​​​ กระโถนข้างธรรมาสน์ ฉบับที่ ๑๙๓

 

              “บางอย่างก็ขึ้นอยู่กับกำลังใจ กำลังกายไม่ไหวบางคนก็ท้อเสียแล้ว ตอนนั้นจะเห็นกันชัด ๆ เลยว่าของใครสะสมมามากกว่า ถ้าพวกสะสมมาก ความบ้ายังเหลืออยู่ ก็ยังไปได้เรื่อย
              ตอนนั้นอาตมาแบกถังน้ำมันเข้าไปที่ทุ่งใหญ่ ถังละ ๔๐ ลิตร จำนวน ๒ ถัง แบกไปได้...! ตั้งใจจะไปช่วยเขา ตอนแรกตั้งใจว่าจะเดินไปเองตลอด ๔๕ กิโลเมตร
              พอเดินเข้าไปสัก ๒๕ กิโลเมตร ไปเจอคณะของ ดร.บุญส่ง โยกาส ตอนนั้นท่านเป็นอาจารย์อยู่ที่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ สอนเกี่ยวกับธรณีวิทยา ท่านพาลูกศิษย์ไปเก็บแร่
              ท่านเห็นก็สงสัยว่าพระมาทำอะไร ท่านจึงเดินขึ้นจากข้างทางมาถาม พอรู้ความ ท่านก็เลยเอารถไปส่ง
              ต้องบอกว่าเรื่องของธรรมะจัดสรรจริง ๆ ไม่อย่างนั้นอาตมาก็เดินอ่วมอรทัยอีกครึ่งค่อนวัน เพราะว่าจะเดินเร่งเต็มที่เหมือนเดินตัวเปล่าก็ไม่ได้ เนื่องจากแบกถังน้ำมันไป ๒ ถัง
              อย่าลืมว่าน้ำมันเบนซิน ๑ ลิตร หนักเกือบ ๑ กิโลกรัม แล้วนี่ ๓๐ - ๔๐ ลิตร ๒ ถังด้วยกัน”
*************************

      ถาม :  ไปทุ่งใหญ่ต้องพกอะไรไปบ้างครับ ?
      ตอบ :  พกกำลังใจไปเยอะ ๆ วัตถุมงคลอะไรก็ได้ สำคัญที่กำลังใจของเรา
              ตอนนี้ชวนพระครูหน่อยเท่าไรก็ไม่ไปหรอก ท่านไปทุ่งใหญ่แล้วเจอเสือเข้า เดิน ๆ อยู่จ๊ะเอ๋กับเสือ ตกใจพร้อมกัน เสือนั่นก็บ้า ๙ โมงกว่า แล้วเพิ่งจะกลับ
              พระครูหน่อยบอกว่า พอเจอเสือแล้ว เหมือนอย่างกับความทรงจำหายไปชั่วคราว มารู้ตัวอีกทีตอนอยู่บนยอดไม้แล้ว...!
              ช่วงที่ขึ้นไปบนต้นไม้ ขึ้นไปอย่างไรท่านไม่รู้เรื่องเลย ไปนั่งใจสั่นอยู่ข้างบนเป็นชั่วโมง จนกระทั่งมั่นใจว่าเสือไม่ได้อยู่แถวนั้นแล้วก็ปีนลงมา แล้วเดินทางต่อ
              เดินทางไปได้พักหนึ่ง ปรากฎว่าเสือตัวนั้นเกิดสงสัย ว่าเมื่อกี้นี้ตัวอะไรแน่ ก็เลยย่องตามมาดูอีก
              พระครูหน่อยบอกว่า ไม่รู้ความกลัวมาจากไหน คราวนี้วิ่งไม่คิดชีวิตเลย
              เรื่องของความกลัว เป็นสัญชาตญาณที่ฝังลึกอยู่ ตราบใดที่ยังไม่หายกลัว ก็จะกลัวอยู่ตลอด กลัวไปทุกเรื่อง
*************************

      ถาม :  เวลาขึ้นไปกราบพระข้างบน รู้สึกว่าทุกอย่างชัดเจน เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริง ๆ แต่พอลืมตา ความรู้สึกเปลี่ยนไปทันที เพราะสภาวะข้างบนกับข้างล่างต่างกันมาก ถ้าที่อยู่ตอนนี้เป็นเรื่องจริง การไปอยู่ข้างบนก็ต้องไม่จริง ที่ไปคุยกับพระอาจจะหลอนไปเองก็ได้ ความรู้สึกแบบนี้ดีหรือไม่ ?
      ตอบ :  ไม่ดี …เพราะว่าโดนหลอกให้ลังเลสังสัย ตัวนี้ที่เรารู้สึกชัดเจน เพราะว่าประสาทตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ อาศัยร่างนี้อยู่ ส่วนทางด้านบนเราสัมผัสด้วยใจ ความชำนาญในการสัมผัสด้วยใจ ถ้าไม่เต็มร้อย เราก็จะยังสงสัยอยู่ตลอดเวลา
              หลายคนคิดว่าฝันไปกระมัง แต่ให้ฝันแบบนั้นบ่อย ๆ และหมั่นสังเกตว่าตอนช่วงนั้น รัก โลภ โกรธ หลง กินใจไม่ได้แบบนั้นให้อยู่กับเราได้นานที่สุด อยู่กับเราในร่างกายนี้ และถ้าทำได้บ่อย ๆ จะดีกับเราเอง
              ตอนนี้จะจริงหรือไม่จริงช่างมัน ถ้าหมดกิเลสได้ ต่อให้ฝันก็ฝันไปเรื่อยแล้วกัน
*************************

      ถาม :  ที่บอกว่าให้ไม่เชื่อไว้ก่อน การไม่เชื่อมีระดับที่เกินไปไหม หรือยิ่งมากยิ่งดีเหมือนสติคะ ?
      ตอบ :  ให้รั้งกำลังใจไว้ส่วนหนึ่งอย่าเชื่อทั้งหมด ใช้ปัญญาพิจารณาดูเหตุการณ์ทั่วไปก่อน
              แต่เรื่องแบบนี้เคยโดนหลอกมาเต็ม ๆ เลย เพราะทุกอย่างเขาวางหมากให้เป็นแบบนั้น ทุกอย่างรอบข้างก็จะเป็นไปตามที่เขาว่ามา จะมีหลายซับซ้อน หลายชั้นหลายเชิงด้วยกัน
              แต่สำคัญที่สุด ให้มีสติรู้อยู่เสมอว่า เรื่องที่เราทำ...เรารู้ ช่วยในการละกิเลสได้หรือไม่ ?
              ถ้าหากช่วยในการละกิเลสไม่ได้ สักแต่รู้เห็นกว้างไกลออกไปเรื่อย ๆ ถ้าอย่างนั้นไม่ต้องไปใส่ใจตามหรอก ดึงกำลังใจออกมาพิจารณาตัดกิเลสของเราดีกว่า เอาเรื่องของการละกิเลสเป็นใหญ่ เรื่องอื่นเก่งแค่ไหนก็ตาม ถ้าละกิเลสไม่ได้ก็ไม่เก่งจริงหรอก
*************************

      ถาม :  ในการพิจารณาต้องอยู่ที่อุปจารสมาธิเท่านั้นใช่หรือไม่คะ ?
      ตอบ :  ไม่ใช่ ถ้าคล่องตัวแล้วระดับไหนก็พิจารณาได้ และการพิจารณาจะชัดเจนเด็ดขาดกว่ากันเยอะ เพียงแต่ว่าเราต้องซ้อมให้คล่องตัว ถ้าหากว่าเกินจากปฐมฌานไปแล้ว ส่วนใหญ่มักจะคิดไม่ได้
      ถาม :  พยายามถอยลงมาก็ไม่ค่อยเป็น พิจารณาก็ไม่ไป ?
      ตอบ :  บอกแล้วว่าซ้อมการเข้าออกฌานให้คล่องไว้
      ถาม :  ระหว่างความมั่นใจแล้วยั้งไว้ กับที่เขาทำให้เราลังเลสงสัย เส้นคั่นอยู่ตรงไหนคะ ?
      ตอบ :  บอกแล้วว่าเอาการละกิเลสเป็นหลัก ถ้าหากพิจารณาดูแล้ว ช่วยในการละกิเลส หรือตัดราคะ โทสะ โมหะ ให้เบาบางลงได้ เราก็เอา ถ้าอะไรที่ช่วยตรงนี้ไม่ได้ ก็ไม่ต้องไปใส่ใจ
*************************

      ถาม :  ควรเรียนต่อดีไหมคะ ?
      ตอบ :  ถ้ายังมีไฟก็เรียนสิ การเรียนควรที่จะต่อเนื่อง แต่ถ้าหมดไฟแล้ว ไปทำงานสักระยะหนึ่ง ก็จะอยากกลับมาเรียนใหม่
      ถาม :  ระหว่างในประเทศกับต่างประเทศ ที่ไหนดีกว่า ?
      ตอบ :  เดี๋ยวนี้ไม่ว่าในประเทศกับต่างประเทศก็ไม่ต่างกันเท่าไรหรอก ไปต่างประเทศเปลืองค่าใช้จ่ายกว่าด้วย ลำบากให้พ่อแม่ต้องห่วงใยอีก
              จะเรียนที่ไหนก็ตาม ถ้าหากว่าเอาจริง ก็โกยมาได้เยอะแยะเหมือนกัน แต่ถ้าไม่เอาจริง ก็แย่พอกันนั่นแหละ
*************************

              “แนวคิดของวัดอัปสรสวรรค์ เขาถือว่าพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันของเราได้รับการพยากรณ์จากพระพุทธเจ้ามาทั้งหมด ๒๔ พระองค์ รวมพระองค์ท่านด้วยก็เป็น ๒๕ พระองค์
              แต่ในกัปที่พระองค์ท่านได้รับพยากรณ์นั้น มีพระพุทธเจ้ามาก่อนแล้ว ๓ พระองค์ รวมทั้งหมด ๒๘ พระองค์
              วัดอัปสรสวรรค์ก็เลยสร้างพระประธาน ๒๘ พระองค์ เป็นพระประธานหน้าตักประมาณ ๑ ศอก และจัดได้สวย แต่คนเข้าไปก็จะแปลกใจว่า ทำไมในโบสถ์ก็มีพระประธานองค์เล็ก ๆ ของเขาเล็กก็จริง แต่เยอะมาก
              คนโบราณทำอะไรเกี่ยวกับศาสนา เขาจะทุ่มเทจริง ๆ นี่เขาปั้นหุ่นทีละองค์ ไม่เหมือนสมัยนี้ที่ถอดแบบได้ เพราะฉะนั้น...พระประธานแต่ละพระองค์ อย่างเก่งจะมีหน้าตาใกล้เคียงกัน แต่ไม่ได้เหมือนกันสักองค์”
*************************

      ถาม :  ทำบุญให้ผู้ที่เสียชีวิตไปค่ะ เพราะพี่เขามาหา ?
      ตอบ :  การที่ผีมาหา เพราะว่าเขามาหาคนที่มีบุญ เมื่อเราทำบุญ เขายิ่งมาหาใหญ่เลย อันนี้ขู่นะ ไม่มีอะไรหรอก
              ส่วนใหญ่แล้วคนที่ตายก่อนหมดอายุขัย ที่ภาษาชาวบ้านเรียกว่าตายโหง คือไม่ได้ตายแบบปกติ
              ด้วยความเคยชินของเขา พอตายแล้วเขาจะกลับบ้าน หรือไปหาคนที่เขาคุ้นเคยก่อน ถ้าหากว่าเขาได้บุญไป เขาก็จะมีความสบาย ก็จะห่าง ๆ ไปเรื่อย ๆ
              แต่มีข้อแม้อย่างหนึ่งว่า แรก ๆ ที่ตาย เขาจะไปหาคนที่ยังไม่รู้ข่าวว่าเขาตาย คนรู้แล้วไม่เป็นไรหรอก เขารู้ว่ามาหลอกต้มไม่ได้แล้ว
              เมื่อสัก ๗ - ๘ ปีก่อน มีโยมพี่อยู่คนหนึ่งที่รู้จักมักคุ้นกันมาก น้องชายเขาตกตึกตาย...ตกตึกตายนะ ไม่ได้กระโดดตึกตาย พอเขาตาย พี่เขาก็โทรศัพท์ไปบอกเพื่อนของน้องชายว่า น้องตายแล้ว ให้มารดน้ำศพด้วยเพื่อนน้องชายก็โวยวายว่าเป็นไปได้อย่างไร เพราะเมื่อครู่ยังช่วยผมยกเก้าอี้อยู่เลย คือเขาจัดงานเลี้ยงที่บ้าน ผีก็ไปช่วยงานเพื่อน ไปช่วยจัดโต๊ะจัดเก้าอี้ให้
              เพื่อนก็เลยไม่เชื่อ แห่กันไป ๕ - ๖ คน ขอเปิดโลงดู ปรากฎว่าตายจริง นั่นแหละส่วนใหญ่เขาจะไปหาคนที่ยงไม่รู้ ถ้ารู้แล้วเขาไม่กวนหรอก เพราะไม่สามารถที่จะหลอกได้แล้ว
              ดีแล้วที่พวกเรารู้จักทำบุญไปให้ เพราะว่าบางคนในช่วงที่มีชีวิตอยู่ ไม่ได้สั่งสมในส่วนของบุญกุศลเอาไว้ เราเองไปช่วยเขา ถึงเวลาเขาได้รับความสุขสะดวกสบาย
              ถ้าหากว่ามีอะไรไม่เกินวิสัย เขาก็จะช่วยสงเคราะห์เราได้ บอกเขาไปว่าหาลูกค้าให้เยอะ ๆ แล้วฉันจะทำบุญให้แกอีก
      ถาม :  ทำอย่างไรให้เขาพ้นทุกข์ตรงนั้น ?
      ตอบ :  ไม่ต้องกังวล ทำบุญให้เขาไป เขาได้ส่วนกุศลตรงนี้แล้ว ก็จะได้มีความสบายกว่าเดิม พอเขาอยู่ครบอายุขัยของความเป็นมนุษย์ เขาก็จะไปเอง ตอนช่วยก่อนหมดอายุขัยนี้จะเป็นส่วนที่บาลีเขาเรียกว่า สัมภเวสี บุคคลที่ยังไม่หมดอายุความเป็นมนุษย์
              เขาก็จะวนเวียนไปเรื่อย ๆ ไปสวรรค์ก็ไม่ได้ ไปนรกก็ไม่ได้ พอหมดอายุขัยความเป็นมนุษย์แล้ว เขาจะสามารถที่จะไปรับความดีที่เราทำให้ได้ ก็เท่ากับว่าขึ้นข้างบนไปเลย
              แต่คราวนี้ไม่ต้องกังวล เพราะว่าอาจจะเหลือเวลาอีกตั้งนาน วันหนึ่งของเขาเท่ากับ ๕๐ ปีของเรา เขาเดินเล่นอยู่ครึ่นค่อนวันเดี๋ยวก็ไปแล้ว เวลาต่างกันมาก
              จะเห็นได้ว่าเวลาเรามีความสุข แวบเดียวก็ผ่านไปแล้ว ครึ่งค่อนวันไม่รู้ตัว ของเขาก็เหมือนักน ถ้าอยู่ในที่สบายเวลาผ่านไปเร็ว
              อย่ากังวลมาก ถ้ากังวลมากเราจะคิดถึงเขาตลอดเวลา เท่ากับว่าสื่อถึงเขา เดี๋ยวเขามาเยี่ยมบ่อย คิดถึงนี่เท่ากับต่อโทรศัพท์หา เดี๋ยวเขาแวะมาเยี่ยม ประตูบ้านแข็งแรงดีไหม ? เดี๋ยวเขามาหา เราจะวิ่งทะลุประตูเป็นรูปคนไปเลย...!
*************************

              คนเราในอดีตเคยสร้างกรรมมา ถ้าเป็นกรรมที่ฆ่าคนหรือฆ่าสัตว์ใหญ่เอาไว้ ถึงวาระเศษกรรมที่มาถึง อุปฆาตกรรม กรรมที่มาตัดรอนให้ถึงแก่ชีวิต จะทำให้คิดผิด ตัดสินใจผิดได้ง่ายมกาเลย เพราะฉะนั้น...ในเรื่องของการตัดสินใจฆ่าตัวตาย เพราะว่ากรรมเดิมตามมาถึง
              แต่อุปฆาตกรรม มีทั้งฝ่ายที่เป็นกุศลและเป็นอกุศล ถ้าหากว่าฝ่ายที่เป็นอกุศล ก็ทำให้เราคิดผิด อาจจะถึงขนาดฆ่าตัวตาย หรือว่าฆ่าคนอื่นก็มี
              แต่ถ้าหากเป็นฝ่ายกุศลเข้ามา ก็จะมาตัดรอนสิ่งที่ไม่ดีทั้งหมด เหมือนอย่างกับพลิกฟื้นคนมาใหม่
              แบบเดียวกับพระองคุลีมาล ฆ่าคนมาเป็นพัน แต่พอถึงเวลาอุปฆาตกรรมฝ่ายกุศลเข้ามา ได้พบพระพุทธเจ้า ได้บวชปฏิบัติกลายเป็นพระอรหันต์ จากมหาโจรวางดาบกลายเป็นพระอรหันต์ นั่นก็คืออุปฆาตกรรมฝ่ายกุศลที่มาช่วย
              แต่ถ้าฝ่ายอกุศล ต้องอย่างพระเทวทัต ปฏิบัติจนได้อภิญญาสมาบัติ แสดงฤทธิ์ได้มากมายมหาศาล แต่พออุปฆาตกรรมฝ่ายอกุศลเข้ามาถึง เกิดคิดผิด เห็นว่าตัวมีความสามารถในการปกครองคณะสงฆ์แทนพระพุทะเจ้าได้ ก็ตั้งใจที่จะฆ่าพระพุทธเจ้า เพื่อที่จะยึดตำแหน่งแทน
              หน้าที่ของกรรมตัวนี้ก็คือ มาตัดรอนสิ่งที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ถ้าหากว่าดีอยู่ ก็จะกลายเป็นเลว ถ้าหากว่าเลวอยู่ จะกลายเป็นดี ตรงกันข้ามหมด
*************************

      ถาม :  เวลาสวดมนต์แผ่เมตตา จะอธิษฐานให้เจ้ากรรมนายเวรตลอด มีอยู่วันหนึ่งเหมือนเห็นว่าเขามากันเยอะ ไม่ทราบว่าเขามาเพื่ออะไรครับ ?
      ตอบ :  เราจะเรียกหรือไม่เรียก เจ้ากรรมนายเวรเขาก็มาเป็นปกติ รอวาระบุญเาขาดช่วงลง เขาก็จะสอยเราร่วงตอนนั้น...! ถ้าเราเห็นเขาได้ก็ดี จะได้ไม่ประมาท
*************************

              “เมื่อเดือนก่อนไปรับพระราชทานสัญญาบัตรพัดยศกับผ้าไตร ที่วัดพระพุทธบาท จังหวัดสระบุรี เจอหลวงตาวัชรชัย กลายเป็นรักษาการเจ้คณะอำเภอไปแล้ว เดี๋ยวก็คงจะมีรับสั่งแต่งตั้งอีกไม่นาน
              เพื่อน ๆ พระสังฆาธิการทางทองผาภูมิ เขาบอกว่าอาตมาไม่ยอมเอาตำแหน่งกับเขาสักที พอถึงคราวตัวเองแล้วก็ไม่เอา ผัดผ่อนไปเรื่อย ปรากฎว่าหลวงปู่พูน วัดบ้านแพน ก็เพิ่งจะรับพัดยศไปเหมือนกัน ถ้าอย่างนั้นไมเ่ป็นไรหรอก เราอย่างเก่งก็เป็นแค่หลวงพ่อ แต่นั่นหลวงปู่แล้วเพิ่งจะรับเอง
              มีอยู่ ๖ รายที่ไปรับไม่ไหว นอนโรงพยาบาล และมีอีก ๗ - ๘ ราย ที่ต้องใส่รถเข็นเข้าไปรับ เจ้าหน้าที่สำนักพุทธฯ ทำงานหนักมากเลย นอกจากจะต้องรับแทนแล้ว ยังต้องเข็นรถให้ท่านเข้าไปรับอีกต่างหาก”
*************************

              “คนที่กระโดดตึกตาย จริง ๆ แล้วต้องกล้าหาญมาก สมัยที่อาตมายังเรียนทหารอยู่ จะมีการฝึกระโดดร่ม ขนาดว่ามีสายโยงแน่นหนามาก เพื่อนบางคนยังยืนขาสั่นพั่บ ๆ เลย ไม่กล้ากระโดด ครูฝึกต้องเมตตาถีบส่งให้ ไม่มีรุ่นไหนที่ไม่โดนถีบหรอก โดนถีบกันทุกรุ่น...!
              เขาทำวิจัยกันแล้วว่า ระยะสูงตั้งแต่ ๓๒ ฟุตขึ้นไป มนุษย์ทุกรูปทุกนามจะมีความกลัวอยู่ เพียงแต่ว่ากลัวแล้ว กล้าทำหรือไม่กล้าทำ
              คนที่กลัวแล้วไม่กล้า ก็จะโดนถีบ ครูฝึกจะช่วยถีบให้ แล้วเขาก็เลือกให้กระโดดร่มในระยะที่คนกลัวพอดี พอเป็นอย่างนั้น ไม่ว่าคนที่กลัวความสูงหรือไม่กลัว ไปถึงตรงนั้นก็เสียววาบทุกคน
              เพียงแต่ว่าตอนที่กระโดดร่มจริง ขออย่างเดียวคือขอพับร่มเอง ถ้าตายก็ขอให้ตายเพราะว่าเราผิดพลาดเอง อย่าตายเพราะคนอื่นเขาพลาดเลย
              เพราะฉะนั้น...พอถึงเวลากระโดดร่ม ทุกคนจะขอพับร่มเอง ถ้าคนอื่นพับให้แล้วร่มไม่กาง ตายเป็นผีกูจะตามไปหลอก...!
*************************

              “งานเป่ายันต์เกราะเพชรที่ผ่านมา เขาออกแบบายศรีเป็นมังกรพันต้นบายศรีอยู่ ๔ ทิศ แล้วมีเจ้าแม่กวนอิมประทับบนหลังหงส์อยู่ตรงกลาง เป็นฝีมือของพระจำเนียรกับพระคมสันเหมือนเดิม ท่านมีฝีมือด้านนี้จริง ๆ
              โดนเฉพาะเกล็ดมังกร เสียเวลาเย็บมากเป็นพิเศษ ปกติเวลาเย็น ๆ บายศรีก็เสร็จแล้ว แต่ว่าครั้งนี้เจอมังกรเข้าไป ๔ ทิศ ไปทำเสร็จตอนตี ๔
              ยังดีนะที่เสร็จตี ๔ เพราะพุทธาภิเษกตอน ๗ โมงครึ่ง ถ้าไปเสร็จเอา ๗ โมง ดีไม่ดีอาตมาจะหัวใจวายไปด้วย เพราะต้องมาลุ้นว่าจะเสร็จหรือเปล่า ?
              เขาทำเป็นมังกร ๕ เล็บ ตามความเชื่อของชาวจีน ถ้ามังกร ๕ เล็บ จะเป็นมังกรแท้ สืบสายตระกูลของพญามังกรในทะเลทั้งสี่
              แต่ถ้าหากว่าเป็นมังกร ๔ เล็บ จะเป็นมังกรแปลง คือสัตว์อื่นอย่างงูหรือปลา บำเพ็ญเพียรจนสำเร็จเป็นมังกรขึ้นมา
              ถ้าเราดูภาพมังกรของจีนแล้วมีความเข้าใจ จะแยกแยะออกว่าเป็นมังกรแท้หรือมังกรแปลง แต่จะว่าไปแล้ว มังกรแท้ก็คงจะเหมือนลูกเจ้าลูกนาย มีชาติมีตระกูล แต่มังกรแปลงต้องดิ้นรนจนตนเองประสบความสำเร็จจริง ๆ แล้วน่าเลื่อมใสกว่า
              สมัยก่อนคนจีนเขาเชื่อว่า ถ้าปลาหลีฮื้อว่ายข้ามสามโตรกแยงซีเกียงได้ ก็จะกลายเป็นมังกร เพราะว่าจุดสุดท้ายเป็นประตูมังกร
              ปลาต้องว่ายทวนน้ำไป จากแม่น้ำกว้างเป็นกิโลเมตร โดนบีบเหลือกว้างแค่ไม่กี่ร้อยเมตร น้ำจำนวนมหาศาลที่โดนบีบแล้วดันออกไป ถ้าปลาไม่แข็งแรงจริง ว่ายทวนขึ้นมาไม่ได้ เขาก็เลยเชื่อกันว่า ถ้าปลาว่ายผ่านตรงนั้นได้จะเป็นมังกร”
              “สมัยอาตมาอยู่วัดท่าซุงไม่เอาเรื่องก่อสร้างเลยนะ นอกจากอยู่เวรอยู่ยามแล้ว เวลาที่เหลือภาวนาอย่างเดียว
              พอออกจากวัดท่าซุงมา ตั้งแต่อาทิตย์แรกถึงอาทิตย์สุดท้ายก่อสร้างมาแทบทุกวัด ข้าวของราคาเท่าไรรู้หมด พูดง่าย ๆ ว่าปัจจุบันนี้ราคาในท้องตลาดเท่าไร ต้องใช้ประมาณเท่าไร แค่มองด้วยสายตาก็รู้แล้วว่าต้องใช้เงินเท่าไร
              อย่างรถเอาเหล็กข้ออ้อยขนาด ๒๕ มิลลิเมตร มาลง ๑ คันรถ อาตมามองวูบเดียว บอกได้เลยว่าไม่หนี ๔ แสนบาท พอเขาส่งใบเสร็จมาราคา ๔ แสน ๔ หมื่นกว่าบาท
              พอรถเอามาลงอีกหนึ่งคัน บอกได้เลย คันนี้ค่าเหล็ก ๕ แสนกว่าบาท เรื่องคำนวณต้องยกให้อาตมาคนหนึ่ง ทำจนชำนาญขนาดมองก็รู้เท่าไร”
*************************

      ถาม :   ที่หลวงพ่อฤๅษีบอกว่า คนผิดศีลข้ออทินนาทาน กรรมคือทรัพย์สมบัติจะถูกทำลายโดยภัยธรรมชาติ หรือภัยต่าง ๆ ในกรณีที่เพื่อนผมถูกน้ำท่วม และทรัพย์สินเสียหาย จะชวนเขามาสร้างพระชำระหนี้สงฆ์ ไม่ทราบว่าผลจะตรงหรือไม่ครับ ?
      ตอบ :  สิ่งที่เรทำเป็นความดีใหญ่ แต่ผลไม่ตรง เพราะว่าทรัพย์สินเสียหาย เกิดจากกรรมเก่าที่เราสร้างมาในอดีต ส่วนบุญใหม่ที่เราสร้างในปัจจุบันเป็นส่วนของบุญ
              บุญกับกรรมนี่ต่างคนต่างอยู่ ถึงเวลาต่างคนต่างให้ผล เพราะฉะนั้น...ทำไว้ดีกว่าไม่ทำ แต่ไม่ใช่การแก้กันโดยตรง
              ในเรื่องของการสูญเสียทรัพย์สิน มีเคล็ดลับง่าย ๆ ว่าให้ปล่อยนกบ่อย ๆ สักเดือนละตัวสองตัวก็ได้
              ถ้าปล่อยนก จะป้องกันในเรื่องของการสูญเสียทรัพย์สินได้ เพราะถึงเวลานกบินไปแล้วไปลับ ก็ปล่อยนกไปแทน จริง ๆ โบราณเขาเก่งเหมือนกัน
              การปล่อยสัตว์อย่างปล่อยนก จะมีอานิสงส์พิเศษคือ ป้องกันเรื่องข้าวของสูญหาย ทรัพย์สินเสียหาย
              เรื่องของการปล่อยปลา ถ้าทำเป็นประจำ จะมีความเป็นอยู่คล่องตัว

              คนอื่นเขาลำบากแค่ไหน เราก็ไปได้เรื่อย เหมือนปลาที่แถกเหงือกไปเรื่อย ๆ เพื่อไปหาที่อยู่ใหม่ แต่นี่เราปล่อยลงแม่น้ำใหญ่ ก็ยิ่งสบายใหญ่เลย
              การปล่อยไก่ จะตัดเคราะห์กรรมใหญ่ได้
              แต่ถ้าเคราะห์กรรมประเภทอุปฆาตกรรมหนักจะถึงแก่ชีวิตให้ปล่อยพวกวัวหรือควาย

              ที่ว่ามานี้ถ้าได้สัตซ์ประเภที่เขากำลังจะฆ่าได้ก็ยิ่งดี เพราะว่าเท่ากับใช้ชีวิตแลกกัน เรื่องของการปล่อยสัตว์ นอกจากได้เมตตาบารมีแล้ว ยังมีอานิสงส์พิเศษที่ว่ามาอีกด้วย
*************************

              หลวงพ่อวัดท่าซุง ท่านเคยไปเจอปูทะเลแล้วปล่อย
              อาตมาเรียนถามว่า มีอานิสงส์พิเศษอะไรครับ ?
              ท่านบอกว่า หลวงปู่พระครูโวทานธรรมาจารย์ วัดดาวดึงษาราม ฝั่งธนรบุรี เป็นอาจารย์สอนเทศน์ของหลวงพ่อท่าน เคยปล่อยปูด้วยความสงสาร ท่านบอกว่า
              “ไอ้ปูอีปูเอ๊ย...ข้าจะไปเกิดเป็นพระพุทธเจ้า พวกเอ็งไม่ต้องตามไปเกิดเป็นบริวารองข้าหรอกนะ ข้าปล่อยพวกเอ็ง ไม่ได้ต้องการให้พวกเอ็งไปเป็นบริวารของข้า ข้าปล่อยพวกเอ็ง เพราะว่าต้องการให้พวกเอ็งพ้นทุกข์เท่านั้น”
              ปูโดนมัดมาทั้งวัน บางตัวพอตัดเชือกออกมา ขาหลุดหมดเลย คนเรานั่งนิ่ง ๆ ท่าเดียวก็แย่แล้ว แต่นี่โดนมัดด้วย
              ปรากฎว่าพอหลวงปู่ท่านปล่อยปูไปไม่นาน อาการที่ท่านเคยปวดหลังเมื่อยเอว อยู่ ๆ ก็หายไปเฉย ๆ
              หลวงปู่ท่านก็เลยคิดขึ้นมาได้ว่า น่าจะเป็นอานิสงส์ของการปล่อยปู่ให้พ้นจากการโดนมัด ท่านก็เลยเอามาเล่าให้ลูกศิษย์ฟัง หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านก็จำไว้ ถึงเวลาหลวงพ่อท่านก็มาปล่อยบ้าง
              เพราะฉะนั้น..เรื่องของการปล่อยสัตว์ บางทีอานิสงส์พิเศษบางอย่างก็มีชนิดที่เรานึกไม่ถึง แต่ถ้าเกี่ยวกับข้าวของที่สูญหายหรือเสียหายก็ให้ปล่อยนกแทน ปล่อยเดือนละตัวสองตัวก็ได้
*************************

              อาตมาเองถ้าไปวัดเชียงมั่น ที่เชียงใหม่ ไปไหว้พระแก้ววัดเชียงมั่น ก็จะปล่อยนกเขา เพระว่าตรงนั้นจะมีนกเขาให้ปล่อย ที่อื่นไม่เคยเจอ
              ไปถึงก็ต่อรองราคากันสนุกสนานเฮฮา ตอนหลังเขาจำได้แล้ว ไปถึงเขาก็วิ่งมาให้ปล่อยเลย แรก ๆ เขาก็ถาม “ปล่อยนกบ่เจ้า”
              อาตมาบอกว่า “นกชนิดนี้ไม่ปล่อยหรอก ชอบกินมากกว่า”
              ญาติโยมก็หัวเราะกันสนุกสนานเฮฮา แรก ๆ จะขายตัวละ ๑๕๐ บาท ต่อไปต่อมาเหลือแค่ตัวละ ๘๐ บาท หายไปครึ่งหนึ่ง
              อย่าไปเชื่อเขานะ ว่าปล่อยชีวิตสัตว์แล้วต่อราคาไม่ได้ ต่อไปเถอะ...เพราะเงินที่เหลือ เราเอามาซื้อปล่อยเพิ่มได้
*************************

              มีอยู่รายหนึ่ง มาบอกกับอาตมาว่า “หลวงพ่อครับ...ผมไปดูหมอมา เขาบอกว่าให้ปล่อยปลาไหลเท่าอายุ ต้องเขียนชื่อตัวเองและวันเดือนปีเกิดติดตัวปลาไหลไปด้วย”
              อาตมาได้ยินก็หัวเราะก๊ากเลย ถามว่า “ตกลงว่าตายห่าหมดเลยใช่ไหม ?”
              “หลวงพ่อรู้ด้วยหรือครับ ?”
              “จะไม่ตายได้อย่างไร ? ปลาไหลตัวลื่น ๆ เขียนไม่ได้ ถ้าคุณจะเขียนชื่อได้ คุณต้องเช็ดจนเมือกหมดก่อน ถ้าปลาไหลไม่มีเมือก ก็เหมือนคนโดนถลกหนัง แล้วจะไปเหลืออะไร”

              ท้ายสุดเขาบอกว่าตายหมดจริง ๆ
*************************

              อาตมาเป็นเด็กบ้านนอกอยู่กับทุ่งอยู่กับนา รู้จักสัตว์พวกนี้ดี ที่น่าอนาถที่สุดคือ ตามทุ่งนาตอนหน้าแล้ง เขาจะเผาตอซัง ก็คือตอข้าว พอเผาแล้วก็เป็นขี้เถ้าไปทั้งทุ่ง พอฝนลงขี้เถ้าพวกนี้จะไหลลงไปในรูปลาไหล
              โอ้โห...เหมือนกับโดนน้ำกรดราด เพราะว่าปลาไหลพวกนี้แพ้ขี้เถ้า ตะกายขึ้นเต็มทุ่ง แล้วที่ตะกายขึ้นาไปไหนก็ไม่รอดแล้ว เพราะโดนไปเต็ม ๆ เหมือนคนโดนน้ำกรดราดไปทั้งตัว
              อาตมาเองเห็นทีไรสยองทุกที เขาไม่ได้เจตนาหรอก เป็นผลพลอยได้ เพระาชาวนาต้องเผาตอซังเพื่อให้เป็นปุ๋ยทุกปี
              แต่พอถึงเวลาฝนตกแล้ว น้ำที่เกิดจากขี้เถ้าไหลลงไป เรียบร้อย...เล่นเอาปลาไหลเผ่นขึ้นมา เก็บกันทีเป็นหาบ ๆ เลย...!
*************************

      ถาม :  ถ้าปล่อยปลาแล้วปลาใหญ่มากินละครับ ?
      ตอบ :  ไม่เป็นไร อย่าไปเสียกำลังใจ ปล่อยไปแล้วตา ยหรือปลาใหญ่มากินไปก็ช่างเถอะ เพราะเราได้ปล่อยแล้ว
              แต่ปลาที่เราปล่อยไปแล้วมีปลาอื่นมากินเข้า เพราะกรรมเขาไม่พ้นที่จะต้องตาย เขาไปก่อกรรมไว้กับอีกฝ่ายหนึ่ง พอถึงเวลาเขาก็มาเอาคืนพอดี
              ตอนอาตมาอยู่วัดท่าซุง ไปเจอกบที่ไข่ไว้บนพื้นซีเมนต์ที่สวนไผ่ ๖ ไร่ พอไข่เป็นลูกอ๊อด พอดีน้ำตรงนั้นจะแห้ง อาตมาจึงเอาช้อนไปตักขึ้นมาทีละช้อน ๆ ใส่ถังได้ครึ่งค่อนถัง ก็เอาไปปล่อย เทเลงที่แม่น้ำหน้าวัด
              อาตมาก็ไม่นึกว่าจะพาพวกเขาไปตาย เพราะที่หน้าวัดมีปลากระแหเป็นฝูง ๆ เลย พอเทลงไป ปลากระแหเป็นฝูง ๆ เลย พอเทลงไป ปลากระแหก็ว่ายมาเมียง ๆ มอง ๆ พอเห็นว่ากินได้ก็พุ่งเข้าใส่เลย พึ่บพั่บ ๆ พักเดียวลูกอ๊อดเป็นพัน ๆ ตัวหมดเกลี้ยง...!
              ถ้าโยมเจออย่างอาตมาคงใจฝ่อตาย ตั้งใจจะช่วยแท้ ๆ กลายเป็นทำให้พวกเขาตายเร็วเขึ้น แต่ความจริงเราต้องแยกแยะให้ออก เราไม่ได้เจตนาจะทำให้เขาตาย จะปล่อยเขาให้รอด แต่ดันลงไปที่ดงปลากระหายเลือดพอดี
              อาตมาเคยปล่อยปลาดุก ปลากระแหมาดึงหนวดปลาดุกไปกินเกลี้ยงเลย อะไรที่ยื่นเกินออกมา โดนดึงไปกินหมด แล้วอย่างลูกอ๊อดก็ตัวละคำพอดี
*************************

      ถาม :  ถ้าจะแนะนำเพื่อนให้ภาวนาคาถาเงินล้าน ซึ่งมีท่อนหนึ่งเป็นคาถาปัดอุปสรรค จะช่วยลดปัญหาเรื่องภัยธรรมชาติลงได้ไหมครั บ?
      ตอบ :  ปัดอุปสรรคในคาถาเงินล้าน ส่วนใหญ่จะเป็นปัดอุปสรรคในเรื่องทำมาหากิน
              ถ้าเราเห็นว่าภัยธรรมชาติจะเป็นอุปสรรคในการทำมาหากิน ก็ภาวนาควบไปด้วย ถึงจะช่วยด้านนี้ไม่ได้ แต่เรื่องความรวยได้แน่ เพราะฉะนั้น...ทำไปเถอะ
      ถาม :  ในหนังสือกระโถนฯ บอกว่าคาถานี้ให้เริ่มต้นที่ นาสังสิโม อีกที่หนึ่งเริ่มต้นที่ สัมปะจิตฉามิ ไม่แน่ใจว่าเริ่มตรงไหนดีครับ ?
      ตอบ :  เกินดีกว่าขาด ใส่ไปเถอะ
*************************

      ถาม :  เดินขาไม่เท่ากัน เกิดจากอุบัติเหตุ ?
      ตอบ :  อาตมาก็ขาไม่เท่ากันนะ แต่เวลาเดินคนสังเกตไม่ออก
              เกิดจากอุบัติเหตุตกจากต้นมะพร้าว ตอนตกขาขวากระแทกลงก่อน เพราะฉะนั้น...ขาขวาของอาตมาจะสั้นกว่าขาซ้ายประมาณเซ็นติเมตรกว่า ๆ
              ตกลงมาแล้วไม่กล้าบอกพ่อบอกแม่ด้วย ขาบวมฉึ่งเลย กลัวพ่อแม่จะรู้ ทำเป็นเดินเขย่งเล่น ที่ไหนได้รุ่งขึ้นลุกไม่ได้
              แต่โบราณเขาเก่ง ใช้ไพลกับต้นขาไก่ตำด้วยกัน เอาไปคั่วให้ร้อน ห่อผ้าแล้วมาประคบ รุ่งขึ้นเดินปร๋อเลย
              เพิ่งมารู้ว่า ใช้ใบพลับพลึงลนไฟแล้วมาพัน ก็ได้ผลเหมือนกัน แต่ตั้งแต่บัดนั้นจนบัดนี้ ขาของอาตมาสองข้างยาวไม่เท่ากน แต่คนดูไม่รู้เท่านั้น
*************************

      ถาม :  อยากจะมานั่งกรรมฐานบ่อย ๆ ?
      ตอบอย่าอยากให้มาเลย...ถ้ามัวแต่อยาก ไม่ได้มาหรอก...!
*************************

      ถาม :  (มีคนเอาเพชรพญานาคมาให้ดู) ไม่ทราบท่านมีความรู้ด้านนี้ไหมครับ ?
      ตอบ :  มีความรู้ว่าปัจจุบันปลอมเสีย ๙๙.๙๙%
      ถาม :  เขาเอาเพชรไปไว้ในหินครับ ?
      ตอบ :  อาตมามีวีดีโอที่เขาไปพิสูจน์มาแล้ว เขาผ่าหินออกมาให้ดู พบว่ามีรอยต่อ ตอนที่ทำรอยต่อ เขาใช้กาวพิเศษทา ส่วนด้านอกเอาน้ำโคลนลูบจนทั่วแล้วไปเผา
              ถ้าเพชรพญานาคที่ออกมาจากหินในลักษณะเหมือนดินเผา มีเศษ ๆ ขี้เถ้าด้วยแล้ว ของปลอมทั้งนั้น ถ้าของจริง จะเหมือนกับก้อนหินปูน หนักมากเลย แต่ว่าเขย่าแล้วข้างในมีเสียง
      ถาม :  ของจริงมีไหมครับ ?
      ตอบ :  ของจริงมีอยู่นะ
              มีพระธุดงค์รูปหนึ่ง จริง ๆ แล้วก็ไม่พระธุดงค์อาชีพหรอก ท่านเป็นเจ้าอาวาส แล้วสร้างโบสถ์ค้างอยู่ ท่านไปธุดงค์ระงับความฟุ้งซ่าน แต่ไม่เป็นอันภาวนา เพราะว่านึกห่วงโบสถ์
              อยู่ ๆ ก็นิมิตเห็นชายหนุ่มคนหนึ่งเดินมาบอกว่า จะช่วยในเรื่องการสร้างโบสถ์ รุ่งเช้าจะเอาของสำคัญมาให้ ให้ไปดูที่ริมน้ำ ในถ้ำที่ท่านไปธุดงค์มีลำห้วยอยู่ด้วย
              รุ่งเช้าพระท่านเข้าไปดูก็ไม่เห็นอะไร นอกจากหินที่มีลักษณะกลม ๆ ประหลาด ๆหน่อย ท่านหยิบขึ้นมาลองเขย่าดู มีเสียงอยู่ข้างใน เลยลองทุบดูแล้วก็เจอเพชรพญานาคเข้า จึงเอามาให้คนเขาบูชา ได้เงินไปสร้างโบสถ์จนเสร็จจริง ๆ
*************************

              ของสำคัญในบ้านเรา ขอให้คนเห่อขึ้นมาเถอะ พักเดียวก็เต็มตลาดแล้ว ผลิตมาขายที่ท่าพระจันทร์ทัน ๆ กันเลย
              สมัยนี้ใครอยากได้พระบรมสารีริกธาตุ สีไหน แบบไหน ไปเอาที่ท่าพระจันทร์ได้ มีเป็นถัง ๆ เลย เขาผลิตกันขึ้นมาเอง
              มีอยู่ระยะหนึ่งเขาผลิตมักกะลีผล ผลิตได้แสบมากเลย เพราะใช้เถาวัลย์จริง ๆ แต่ว่าเข้าเครื่องปั๊ม จึงออกมาหน้าตาเหมือนกันทุกตัว มีตำหนิที่เดียวกันหมด
              ถ้าใครรู้จักสังเกต ก็จะเห็นว่าเป็นมักกะลีผลที่เขาตั้งใจทำขึ้นมา แต่ถ้าเอาไปพิสูจน์ ก็คือเนื้อไม้นั่นแหละ แล้วก็ไปตื่นเต้นว่าเป็นของจริง แต่ความจริงเป็นเถาวัลย์ปั๊มขึ้นมา
              มีอยู่ช่วงหนึ่งที่เขาปลอมช้างน้ำกัน ถ้าอยากดูช้างน้ำของจริง อาตมารู้จักโยมอยู่คนหนึ่ง ตั้งแต่เขาได้ช้างน้ำมา แทนที่จะเจริญรุ่งเรือง กลายเป็นตกระกำลำบากกระเหเร่ร่อน เขาไปได้ช้างน้ำเป็น ๆ มาเลย
              ก่อนหน้านี้เขาเปิดร้านขายเฟอร์นิเจอร์ ชื่อรุ่งโรจน์ภัณฑ์ อยู่ที่อำเภอทองผาภูมิ ตรงข้าง ๆ สโมสรตำรวจ ปัจจุบันนี้จุดนั้นกลายเป็นศูนย์บริการนักท่องเที่ยว แล้วทางโรงเรียนเทศบาลขอพื้นที่ไปใช้
              พอข่าวกระจายออกไปว่าเขามีช้างน้ำ พวกหนังสือพิมพ์ วิทยุ โทรทัศน์ ก็แห่กันไป เขาต้องหอบช้างน้ำหนีเตลิดเปิดเปิงไปแถวปากช่อง ต้องไปเริ่มต้นทำมาหากินกันใหม่
              ใคร ๆ ว่าได้ช้างน้ำไปแล้วเจริญรุ่งเรือง กลายเป็นว่าเขาได้ไปแล้วตกระกำลำบาก แต่ว่าทุกวันนี้เริ่มตั้งหลักได้แล้ว
              เขาบอกว่า “อาจารย์...ถ้าต้องการ ผมถวายาจารย์คนเดียวนะครับ คนอื่นให้เงินผมเท่าไร ผมก็ไม่ให้หรอก”
              อาตมาเองก็ไม่รู้ว่าจะเอามาให้เดือดร้อนทำไม เลยบอกว่าคุณเก็บไว้เองเถอะ
              เพื่อนพระรูปหนึ่งคือ ท่านพระครูประทีปกาญจนธรรม ชาวบ้านเรียก พระอาจารย์เต้ บ้านเกิดอยู่ที่เมืองพะอาง รัฐกะเหรี่ยงของพม่า
              ท่านอาจารย์เต้บอกว่า ตอนเด็ก ๆ ชาวบ้านหาปลาจับช้างน้ำได้ ก็ช้อนมาใส่กะละมัง ท่านก็ไปดู เห็นว่ายไปว่ายมาอยู่ในกะละมัง เป็นช้างตัวเล็ก ๆ แต่อยู่ในน้ำ ของจริงเขามี แต่ของปลอมก็ปลอมมาเร็วทันตาเหมือนกัน
      ถาม :  ตอนนี้ช้างน้ำยังมีชีวิตอยู่ไหมครับ ?
      ตอบ :  ตายไปแล้ว เจ้าของตากแห้งอัดใส่กรอบพลาสติกไว้
              เขาบอกว่าถ้าอยากได้ เขาจะถวายมา จะได้รู้ว่าของจริงเป็นอย่างไร แต่อาตมาไม่อยากให้คนแห่ไปวัด เพราะไปดูช้างน้ำ อยากให้เขาไปวัด เพราะไปปฏิบัติธรรมากกว่า
              ความจริงถ้ามีช้างน้ำ แค่แจ้งสื่อมวลชนไป คนก็จะแห่กันมาไม่รู้เท่าไรต่อเท่าไร แล้วก็จะได้เงินเข้าวัด แต่วัดก็จะแย่ เพราะว่าคนไม่ได้เข้าเพื่อมาปฏิบัติ เมื่อไม่ได้อะไรในทางธรรมขึ้นมา ก็เลยไม่รู้ว่าจะเอาไปทำไม
*************************

      ถาม :  ไปอบรมบาลีที่วัดสร้อยทอง ไม่รู้วาจะสอบได้หรือเปล่า ?
      ตอบ :  ไม่ต้องไปกังวล ทำให้เต็มที่ของเราก็แล้วกัน ภาวนาคาถาท่านปู่พระอินทร์ไว้เยอะ ๆ
              สมัยนี้เราต้องหัดเล่นของบ้าง เขาแย่งกันไปอบรมที่วัดสร้อยทอง คงหวังจะโชคดีเหมือนพระมหาสันติ วัดท่ามะขาม (วัดราษฎร์ประชุมชนาราม)
              พระมหาสันติ
ไปอบรมที่วัดสร้อยทอง ท่านไปนอนในโบสถ์ อยู่ ๆ เทวดาก็เดินออกมาจากพระประธาน บอกว่าข้อสอบจะออกหน้าไหน ท่านก็เลยท่องแค่ ๒ หน้านั้น แล้วก็ออกจริง ๆ ด้วยท่านไม่ค่อยได้เรียนประโยค ๘ หรอก แต่สอบได้ ส่วนตอนนี้ประโยค ๙ ท่านก็ย่องไปอบรมที่วัดสร้อยทองเหมือนเดิม แต่เทวดาไม่มาแล้ว
*************************

              “โยมรุ่นหลัง ๆ เลี้ยงเด็กแบบต่างประเทศ ก็คือเลี้ยงเด็กแบบเป็นเพื่อน ทำให้เด็กไม่กลัว และพลอยดื้อกับพ่อกับแม่ไปด้วย เพราะฉะนั้น...ถ้าเชื่อโบราณก็รักลูกให้ตี ถ้าไม่กล้าตีเอง ก็เอาไปฝากไว้ที่วัดสักเดือน..!
              เมื่องานบรรพชาสามเณรถวายในหลวง เณร ๑๕๗ รูป พระตีจนแขนโตไปเลย วันแรก ๆ เณรก็เหมือนกับลิงดี ๆ นี่เอง พอวันท้าย ๆ ก็อยู่ในระเบียบ
              บางทีอาตมาได้ยินพี่เลี้ยงพูดก็ขำ พี่เลี้ยงเขาตั้งกติกาเพิ่มขึ้นมา “ตกลงนะครับ” ไม่มีใครตกลงสักคน พี่เลี้ยงตกลงเอง ที่ตกลงก็คือ ถ้าผิดเมื่อไรก็โดนเมื่อนั้น
              แต่ต้องทำ...เพราะว่าสามเณรคือเชื้อสายของสมณะ เป็นบุคคลที่ชาวบ้านเขาให้ความเคารพบูชาเหมือนกัน ถ้าบวชแล้วไม่ได้เป็นเณร จะเกิดโทษหนัก พระเลยต้องตีกระจาย
              ตอนแรกเขายังไม่รู้นโยบาย พอบอกว่าฟาดได้เลย พระก็เตรียมอาวุธกันเป็นแถว บางรูปมีไม้เรียว ๓ อัน อาตมาถามว่าทำไม ?
              ท่านบอกว่า ถ้าตีแล้วไม้หัก จะได้ไม่ต้องเสียเวลาไปหาใหม่ พ่อแม่บางคนมาเห็นก็กลืนน้ำลาย “อยู่บ้านหนูไม่กล้าตีเลยค่ะ...!” ไม่เป็นไร...เดี๋ยวพระจัดการให้...!
              มีเด็กที่เคยบวชเณร ๓ - ๔ คน สึกไปแล้วยังมาใส่บาตรเป็นประจำ อาตมาถามว่า “ตกลงว่าชอบรสชาติไม้เรียวที่วัดท่าขนุนใช่ไหม ?”
              สึกจากเณรไป โผล่มาใส่บาตรทุกวัน อยากให้พระฉันข้าวจะได้มีแรง ครั้งหน้าบวชใหม่จะได้โดนอีก...!
*************************