ถาม : สัมมาสมาธิ มีความหมายว่าอะไร ต้องเป็นสมาธิระดับสมาบัติ ๘ หรือไม่ครับ ?
ตอบ : สัมมาสมาธิ หมายความว่า เราตั้งสมาธิไว้ในทางที่ถูกต้อง ก็คือเป็นสมาธิที่หนุเสริมให้เกิดปัญญา
ถ้าหากว่าหนุนเสริมให้เกิดปัญญาได้ ไม่ว่าจะเป็นสมาธิระดับไหน ก็เป็นสัมมาสมาธิทั้งนั้น
ถาม : ถ้าเราทำให้สมาบัติ ๘ เสื่อมก่อนตายล่ะครับ ?
ตอบ : ลองดูซิว่าจะทำได้ไหม ?
ระหว่างที่เราดำรงชีวิตอยู่ก็ดีบ้าง เสื่อมบ้าง แต่หากว่าความคล่องตัวมีจริง ๆ จิตสุดท้ายจะไปเกาะตรงนั้นทันที แล้วความซวยจะมาเยือน ถ้าเกิดในอรูปพรหม อย่างน้อย ๆ ก็สองหมื่นมหากัป...!
ถาม : ถ้าเสื่อมแล้วเสื่อมหมดนี่ครับ ?
ตอบ : ตอนเสื่อมนั้นเสื่อมหมด แต่คนที่เคยได้แล้ว แวบเดียวตีคืนได้แล้ว
ถาม : (ไม่ได้ยิน) ?
ตอบ : ถ้าหากว่าเป็นอรูปพรหมหรือรูปพรหมต้องทรงฌาน ถ้าหากว่าหลุดมาข้างนอกเมื่อไร ก็อยู่แค่ชั้นจาตุมหาราช
ถาม : บุคคลที่ได้มโนมยิทธิ จิตเกาะพระนิพพานได้ เป็นโลกุตรฌานไหมครับ ?
ตอบ : ไม่ใช่…ยังเป็นโลกียฌานเต็ม ๆ ถ้าสามารถสัมผัสพระนิพพานได้ อารมณ์ตอนนั้นเทียบเท่าพระโสดาปัตติมรรค จนกว่าคุณจะเข้าถึงความเป็นพระโสดาบันจริง ๆ จึงจะเป็นโลกุตรฌาน
*************************
ถาม : เวลาเข้าอรูปฌาน ถ้าคนที่ไม่เคยผ่านรูปฌานมาในชาตินี้ แต่มีปัจจัยมาก่อน สามารถทำอรูปฌานให้เกิดได้ไหมครับ ?
ตอบ : ยากจนแทบไม่มีทางเป็นไปได้..เพราะว่าอย่างน้อยเราต้องซักซ้อมรูปฌานให้คล่องตัวก่อน แล้วทรงกสิณกองใดกองหนึ่งที่ไม่ใช่อาโลกกสิณ หรืออากาสกสิณขึ้นมา จึงสามารถจับเป็นอรูปฌานต่อได้
ถ้ารูปฌานไม่คล่องโอกาสที่จะเข้าอรูปฌานเลยทีเดียวแทบเป็นไปไม่ได้เลย ยกเว้นว่าชาติก่อนเราเป็นประเภทสุดยอดฝีมือมาจริง ๆ พอชาตินี้เผลอมองฟ้าหน่อยเดียวก็ได้เลยอะไรอย่างนี้
สรุปว่า ต้องมีพื้นฐานมาจากรูปฌานทั้งหมด อรูปถ้าไม่มีรูปเป็นพื้นฐานก็ทำไม่ได้
ถาม : ไม่ว่าจะมาจากรูปพรหม ก็ต้องได้รูปฌานก่อน ?
ตอบ : เริ่มต้นที่รูปฌานก่อน ยกเว้นว่าท่านที่เข้าถึงความเป็นพระอริยเจ้า กำลังของท่านเกินแล้ว ของเก่าจะฟื้นคืนมาเอง แต่ก็ต้องซักซ้อมความคล่องตัว เพื่อที่จะใช้งานอย่างเต็มที่
*************************
ถาม : ปีนี้เป็นปีชง ควรปฏิบัติตัวอย่างไรดีครับ ?
ตอบ : เหมือนเดิม ปฏิบัติใน ศีล สมาธิ ปัญญา ให้ทรงตัวเข้าไว้ กำลังพวกนี้สูงอยู่แล้ว จะชงขนาดไหนก็ไปได้
ถาม : เราต้องไปทำพิธีอย่างคนอื่นไหมครับ ?
ตอบ : เพื่อความสบายใจก็ไปทำเสีย เพราะอย่างน้อย ๆ ก็ได้กำลังใจเพิ่มขึ้น แต่ถ้ามั่นใจตัวเองก็ไม่ต้องหรอก อย่างอาตมานี่แหกคอกมาตลอด ใครว่าอะไรไม่ดี กูจะทำให้ดู ทำให้ดีจนได้
*************************
เด็ก ๒ คน นั่งกรรมฐาน พระอาจารย์กล่าวว่า
“ไปยาวแล้ว นั่งให้ได้คนละครึ่งชั่วโมงเลยลูก เอาอย่างนี้ลูก...พุทโธ ๆ ไปเรื่อย นึกถึงภาพพระไว้บนหัวแล้วค่อย ๆ เลื่อนภาพพระครอบเราลงมา ขอให้โรคภัยไข้เจ็บต่าง ๆ หายไป”
*************************
“ด้วยพระบารมีของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในวาระสำคัญต่า งๆ จึงทำให้ประเทศที่นับถือพระพุทธศาสนา มอบของสำคัญมาให้ทางบ้านเราได้สักการบูชากัน ซึ่งถ้าตามปกติแล้ว เราเดินทางไปจนถึงบ้านเขา ยังไม่แน่ใจว่าจะได้กราบไหว้บูชาแบบนี้
อย่างพระบรมธาตุข้อนิ้วพระหัตถ์ ของวัดหลินกวง ประเทศจีน
พระบรมสารีริกธาตุ ของประเทศศรีลังกา
มาครั้งนี้กพระทันตธาตุของสมเด็จพระพุทธกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้า ของประเทศภูฎาน”
*************************
ถาม : นั่งสมาธิแล้วมีแสงสว่างขึ้นมาในตัว เป็นฌาน ๔ หรือเปล่าครับ ?
ตอบ : แค่อุปจารสมาธิก็เป็นแล้ว ถ้าเป็นฌาน ๔ จะสว่างเจิดจ้า และไม่รับรู้อาการภายนอกเลย
ถาม : เหมือนเวลาไม่นาน แต่จริง ๆ ผ่านไป ๒ ชั่วโมงแล้ว ?
ตอบ : ใช่…รู้สึกว่าครู่เดียว แค่หายใจเข้าออกไม่กี่ที แต่ว่าระยะเวลาข้างนอกจะผ่านไปนานมาก
ถาม : ตอนนั้นเหมือนกับพื้นกว้างสุดลูกหูลูกตาเลย ?
ตอบ : ตอนนั้นไม่มีอะไรขวางได้แล้ว เพราะว่าทุกอย่างจะสว่างโล่งไปหมด
ไปทำใหม่ แล้วอ่าอยากให้เป็นอย่างนั้น คิดว่าเรามีหน้าที่ทำ จะเป็นหรือไม่เป็นก็ช่าง ถ้าเราทำแล้วไปอยากให้เป็น ก็จะไม่เป็นอีก เพราะตัวอยากมาขวาง ให้ไปซ้อมใหม่ ถ้าคล่องตัวเดี๋ยวก็สบายแล้ว
*************************
“เขามีสูตรว่า หนีช้างให้หนีขึ้นเขา เพราะว่าช้างตัวใหญ่ ขึ้นที่สูงลำบาก ถ้าหากว่าอยู่ในที่ราบ อย่าวิ่งหนีเป็นทางตรงให้วิ่งหลบวนไปวนมา ถ้ามีต้นไม้อยู่ ก็วน ๆ อยู่รอบต้นไม้ เพราะว่าช้างตัวใหญ่กลับตัวได้ยาก ถ้าวิ่งทางตรง ช้างก้าวยาวกว่าเรา ๓ - ๔ เท่า ไม่กี่ก้าวก็ถึงตัวเราแล้ว
ถ้าหากว่าหนีต่อ หนีผึ้งให้หนีทวนลม แต่เราจะมีสติดูทางลมหรือเปล่า ? ไม่ใช่ไปวิ่งตามลม มีแรงลมส่ง ผึ้งก็ถึงตัวเราเร็วขึ้น
อย่างเราหนีเสือขึ้นต้นไม้ก็พอได้ ถ้าไม่ใช่พวกเสือดาว หรือเสือดำจะขั้นต้นไม้ได้ยาก แต่ว่าขึ้นต้องขึ้นให้สูงพอ อย่างน้อย ๗ - ๘ เมตรไปเลยถ้าต่ำกว่านั้นเสือกระโจนทีเดียวถึง...!
แต่ที่หนีไม่ได้คือหมี หมีวิ่งเร็วกว่าเรา ขึ้นต้นไม้เก่งกว่าเรา ว่ายน้ำเก่งกว่าเรา ไม่รู้ว่าจะหนีอย่างไร มีอย่างเดียวคือ วิ่งเข้าหาแล้วตะโกนดัง ๆ ใส่หน้า
พอเราตะโกนเข้าใส่ หมีตกใจ จะกลับหลังหันวิ่งฝุ่นตลบเลย แล้วเราก็วิ่งหนีให้เร็วที่สุด เพระาว่าหมีจะตกใจพักเดียว แล้วจะย้อนกลับมาใหม่ เพื่อดูว่าเมื่อกี้เป็นตัวอะไรกันแน่
ถ้าหากว่าสัตว์ทำอันตรายเราไม่ได้ หรือว่าเราหนีพ้นเขต เขาก็เลิกยุ่ง เขาจะมีเขตหากินของเขาอยู่ ถ้าเราเข้าไปในเขต เขาจะถือว่าเราเป็นฝ่ายบุกรุก เขาก็จะขับไล่เราให้ออกจากเขต
คราวนี้ระหว่างสัตว์กับสัตว์ด้วยกันเวลาลงไม้ลงมือกันยังพอรับได้ แต่สัตว์แรงมากกว่าคน พอมาลงมือกับเราก็อาการหนัก ถ้าเราหนีพ้นเขต เขาก็เลิกใส่ หรือไม่ก็อย่าเข้าไปในเขตของเขาเลย
สัตว์แต่ละชนิดจะมีระยะปลอดภัยของเขาอยู่ ถ้าเราไม่ก้าวล่วงระยะปลอดภัย เขาก็จะไม่โจมตีหรอก ยืนมองช้างไปเถอะ เขาไม่ทำอะไรหรอก แต่บางทีเราก้าวเข้าไปอีกก้าวเดียวช้างอาจจะวิ่งใส่เลย เพราะฉะนั้น...กับสัตว์แล้ว การอยู่นอกระยะปลอดภัยเป็นสิ่งสำคัญ”
*************************
“คุณเชน (มล.ปริญญากร วรวรรณ) โดนเสือตบหน้าแหว่งไปแถบหนึ่ง แถมเสียเลนส์เทเลโฟโตยาวเหยียดไปหนึ่งตัวด้วย คุณเชนถ่ายรูปไปเรื่อย ๆ แม้ว่าเสือจะแยกเขี้ยวขู่อยู่ ก็คิดว่าไม่เป็นไร ขยับเกินจุดนิดเดียว เสือโดดเข้าใส่เลย
คราวนี้เขี้ยวมาถึงคอหอยแล้ว จะให้ทำอย่างไร คุณเชนก็เอาเลนส์กระแทกใส่ปาก เสือเลยงับเลนส์พัง ถ้าไม่มีเพื่อนป่าไม้ ๒ คน ช่วยกันเอ็ดตะโร เสือคงขย้ำตายอยู่ตรงนั้น ขนาดนั้นก็ยังเย็บซะหลายเข็ม
พวกสัตว์เวลาเขาโจมตีจะเร็วมาก อาตมาเคยเลี้ยงลูกหมีควาย เขาเพิ่งให้มาใหม่ ๆ ตัวขนาดประมาณหมาไทย แต่เวลายืนขึ้น ๒ ขา สูงเกือบถึงอกเรา แต่ถ้ายืน ๔ ขาก็ประมาณหมาอ้วน ๆ หน่อย
อาตมาถือขันใส่นมไปให้ โดนตบผัวะเดียวขันกระจายเลย หมีตบไวจนมองไม่ทัน มาดูรอยตบทีหลังถึงเห็นว่าโดนตบ ๓ ที ทั้ง ๆ ที่เห็นแค่ทีเดียว นึกเอาแล้วกันว่าเร็วขนาดไหน
ท่านชาติชายก็เหมือนกัน พยายามที่จะเลี้ยงงูเหลือม เอาตะเกียบคีบเนื้อไก่ไปยัดปาก งูก็ไม่ยอมกิน แหย่ไปแหย่มางูโกรธ ฉกเอาตอนไหนก็ไม่รู้ตะเกียบกระเด็นหลุดมือไปแล้ว เพิ่งจะรู้ว่างูฉก มองไม่ทัน เร็วได้ขนาดนั้น
เวลาสัตว์ชาร์จเข้ามา ความเร็วของคนสู้ไม่ได้อยู่แล้ว ถ้าจะให้ดี อย่าเข้าไปในเขตที่เกินกว่าระยะปลอดภัยของเขา ถ้าเข้าไปแล้วโดนแน่ ๆ เคยเจอกระทิงอยู่ในป่า ตัวเกือบเท่าช้างที่เขาเอามาเดินขายอ้อย น้ำหนักเป็นตัน ๆ เลย
ที่ศูนย์เพาะพันธุ์สัตว์ป่าลำสะต่อง เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าสลักพระ เขาไปได้วัวแดงมาตัวหนึ่ง ชื่อ เจ้าเบิร์ด อาตมาเอารถกระบะขับเคลื่อนสี่ล้อไปเทียบ ตัวใหญ่เท่ารถกระบะ แต่สูงกว่า ประเภทนั้นถ้าอยู่ในป่าแล้วยิงตาย ก็นั่งร้องไห้อยู่นั่นแหละ เพราะว่าขนเอาออกมาไม่ไหว...!”
“สัตว์ที่อยู่ในป่า ตัวจะใหญ่มาก ช้างเลี้ยงกลายเป็นตัวเล็ก ๆ ไปเลย เวลาช้างป่าเดินแล้วเอาสีข้างถูต้นไม้ ขี้โคลนจะติดตามต้นไม้ ซึ่งเป็นความสูงประมาณเอวของเขา
รอยโคลนของต้นไม้มีความสูงขนาดอาตมาพร้อมกับด้ามกลดแหย่ไปไม่ถึง แสดงว่าช้างในป่าสูงประมาณ ๓ เมตร ช้างที่เราเห็นมาเดินให้เราลอดท้องบ้าง มาให้ซื้ออ้อยเลี้ยงบ้าง ถ้าเอาเทียบกับพวกช้างป่า จะเหลือตัวนิดเดียวเอง
พวกกระทิงในป่าตัวเกือบเท่าช้างเลี้ยงแล้ว และความเร็วก็เหลือเกิน วันนั้นอาตมาไปกับท่านโมเช่ และฤๅษีบุญทรง
ท่านโมเช่เดินนำหน้า อาตมาอยู่กลาง ฤๅษีบุญทรงปิดท้าย พอเลี้ยวโค้งตรงมุมเขา เพราะลำห้วยโค้งอ้อมภูเขา พอพ้นโค้งก็เห็นท่านโมเช่วิ่งหน้าเริ่ดมา ตะโกนว่า “อาจาง..หนีเร็ว...!”
อาตมามองไปข้างหน้า ลำห้วยช่วงนั้นมีหินก้อนใหญ่เท่าบ้านเท่าตึกเยอะแยะไปหมด แล้วกระทิงกำลังก้มหน้ากินน้ำอยู่ ก็เลยดูเหมือนกับก้อนหิน เพราะว่าตัวใหญ่มาก
ท่านโมเช่เดินไปเกือบจะชนก้นกระทิง ลมไม่ได้พัดมาทางเรา แต่ลมพัดจากเราไปหาเขา คราวนี้เราเพิ่งจะพ้นโค้งมา กระทิงยังไม่ทันได้กลิ่นก็เลยไปเจอกันอย่างกระชั้นชิด
ตอนแรกเจ้ากระทิงหันมาหายใจพรืด...! ประเภทรำคาญ พออาตมาโผล่มาอีกคน เขาก็ชะงัก ยืดคอขึ้นมามอง พอฤๅษีบุญทรงโผล่มาอีกคนหนึ่ง เขาเห็นท่าว่าคนเยอะ ไม่เอาด้วยแล้ว ก็กระโดดหนี ๓ ทีถึงยอดเขาเลย ไปอย่างกับลูกธนู...!
ตัวเขาใหญ่อย่างกับช้าง แต่ทำไมถึงแข็งแรงและเร็วขนาดนั้นก็ไม่รู้ ? กระโจนพรวด ๆ ๓ ทีถึงยอดเขาเลย ด้วยความเร็วและแรงขนาดนั้น ถ้าพุ่งใส่เราจะเหลือไหมนั่น ?”
*************************
“มีนายพรานคนหนึ่งไปเจอหมีเข้า แล้วหมีไล่กวด แกก็วิ่งอ้อมต้นไม้ หมีก็ล้วงกรงเล็บมาตบตักหน้า แกตกใจไม่รู้จะทำอย่างไร ก็คว้าข้อมือหมีไว้
พอหมีล้วงอีกข้างหนึ่ง แกก็คว้าข้อมือหมีเอาไว้ ยื้อกันไปยื้อกันมาจริง ๆ แล้วหมีแข็งแรงกว่า แต่ต้นไม้ขวางอยู่ ถูกนายพรานดึงตัวติดต้นไม้ หมีก็ออแรงไม่ได้
ด้วยความกลัวตาย แกก็รั้งไว้สุดชีวิต ยื้อกันอยู่ครึ่นค่อนชั่วโมงจนหมดแรงล้ม หมีหมดความสนใจก็เลยไป
ถ้าหากว่าเป็นตอนหมีไล่ใหม่ ๆ นี่คงไม่ยอมนะ เพราะว่าตอนนั้นหมีกำลังโมโห จะไล่ให้พ้นเขตอย่าเงดียว แต่ยื้อกันอยู่ครึ่งค่อนชั่วโมง จนหมดความสนใจแล้ว พอมือหลุดได้ หมีก็เลยเดินหันหลังหนีไปเลย”
*************************
“เห็นเด็กกับเห็นผู้หญิงแต่งตัวสวย ๆ แล้วเหนื่อยแทน เหนื่อยตรงที่ว่า กว่าที่เด็กจะโตก็ยังอีกนาน เขาต้องทุกข์ยากลำบากอีกเยอะเลย
ส่วนผู้หญิงกว่าจะแต่งตัวสวยให้ได้อย่างนั้น และต้องพยายามสวยให้ได้ทุกวัน ก็ยิ่งเหนื่อยเข้าไปใหญ่
ใครที่มีแฟนไม่แต่งหน้าแต่งตานี่โชคดีมหาศาล ยิ่งกว่าถูกรางวัลที่ ๑ อีก ถึงจะโทรมเป็นยายเพิ้ง ก็ปล่อยเขาไปเถอะ ไม่เปลืองดี..!”
“ถ้าอาตมาเป็นนายกรัฐมนตรี จะย้อนหลังไปดูว่า คำขวัญวันเด็กปีไหนเข้าท่าที่สุด แล้วก็เลือกอันนั้นแหละ เป็นคำขวัญวันเด็กตลอดไป เพระาถ้าเปลี่ยนคำขวัญทุกปี เด็กก็จะจำไม่ได้
อย่างรุ่นของอาตมา คำขวัญวันเด็กคือ เด็กดีเป็นศรีแก่ชาติ เด็กฉลาดชาติเจริญ ใช้กันมาตลอด
สมัยนี้เด็กฉลาดชาติล่มจม เพราะว่าส่วนใหญ่ฉลาดในทางโกงกิน งานวิจัยเขาสรุปออกมาว่า คนรุ่นใหม่ยอมรับว่า ถ้าจะโกงบ้างก็ไม่เป็นไร แต่ขอให้สร้างประโยชน์ให้กับประชาชนบ้างก็แล้วกัน
ถ้าเรื่องนี้ต้องดูอย่าง คุณบรรหาร ศิลปอาชา ถามว่าคุณบรรหารโกงไหม ?
ไม่ได้โกง แต่คุณบรรหารของบประมาณไปลงที่จังหวัดสุพรรณบุรีแล้วเอาบริษัทตัวเองไปประมูล แล้วก็ประมูลได้ทุกที ทำให้สุพรรณบุรีเจริญมาก จนจังหวัดอื่น ๆ อิจฉา
ในตอนนั้นถนนสายตลิ่งชัน - สุพรรณบุรี เป็นถนนลาดยาง ๔ เลน อยู่มาไม่กี่ปีก็ขูดทิ้ง ทำถนนคอนกรีดแทน ที่อื่นยังไม่มีถนนดี ๆ อย่างนี้เลยนะ นี่ขูดทิ้งแล้วไปทำเป็นคอนกรีดแทน เพราะว่าได้งบประมาณมาทำถนนคอนกรีต
คุณบรรหารเป็นคนที่ได้งบประมาณบ่อย เคยถามท่านว่า ทำอย่างไรถึงได้งบประมาณเยอะขนาดนั้น
ท่านบอกว่า ...ผมของบประมาณทุกอย่างที่มีสิทธิ์ขอได้ แล้วโทรไปตามจี้ด้วยตัวเอง
เราลองนึกดูว่า ถ้าเราเป็นเจ้าหน้าที่สำนักงบประมาณ รับโทรศัทพ์ขึ้นมาแล้วท่านบอกว่า “ผม...บรรหาร ศิลปอาชาครับ งบประมาณเรื่องนั้น ๆ ที่ผมขอมาไปถึงไหนแล้ว ?” เป็นเราก็ต้องวิ่งทำให้จนตีนพลิกเหมือนกัน
เพราะท่านกล้าขอและกล้าทวง ก็เลยได้เยอะ ในขณะที่คนอื่นขอแล้วเงียบ ไม่ได้ทวง เขาก็โยกไปใช้ทางอื่นหมด
บริษัทคุณบรรหารนี่งานอื่นไม่รู้นะ แต่เรื่องทำถนนถือว่าใช้ได้เลย
แต่อาตมาชอบถนนลาดยางมากกว่า ถนนคอนกรีตวิ่งแล้วเหมือนกับรถไม่ค่อยจะเกาะถนน ถนนลาดยางวิ่งแล้วมั่นใจกว่า เกาะดีกว่า ถนนคอนกรีตดีกว่าตรงซ่อมง่ายเท่านั้น พอถึงเวลาก็ตัดออกเป็นแผ่น ๆ แล้วเทใหม่เลย”
*************************
“การที่พ่อแม่รักลูก จะว่าไปก็คือสัญชาตญาณอย่างหนึ่งในการดำรงชีวิต เพราะว่าจะได้ดูแลทารกให้เติบใหญ่ขึ้นมา แล้วก็สืบเชื้อสายพืชพันธุ์ต่อไป
แต่ว่าในส่วนลึก ๆ อยู่ในใจ คือความหลงตัวเอง เพราะว่าลูกหน้าตาเหมือนเรา ในเมื่อลูกหน้าตาเหมือนเรา ในใจลึก ๆ ก็จะรัก โดยที่ไม่รู้ว่าจริง ๆ แล้ว “เรารักตัวเราเอง”
โดยเฉพาะบางคนเจอไป ๒ ชั้นเลย คาดหวังจะให้ลูกคอยดูแลตอนแก่ นี่ยิ่งหนักเข้าไปใหญ่ กลายเป็นตัวของกู ๒ เท่าเลย”
*************************
“มีโฆษณาของไทยประกันชีวิต ที่ชื่อว่า ความรักแบบไร้เสียงที่พ่อเป็นใบ้ แล้วเพื่อน ๆ ที่โรงเรียนก็ล้อว่า “ลูกไอ้ใบ้”
โฆษณานี้สมบูรณ์แบบทุกอย่างเลย ไปพลาดอยู่อย่างเดียวตอนลูกฆ่าตัวตาย ลูกเชือดข้อมือตัวเองแล้วล้ม คนเป็นใบ้จะหูหนวกด้วย แล้วจะได้ยินตอนล้มได้อย่างไร ?
ถ้าเป็นอาตมา จะทำให้เลือดหยดลงมาแปะบนโต๊ะตรงหน้าพ่อพอดี อย่างนั้นถึงจะสมเหตุสมผล
บางทีคนทำโฆษณาเขาก็ลืม แต่คนแสดง ๆ ได้ดีมาก โดยเฉพาะภาษาใบ้ ดูเข้าใจเลยว่าเขาจะสื่ออะไร มาตอนหลังเขาก็สรุปว่า ไม่ว่าพ่อแม่จะเป็นอย่างไร แต่เขาก็เป็นคนที่รักเรามากที่สุด
พอลูกเชือดข้อมือตัวเองขึ้นมา พ่อก็รีบพาไปส่งโรงพยาบาล แต่ไม่มีเลือด พ่อก็บอกใบ้ให้หมอเอาเลือดจากพ่อไป ก็เลยต้องถ่ายเลือดข้ามตัวกัน
ลูกฟื้นก่อนพ่อ เห็นสายโยงมาจากแขนพ่อมาถึงตัวเอง ก็เลยรู้ว่ารอดมาได้ เพราะพ่อสละเลือดให้ ระยะหลังนี้ไทยประกันชีวิตทำโฆษณาดี ๆ น่าจะได้รางวัลประเภทสร้างสรรค์ออกมาเยอะมาก”
*************************
ถาม : ทหารไทยกับซามูไร ใครเก่งกว่ากันครับ ?
ตอบ : ซามูไรเก่งกว่า …แต่ซามูไรตายหมด
เขาดวลกันมาตั้งแต่สมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราชแล้ว ทหารไทยสู้ไม่ไดเ้ เพราะว่าที่มาไม่ใช่ซามูไรทั่ว ๆ ไป แแต่เป็นนินจา เป็นหน่วยล่าสังหาร ไม่ใช่นักรบที่ปะทะกันซึ่ง ๆ หน้า
แต่คราวนี้พอมาสู้กับทหารไทยแล้ว ส่วนใหญ่ทหารไทยฟันไม่เข้า ก็เลยบอกว่าทหารไทยเก่งสู้ไม่ได้ แต่ซามูไรที่ว่าเก่งกว่าตายหมด...!
ถาม : แล้วเขาไม่มีที่ฟันไม่เข้าบ้างหรือครับ ?
ตอบ : มีเหมือนกัน...แต่ว่าทำได้เป็นบางคน เขาไม่รู้ว่าหลักการอย่างไร ที่จะทำให้หนังเหนียวได้ทุกคน ถ้ากำลังใจถึงก็ทำได้เหมือนกัน
*************************
“การรับพระราชทานสัญญาบัตรพัดยศ ของพระครูชั้นสัญญาบัตรในสังกัดคณะสงฆ์หนกลาง ระบุมาในกำหนดการเลยว่า ให้ทุกรูปห่มจีวรสีพระราชนิยม
คำว่า จีวรสีพระราชนิยม ก็คือจีวรสีที่ในหลวงทรงโปรด
พระองค์ตรัสว่า สีพระป่าก็มืดไป สีเหลืองก็สว่างไป
พระองค์ให้สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังหราชฯ ตอนที่ยังเป็นสมเด็จพระญาณสังวรอยู่ ให้ไปค้นคว้าจนกระทั่งได้สีนี้มา แล้วพระองค์ท่านทรงโปรด จีงเรียกว่า สีพระราชนิยม บางคนเรียกว่า สีกรักทอง
คราวนี้มีนักเลงดีกราบเรียนหลวงพ่อสมเด็จพระมหาธีราจารย์ ตอนนั้นท่านเป็นเจ้าคณะใหญ่หนกลาง ว่าทำไมหลวงพ่อไม่สั่งให้พระในหนกลางทั้งหมด ห่มสีพระราชนิยมไปเลย ท่านบอกว่า
“ผมไม่สามารถจะล้มล้างพระพุทธบัญญัติได้ พระพุทธเจ้าทรงอนุญาตให้พระพุทธเจ้าทรงอนุญาตให้พระภิกษุใช้จีวรสีเหลือง สีกรัก หรือสีเหลืองเจือแดงเข้ม
ก็แปลว่าพระองค์อนุญาตให้ใครใช้ใน ๓ สีนี้ก็ได้ ถ้าผมไปสั่งให้ใช้สีเดียว ก็แปลว่าผมไปล้มล้างในสิ่งที่พระองค์ท่านทรงบัญญัติ ผมก็ซวยอยู่คนเดียวสิ...!”
พระผู้ใหญ่ท่านรอบคอบ และแม่นต่อกฎหมายและระเบียบวินัยจริง ๆ ถ้าเป็นเราก็คิดว่าน่าจะทำได้ใช่ไหม ? ลองไปทำเข้าดูสิ...!”
*************************
ถาม : เวลาบวชพระ ถ้ามีพระที่ต้องอาบัติหนัก ไปร่วมสังฆกรรมด้วย ไม่เป็นเณรไปทั้งประเทศแล้วหรือครับ ?
ตอบ : ขนาดนั้นเชียว...อย่างน้อย ๆ สายพระป่า ท่านก็มั่นใจว่าท่านบริสุทธิ์
แต่อาตมาว่าเป็นเณรดีกว่า ศีลไม่มาก รักษาง่ายดี แต่ถ้าไปนั่งร่วมกับพระ กินร่วมกับพระ นอนร่วมกับพระ ก็นรกกินหัวอยู่ทุกวัน...!
ถาม : ถ้าเป็นเณรกันหมดละครับ ?
ตอบ : อย่างนั้นไม่เป็นไร แต่คราวนี้เราจะรู้ได้อย่างไรว่าอีกท่านหนึ่งไม่ใช่พระ ?
ถาม : (ไม่ได้ยิน) ?
ตอบ : ไม่ต้องกังวล อย่างไรก็ไม่เกิน ๕,๐๐๐ ปีแน่นอน ต่อไปไม่ได้หายแค่ลักษณะที่พระเป็นเณร หรือพระปฏิบัติไม่สมบูรณ์ถูกต้องตามพระธรรมวินัย แม้แต่เพศความเป็นพระ เป็นเณร ก็ค่อย ๆ หายไปด้วย
ตอนนี้ลองไปดูพระญี่ปุ่นสิ ถ้าไม่ได้อยู่ในการทำพิธี ท่านใส่สูทเท่เลย เขามีแถบเหลือง ติดที่คอเสื้อ นี่แค่กึ่งกลางศาสนาเท่านั้น ใกล้ ๆ ๒,๖๐๐ ปี เหลืออีกตั้ง ๒,๔๐๐ ปี ยังหายไปซะเยอะเลย
แต่ประเทศญี่ปุ่นมีสารพัดนิกาย ถ้าเป็นพวกชินโต ก็สามารถมีครอบครัวได้ ถ้าเป็นเท็นได ก็จะเคร่งครัดหน่อย คุณไม่ต้องไปกังวลแทนเขาหรอก
สมัยหลวงพ่อวัดท่าซุงยังอยู่วัดประยูรวงศาวาส สถานทูตญี่ปุ่นนิมนต์ท่านไปงานฉลองสถานทูต ระบุเอาไว้ในหนังสือนิมนต์ว่า ถ้ามีภรรยาให้พาไปด้วย
หลวงพ่อบอกว่า “เสียท่าเขาว่ะ...หาไม่ทัน..ถ้านิมนต์ล่วงหน้าหลายวันหน่อย อาจจะหาได้...!”
ถาม : เขามีเมียกันมาตั้งแต่สมัยสงครามโลกแล้วหรือครับ ?
ตอบ : ตั้งแต่สมัยเมจิ ราว ๆ รัชกาลที่ ๓ ของเรา เพราะว่ายุคนั้นพวกบรรดาเจ้าผู้ครองนคร (ไดเมียว) กับโชกุนต่าง ๆ รบราฆ่าฟันแย่งชิงพื้นที่กันอยู่ตลอดเวลา พระจะเดินทางเผยแผ่ศาสนา ก็มักจะโดนจับฆ่า เพราะคิดว่าเป็นสายลับของอีกฝ่ายหนึ่ง
ท้ายสุดท่านกลัวว่าศาสนาจะสาบสูญไป ก็เลยตัดสินใจว่าในเมื่อไม่สามารถเผยแผ่ให้ผู้อื่นได้ ก็แต่งงานมีครอบครัวดีกว่า อย่างน้อยก็สอนเมียสอนลูกได้ ก็เลยกลายเป็นลักษณะอย่างนี้มา
เพราะฉะนั้น คุณไม่ต้องห่วงหรอก จะทำตัวแบบพระญี่ปุ่นสอนเมียสอนลูกก็ได้ แต่ไป ๆ มา ๆ เดี๋ยวลูกมาสอนเราก็ยุ่งอีก...!
ถาม : (ไม่ได้ยิน) ?
ตอบ : คุณจะไปเอาความถูกต้องกับเขาไม่ได้ จุดมุ่งหมายใหญ่ของเขาคือ รักษาคำสอนของพระพุทธเจ้าเาอไว้ โอกาสที่จะเผยแผ่คำสอนออกไปยังมีอยู่ แม้ว่าจะเป็นภายในครอบครัว
ถ้าทางด้านครอบครัวภรรยาเห็นด้วย ก็จะเพิ่มขึ้นอีก ญาติพี่น้องทั้ง ๒ ฝ่ายเห็นด้วยก็จะได้คนเพิ่มขึ้นอีก ลักษณะนี้เป็นสายพระโพธิสัตว์แน่ คือกูจะลงนรกก็ไม่ว่าหรอก แต่ขอให้รักษาศาสนาไว้
แบบเดียวกับที่คุณถามว่า ศาสนาอิสลามให้มีเมีย ๔ คน ถูกต้องหรือเปล่า ?
คุณต้องไปดูในบริบทช่วงนั้นว่าเกิดอะไรขึ้น เขารบราฆ่าฟันกัน จนแทบจะไม่มีผู้ชายเหลือ ถ้าคุณต้องการประชากรเพิ่มขึ้น ก็ต้องมีภรรยาหลายคน เพระาว่าผู้ชายเหลือน้อย
พอเขาบัญญัติขึ้นมาแล้วรุ่นหลังไม่เปลี่ยน ก็มีไปเรื่อย ๆ เรื่องบางยุคเป็นเรื่องถูกต้อง แต่พอมาอีกยุคหนึ่ง เป็นเรื่องไม่ถูกต้องไปได้ เพราะว่าค่านิยมของสังคมเปลี่ยนไป ถ้าคุณไปมองว่าถูกหรือผิด ขาวดำชัดเจน ก็เจ๊งตั้งแต่แรกแล้ว
ถาม : อย่างนั้นหลักคำสอนก็ผิดเพี้ยนไปสิครับ ?
ตอบ : เพี้ยน..แต่ดีกว่าไม่มีเลย
*************************
“เดี๋ยวนี้วัดไหนขาดเจ้าอาวาส เขาจะมาขอจากวัดท่าขนุนทุกที อาตมาผลิตให้แทบไม่ทัน
กว่าจะมีคุณสมบัติพอเป็นเจ้าอาวาสได้ อย่างน้อยต้อง ๖ พรรษา อาตมาผลิตมาแทบเป็นแทบตายเขามาโฉบแวบเดียวไปแล้ว
แต่ก็ให้ไป...เพราะว่าอย่างน้อย ๆ เอาปฏิปทาสายหลวงพ่อวัดท่าซุงไปปฏิบัติให้เขาเห็น เขาจะได้รู้ไว้ว่า พระที่ทำเพื่อพระศาสนา เพื่อส่วนรวมจริง ๆ ยังมีอยู่ ไม่อย่างนั้นแล้วส่วนใหญ่ก็ทำเพื่อตัวเอง”
*************************
“พร้อมเมื่อไรจะบอกบุญในเว็บ ร่วมกันเป็นเจ้าภาพปิดทองพระชำระหนี้สงฆ์ ที่วัดท่าขนุน มีพระปิดตามหาเศรษฐีเงินล้านชุดกรรมการอยู่ ๓๐๐ ชุด คิดชุดละ ๗,๕๐๐ บาท ในแต่ละชุดจะมีพิเศษอยู่องค์หนึ่ง คือเนื้อชินตะกั่ว ซึ่งมีแค่ ๓๐๐ องค์
เดี๋ยวรอคุณโอรส (อุดมศักดิ์ จิรบัณฑิตย์) เอาไปเข้าพิธีเป่ายันต์ฯ ก่อน แล้วค่อยแบกกลับมา
ส่วนพระปิดตาที่ใส่ตะกรุดมหาสะท้อนลงไปด้วย มีเนื้อทองคำ เนื้อเงิน และเนื้อนวโลหะ ๓ เนื้อนี้ ถ้าหากว่าใครคลอดลูกอยู่ ก็อย่าเข้าไปใกล้
ตอนนั้นอาตมาลืมไปจริง ๆ คิดอย่างเดียวว่าจะใส่ ลืมนึกถึงอานุภาพ คิดว่ามีอะไรดี ๆ ก็จะใส่ลงไปให้หมด
อย่างตะกรุดมงกุฎพระพุทธเจ้าเนื้อทอง ของหลวงปู่เอี่ยม วัดหนัง ท่านไม่มีข้อห้ามอย่างนี้ ใส่ลงไปก็ไม่มีปัญหา อันนั้นเป็นตะกรุดทองคำพอกผง อาตมาก็ลอกผงมาใส่พระปิดตาเนื้อผง ส่วนทองคำก็แบ่งใส่เนื้อนวโลหะกับเนื้อทองคำไป
พระปิดตาเนื้อนวโลหะกับเนื้อผง จะมีส่วนผสมมากที่สุด ถ้าอยากได้ของแพงหน่อย เนื้อนวโลหะ โดยเฉพาะนวโลหะรุ่นนี้อาตมาบ้าเลือด ใส่ทองคำลงไป ๑๐๐ บาทพอดี...!
*************************
ถาม : รุ่นองค์ใหญ่จะให้บูชาเมื่อไรครับ ?
ตอบ : ยังไม่รู้เลย ต้องดูอารมณ์ก่อน กลัวได้เงิน ได้เงินมาแล้วก็เหนื่อย
ที่รีบทำไว้ก่อน เพราะรู้ว่าต่อไปของจะขึ้นราคาไปเรื่อย จึงทำเอาไว้ก่อน ของในตลาดจำหน่าย ๑,๐๐๐ บาท เราก็จำหน่าย ๕๐๐ บาท เขาจำหน่าย ๕๐๐ บาท เราก็จำหน่าย ๓๐๐ บาท
อย่างวัตถุมงคลที่เป็นเนื้อทองคำ มาตรฐานเลยก็คือ พอทำสำเร็จแล้ว คิดน้ำหนักทองคูณราคา ๓ เท่า ถ้าสมมติว่าน้ำหนักทอง ๑ บาท ก็คิดเท่ากับราคาทอง ๓ บาท
เพราะฉะนั้น...ในท้องตลาดราคาจะแพงมาก อาตมาก็ไม่รู้จะเอาเงินมากไปทำไม บางรุ่นแทบจะไม่มีกำไรเลย
ปีที่แล้วติดลบไปหกล้านกว่าบาท ติดลบแบบไม่มีหนี้ คือตัวเลขติดลบ แต่มีเงินจ่ายให้เขาก็ไม่แปลกหรอก
อย่างล่าสุดที่สร้างพระนาคปรกทองคำ ให้ทองคำเขาไป ๒๖ บาท พอหล่อพระเสร็จแล้ว ยัเงหลือเศษทองอีก ๙.๘ กรัม แต่พระที่หล่อออกมานั้นน้ำหนัก ๒๗ บาทกว่าแล้ว
ก่อนนั้นครั้งหนึ่ง โยมเอาทองมาเปลี่ยนเป็นพระไป เปลี่ยนไปเปลี่ยนมา ทองเกินมา ๕ บาท แต่เขาก็ได้พระไปครบถ้วนดี ไม่มีใครเสียหาย แล้วทองคำโผล่มาจากไหน ?
ของอย่างนี้เลิกคิดไปนานแล้ว ถ้าท่านจะมาก็นิมนต์เถอะ มีก็ใช้ไปเรื่อย ๆ
*************************
วันก่อนพระปลัดสถิตย์ เลขานุการเจ้าคณะอำเภอทองผาภูมิ เขามาถามว่า
“อาจารย์มีเศษเงินติดกระเป๋ามาสักสองหมื่นไหม ?”
อาตมาก็ “เฮ้ย...สองหมื่นนี่เศษเงินหรือ ?”
ท่านว่า “ถ้าของอาจารย์ก็เศษเงิน...!”
อาตมาถามว่า จะเอาไปทำอะไร ?
ท่านบอกว่า จะทำฐานพระประธาน มีคนสร้างพระประธานมาให้ แต่ไม่มีฐาน อาตมาก็เลยควักเงินให้ นับไปนับมาได้สองหมื่นถ้วน หมดตัวพอดี...!
จึงบอกว่า “นี่ถ้าขอเกินแค่บาทเดียว ผมก็ไม่มีให้”
ให้ไปแล้วอาตมาก็กลับวัดตัวเปล่า เพื่อน ๆ พระด้วยกันก็อย่างนี้แหละ คนไหนโชคดีมาตอนมีก็เอาไป ถ้ามาตอนไม่มีก็แล้วไป
*************************
“ในหนังสือปกิณกธรรมที่ใส่รูปเอาไว้เยอะ นอกจากเพื่อพักสายตาแล้ว ยังเป็นอนุสติด้วยเสียดายรูปสวย ๆ สมัยก่อน
ตอนหัดใช้กล้องใหม่ ๆ ถ้าจำไม่ผิดเป็นปี พ.ศ. ๒๕๒๖ ไล่ถ่ายรูปหลววพ่อวัดท่าซุง ถ่ายไปถ่ายมาได้ยินเสียงสวรรค์ลงมาว่า “แกจำไว้นะ...ถ้าใครอยากเจ๊ง ก็ให้เล่นกล้อง...!”
จริง ๆ ด้วย กว่าจะถ่ายรูปเป็น หมดเงินไปเป็นหมื่นของสมัยนั้น เพราะว่าบางทีถ่ายทั้งม้วน ได้มาจริง ๆ แค่ ๒ - ๓ รูป
แต่บังเอิญว่าอาตมาเป็นคนช่างสังเกต และจำแม่นว่า รูปที่ออกมาดีและสวยอยู่ในสภาพอากาศอย่างไร แสงสีเป็นอย่างไร และถ่ายจากมุมไหน หลังจากนั้นก็ปรับปรุงตัวเองมาเรื่อย ๆ จากที่ทั้งม้วนขอแค่รูปสองรูป ก็เริ่มได้มากขึ้น
แบบเดียวกับภาพพระธาตุอินทร์แขวน ตอนนั้นอาตมาดูซ้ายดูขวา ดูหน้าดูหลัง ใกล้จะตะวันตกดินแล้ว ตะวันจะตกมุมนั้น ถ้าถ่ายพระธาตุจากตรงนี้ถึงจะสวย คำนวณทิศทางไว้หมดแล้ว ไปยืนรอถ่ายอย่างเดียว
พวกฝรั่งก็สงสัยว่า พระรูปนี้ปีขึ้นไปยืนอยู่ตรงนั้นทำไม ? พอเขาเห็นว่าถ่ายรูป คราวนี้กรูกันมาหมดเลย เพราะเขาเพิ่งจะเห็นว่ามุมนี้สวย
แต่ว่ารูปที่ถ่ายยากที่สุดก็คือ รูปที่พระมหาเจดีย์ชเวดากอง พระอาทิตย์ที่นั่นตกไวมาก ถ่ายรูปแรกเสร็จ จะถ่ายรูปที่ ๒ ตกลับไปครึ่งทางแล้ว ทำไมเร็วขนาดนั้นก็ไม่รู้ ?”
*************************
ถาม : สมัยก่อนถ่ายรูปได้ให้หลวงพ่อวัดท่าซุงดูไหมครับ ?
ตอบ : นาน ๆ ที บางทีท่านถาม อาตมาก็ถวายให้ท่านดู
แต่ว่ามีบางรูปที่พรรคพวกขออัดกัน อย่างรูปที่หลวงพ่อท่านพรมน้ำมนต์ ท่านสะบัดมือพอดี อาตมาถ่ายไป มีน้ำเป็นรูปครึ่งวงกลมสีขาวอยู่ตรงอกท่าน แย่งกันยืมอัด ไป ๆ มา ๆ ฟิล์มม้วนนั้นไปอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ มีหลายชุดที่ถ่ายดี แล้วเขาขอฟิล์มไปอัด แล้วก็ไม่ได้คืน
มีภาพที่ถ่ายในงาน ๑๐๐ วันหลวงพ่อ อาตมาจะถ่ายไว้ทุกวัน เช้ากับเย็นเพื่อดูความเปลี่ยนแปลง ปรากฎว่ากรรมการสงฆ์เขากลัวว่า อาตมาจะเอาไปหากินหรืออย่างไรไม่รู้ ? เขาให้หลวงพี่วิรัชมาขอฟิล์มไป
ตอนหลังอาตมาไปหาหลวงพี่ประทีป หลวงพี่ประทีปท่านหาคืนมาได้แค่ ๓ ม้วน ท่านบอกว่า “กูหาเจอแค่นี้แหละ ไม่รู้เขาเอาไปซุกไว้ที่ไหนกันหมด”
หลวงพี่ประทีปท่านเป็นพระที่เชื่อใจคนอื่น รู้ว่าอาตมามีนิสัยอย่างไร ถึงถ่ายไปก็ไม่ได้เอาไปอัดขายเหมือนคนอื่นเขาหรอก พอออกมาได้สัก ๓ ปี ก็ย่องกลับไปหาบอกว่า
“พี่ทีป...ยังมีรูปป๋าเหลือไหม ?”
พี่เขาไปค้นมาให้ได้แค่นี้แหละ ท่านบอกว่า “ถ้าเอ็งไม่ได้เขียนลายมือติดไว้ ข้าก็หาไม่เจอหรอก”
อาตมาจะเขียนไว้ว่า ถ่ายวันไหนถึงวันไหน คนอื่นเขาไม่ได้คิดกัน โดยเฉพาะทางวัด งบประมาณเหลือเฟืออยู่แล้ว ทั้งภาพนิ่ง ทั้งวีดีโอ ควรจะถ่ายไว้ทุกวัน แต่ก็ไม่ได้ทำ
*************************
ถาม : หลวงพ่อวัดท่าซุงถ่ายรูปไหมครับ ?
ตอบ : อาตมามีภาพที่ท่านกำลังถ่ายรูปอยู่ด้วย แต่ไม่กล้าเอาให้ใครดู กลัวโดนเตะ...!
เรื่องของครูบาอาจารย์ การแสดงออกให้คนทั่วไปรู้เป็นสาธารณะ ควรจะเป็นภาพที่น่าเลื่อมใสศรัทธา
คราวนี้การที่ท่านถ่ายรูปไม่ผิดหรอก อาตมาเองรู้สึกว่าน่ารักดีด้วย แต่ถ้าออกไปเป็นสาธารณะแล้ว มีคนเก่งไปด่าท่าน คนด่าก็หานรกใส่ตัวเอง เพราะฉะนั้น...จึงต้องระมัดระวัง ไม่ใช่เผยแพร่ไปส่งเดช
อย่างน้องเล็กไปวัดท่าซุงตอนหลวงพ่อมรณภาพแล้ว ไปขอถ่ายรูปท่าน พอกล้องส่องตรงไปที่ท่าน ก็กดชัตเตอร์ไม่ได้ พอหันไปถ่ายที่อื่นถึงติด หันกลับมาที่รูปท่านก็ถ่ายไม่ติด ๗ - ๘ รอจนต้องยอมรับ และกล้องรุ่นหลัง ๆ เป็นดิจิตอลหมดแล้ว ประเภทเห็นชัด ๆ ว่าถ่ายได้หรือไม่ได้
ไม่อย่างนั้นปกติก่อนนี้น้องเล็กไป ก็ไม่ได้เลื่อมใสนอะไร เพื่อนชวนไปก็ไป ท่านทำให้เห็น ๆ เลยว่า “ถ้าเอ็งไม่เลื่อมใสศรัทธา ก็ไม่ต้องเอารูปข้าไป...!”
อาตมาเจอหนักกว่านั้นอีก ก็คือพระแก้วมรกตของหลวงพ่อดาบส ท่านติดป้ายห้ามถ่ายรูป ซึ่งเป็นป้ายที่อาตมาไม่เคยเชื่อเลย ไม่ว่าจะเป็นที่ไหนก็ตาม
พอถ่ายรูปเสร็จ เอาฟิล์มไปล้างออกมาแล้วเจ็บปวดมาก เครื่องบูชาทุกอย่างถ่ายติดหมด ขาดแต่องค์พระแก้วอย่างเดียว
ท่านทำให้ดูว่า “ถ้าเอ็งฝ่าฝืนในสิ่งที่ไม่ชอบ ก็จะเป็นอย่างนี้แหละ...!”
ไม่ว่าจะเป็นฉัตร เป็นแจกันดอกไม้ ถ่ายติดหมด แต่ตรงองค์พระว่างไปเฉย ๆ ...!
*************************
ถาม : หลวงพ่อดาบสทานเคยมาวัดท่าซุงไหมครับ ?
ตอบ : ไม่เคย
ถาม : หลวงพ่อวัดท่าซุงเคยพาไปหาท่านไหมครับ ?
ตอบ : ท่านไม่ได้พาไป แต่ไปกันเอง เพราะว่าคนเล่าลือถึงคุณความดีของท่าน หลวงพี่วิรัชกับหลวงตาวัชรชัย ก็ไปกราบขอถ่ายรูปท่าน แล้วหลวงพี่วิรัชเอาไปให้หลวงพ่อดู
พอหลวงพ่อเห็น ท่านก็บอกว่า องค์นี้ “ได้” มา ๒๐ ปีแล้ว
ปัจจุบันนี้ที่น่าเป็นห่วงก็คือ แม่ชีทอน ท่านดูแลทุกอย่างในสำนักแทนหลวงปู่อยู่
ถาม : แม่ชีทอนท่านเสียไปแล้วครับ ?
ตอบ : เสียไปแล้วหรือ ? ถ้าอย่างนั้นยุ่งเลย เพราะว่าตอนช่วงที่ท่านอยู่ อาตมาไปทีไร แม่ชีก็ตื๊อให้เป็นเจ้าอาวาสที่นั่น แนะนำมหาโรจน์ไป มหาโรจน์ก็บอกว่าไกลเกินไป
แม่ชีทอนบอกว่า “ถ้าอาจารย์ไม่เป็นเจ้าอาวาส ก็ให้ลูกศิษย์มาเป็นก็ได้”
เขาเชื่อใจพระสายหลวงพ่อมากกว่า เพราะความที่คุ้นเคยกัน ไปกันทีพวกเราก็อยู่สบายกินสบาย แม่ชีทอนตอนนั้นก็เห็นว่าตัวเองอายุมากแล้ว อยากให้คนมาเป็นหลักไว ๆ ถ้าอาตมาไป พวกเขาก็ยอมรับกัน แต่ก็ไปไม่ได้
หลังจากเผาหลวงปู่แล้ว รู้สึกว่าไปอีก ๒ ครั้งเท่านั้น นอกนั้นก็วิ่งอยู่สายนอก สมัยหลวงปู่อยู่ วิ่งสายในเส้นดงมะดะ ผ่านหน้าวัดเลย แม่ชีที่นั่นต้องห่มผ้าสีม่วง เพราะว่าเขาไม่ยอมให้เป็นชี พระก็ไม่ยอมให้เป็นพระ
ถาม : ที่นั่นเป็นวัดไหมครับ ?
ตอบ : ไม่เป็น เพราะว่าไม่ได้ขึ้นทะเบียนเอาไว้ คือเขาไม่ยอมให้ขึ้น
คนจะรังแกก็รังแกจนถึงที่สุด ขนาดใช้ชื่ออาศรมเวฬุวัน เขายังไม่ยอมให้ใช้ เขาบอกว่าเวฬุวันเป็นวัดในพุทธศาสนา ท่านต้องไปเปลี่ยนเป็นอาศรมไผ่มรกต ไม่ต้องห่วง พวกนี้เดี๋ยวก็ไปเจอกันข้างล่าง...!
ก่อนหน้านั้นอาตมาไปปีละ ๒ - ๓ ครั้ง แต่ว่าช่วงก่อนหน้าที่ท่านจะมรณภาพ พอขึ้นไปเห็นท่าน อาตมาก็บอกทุกคนให้รีบไปทำบุญกับท่าน
เพราะว่าเข้าไปแล้วกุฏิท่านสว่างผิดปกติ สว่างอย่างกับติดไฟไว้เลย ทั้ง ๆ ที่ท่านไม่เคยเปิดไฟในกุฏิ ลักษณะอย่างนี้จำไว้เลย
พระจะสวยที่สุดคือ วันที่บรรลุมรรคผล กับวันที่จะมรณภาพ
ตอนออกจากวัดท่าซุงก็ขึ้นไปกราบท่าน แล้วก็รายงานว่าไม่ได้อยู่วัดท่าซุงแล้ว ตอนนั้อยู่ทางด้านกาญจนบุรี หลวงปู่ท่านว่าอย่างไรรู้ไหม ?
ท่านว่า “พระท่านมาบอกให้ผมทราบแล้ว” สยองเลย...เรื่องของเด็กกระเปี๊ยกอย่างเรา พระท่านยังอุตส่าห์ไปบอกหลวงปู่...!
*************************
ถาม : การไหว้พระแบบคติพุทธ จำเป็นต้องใช้ดอกไม้ธูปเทียนไหม ?
ตอบ : ถ้าถามว่าจำเป็นไหม ? ไม่จำเป็นก็ได้ แต่ขณะเดียวกันว่าถ้าหากเราจะไหว้ถูกต้องจริง ๆ ก็ต้องไหว้ในลักษณะนึกถึงเป็นพุทธานุสติ อย่างนี้เขาเรียกว่า ปฏิบัติบูชา
แต่ถ้าหากว่าไม่ได้ไหว้แล้วน้อมใจนึกถึง ในลักษณะของพุทธานุสติก็ควรที่จะมีดอกไม้ธูปเทียนที่เรียกว่า อามิสบูชา
ถ้าหากว่าไม่เหลือบ่ากว่าแรงควรที่จะหาไว้ อะไรที่เขาทำจนเป็นธรรมเนียมประเพณีแล้ว ถ้าเราไปฝืนเขา เดี๋ยวจะมีปัญหากับส่วนรวม เพราะฉะนั้น...เมื่อไม่ได้ผิดอะไร ก็ตาม ๆ เขาไปจะดีกว่า
*************************
ถาม : การกรวดน้ำจำเป็นต้องใช้น้ำจริง ๆ ไหม หรือแค่สวดบทอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลก็พอ ?
ตอบ : กรวดน้ำในที่นี้หมายถึง การอุทิศส่วนกุศลให้แก่ผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว ไม่จำเป็นต้องใช้น้ำก็ได้
แต่ว่าครั้งแรกในพุทธศาสนาที่มีเรื่องนี้ คือเรื่องของพระเจ้าพิมพิสาร ญาติท่านมาขอส่วนบุญ พระพุทะเจ้าแนะนำให้ทำบุญ แล้วก็อุทิศส่วนกุศลให้
เวลาพราหมณ์จะให้อะไรใคร เขาจะใช้นำ้รดมือคนนั้น เพื่อเป็นสัญลักษณ์ว่าฉันให้เธอแล้ว
พระเจ้าพิมพิสารท่านถือศาสนาพราหมณ์มาก่อน พอบอกว่าให้อุทิศส่วนกุศลแก่ญาติ ท่านก็ไม่รู้จะทำอย่างไร ตั้งใจจะเอาน้ำรดมือ ก็มองไม่เห็นว่ามือผีอยู่ตรงไหน จึงรดมือตัวเอง กลายเป็นรูปแบบของการกรวดน้ำมาตั้งแต่บัดนั้น
จริง ๆ แล้วไม่จำเป็นที่จะต้องใช้นำ้ก็ได้ แต่ว่าถ้าเขานิยมก็ทำตาม เขาเถอะ ทำอะไรไม่เหมือนชาวบ้านเขา เดี๋ยวเขาก็มองตาเขียวปั๊ดอีก
*************************
|