวันขึ้น ๘ ค่ำเดือน ๖
              ท่านอุทกดาบส ตายวันขึ้น ๑๕ ค่ำ วันวิสาขะพอดี
*************************

              “นึกถึงสมเด็จย่า...สมเด็จย่าตรัสกับในหลวงว่า
              “แม่แก่แล้ว...จะตายวันไหนก็ไม่รู้ ?”
              พระองค์ท่านย้ำอยู่บ่อย ๆ ในหลวงก็ต้องดูแลแม่มากขึ้น ช่วงท้าย ๆ ถึงขนาดไปเสวยพระกระยาหารค่ำอาทิตย์ละ ๕ วัน
              พันเอกพิเศษทองคำ ศรีโยธิน ท่านเคยเป็นอาจารย์ เคยสอนอาตมาอยู่ ท่านบอกว่า มีใครบ้างที่อยู่คนละบ้านกับแม่ แล้วไปกินข้าวกับแม่ได้อาทิตย์ละ ๕ วัน พวกข้าราชการ อธิบดี รัฐมนตรี ผู้ช่วยรัฐมนตรี ถึงเวลาอ้างติดงานไม่มีเวลาไป แต่มีเวลาไปตีกอล์...!”
*************************

              “ท่านอุปกาชีวก เป็นบุคคลแรกที่ได้พบพระพุทะเจ้าหลังจากที่ตรัสรู้แล้ว เป็นคนเดียวในประวัติศาสตร์ที่เรียกพระพุทธเจ้าว่าอนันตชินะ แปลว่า ผู้ชนะอย่างหาประมาณไม่ได้
              ตอนนั้นพระพุทธเจ้าจะเสด็จไปป่าอิสิปตนมฤคทาย อุปกาชีวกเดินผ่านมาพอดี สงสัยว่าไฟไหม้ราวป่าหรืออย่างไร เพราะว่ามีแสงก็คือฉัพพรรณรังสี สว่างไปหมด จึงเข้าไปดูแล้วพบพระพุทธเจ้า ชอบใจมากเลยเข้าไปถาม
              “ดูก่อนท่านผู้เจริญ ...อินทรย์ของท่านผ่องใสยิ่งนัก ท่านชอบใจธรรมะของผู้ใด ใครเป็นครูบาอาจารย์ของท่าน ?”
              พระพุทธเจ้าตอบว่า “เราเป็นสวยัมภู” คือเป็นผู้รู้เอง
              ท่านอุปกาชีวกถามพระพุทธเจ้าว่า “ถ้าจะไปหาท่าน จะให้บอกว่าไปหาใคร ?”
              พระพุทธเจ้าตรัสว่า “ให้เรียกเราว่าอนันตชินะ คือผู้ที่ชนะอย่างหาประมาณไม่ได้”
              ในพระไตรปิฎกอธิบายว่า อุปกาชีวกแลบลิ้นลั่นศีรษะแล้วหลีกไป
              ทุกวันนี้อรรถกถาอธิบายว่า อุปกาชีวกไม่เชื่อพระพุทธเจ้า ถ้าไม่เชื่อพระพุทธเจ้า แล้วตอนหลังอุปกาชีวกย้อนกลับไปบวชเพื่ออะไร ?
              เราลองไปทิเบตทุกวันนี้ ถ้าเขาเคารพใครมาก ๆ เขาจะแลบลิ้นให้ พวกเมารีที่ออสเตรเลียเขาก็แลบลิ้นให้
              ส่วนการสั่นศีรษะของแขกแปลว่าใช่เลย เวลาพระไทยไปเมืองแขก แขกเขาเลี้ยงอาหารที่เรียกว่า อังคาสด้วยมือ ก็คือจะมีคนนั่งอยู่ข้าง ๆ คอยเติมให้ คนไทยก็สั่นหัวไม่เอา แขกยิ่งเติมใหญ่เลย เพราะการสั่นหัวของเขา คือเอาอีกหรือว่าใช่เลย
              เพราะฉะนั้น...อุปกาชีวกแลบลิ้นคือแสดงความเคารพ ที่สั่นหัวก็คือเชื่อ แต่กิเลสยงบังหน้าอยู่ ไม่มีโอกาสขอฟังธรรม จะรีบเดินทางไปแต่งงานก่อน
              เพื่อนของอุปกาชีวกยกลูกสาวให้ ตอนนั้นตัณหาราคะนำหน้า อุปกาชีวกจึงไม่ได้คิดที่จะบวช ไม่ได้คิดที่จะฟังธรรม จะรีบไปแต่งงาน
              พอแต่งงานแล้ว อุปกาชีกไปอยู่อาศัยบ้านของผู้หญิง คือการแต่งงานมี อาวาหมงคล กับ วิวาหมงคล
              ถ้าผู้ชายไปอยู่บ้านผู้หญิง คือ อาวาหมงคล
              แต่ถ้าผู้หญิงไปอยู่บ้านผู้ชาย คือ วิวาหมงคล
              อุปกาชีวกไปอยู่บ้านเพื่อนที่กลายเป็นพ่อตา ก็เท่ากับไปกิน ๆ นอน ๆ ที่บ้านเขา เมียก็บ่นบ้าง ด่าบ้าง เกิดมาทั้งทีหาความดีก็ไม่ได้ ทรัพย์สมบัติก็ไม่มี พี่น้องเพื่อนฝูงที่เป็นคนรวยก็ไม่มี พรรคพวกเพื่อนฝูงที่เป็นคนใหญ่คนโตก็ไม่มี
              ท้ายสุดอุปกาชีวกทนไม่ไหวบอกว่า ตัวท่านเองมีเพื่อนที่ยิ่งใหญ่มาก ตอนนี้เป็นศาสดาเอก ภรรยาถามว่าใคร ?
              อุปกาชีวกบอกว่า ท่านฟังข่าวเพื่อนคนนี้อยู่ตลอด ไปไหนมีรัศมีออกอยู่คนเดียว ชื่อว่าพระอนันตชินะ เมียก็ประชดบอกว่า มีเพื่อนก็ไปพึ่งเพื่อนสิ อุปกาชีวกก็เดินทางไปหาพระพุทธเจ้า
              ตอนช่วงเช้าพระพุทธเจ้าตรัสกับพระอานนท์ว่า “ถ้ามีบุคคลมาถมหาพระอนันตชิน ให้พามาหาเรา” อุปกาชีวกก็ถามหาชื่อนี้จริง ๆ พระพุทธเจ้าท่านเทศน์ อุปกาชีวกฟัง ท่านก็เลยบวช”
*************************

              “เรื่องของการบวชพระที่เขาถามอันตรายิกธรรม คือ กุฏฐัง คัณโฑ กิลาโส โสโส อะปะมาโร เหล่านี้เป็นโรคที่สังคมรังเกียจในยุคนั้น พวกโรคกลากเกลื้อน โรคเรื้อน ลมชัก วัณโรค
              หมอชีวกโกมารภัจจ์ท่านเคารพพระพุทธเจ้ามาก ท่านรักษาแต่พระพุทธเจ้าและพระ ส่วนเวลาอื่นท่านต้องถวายการรักษาพระเจ้าแผ่นดิน เพราะว่าเป็นหมอหลวง ไม่มีเวลารักษาคนทั่วไป คนทั่วไปก็ฉลาด ใช้วิธีบวชชีเข้ามาเป็นพระให้หมอชีวกฯ รักษา พอหายจากโรคแล้วก็สึก
              หมอชีวกโกมารภัจจ์เดินเข้าวัง พอดีสวนกับพระที่เพิ่งสึกใหม่ ๆ ก็จำได้ “ท่านสึกแล้วหรือ ?”
              เขาตอบว่า “เราหายจากโรคแล้วจึงสึก”
              ได้ยินดังนี้ หมอชีวกโกมารภัจจ์จึงเข้าใจว่า เขาบวชเข้ามาต้องการให้รักษาอย่างเดียว ท่านก็เลยขอพระพุทธเจ้าว่า บุคคลที่ป่วยด้วยโรคสังคมรังเกียจ ๕ ประการนี้ อย่าให้บวช คือให้มีการถามอันตรายิกธรรม ก็คือถามว่าเป็นโรคพวกนี้หรือเปล่า
              หลังจากนั้นส่วนอื่น ๆ ก็จะมี มะนุสโสสิ เป็นมนุษย์หรือเปล่า ? เพราะเคยมีพญานาคแปลงกายมาบวช
              ปุริโสสิ เป็นผู้ชายหรือเปล่า ? ความจริงเขาถามว่าเป็นบุรุษหรือเปล่า ?
              ภุชิสโสสิ เป็นทาสหรือเปล่า ? ถ้าเป็นทาสหนีเจ้านายมาก็บวชให้ไม่ได้ เพราะเป็นคนมีเจ้าของ
              อะนะโณสิ เป็นหนี้หรือเปล่า ?
              นะสิ ราชะภะโฏ เป็นข้าราชการหรือเปล่า ? ถ้าหนีราชการมาบวช พระเจ้าแผ่นดินสั่งประหารชีวิตจะเดือดร้อนกันใหญ่
              อะนะโณสิเป็นหนี้หรือเปล่า ? ข้อนี้คนเข้าใจผิดกันเยอะว่า ถ้ามีหนี้สินอยู่บวชไม่ได้ เขามีวิธีสำหรับคนเป็นหนี้แล้วอยากบวช ก็คือหาคนมารับสภาพหนี้ เช่น ทางบ้านรับปากว่า ถ้าเขามาทวงจะใช้หนี้ให้ ก็ถือว่าทางบ้านรับสภาพหนี้ให้แล้ว บวชได้
              อะนุญญาโตสิ มาตาปิตูหิ พ่อแม่อนุญาตแล้วหรือยัง ? ตรงนี้ก็เหมือนกัน ถ้าพ่อแม่เป็นมิจฉาทิฐิ ไม่ต้องรอให้ท่านอนุญาตหรอก เพราะทั้งชาตินี้ก็ไม่อนุญาตแน่
              อย่างพระสารีบุตร ท่านรู้ว่าแม่เป็นมิจฉาทิฐิ ถ้าน้อง ๆ ไปขออนุญาตบวช คงไม่ได้บวชแน่ ท่านจึงรับผู้ปกครองน้อง ๆ เอง ถึงเวลาถามก็บอกว่า ท่านให้บวชก็บวชได้”
*************************

      ถาม :  ท่านช่วยเคาะหัวให้ผมได้พระนิพพานเร็ว ๆ หน่อยครับ ?
      ตอบสุทฺธิ อนุทฺธิ ปจฺจตฺตํ พระพุทธเจ้าตรัสไว้ชัดเจนแล้ว มรรคผลของใครของมันทำกันเอง คนหนึ่งช่วยอีกคนหนึ่งไม่ได้หรอก สนับสนุนได้ ส่งเสริมได้ แต่ช่วยให้หลุดพ้นไม่ได้
              ถ้าช่วยได้ พระพุทธเจ้าท่านเอาพวกเราไปนิพพานหมดแล้ว เคาะคนละโป๊กก็จบ ไม่ต้องมาเทศน์ปากเปียกปากแฉะ...!
*************************

      ถาม :  บารมี ๑๐ เราต้องทำให้อารมณ์ทรงตัว หรือต้องทำแบบไหนคะ ?
      ตอบ :  ให้ทุกข้อเต็มอยู่ในใจของเรา เจอแบบไหนต้องทำให้ได้ทันที
              อย่างทานบารมี ทันทีที่คนมีความต้องการ เราพร้อมจะให้ได้ทันที ให้แล้วก็ปลื้มใจว่าเราได้ให้ไปแล้ว ส่วนเขาจะไปทำอย่างไรเราไม่ใส่ใจ เพราะเราได้ให้ไปแล้ว
              ศีลบารมี ศีลทุกข้อของเราสมบูรณ์บริบูรณ์ ไม่ล่วงศีลแม้ว่าจะอยู่ในภาวะที่เดือดร้อนถึงแก่ชีวิตของตนก็ยอม
              เพราะฉะนั้น..ต้องทำได้จริง ๆ ไม่ใช่จำได้ จำได้ว่าบารมี ๑๐ มีอะไรบ้างจบแล้ว แบบนี้ชาติหน้าบ่าย ๆ ถึงจะบรรลุ
*************************

      ถาม :  คำว่าปรมัตถบารมี มีเกณฑ์ที่ชัดเจนไหมครับ ?
      ตอบ :  ปรมัตถบารมีเขาวัดกันด้วยชีวิต ถ้าหากว่ายอมตายเพื่อให้ได้ทำความดี ต้องเป็นปรมัตถบารมีแน่
*************************

              “ผู้หญิงมอญและพม่ายังไว้ผมยาวเป็นปกติ แล้วเกล้ามวยผมไว้ ลักษณะแทนเขาพระสุเมรุอันเป็นหลักโลก เป็นความเชื่อของฮินดู เขาเชื่อว่าเขาพระสุเมรุเป็นที่อยู่ของพระศิวะ เลยเกล้ามวยผมแทนเขาพระสุเมรุ
              ถ้าชาวพม่าพบบุคคลหรือพระที่เขาเคารพมาก เขาจะคลี่มวยผมลงมาเป็นทางให้เดิน นั่ง ๒ ข้างปูลงมาเป็แถว แรก ๆ อาตมาไม่กล้าเหยียบ เพราะว่าจั๊กกะจี้เท้า แต่นี่เป็นศรัทธาของเขา ก็เลยต้องฝืนทำไป
              ส่วนพวกกะเหรี่ยง เขาจะทอดตัวเป็นทางให้เดิน เขาเอารูปแบบมาจากพระพุทธเจ้า สมัยเป็นสุเมธดาบส ที่ทอดตัวเป็นสะพานให้สมเด็จพระพุทธทีปังกรสมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จข้ามไป
              แล้วองค์สมเด็จพุทธทีปังกรพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงพยากรณ์ว่า ดาบสนี้อีก ๔ อสงไขยกับแสนมหากัปจะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้านามว่า โคตมะ ทางด้านของกะเหรี่ยงเขาชอบใจตรงประวัติส่วนนี้ เขาก็จะทอดตัวให้เดิน
              คราวนี้พวกกะเหรี่ยง มอญ พม่า เขาทอดตัวให้เดินก็ยังพอไปได้ แต่กะเหรี่ยงบ้าน คลิตี้ เขาโก้งโค้งให้เดิน โห...เดินยากมาก ถึงเวลาเขาจะตั้งซุ้มสำหรับอุ้มพระขึ้นไปสรงน้ำ เขาจะต่อรางไม้ไผ่ยาว ๆ เทใส่ ป้องกันไม่ให้ผู้หญิงเข้าใกล้พระ แล้วเขาจะโก้งโค้งต่อแถวซะยาวยืด ให้พระเดินเหยียบจากที่สรงน้ำไปจนถึงกุฏิ”
*************************

              “ทำงานแล้วจะเอาประโยชน์ ก็ต้องให้สติอยู่เฉพาะหน้า ไม่ให้ไปที่อื่น แล้วเราก็สังเกตว่า เราบังคับให้อยู่ตรงหน้าได้นานกี่นาที ปกติแล้วพักเดียวก็จะแวบไปที่อื่น แล้วเราก็ดึงกลับมาเริ่มต้นใหม่
              เพราะฉะนั้น...เวลาทำงาน ถ้าใจมุ่งอยู่กับงานเฉพาะหน้าก็เป็นกรรมฐาน เพราะว่าสติจดจ่ออยู่กับปัจจุบันธรรมตรงหน้า”
*************************

      ถาม :  ตะกรุดลูกอมโลกธาตุ มีวิธีใช้อะไรพิเศษไหมครับ ?
      ตอบ :  ตะกรุดลูกอมก็ไว้อมสิจ๊ะ
      ถาม :  เคล็ดอย่างอื่นไม่มีใช่ไหมครับ ?
      ตอบ :  เอาไว้อม ส่วนใหญ่เพื่อป้องกันอันตราย พอฉุกเฉินก็กลืนลงไปเลย ก่อนนอนให้ปูผ้าขาวไว้ พอตื่นนอนลูกอมจะมาอยู่บนผ้าขาวเอง
      ถาม :  เขาลองกันมาเยอะแล้วใช่ไหมครับ ?
      ตอบ :  เขาลองกันมาเยอะแล้ว อมอยู่ในปาก แล้วเวลาโดนอัดหนัก ๆ อาจจะหล่นได้ ให้กลืนลงไปเลย ตะกรุดลูกอมของหลวงปู่ยิ้ม วัดหนองบัว หรือเปล่า ?
      ถาม :  ของหลวงปู่ใจ วัดเสด็จครับ ?
      ตอบ :  หลวงปู่ใจเป็นลูกศิษย์หลวงปู่ยิ้ม
      ถาม :  ของหลวงปู่ยิ้มก็อยากได้อยู่ครับ ?
      ตอบ :  ของหลวงปู่ใจก็เหลือเฟือแล้ว หลวงปู่ยิ้มกับหลวงปู่เนียม ลูกศิษย์แต่ละองค์ของท่านนี่ ออกจากสำนักไป ถ้าเอ่ยชื่อคนก็รู้จักกันทั้งบ้านทั้งเมือง แล้วอาจารย์จะเก่งขนาดไหน ?
*************************

      ถาม :  พระปิดตา เขาหมายถึงอะไรคะ ?
      ตอบ :  มีอยู่ ๒ อย่าง อย่างแรกก็คือ ปิดทวารเพื่อไม่รับสิ่งที่ไม่ดีเข้ามา ก็คือตาไม่ดูสิ่งที่ไม่ดี หูไม่ฟังสิ่งที่ไม่ดี ปากไม่พูดสิ่งที่ไม่ดี
              แล้วอีกนัยหนึ่งก็คือ ปิดทวาร ลักษณะเป็นมหาอุด ป้องกันอันตรายทุกอย่าง
*************************

              “มีความรู้สึกแปลก ๆ ที่ไม่น่าจะเป็นความรู้สึกที่ถูกต้อง ...แต่ก็ดันใช่ คือเห็นสาวสะพรั่ง หน้าตาสวย เดินเข้ามาแล้วรู้สึกสลดใจ ก่อนหน้านี้เขายังเด็ก ๆ อยู่เลย พักเดียวก็แก่ขนาดนี้แล้ว
              แทนที่จะปลื้มปีติชื่นชมที่เขาเจริญเติบโต แต่กลับเศร้าว่าพักเดียวเปลี่ยนไปขนาดนี้แล้ว อีกพักเดียวก็ต้องเหี่ยวแล้วสินะ ต้องบอกว่าปัญญาไปไกลเกิน
              จะว่าไกลเกินก็ยังไม่ใช่หรอก แค่นี้ยังไม่พอกิน เกิดความเศร้าขึ้นมา เราต้องรีบหยุดไว้ก่อน หยุดการปรุงแต่ง ให้เห็นว่าธรรมดาของทุกอย่างต้องเป็นเช่นนั้น ไม่อย่างนั้นแล้วจะพาเราผิดทาง
              แล้วก็เห็นต่อไปด้วยว่า อีกสักพักเขาก็ต้องตาย คราวนี้กำลังของเราต้องหยุดแค่นั้น ไม่อย่างนั้นแล้วแทนที่ปัญญาเกิดแล้วจะดี กลายเป็นเศร้าหมองไป ต้องหยุดตัวการปรุงแต่งเอาไว้แค่นั้น”
      ถาม :  การพิจารณาให้มากกับการวางเร็ว อะไรจะดีกว่ากันครับ ?
      ตอบ :  ต้องพิจารณาจนใจยอมรับจริง ๆ แล้วจะวางเอง ถ้าใจไม่ยอมรับ เราพิจารณาจนตายก็วางไม่ลง
              สำคัญตรงอารมณ์สุดท้ายว่าปัญญาพอหรือเปล่า ? ถ้าปัญญาพอสมาธิพอ กำลังในการตัดกิเลสก็จะเข้มแข็ง เด็ดขาด ส่วนใหญ่พวกเราเด็ดไม่ขาดไม่พอ ยังไปเสริมใยเหล็กให้อีกด้วย
*************************

              “ภายในวัดแรงกระทบเยอะกว่าข้างนอก ที่แรงกระทบเยอะกว่าเพราะเราไปตั้งเป้าว่าอยู่ในวัดแล้วทุกคนต้องดี
              ไม่ใช่หรอก..คนอยู่ในวัดก็ลูกชาวบ้านข้างนอกนั่นแหละ กิเลสเท่ากันหมดทุกอย่าง เพียงแต่ว่าใครจะคุมอยู่หรือคุมไม่อยู่เท่านั้น
              แต่คราวนี้เราไปตั้งเป้าว่าเขาจะต้องดี ก็เจ๊งตั้งแต่ยกแรกแล้ว ถึงได้บอกว่า ครูบาอาจารย์ดี สถานที่ดี ไม่ได้หมายความว่าบุคคลจะดีด้วย เพราะฉะนั้น...อย่าไปตั้งความหวังกับใคร
              โดยเฉพาะอยู่ในวัด หาหน้าที่ประจำให้ได้เร็วที่สุด แล้วก็ตั้งหน้าตั้งตาทำหน้าที่ของเราไป ถ้าทำหน้าที่ของเราสมบูรณ์ ก็ไม่มีใครตำหนิเราได้
              โดยเฉพาะฝ่ายแม่ชีน่าสงสารที่สุด โดนใช้งานอย่างกับทาส แล้วจะมานั่งคิดว่าเราเป็นพจมาน สว่างวงศ์ไปตั้งแต่เมื่อไร ใช้งานจนสาหัสขนาดนี้
              ม.ร.ว.หญิงศรีสุดดาท่านบวชชี ถามอาตมาว่า “มีกุฏิสำหรับแม่ชีแก่ ๆ บ้างไหม ?”
              อาตมาบอกว่า “มี..แต่งานหนักมากนะ”
              ท่านถามว่า แก่แล้วยังต้องทำอีกหรือ ?
              ก็เลยตอบว่า “ถ้ายังต้องกิน ก็ต้องทำ”
              ส่วนของแม่ชีงานหนัก แค่งานในโรงครัวก็ยากแล้ว ทำแทบจะไม่รู้จบ”
*************************

      ถาม :  วันที่หล่อสมเด็จองค์ปฐมที่วัดสระพัง เวลาหล่อพระเขาให้ท่องคาถาอะไรคะ ?
      ตอบพุทโธ โลเก อุปปันโน แปลว่า พระพุทธเจ้าเกิดขึ้นแล้วในโลก
              คาถานี้เกิดจากพ่อค้าที่เข้าไปในเมืองของพระมหากัปปินะราชา สมัยก่อนนี้เวลาพ่อค้าไปค้าขายประเทศไหน ก็จะต้องเข้าไปแจ้งกับพระราชาก่อน ขออนุญาตเข้าไปทำการค้า คราวนี้ตัวเองเดินทางมาไกลหลายเมือง ก็จะได้ข่าวคราวต่าง ๆ มาด้วย
              พอพระมหากัปปินะราชาถามพ่อค้าว่า มีข่าวคราวอะไรบ้าง ?
              พ่อค้าก็ตอบว่า ข่าวที่สำคัญที่สุดก็คือ มีพระพุทธเจ้าเกิดขึ้นแล้วในโลก
              พระมหากัปปินะได้ยิน ดีพระทัยจนสลบไปเลย จึงเขียนหนังสือให้พ่อค้าเอาไปให้พระมเหสี บอกว่าให้เบิกเงินจากคลัง เอาเงินไปเลยสามแสนกหาปณะ แจ้งพระมเหสีด้วยว่าเราจะไปบวชแล้ว แล้วก็สอบถามว่าพระพุทธเจ้าอยู่ทางทิศไหน จึงขี่ม้ามุ่งหน้าไปหาพระพุทธเจ้า บรรดาข้าราชบริพารก็ขี่ม้าตามไปบวชหมดเลย
              ทางพ่อค้าก็เอาหนังสือที่มีลายพระหัตถ์ไปให้พระมเหสี พอพระมเหสีเห็นก็ถามว่าเกิดอะไรขึ้น
              พ่อค้าก็บอกว่า ท่านแจ้งข่าวสำคัญให้พระราชาทราบ ว่ามีพระพุทธเจ้าเกิดขึ้นแล้วในโลก
              พระมเหสีเกิดปีติขนพองสยองเกล้า บอกว่าถ้าอย่างนั้นเราให้เธอหกแสนกหาปณะ สรุปแล้ว ๒ ประโยคได้ไปเกือบล้าน...! และพระมเหสีเด็ดขาดกว่าอีก พาพวกนางสนมบริวารตามไปอีก เพื่อไปบวชบ้าง
              พระมหากัปปินะควบม้าไป เจอแม่น้ำใหญ่ขวางหน้า เรือแพที่จะข้ามไปก็ไม่มี เพราะว่าท่านไปอย่างกะทันหัน ไม่มีใครจัดให้
              ท่านก็ตั้งใจว่า ถ้าทิศเบื้องหน้ามีพระพุทธเจ้าอยู่จริง ก็ขอให้น้ำอย่าได้ท่วมเท้าม้าเลย แล้วก็ชักม้าลงน้ำไป ปรากฎว่าวันนั้นม้าวิ่งบนผิวน้ำได้ เพราะว่าท่านศรัทธาจริง พุทธานุภาพก็เลยคุ้มครองรักษาได้
              พระมเหสีก็เช่นกัน อธิษฐานว่าถ้าทางนี้มีพระพุทธเจ้าอยู่จริง ก็ขออย่าให้น้ำท่วมถึงข้อเท้าม้าเลย และม้าก็วิ่งบนผิวน้ำได้เช่นกัน
              พอพระมหากัปปินะไปถึง ได้ฟังเทศน์จากพระพุทธเจ้าจบเดียวเป็นพระอรหันต์เลย
              หลวงพ่อพระธรรมปริยัติเวที หรือหลวงพ่อเจ้าคุณสุเทพ เจ้าคณะภาค ๑๕ เวลาหล่อพระท่านจะให้ภาวนาว่า พุทโธ โลเก อุปปันโน คือพระพุทธเจ้าเกิดขึ้นแล้วในโลก ก็เลยกลายเป็นคาถามประจำตัว ถึงเวลาไปหล่อพระที่ไหน ท่านก็จะใช้ พุทโธ โลเก อุปปันโน
              ส่วนอาตมานี้เวลาหล่อพระจะใช้บทว่า นะโม เม สัพพะพุทธานัง อุปันนานัง มเหสีนัง บทของภาณพระ
      ถาม :  แปลว่าอะไรครับ ?
      ตอบนะโม เม สัพพะพุทธานัง ขอความนอบน้อมของข้าพเจ้า จงถึงซึ่ง พระพุทธเจ้าทั้งหลายทั้งปวง
              อุปปันนานัง มเหสีนัง ซึ่งอุบัติเกิดขึ้นแล้ว ประกอบไปด้วยศักดานุภาพอันใหญ่ยิ่ง
              แล้วก็จะเอ่ยนามพระพุทธเจ้า ๒๘ พระองค์ ตั้งแต่ ตัณหังกะโร มหาวีโร เมธะงกะโร มหายโส สรณงกะโร โลกหิโต ทีปังกะโร ชุตินธโรฯ เป็นต้น
*************************

              “พอใกล้เวลาสอนกรรมฐาน “เขา” พยายามที่จะทำให้เสียงของอาตมาหาย สมัยก่อนหลวงพ่อวัดท่าซุงเวลาท่านเป็นมาก ๆ ขึ้นมา ท่านจะควักยาหม่องเป็นก้อน แล้วก็ล้วงควานเข้าไปในคอ จะได้พูดมีเสียง
              ลองคิดดูว่านั่งมาทั้งวันไม่เป็นอะไร พอเวลาใกล้กรรมฐานเสลดกลับมาพันคอ จึงบอกว่า “เขา” พยายามจะขวางทุกวิถีทางจริง การที่จะนำญาติโยมทั้งหลายปฏิบัติธรรม เท่ากับพาพวกเราใกล้พระนิพพานไปเรื่อย ก็จะไม่เป็นที่ชอบใจของบรรดามารทั้งหลาย “เขา” ก็จะหาทางขวางอยู่เสมอ
              ทุกครั้งก่อนที่จะเข้ากรุงเทพฯ เพื่อมาสอนกรรมฐานและรับสังฆทาน อาการป่วยไข้ไม่สบายจะมาแบบฉับพลัน บางทีก็ป่วยขึ้นมาแบบไม่มีสาเหตุ อยากจะป่วยก็ป่วยขึ้นมาเฉย ๆ ก็ได้แต่ต่างคนต่างทำหน้าที่ตัวเอง
              เขามีหน้าที่ขัดขวาง เขาก็ขวางไป เรามีหน้าที่สอนกรรมฐาน เราก็สอนไป ดูว่าใครจะอึดกว่ากัน วัดกันที่ลูกอึด ถ้าไปโดนอะไรนิดหน่อย แล้วไปท้อถอยง่าย ๆ แสดงว่ากำลังใจยังใช้ไม่ได้
              อย่างที่บอกเมื่อเช้าว่า จากการที่เข้มงวดกับตัวเอง โดยการปฏิบัติตามระเบียบตามวินัยอย่างเคร่งครัด แม้ฝนจะตกแดดจะออกอย่างไร ก็ไม่ยอมละเว้นการบิณฑบาต ทำให้เอานิสัยเข้มงวดมาเข้มงวดในการปฏิบัติไปด้วย ก็เลยได้อะไรมากกว่าคนอื่นเขา
              เพราะฉะนั้น...เป็นเรื่องที่พวกเรานอกจากจะต้องสำนึกรู้แล้ว ยังต้องปฏิบัติให้ได้ด้วย
              ทำอย่างไรที่เราจะเข้มงวดกับตัวเองให้มากเข้าไว้ บอกว่านี่เป็นเวลาปฏิบัติ ไม่ใช่เวลานอน นี่เป็นเวลาปฏิบัติ ไม่ใช่ไปสนุกเฮฮา ถ้ากำลังใจเริ่มเข้าถึงระดับที่การต่อสู้กับกิเลสเริ่มทันกัน เราก็จะสนุกอยู่กับการต่อสู้กับกิเลส ไม่สนใจเรื่องอื่นเลย เพราะต้องลุ้นกันสุดชีวิต ว่าคะแนนต่อไปใครจะได้”
*************************

              “นั่งนานก็ไม่ได้แปลว่าได้ดี ประเภทนั่งทนแข่งกันนี้ สมัยก่อนบางสำนักเขานิยมนั่ง ๓-๕ ชั่วโมง อาตมาก็ไปลองนั่งกับเขาบ้าง ได้ดีประมาณ ๓๐ นาที ที่เหลือนั่งแช่งชักหักกระดูกไปเรื่อย
              “มันจะนั่งไปทำโคตรพ่อโคตรแม่อะไรนานขนาดนี้วะ ?”
              นั่งได้...แต่ใจไม่มีคุณภาพเลย
              สมัยวัยรุ่นเห็นเขาว่าสำนักไหนก็ไป ท้ายสุดมาเจอสำนักวัดท่าซุง ท่านบอกนอนปฏิบัติได้นี่ถูกใจเลย แต่กว่าจะฝึกปฏิบัติให้นอนโดยไม่หลับได้นี่..สุดยอด เพราะหลับแล้วหลับอีก เผลอหลับมาจนนับครั้งไม่ถ้วน
              จนกระทั่งท้ายสุดใช้วิธีเปิดเสียงของหลวงพ่อวัดท่าซุง แล้วเอาจิตจดจ่อเงี่ยหูฟัง ชนิดที่ตั้งใจจะฟังให้ได้ทุกคำ พอสติต่อเนื่องได้ไม่ขาด ก็ไปได้เรื่อย ๆ
              เมื่อสภาพจิตดิ่งลึกไป ก้าวข้ามไปจนกระทั่งเริ่มเป็นฌาน ก็จะผ่านตัวตัดหลับไปได้ หลังจากนั้นก็จะสว่างโพลงอยู่อย่างนั้น
              คราวนี้ขึ้นอยู่กับว่าเราจะบังคับให้เป็นอย่างไร ถึงเวลาสภาพจิตก็จะรวบเข้า ๆ จนสว่างอยู่จุดเดียวเฉพาะส่วนใดส่วนหนึ่งข้างหน้า ตรงจุดนี้ก็หู ตา จมูก ลิ้น กาย ไม่ได้ยินอะไรเลย ไม่รับรู้อะไรเลย แต่ว่าภายในก็มีความสุขเยือกเย็นอยู่อย่างนั้น
              และโดยเฉพาะที่อัศจรรย์ที่สุดก็คือ เสียงธรรมะของหลวงพ่อวัดท่าซุง ท่านจะเทศน์อย่างมากที่สุดหน้าหนึ่งก็จะไม่เกิน ๔๐ หรือ ๔๕ นาที ส่วนใหญ่ก็จะ ๓๐ นาที
              แต่ตอนที่กำลังใจรวมเข้ามาก ๆ นี้ ฟังท่านได้เป็นชั่วโมง ๆ ไม่จบสักที แล้วเนื้อหาต่อไปเรื่อย ๆ ไม่วนด้วยไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งแปลกใจว่า วันนี้ทำไมเสียงเทศน์นานแท้ ไม่จบสักที ลืมตาขึ้นมาเสียงหายวับ เครื่องเทปหยุดเล่นไปตอนไหนก็ไม่รู้ แต่ได้ยินอยู่ตลอด ...แปลกดี”
*************************

              “การฟังเทปของหลวงพ่อวัดท่าซุงได้พบเรื่องแปลก ๆ มีอยู่เที่ยวหนึ่งท่านเล่าเรื่องพระนางรูปนันทาที่ว่าป่วยเป็นโรคเรื้อน ทำให้ไม่กล้าไปหาพระพุทธเจ้า ท่านก็เล่าไปเรื่อย ๆ
              อาตมาก็เถียงในใจว่า นี่ไม่ใช่พระนางรูปนันทา ต้องเป็นพระนางโรหิณี เสียงในเทปบอกว่า พระนางโรหิณีนั่นเป็นเรื่องในธรรมบท แต่ที่เล่านี้เป็นเรื่องของรูปนันทา เทปเถียงได้ด้วย...! เป็นอะไรแปลกจริง ๆ
              แต่ก็ยังไม่เท่ากับแม่ชีท่านหนึ่ง แม่ชีท่านนั้นปฏิบัติธรรมเข้าถึงอารมณ์ที่ท่านคิดว่าดี ท่านก็ตั้งใจว่าจะไปเล่าถวายให้หลวงพ่อท่านฟัง พูดง่าย ๆ ก็คือจะไปอวด
              ปรากฎว่าตอนเช้าเสียงตามสายด่าท่านซะหูดับตับไหม้เลย ว่าอวดดี อวดเก่ง อวดวิเศษ ความรู้แค่หางอึ่งก็คิดว่าเก่งแล้ว ตั้งใจที่จะมาคุยอวดว่าดีอย่างไร ไอ้พวกนี้ไม่พ้นนรกสักราย ท่านก็ว่าไปเรื่อย
              แม่ชีไปทุบประตูศาลานวราชโครม ๆ “ท่าน ๆ ขอเช่าเทปม้วนนี้เถอะ ไอ้เทปม้วนที่ด่าฉันน่ะ” แล้วจะหาที่ไหนให้ เทปม้วนนั้นเป็นเทปปฏิญาณตนเป็นพุทธมามกะ ไม่มีหรอกที่ตั้งใจด่าแม่ชีคนเดียว”
*************************

      ถาม :  ตอนท่านอยู่วัดโดนหลวงพ่อด่าบ่อยไหมครับ ?
      ตอบ :  ไม่บ่อยหรอก ปีหนึ่งโดนไม่เกิน ๓๖๕ ครั้ง อย่างไรก็ต้องมีให้โดนด่าจนได้ เพราะว่าเวลาหลวงพ่อท่านด่าคนอื่นแล้วคนอื่นเขารับไม่ได้ เขาจะตายเอา
              หลวงพี่บัญชาโดนเข้าหน้าเขียว มืออ่อนตีนอ่อนนั่งอยู่ตรงนั้นแหละ ไปไหนไม่เป็นเลย
              หลวงพี่ชัยวัฒน์โดนด่าเข้า ย้ายหนีจากหน้าตึกไปอยู่สวนไผ่ ไม่ยอมกลับจนกระทั่งหลวงพ่อท่านมรณภาพ
              ส่วนอาตมาค่อนข้างจะหน้าด้าน ด่าเท่าไรก็เข้าใจ ถ้ากล่าวอย่างเข้าข้างตัวเองก็คือ รู้ว่าถ้าท่านยังด่า แสดงว่าเรายังแก้ไขได้ และไม่มีพ่อที่ไหนที่จะฆ่าลูกหรอก เพราะฉะนั้น...ท่านด่ามาแปลว่าเราผิดจริง ให้รีบแก้ไขด่วน
              บางทีคนอื่นเขาโดนด่าแล้วเขารับไม่ได้ ถ้าหลวงพ่อท่านจะด่า ท่านก็จะมาเริ่มด่าจากอาตมาก่อน พอเข้าโบสถ์ก็ใส่อาตมาไปเต็ม ๆ คนอื่นเขาก็ “มันโดนอีกแล้ว” กว่าจะรู้ว่าเลี้ยวกลับมาที่ตัวเองก็โดนไปแล้ว
              บางทีท่านนั่งลงก็บ่น “เฮ้อ...ไอ้วัดเรามีแต่เกินกับขาด หาพอดีไม่ได้สักคน”
              แล้วก็หันขวับมา “เล็ก...เอ็งเกินหรือขาดวะ ?”
              “ผมเกินกว่าร้อยอีกครับหลวงพ่อ”
เขาก็ฮากันทั้งโบสถ์
              พอเขาฮากันเสร็จ หลวงพ่อท่านเห็นว่ากำลังใจคลายตัวแล้ว ท่านก็เลี้ยวเข้ามาด่าคนที่ตั้งใจไว้จนได้ แต่ก็เป็นเรื่องแปลกมาก แปลกตรงที่ว่าพออกมาจากโบสถ์ เขาเที่ยวมาไล่ถามกันว่า “คราวนี้ใครวะที่โดนด่า ?”
              จนกระทั่งบางทีอาตมาทนไม่ไหวก็ว่า “ผมคนหนึ่งละ...ไอ้ที่เหลือไปแบ่งกันเองแล้วกัน”
              ทำไมไม่คิดว่าที่ท่านด่าคือเรา จะได้ไปแก้ไขให้หมดเรื่องหมดราวไป
              ในชีวิตเสียใจอยู่อย่างเดียวคือ หลวงพ่อให้เทศน์แทนท่าน แล้วอาตมาไม่รับปาก เนื่องจากว่าในช่วงนั้นไม่เหมาะสมด้วยประการทั้งปวง พี่ ๆ น้อง เขาไม่ได้โมทนาด้วยแต่เขาจ้องจะงับน่องอาตมา
              เพราะฉะนั้น...หลวงพ่อท่านบอกให้เทศน์แทน ก็เรียนท่านว่า “ไม่ไหวครับ เดี๋ยวตกธรรมาสน์...!”
              ท่านก็ยังพูดซ้ำอีกว่า “ใบฎีกาเท่ากับเป็นตัวแทน แล้วทำไมถึงไม่เทศน์แทน ?”
              ตอนนั้นท่านตั้งให้เป็นพระใบฎีกา คืออยู่ในสถานะที่รู้ว่า ถ้าขึ้นไปเมื่อไรแล้วก้อนอิฐก้อนหินมารอบข้าง ไม่มีดอกไม้หรอก ก็เลยปฏิเสธท่านไป
              พอออกจากวัด เลยโดนให้เทศน์เช้ายันค่ำ เอาให้เข็ด ในวัดอยากไม่เทศน์ดีนัก
              พอตัวเองมาป่วยแล้วถึงได้รู้ รู้ตรงที่ว่าบางทีขอให้พระอื่นท่านช่วยทำ แต่ท่านไม่ทำ ท่านรออาตมาไปทำเอง อาตมาก็ป่วยจนไม่มีเรี่ยวไม่มีแรง พอคนอื่นไม่ทำ ก็ต้องกัดฟันทำซะเอง ถึงได้เข้าใจว่า ตอนนั้นหลวงพ่อท่านไม่ไหวจริง ๆ ท่านถึงให้อาตมาเทศน์แทน
              อาตมาเองก็ดันไปเกรงใจพี่น้อง ที่เกรงใจพี่น้องต้องบอกว่ายังรักตัวเองอยู่ ที่ยังรักตัวเองอยู่ก็คือ “ตัวกู ของกู” ยังปล่อยไม่ได้ โดนเาด่าแล้วกลัวรับไม่ได้ โดนเขาหาว่าวัดรอยเท้าหลวงพ่อเดี๋ยวจะรับไม่ได้
              มาเข้าใจก็ตอนที่แย่มาก ๆ แล้วไม่มีใครแทน ถึงได้รู้ว่าตอนนั้นหลวงพ่อท่านต้องการให้ช่วยจริง ๆ
              มีอยู่เที่ยวหนึ่งรับกิจนิมนต์ข้างนอก โทรกลับมาบอกทางวัดว่า “ให้พระครูน้อยเทศน์งานศพไปก่อน ผมกลับไปทันเผาแน่นอน ผมจะไปเป็นประธานเผาศพให้เอง”
              ปรากฎว่าเขาเทศน์กันบ่าย ๒ โมง บ่าย ๓ แล้ว เขาตั้งธรรมาสน์รออาตมาไปเทศน์ อาตมานั่งรถมา ๗๐๐ - ๘๐๐ กิโลเมตร หมดสภาพแล้วยังต้องขึ้นธรรมาสน์ไปเทศน์
              ต้องบอกว่ากรรมบางอย่างมาบัง ทำให้เขาเข้าใจผิด อาตมาบอกว่าให้เขาเทศน์ แล้วจะกลับไปเป็นประธานเผาศพ เขาฟังอย่างไรไม่รู้ว่าอาตมาจะกลับไปเทศน์...!
              อย่างเมื่อเช้ามีโยมเอารถมาให้เจิม อาตมานั่งทำงานอยู่ เพราะเป็นเวลารับสังฆทาน ถามเขาว่ารถจอดอยู่ตรงไหน เขาบอกว่าจอดอยู่ในวัด ก็เลยบอกให้เอารถมาจอดหน้าบ้าน อาตมาจะได้ลงไปเจิมให้
              อาตมาก็นั่งทำงานไป กะว่าพอเขาเลื่อนรถมาถึงหน้าบ้าน จึงค่อยเดินลงไป ปรากฎว่าเขาเดินตามหลังมา อาตมาก็ไปยืนรอให้เขาไปเอารถมาให้เจิม
              ก็เลยสงสัยว่า อาตมาพูดไม่รู้เรื่อง หรือคนอื่นเขาฟังไม่รู้เรื่องกันแน่ ก็ต้องคิดว่าสร้างเวรสร้างกรรมเอาไว้เยอะ รับกรรมไปเรื่อย ๆ ก็แล้วกัน
*************************

      ถาม :  ได้รับทุกข์แสนสาหัสมาก โดยที่เราไม่ได้ทำ ก็ยอมรับว่าเป็นกรรม แต่ใจก็ยังทุกข์อยู่ จะแก้ได้อย่างไร ?
      ตอบ :  ทุกข์เป็นปกติ เพราะว่าการยอมรับของเรา ไม่ได้ยอมรับจากปัญญาจริง ๆ การที่เราจะยอมรับจากปัญญาจริง ๆ นั้น กำลังก็ยังไม่เพียงพอ
              ถ้าเราอยู่กับลมหายใจเข้าออกปัจจุบันของเราได้ เราก็จะไม่คิดเรื่องนี้
              เพราะฉะนั้น...เมื่อตอนนี้เรายังกำลังไม่พอ เราก็เอาแค่นั้นก่อน ให้อยู่กับตรงหน้านี้ให้ได้ ถ้าอยู่กับตรงหน้านี้ได้ เราก็ไม่ต้องไปเครียด ไม่ต้องไปทุกข์
              แล้วหลังจากนั้นพอสะสมกำลังไปเรื่อย ๆ ปัญญาเพียงพอ จะเห็นว่าที่แท้จริงแล้วเป็นเรื่องไร้สาระ
              นี่เป็นเรื่องที่เคยทำเอาไว้ถึงได้รับ ในเมื่อเราเคยรังแกเขาไว้หนักขนาดนั้น เราใช้หนี้เขาไปก็ไม่มีปัญหาอะไร ถ้าปัญญาถึงก็จะเห็นเอง แล้วใจเราจะวางไปได้ ตอนนี้เอาแค่นี้ก่อน ถ้าหลุดจากตรงนี้ไปเมื่อไรก็จะทุกข์อีก
*************************