เก็บตกบ้านวิริยบารมี เดือนมกราคม ๒๕๕๕
หนังสือที่ระลึกงานพระราชทานเพลิงสรีระ พระครูอดุลปุญญาภิรม (ครูบาผัดปุญฺญกาโม)
งัว ควาย จ๊าง ม้า ต๋ายแล้วเหลือหนัง
ดู ขน เขายังเอาไจ๊ก๋ารได้
จ๋าตี๊สุด ตังปุ๋มและไส้ คนยังกิ๋นลำอิ่มต๊อง
มนุษย์เฮาต๋าย สหายปี้น้อง ไผบ่อ่วงข้องอาลัย
สุดแต่ดูกพัวะ ยังเอาขว้างไกล๋ กลั๋วจักเป็นภัย ผีจักหลอกได้
ความชั่วรีบหนี ความดีรีบไก้ ต๋ายแล้วจื้อหากตึงยัง
ค่าวของพญาพรหม กวีเอกแห่งล้านนา
อ้างถึงโดย พระครูสุเขตสุทธาลังการ
เจ้าอาวาสวัดทุ่งเสลี่ยม
“เขาบอกว่าวัวควาย ช้างม้า ตายแล้วเหลือหนัง ขนและกระดูก เขายังเอาไปใช้การได้ หรือว่าที่สุดทั้งพุงและไส้ คนก็ยังกินอร่อยอิ่มท้อง
แต่คนเราตาย ทิ้งเพื่อนพี่น้อง ไม่มีใครห่วงข้องอาลัย แม้แต่กระดูยังขว้างไปไกล เพราะกลัวจะเป็นภัยให้ผีมาหลอกได้
เป็นคำค่าวของพญาพรหม ซึ่งเป็นกวีเอกของล้านนา แต่ไปๆ มา ๆ ก็กระเด็นออกจากราชสำนัก เพราะว่าคารมดีเกินไป จีบพวกสาวสรรกำนัลในเยอะไปหน่อย หัวไม่ขาดก็บุญแล้ว เขายังเห็นแก่ฝีมือก็เลยปล่อยเอาไว้
อ่านทีแรกอาตมาก็ว่าทำไมแต่งได้ไพเราะแท้ ที่แท้เป็นของฝีมือสุดยอดกวีล้านนานี่เอง พวกค่าวพวกซอของทางเหนือ สมัยนี้หาคนแต่งฝีมือดี ๆ ยากมาก”
*************************
ถาม : หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านสอนว่า จิตเราบางทีก็บังคับไม่ได้หรือครับ ?
ตอบ : ถ้าไม่ชำนาญจริง ๆ ก็บังคับไม่ได้ อย่าลืมว่าท่านสอนคนหัดใหม่นะ
ถาม : ท่านบอกว่าแม้แต่พระอรหันต์ก็ยังบังคับไม่ได้ ?
ตอบ : ก็ต้องดูว่าพระอรหันต์ท่านชำนาญหรือเปล่า ? ถ้าขนาดนั้นแล้วยังไม่ชำนาญอีก จะเป็นไปได้อย่างไรวะ...?!
ถาม : (ไม่ได้ยิน) ?
ตอบ : อย่าลืมว่าที่ท่านสอน คือสอนพวกเรา คุณดันตีความไปถึงพระอรหันต์ ก็หาเรื่องเดือดร้อนสิ
ถาม : (ไม่ได้ยิน) ?
ตอบ : มัวแต่สงสัยอยู่ก็ยังไม่ได้กินหรอก อาหารอยู่ตรงหน้าแทนที่เราจะกิน ก็มานั่งเขี่ยอยู่ว่ามีอะไรบ้าง
เพราะฉะนั้นเลิกซะ...สันดานสังสัยทุกเรื่อง จะได้มีความเจริญใส่ตัวบ้าง ไม่ใช่เที่ยวไปถามเอาเท่ว่ากูสามารถตั้งคำถามได้ แต่จริง ๆ ผลดีที่จะเกิดขึ้นไม่มีสำหรับตัวเองเลย
การถามที่ได้ประโยชน์จริง ๆ คือถามในเรื่องที่ตัวเองติดขัดอยู่ จะได้ไปต่อได้ ไปสงสัยเรื่องรอบ ๆ ตัว สงสัยไปก็ไร้ประโยชน์ เพราะว่าเป็นเรื่องของคนอื่นทั้งนั้น
ถาม : จะเลิกนิสัยนี้อย่างไรครับ ?
ตอบ : ก็ไม่ยาก รู้แล้วก็พยายามละเท่านั้นเอง
*************************
ถาม : (ไม่ชัด) ?
ตอบ : ค่อย ๆ แยกแยะดูแล้วจะเห็นอย่างชัดเจน
ว่าตัวผู้รู้ ก็คือตัวผู้รู้
ตัวรับรู้ ก็คือตัวรับรู้
บางทีภาษาบาลีเขาจะแยกชัด เป็นจิต กับ ชวนะ แต่ภาษาไทยบางทีก็สับสนปนเปกัน
สรุปว่าของที่ละเอียดเกินไป อย่าเพิ่งไปใส่ใจ แค่ตัวกูพยายามให้เห็นว่าไม่ใช่กูไว้ก่อน พอตัวกูไม่ใช่กูแล้ว คนอื่นย่อมไม่ใช่ของกูเหมือนกัน
เดี๋ยวก็จะเห็นกว้างไปเรื่อย ๆ ถ้าหากว่ากำลังพอ จิตก็จะยอมรับตรงนั้น ว่าสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ไม่ใช่สิงที่ควรยึดมั่นถือมั่นจริง
เรื่องของการปฏิบัติมีอยู่ระยะหนึ่งที่พึงระวังสุดขีดก็คือ ญาณเครื่องรู้เกิดขึ้น จะเกิดความแตกฉาน ขบคิดอะไรก็เข้าใจไปหมด เห็นความสอดคล้องสัมพันธ์ของทุกสิ่งทุกอย่างเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันหมด ไม่ว่าจะหัวข้อธรรมไหนก็เห็นว่าเกี่ยวโยงกันหมด
แต่จุดที่สำคัญจริง ๆ ก็คือ สิ่งที่เรารู้มีส่วนในการตัดกิเลสของเราไหม ?
ไม่ใช่ว่ารู้ทุกเรื่อง แต่เรื่องตัดกิเลสไม่รู้เลย แต่ว่าส่วนใหญ่ก็มักโดนหลอกให้หลงไปในแนวนั้น แนวที่ว่ารู้ทุกเรื่อง ยิ่งคิดยิ่งสนุก ย่ิงคิดยิ่งแตกฉาน จะสร้างยานอวกาศออกไปต่างดาวยังได้เลย แต่เรื่องการตัดกิเลสกลับไม่รู้เรื่องเลย
เป็นเรื่องที่จะต้องระวังให้จงหนัก ถ้าหากว่ายังไม่ถึงระดับนี้ ถึงหลงก็ยังไปไม่ไกล แต่ถ้าโผล่ไปถึงระดับนี้แล้วหลงไกลแน่ เพราะจะถูกพาเตลิดเปิดเปิงไปเรื่อย จนออกทะเลหาฝั่งไม่เจอ
คิดเรื่องอะไรก็เข้าใจไปหมด เป็นส่วนของจินตามยปัญญาคือ ขบคิดแล้วเข้าใจ ยังไม่ใช่ภาวนามยปัญญา คือปัญญารู้แจ้งเห็นจริง แล้วปล่อยวางได้
ถาม : อย่างนี้ต้องมีสติมากเลยสิครับ ?
ตอบ : ใช่…ถ้าไม่มีสติก็ไปไม่รอดอยู่แล้ว
พระพุทธเจ้าตรัสว่า ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา ต้องไปด้วยกัน ขาดสติเมื่อไรก็ถูกกิเลสไปไกลลิบเลย แล้วหลายคนก็อยู่ในอาการเฟื่องไปเลย ก็คือไปพูดเรื่องที่มนุษย์ทั่ว ๆ ไปไม่รู้
แบบสมัยคุณกมลที่มาที่นี่ นั่นถึงขนาดจะไปตั้งอาณานิคมบนดาวองคาร อาตมาก็เลยช่วยบอกวิธีการเขาว่าต้องทำอย่างไรถึงจะอยู่บนดาวอังคารได้จริง ๆ สนุกกันใหญ่ ไหน ๆ เขาจะไปแล้ว ก็ช่วยบอกให้เขาไปถูกทางหน่อย ...!
*************************
ถาม : การแยกเงินลงบัญชี ทำอย่างนี้ก็โกงง่ายมากเลยสิครับ ?
ตอบ : ง่ายมากเลย ถึงต้องซื่อสัตย์อย่างมาก เพราะว่าต่อให้คุณปลอมขนาดไหนก็ตาม นายบัญชีข้างล่างเขาตรวจเจอทุกที ผู้ตรวจบัญชีที่อื่นตรวจไม่รู้เรื่องหรอก แต่นายบัญชีข้างล่าง คือ ท่านสิริคุตมหาอำมาตย์ นายบัญชีท่านนี้แม่นจริง ๆ
ตอนช่วงนั้นเกิดอุบัติเหตุคอหัก อาตมาลงไป เห็นบัญชีเล่มหนาปึ้กเลย ท่านเปิดดูบอกว่า “อีก ๖ วันหาย”
พอท่านปิด อาตมาก็รีบเผ่นแน่บ ขืนอยู่เดี๋ยวท่านเปลี่ยนใจเอาตัวไว้เลย อะไรจะเก่งปานนั้น แค่เห็นหน้าก็เปิดบัญชีได้ตรง ไม่มีพลาดเลย
ถาม : ท่านที่จะมารับหน้าที่ต่อไปเป็นใครครับ ?
ตอบ : ยังไม่ได้ถามท่านเลย กลัวท่านจะหลอกให้อาตมาไปทำเสียเอง
ถาม : ท่านเหนื่อยไหมครับ ?
ตอบ : ในสภาพความเป็นทิพย์ไม่เหนื่อย แต่ในณะที่คนอื่นเขาคว้ามรรคคว้าผลไปหมดแล้ว ตัวเองต้องมารับภาระอยู่ คงเบื่อสุด ๆ เหมือนกัน
บุคคลที่มีปัญญาจะเห็นว่า ถ้ายังมีภาระอยู่ คือยังมีทุกข์อยู่
ฉะนั้น...ต่อให้อยู่ในความเป็นทิพย์ขนาดไหนก็ตาม ก็ยังเป็นทุกข์อยู่
ถาม : เทวดาที่ประมาท พออยู่ข้างบนแล้วไม่สร้างบุญต่อมีไหมครับ ?
ตอบ : มีเยอะแยะไป พวกที่ขึ้นไปใหม่ ๆ ยังไม่รู้ดีรู้ชั่ว เสวยสุขไม่ลืมหูลืมตา พอหมดอายุก็มักจะลงล่าง
กว่าจะรู้ก็บางทีแบบเดียวกับสุปติฏฐิตเทพบุตร นาทีสุดท้ายจะจุติไปข้างล่างอยู่แล้ว แต่ท่านทำบุญมาดี ในอดีตท่านเคยสร้างพระพุทธรูปไว้ ชาตินี้กุศลมาสนอง ถ้าไม่ได้พระพุทธเจ้าเสด็จไปเทศน์ให้ฟังก็เรียบร้อยกี่ขุมก็ต้องผ่านหมด
ถาม : ถ้าเราทำบารมีต่อไปมาก ๆ บารมีเราเยอะ ก็ไม่มีโอกาสลงนรกเลยถูกไหมครับ ?
ตอบ : ไม่ต้องกลัวหรอก มีโอกาสแน่ เกิดมากบาปก็เยอะด้วย
ถาม : ผมไม่ค่อยได้ทำบาปครับ ?
ตอบ : อย่างอาตมาก็ไม่ค่อยได้ทำ แต่ที่ป่วยจนงอมพระรามอยู่ทุกวันนี้ล่ะ ? ปล่อยปลาปล่อยวัวมา ๒๖ ปีก็เพราะอย่างนี้
ถาม : หลายชาติมารวมกันหรือครับ ?
ตอบ : อย่าใช้คำว่าหลายชาติเลย นับชาติไม่ถ้วน หลายวาระที่ดูแล้วตัวเองยังเป็นสัตว์เดรัจฉานอยู่เลย แต่กรรมนั้นเพิ่งจะตามมาทัน
*************************
“ช่วงที่อาตมาอยู่ชายแดน มีหมาสงครามอยู่ตัวหนึ่ง ชื่อ เอ็กซ์ แต่พอเขาเรียก “ไอ้เอ็กซ์” ทีไร อาตมาก็ขานตอบ “ครับ” ทุกที เพราะชื่อมีเสียงใกล้เคียงกัน แต่ขอโทษ...หมาตัวนี้ยศพันตรีนะครับ เวลาเจอหน้าต้องทำความเคารพหมาก่อน ทำความเคารพเสร็จแล้วค่อยเตะ...!
สาเหตุที่เอ็กซ์ติดพันตรี เพราะว่าโดนระเบิดตาย เจ้าเอ็กซ์พยายามเห่า และรั้งเจ้านายไม่ให้เดินเข้าไปหาระเบิด แต่เจ้านายก็ยังโง่เดินเข้าไปหาระเบิดอีก เจ้าเอ็กซ์ก็เลยกระโดดเหยียบกับระเบิดเอง”
ถาม : อย่างนั้นตายแล้วไปไหนครับ ?
ตอบ : ฉลาดปานนั้นน่าจะไปเกิดแล้ว สัตว์เลี้ยงที่อยู่ใกล้คน มักใกล้จะหมดกรรมของการเป็นสัตว์เดียรัจฉานแล้ว
ถ้าใจเขาเกาะคน ก็เกิดเป็นคน
ถ้าใจเขาเกาะพระ ก็เกิดเป็นเทวดาไปเลย
ฉะนั้น...โอกาสที่เขาลงต่ำมีน้อยมาก
สัตว์เดรัจฉานไม่ใช่ไม่มีโอากสทำชั่ว แต่ว่าส่วนใหญ่ทำโดยไม่ได้เจตนา หรือทำโดยไม่รู้ อย่างกากะเปรต พอเขาจะเอาอาหารไปถวายพระนกกาก็ขอกินก่อนคำหนึ่ง จึงกลายไปเป็นเปรต
ส่วนท่านที่ทำดีแล้วไปสบาย มีเยอะแยะไปหมด เช่น เอราวัณเทพบุตร มักกะโฏเทพบุตร
แล้วยังมีมัณฑุกะเทพบุตร ท่านหลังนี้เป็นกบ ฟังพระพุทธเจ้าเทศน์แล้วเพลิน เพราะเสียงของพระองค์ท่านไพเราะ ฟังไม่รู้เรื่องหรอกแต่ชอบ
กำลังฟังเพลิน ๆ อยู่ พอดีนายพรานล่าสัตว์ผ่านมาเห็นพระพุทะเจ้าจะเข้าไปกราบ ก็คิดว่าต่อหน้าสมณะ เราไม่ควรจะถืออาวุธเข้าไป ก็เลยเอาแหลนปักพื้นไว้ ไปโดนหลังกบตายคาที่พอดี
ถาม : อย่างนี้ถือว่ามีเวรกันไหมครับ ?
ตอบ : ในอดีตคงจะมีเวรต่อกันแน่นอน ไม่ได้เจตนายังต้องมาตาย แบบเดียวกับเราขับรถไม่เจตนาจะชนหมา แต่หมาบางตัวต้องตายให้ได้ นั่นแหละประเภทที่เคยมีเวรกันมา
ตัวอย่างชัดสุด ก็สมัยที่อาตมาไปอยู่เกาะพระฤๅษีใหม่ ๆ อาตมานั่งรถ ๖ ล้อของป่าไม้ ผู้ใหญ่พงศ์ ตอนนั้นยังเป็นหัวหน้าคนงานอยู่ ขับรถมาแล้วหมาเดินข้ามถนนมา เหลืออีกศอกเดียวก็จะเดินพ้นแล้ว
พอหมาเห็นรถมา ดันเลี้ยวกลับเฉยเลย พอเลี้ยวกลับผู้ใหญ่พงศ์ก็หักซ้าย หมาก็เลี้ยวกลับอีกที ผู้ใหญ่พงศ์ก็หักขวา หมาก็เลี้ยวขวาตามไปอีกที ผู้ใหญ่พงศ์หักพวงมาลัยไม่ไหวแล้ว เสียงโครม...! ผู้ใหญ่พงศ์หน้าเหลือ ๒ นิ้ว
อาตมาบอกผู้ใหญ่พงศ์ว่าช่างมันเถอะ ลักษณะอย่างนี้ต้องถึงที่ตายจริง ๆ มีไอ้บ้าที่ไหนวิ่งวนอยู่ได้ตั้ง ๓ รอบอย่างนั้น ไม่ตายก็เอาจนตายได้ อันนี้เป็นกรรมปาณาติบาตแน่นอน แต่ว่าระที่สร้างไว้มาส่งผลพอดี
อีกคราวก็ตอนที่มหาปิงยังไม่ได้บวช มหาปิงขับรถไปส่งอาตมาที่เกาะพระฤๅษี ไปตอนกลางคืน วิ่งไปเกือบจะถึงแถว ๆ ทุ่งก้างย่างแล้ว แมว ๒ ตัววิ่งออกมาจากข้างถนน แล้วก็ฟัดกันกลิ้งไปกลิ้งมาอยู่กลางถนน เร็วจนดูไม่ทัน มหาปิงหักหลบ แมวตกใจวิ่งเข้าหาล้อรถ...แบนทั้งคู่เลย...!
ถ้าหากว่าแมวหนีรถเมื่อไรมักจะตาย ถ้าหากว่าหมายังมีโอกาสรอด เพราะว่าแมวไวเกินไป พอหนีก็จะพุ่งหาที่มืด ๆ หลบ ๆ ซึ่งส่วนที่มืด ๆ ดำ ๆ ในสายตาของแมว คือล้อรถทุกครั้ง
เพราะความเร็วของแมวจึงตาย ถ้าช้าแบบหมาไม่ตายหรอก พอแมวพุ่งหลบก็หลยไปใต้ล้อทุกที เสียงดุงกรุบ หมาปิงก็หน้าเหี่ยว ถามว่าทำอย่างไรดีครับ ?
อาตมาบอกว่า “อุทิศส่วนกุศลให้ไปเลย” เจตนาเมื่อไรเล่า ? อุตส่าห์หลบแล้ว ยังวิ่งมาหาที่ตายอีก
*************************
บางทีก็สร้างกรรมเนื่องกันมาทั้งคนอื่นและเรา มีอยู่เที่ยวหนึ่งขึ้นเชียงใหม่ พอไปถึงลำปาง ช่วงกลางคืนกำลังวิ่งตามหลังรถญี่ปุ่นที่เขาเรียกว่ารุ่นเตารีด
อยู่ ๆ เหมือนกับหนังใบ้ มีหมาตัวหนึ่งลอยคว้างข้ามหลังคารถเก๋งคันหน้า มาหล่นปุอยู่ตรงหน้ารถของเรา คุณแดงก็ทับซ้ำไปเลย เพราะว่าหลบไม่ทันจริง ๆ
ถ้ารถเก๋งชนหมามักจะลอยขึ้น แต่ถ้าหากว่ารถกระบะมักจะคร่อม เพราะว่าใต้ท้องรถกระบะสูงกว่ารถเก๋ง
นี่แสดงว่าทั้งเขาและเราทำร่วมกันมา ไม่ได้รู้จักมักจี่กันเลย ขับรถตามกันมากลางคืนแท้ ๆ อยู่ ๆ หมาลอยคว้างมาให้เราเหยียบได้
ถาม : แบบนี้เป็นปาณาติบาตโดยไม่เจตนาไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าอย่างนี้อาตมาไม่คิดซะด้วยซ้ำไป ในเมื่อไม่เจตนาก็จบแค่นั้นเลย ขืนไปคิดต่อ ก็หานรกใส่ตัว...!
*************************
ถาม : อารมณ์สงสัยไปเรื่อย แก้ไขอย่างไรครับ ?
ตอบ : ถ้าอยู่กับการภาวนาจะเลิกสงสัย แสดงว่าที่คุณฟุ้งซ่านอยู่ตลอด ก็คือจับอารมณ์ภาวนาไม่ได้ ถ้าหากว่าคุณอยู่กับการภาวนา ใจจะนิ่งอยู่ตรงหน้าไม่ไปไหน
ถาม : ภาวนาเสร็จแล้วออกมาจะพิจารณา ก็จะสงสัยครับ ?
ตอบ : แสดงว่าออกมาแล้วคุณรักษาอารมณ์ไว้ไม่ได้ ถ้าพิจารณาอยู่ในองค์ธรรมจริง ๆ ก็ไม่ไปสงสัยอยู่ดี จิตก็ไปตามหัวข้อธรรมที่เราพิจารณา
แต่เราเห็นแล้วสงสัยทุกเรื่อง แสดงว่าสมาธิไม่ได้อยู่ตรงหน้า เตลิดเปิดเปิงไปยันไหนแล้วก็ไม่รู้
*************************
“ถ้านั่งอยู่แล้วอาตมาลุกหายไปเฉย ๆ ก็ขออภัยโยมด้วยนะ เพราะดูแล้ววันนี้น่าจะถูกมาลาเรียลงกระเพาะ เมื่อครู่ขึ้นไปครู่เดียวถ่ายไป ๓ รอบ เป็นบทเรียนสอนให้รู้ว่าอย่าเกเรมาก ถ้าเกเรมากก็จะเป็นแบบนี้แหละ
ปกติแล้วถ้ามาลาเรียลงกระเพาะ ก็จะอาเจียน กินอะไรไม่ได้ ด้วยความที่อาตมาเป็นคนที่ไม่เหมือนกับมนุษย์ทั่วไป รู้ว่าถ้าอาเจียนแล้วร่างกายจะแย่ เพราะว่าไม่มีอาหาร ก็เลยใช้วิธีกิน ๆ ๆ เข้าไป แล้วก็กลั้นไว้ไม่ให้อาเจียน ร่างกายเคยฝึกมาหนักจึงแข็งแรงพอ ทำให้กลั้นอยู่
แต่กลั้นไปกลั้นมาขึ้นข้างบนไม่ได้ เลยไปลงข้างล่างแทน ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา อาการมาลาเรียลงกระเพาของอาตมา ก็เลยกลายเป็นถ่ายท้องแทนมาจนบัดนี้
เห็ดหลินจือ อาตมาเกินไปแล้วประมาณครึ่งตัน ไม่รู้สึกรู้สาอะไรเลย อะไรที่ว่าดีกินมาแล้วทุกชนิดก็ไม่หาย ท้ายสุดยาบีบจนอาตมาจะตาย แต่โรคก็ไม่หาย จึงต้องเลิกกินยา รู้สึกว่าร่างกายดีขึ้นมานิดหนึ่ง
เรื่องของโรคภัยไข้เจ็บ เกิดจากเศษกรรมปาณาติบาต ถ้าหากว่าเราไม่กังวล โรคภัยก็ทำอะไรเราไม่ได้หรอก
และเป็นเรื่องที่ดีมาก ๆ ก็คือ เขาจะได้คอยตักเตือนเราอยู่เสมอว่า ร่างกายนี้ไม่ดี ทำให้เรามีสติ ไม่ลืม ไม่อย่างนั้นถ้าเกิดร่างกายเข็งแรงดีแล้ว เพลิน...ลืมอีก
ต้องบอกว่าสำหรับอาตมาแล้ว ขันธมารมีบุญคุณอย่างยิ่ง ที่คอยตักเตือนอยู่เสมอ ไม่ให้ลืมว่าร่างกายนี้ไม่ดี
ชะราธัมโมมหิ ชะรัง อะนะตีโต เรามีความแก่เป็นธรรมดา ไม่อาจล่วงพ้นความแก่ไปได้
พะยาธิธัมโมมหิ พะยาธิง อะนะตีโต เรามีความเจ็บไข้เป็นธรรมดา ไม่อาจจะล่วงพ้นความเจ็บไข้ไปได้
สิ่งที่ว่ามานี้ เขาให้พิจารณาจนสภาพจิตยอมรับว่าเป็นอย่างนั้นจริง ๆ ไม่ใช่ท่องให้คล่องปากไปเฉย ๆ ถ้าหากว่าเป็นอย่างนั้นจริง ๆ สภาพจิตก็จะยอมรับแล้วก็ไม่ไปดิ้นรน เมื่อไม่ไปดิ้นรน ความทุกข์ที่จะพึงมีก็น้อยลง”
*************************
ถาม : พระแตกนี้ถวายให้ท่านไปหล่อใหม่ครับ ?
ตอบ : เดี๋ยวเตะก้านคอให้เลย...! อุตส่าห์สอนมาทั้งชีวิต พระแตกเขาให้บรรจุ ไม่ได้ให้ไปหล่อใหม่
*************************
“สถิติที่น่าปลื้มใจก็คือ คนไทยกินน้ำตาลโดยเฉลี่ยมากที่สุดในโลก คนละ ๑๒ ช้อนชาต่อคนต่อวัน อาตมาไม่ฉันของหวานพวกนี้ ยังโดนบวกรวมไปด้วย
สถิติของต่างประเทศ ๔ - ๖ ช้อนชาต่อคนต่อวัน ส่วนเรามากกว่าเขา ๒ - ๓ เท่า เพราะฉะนั้น...เบาหวานจงเจริญ ใครไม่เป็นจะไม่ทันสมัย...!
*************************
ญาติโยมได้ร่วมกันนำพานดอกไม้ธูปเทียนมากราบขอขมาพระอาจารย์ เนื่องในโอกาสขึ้นปีใหม่ จากนั้นพระอาจารย์จึงให้พร
“นับเป็นโอกาสอันดีที่ปีใหม่นี้พวกเราได้มาทำอปจายนมัย คือการขอขมากรรมต่อครูบาอาจารย์ ถือว่าเป็นความดีอย่างยิ่งของพวกเรา
สิ่งทั้งหลายที่เคยล่วงเกินกันมา ทั้งญาติโยมทุกท่านและตัวอาตมาที่ผูกพันสืบเนื่องกันมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ขอให้เป็นอโหสิกรรมลงไปตั้งแต่บัดนี้
และความดีทั้งหลายที่อาตมภาพได้สร้างสมมา ตั้งแต่ต้นจวบจนบัดนี้ ไม่ว่าจะในชีวิตฆราวาส หรือว่าในชัวิตของนักบวชก็ตาม ขอให้ญาติโยมทั้งหลายจงมีส่วนในความดีทั้งหมดนั้นด้วย
ขอให้ทุกคนมีความสุขความเจริญ มีความปรารถนาที่สมหวังจงทุกประการ และขอให้เข้าถึงซึ่งพระนิพพานโดยถ้วนหน้ากัน ทุกท่านทุกคนเทอญ”
*************************
“เรื่องยศตำแหน่งที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระราชทานมา ต่อให้ไม่ต้องการก็ต้องรับไว้ ไม่อย่างนั้นจะกลายเป็นหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ
และตามธรรมเนียมปฏิบัติ เมื่อรับมาก็ต้องเรียกหาในชั้นยศล่าสุดที่ได้รับ ไม่บ้ายศบ้าตำแหน่ง ไม่บ้าเห่อก็ไม่เป็นไร แต่ว่าจำเป็นต้องเรียกหาตามนั้น
ถ้าหากว่าเรียกหลวงพ่อ ก็คือหลวงพ่อ แต่ถ้าจะมียศนำหน้า ต้องเรียกตำแหน่งสุดท้าย อย่างพระมหาเปรียญ ก็เป็นตำแหน่งที่ทรงตั้ง ก็ถือว่าเป็นยศพระราชทานเช่นกัน
คราวนี้ยศตำแหน่งพระราชาคณะชั้นราชของหลวงพ่อวัดท่าซุง ถ้าหากว่าจะเรียก ก็ต้องเรียกตำแหน่ง หลวงพ่อพระราชพรหมยาน ไปเลย”
*************************
“รู้จักออโรร่าไหม ?
ออโรร่าบางทีเขาเรียกว่า แสงเหนือ เป็นแสงที่เกิดจากการกระทบของแรงแม่เหล็กจากดวงอาทิตย์ ปะทะกับแรงแม่เหล็กขั้วโลก กลายเป็นสารพัดสี
ไปยืนดูนาน ๆ เหมือนกับตัวเองฝันไป บางทีดูไปดูมาแล้วเหมือนกับพวกที่ภาวนา แล้วเริ่มเข้าสู่อุปจารสมาธิ จะเห็นแสงเห็นสีสารพัดเต็มไปหมด”
*************************
“ปีใหม่นี้ทางวัดอากาศเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา เพราะว่ามรสุมตะวันตกเฉียงใต้ดันขึ้น ความกดอากาศสูงก็กดลง อากาศทองผาภูมิเปลี่ยนแปลง อาทิตย์หนึ่ง ๗ - ๘ วัน อากาศขึ้น ๆ ลง ๆ ไม่นิ่งเลย
ปกติช่วงนี้จะนิ่งอยู่ระดับ ๑๗ องศาเซลเซียส ตอนนี้กระโดดไปมาตั้งแต่ ๑๓ - ๒๓ องศาเซลเซียส ถ้าอากาศเปลี่ยนแปลงถึง ๒ องศานี่จะร้อนหนาวชัดเจนมาก แล้วอาตมามีเชื้อมาลาเรียอยู่ในร่างกาย พออากาศเปลี่ยนทีก็กำเริบที ก็เลยสนุกสนานกันยกใหญ่
ระยะเวลาที่ผ่านมา ก็มีหน้าที่ประคับประคองร่างกายตน ให้สามารถทำงานได้โดยที่ไม่เสียหายต่อการงาน ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ลำบากมากแล้วที่จะยืนระยะให้อยู่ได้
ถึงได้กล่าวว่า ความจริงแล้วขันธมารเป็นผู้ที่มีบุญคุณอย่างยิ่ง เพราะคอยตักเตือนให้อาตมารู้อยู่เสมอว่า ร่างกายนี้หาความดีไม่ได้
ถ้าไม่มีเขาคอยเตือนอยู่ อาจจะหลงเตลิดเปิดเปิง คิดว่าตัวเองแข็งแรง และท้ายสุดก็อาจจะลืมตัวไปด้วยว่าจะต้องตาย...!
*************************
ในเรื่องของโรคภัยที่เป็นอยู่ อย่างวันก่อนพอถ่ายท้องพรวดเดียวหมด เข้าไปนอนใจสั่นหวิว ๆ อยู่ในลักษณะที่ว่าชีวิตเราเหลือแค่ลมหายใจเดียว จะสิ้นสุดลงไปตอนนี้หรือเปล่าหนอ ? ก็ต้องรีบเกาะความดีไว้
ถึงได้บอกว่า เรื่องของความเจ็บไข้ได้ป่วยต่าง ๆ เป็นการทดสอบที่ดีมาก ๆ ของนักปฏิบัติ เราจะได้รู้ว่าสิ่งที่เราทำมานั้น เพียงพอแก่การใช้งานหรือไม่
ถ้าหากว่าพอแก่การใช้งาน ก็มีหน้าที่ดู รักษาได้ก็รักษา รักษาไม่ได้เอ็งจะตายก็เรื่องของเอ็งเถอะ ไม่ได้อยากจะอยู่แล้วนี่ เพราะฉะนั้น...ถ้าทำท่าจะพัง อาตมาก็เริ่มดีใจ
คราวนี้ก็เลยไปเข้าใจตรงจุดที่ว่า พระปฏิบัติจะสวยที่สุด ๒ วาระด้วยกัน ก็คือ
วาระที่เข้าถึงมรรคผล
กับวาระที่จะวางเสียซึ่งสังขารอันเป็นภาระหนักนี้แล้ว
ตอนที่ได้มรรคผล ก็คือยินดีว่าเข้าถึงใฝ่หามานับชาติไม่ถ้วนแล้ว เป็นส่ิงเข้าถึงได้ยากอย่างยิ่ง ต้องสั่งสมบารมีใน ศีล สมาธิ ปัญญา มานับชาติไม่ถ้วน เกิด ๆ ตาย ๆ จนกระดูกกองสูงยิ่งกว่าภูเขา
ส่วนวันที่จะต้องละเสียซึ่งสังขารนี้ ก็เกิดความยินดีเป็นอย่างยิ่งว่าภาระอันใหญ่หลวงนี้เราจะได้วางทิ้งแล้วหนอ ไม่ต้องแบกต่อไปอีกแล้ว จึงเกิดปีติขึ้นมา
เมื่อปีติขึ้น หน้าตาก็จะผ่องใสผิดปกติ แต่โบราณเขาเก่งสรุป สั้น ๆ ว่า ถ้าเห็นหน้า...หน้านวล...ก็จวนตาย...!
เพราะฉะนั้น...ถ้าคนป่วย อยู่ ๆ เห็นหน้าตาผ่องใสผิดปกติ ให้รู้ว่านั่นเป็นเปลวเทียนวูบสุดท้ายแล้ว
ถ้าใครเคยใช้เทียนจะสังเกตว่า ก่อนดับ...เปลวเทียนจะพุ่งสูงลิบแล้วก็ดับไป เป็นการดูดเอาน้ำตาเทียนหยดสุดท้ายขึ้นมาใช้งานจนหมดเกลี้ยง
เรื่องทั้งหลายเหล่านี้สามารถมาถึงตัวเราและคนรอบข้างได้ทุกเวลา เป็นเรื่องที่ประมาทไม่ได้ ชีวิตของเรามีอยู่แค่ลมหายใจเข้าออกเท่านั้น
*************************
เมื่อครู่ที่ได้กล่าวว่า ชะราธัมโมมหิ ชะรัง อะนะตีโต พะยาธิธัม โมมหิ พะยาธิง อะนะตีโต
เรามีความแก่เป็นธรรมดา ไม่อาจล่วงพ้นความแก่ไปได้
เรามีความเจ็บไข้เป็นธรรมดา ไม่อาจจะล่วงพ้นความเจ็บไข้ไปได้
ไม่ใช่เรื่องที่มาท่องให้คล่อง ๆ ปาก แต่เป็นเรื่องที่ต้องพิจารณาให้เห็น แล้วสภาพจิตยอมรับจริง ๆ
ถ้าหากว่าพิจารณาเห็นแล้ว สภาพจิตยอมรับจริง ๆ ก็จะไม่มีการไปดิ้นรน ก็คือเห็นว่าธรรมดาของร่างกายนี้ต้องเจ็บไข้ได้ป่วย ต้องแก่ และก้าวไปหาความตายเป็นปกติ
ดังนั้น...เรื่องทั้งหลายเหล่านี้ เราทุกคนควรที่จะพิจารณา และทำให้เกิดผลจริง ๆ ถึงจะได้ไม่เสียชื่อว่าเป็นนักปฏิบัติ ไม่เสียชื่อว่าเป็นลูกหลานหลวงปู่หลวงพ่อ ไม่ใช่ประเภทป่วยทีก็โอดครวญ จนคนรู้กันไปครึ่งโลกเลย...!”
*************************
โยมถวายสังฆทาน โดยถวายทีละชุดไปเรื่อย ๆ หลายครั้ง พระอาจารย์กล่าวว่า
“แสดงว่าโยมไม่อยากได้รางวัลใหญ่ เมื่อวานเพิ่งปรารภถึง ดร.เอ (อัจฉรา เสาว์เฉลิม)
สมัยที่หลวงพ่อวัดท่าซุงยังอยู่ ดร.เอ ถูกหวยทุกงวด แต่หักแล้วที่ซื้อกับที่ได้ก็แทบจะเท่ากัน ประเภทกองลาดตระเวนเก็บเล็กเก็บน้อยไปเรื่อย อย่างโยมแทนที่จะทำบุญทีเดียว ก็ทำทีละครั้ง
วิสัยคนก็ไม่เหมือนกันด้วย ถ้าเป็นนิสัยของอาตมาก็เทไปทีเดียวเลย ได้อะไรก็ตูมเดียวเลยเหมือนกัน มาดู ๆ แล้วจากเหตุการณที่ผ่านมาก็ทำให้รู้ว่า เพราะนิสัยทำบุญทีเดียวของอาตมานี่แหละ ถึงเวลาได้อะไรก็ได้รวดเดียว
ปี ๒๕๔๗ ปีเดียวได้ตราตั้งมา ๘ ใบ จนตัวเองก็งงว่านี่ตำแหน่งอะไรบ้าง มาปีนี้ก็ได้พระครูชั้นสัญญาบัตร พร้อมเสาเสมาธรรมจักร และรับปริญญาโทด้วย
ปกติเสาเสมาธรรมจักรได้ยากได้เย็น กลับเทมาทีเดียวพร้อมกัน เรื่องพวกนี้บอกนิสัยของพวกเราได้ว่า พวกเราชอบทำบุญแบบไหน ประเภททำทีเดียวถึงเวลาก็มาทีเดียว ทำหลายทีก็ทยอยกันมา
แบบสมเด็จพระพุทธทีปังกรสัมมสัมพุทธเจ้า กับ สมเด็จพระพุทธกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้า ในเรื่องของลาภผลทั้ง ๒ พระองค์ มีลาภมากมหาศาลเหมือนกัน แต่พระองค์หนึ่งลาภมาอย่างกับคลื่นยักษ์ถล่มเมืองเลย อีกพระองค์ท่านหนึ่งทยอยมาเรื่อย ๆ ไม่ขาดสาย
นี่คือลักษณะสร้างบุญของทั้ง ๒ พระองค์ท่าน แม้ว่าในด้านทานบารมีเหมือนกัน แต่วิสัยในการทำก็ไม่เหมือนกัน
ใครไม่รู้ว่าคลื่นยักษ์มาทีดุเดือดขนาดไหน ให้ลองไปดูวีดิโอที่เขาถ่ายไว้ บางคนเขาใจเย็นมากเลย ขนาดหนีขึ้นเขาไปแล้ว ยังอุตส่าห์ถ่ายวีดิโอไปเรื่อย แต่ก็ดีตรงที่ได้เห็นภาพ กวาดมาตูมเดียวเรือนชานบ้านช่องรถยนต์เป็นร้อย ๆ คันหายวับไปกับตา...!
ไม่มีอะไรเอาชนะพลังธรรมชาติได้ เห็นลักษณะนั้นแล้วจะได้รู้ว่ามนุษย์เรากระจ้อยร่อยเหลือเกิน
ถ้าหากว่านับในโลกมนุษย์ของเราก็เป็นเพียงส่วนเสี้ยวนิดเดียว ถ้าไปนับในจักรวาลนี่เป็นเศษผงเลย แล้วทำไมถึงได้แบกมานะกันอยู่นักหนา อะไร ๆ ก็ตัวกูของกู เอากูเป็นใหญ่ไว้ก่อน ทั้งที่จริง ๆ แล้วแค่เศษฝุ่นชัด ๆ ...!”
*************************
เก็บตกบ้านวิริยบารมี เดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๕
“อีกไม่กี่เดือนรถไฟฟ้าจะมาลงปากซอยบ้านวิริยบารมี เขากำลังทำสถานีอยู่ ที่ตรงนี้แพง เพราะว่าเป็นแนวรถไฟฟ้าพอดี แต่ก็ต้องยอมจ่ายแพง เพื่อความสะดวกในการเดินทางของญาติโยม
ปรากฎว่าพอซื้อที่เสร็จ นายกฯ ทักษิณหลุดออกจากตำแหน่ง โครงการของเขาก็เลยโดนดองไว้ นี่เพิ่งจะมาเริ่มกันใหม่
พอดีปีนี้สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงเจริญพระชนมายุครบ ๘๐ พรรษา เขาว่าจะสร้างให้ทันงานฉลอง ก็แปลว่าประมาณสิงหาคมน่าจะเปิดทำการรถไฟฟ้าได้ ถ้าไม่ได้อย่างไรก็ต้องไปเดือนธันวาคมวันพ่อโน่นเลย
อาตมาไปอินโดนีเซียเที่ยวนี้ไปเครื่องบินแบบประหยัด มีกระเป๋าติดตัวได้ใบเดียว ซึ่งอาตมาก็เคยชินกับการไปไหนกระเป๋าใบเดียว ทุกครั้งที่ขึ้นเครื่อง เขาจะต้องถามตอนตรวจตั๋วว่า มีสัมภาระไหม ?
อาตมาไม่เคยมีกับใคร กระเป๋าใบเดียวเที่ยวทั่วไทยไปทั่วโลก...!”
*************************
“หลวงปู่ครูบาผัด วัดหัวฝายต้องบอกว่าท่านท้าทายวิทยาศาสตร์มาก เผาเสร็จไม่ทันไร อัฐกลายเป็นพระธาตุเลย แล้วที่ท้าทายมากคือ เป็นกระดูกครึ่งหนึ่ง เป็นแก้วครึ่งหนึ่ง สุดยอดจริง ๆ อาตมาดูมาหลายองค์แล้ว องค์อื่นยังไม่เคยเห็นแบบนี้เลย
ทางเหนือเขาจัดงานฌาปนกิจแบบอลังการมาก แต่น่าเสียดายที่เผา ไม่ได้เก็บสังขารเอาไว้เหมือนทางด้านเรา”
*************************
“เมื่อช่วงก่อนปีใหม่สัก ๒ อาทิตย์ มีห้างใหญ่ลดราคาเครื่องใช้ในครัว อาตมาให้เงินแม่ชีไป ๗ หมื่นบาท กลับมาไม่เหลือสักบาทเดียว...!
แม่ชีซื้อของมาเป็นคันรถเลย ตอนนี้กำลังพ่นสีชื่อวัดติดของทุกชิ้นกันอยู่ แต่ก็ไม่มีประโยชน์หรอก คนที่เขาหยิบยืมไปใช้ ถ้าจะเอาเสียอย่าง ต่อให้ติดชื่ออยู่เขาก็เอา ไม่ว่าจะซื้อของมามากแค่ไหน พอโยมยืมไปยืมมาก็จะร่อยหรอไปเรื่อย แล้วก็ต้องซื้อเพิ่มอีก
เรื่องการยืมของ อาตมาพยายามที่จะให้รัดกุมแล้ว แต่บางทีเด็กวัดหรือแม่ชีก็เกรงใจโยม ที่วัดจะมีบัญขีรับส่งอยู่ว่าเขายืมอะไรไป แล้วเอามาส่งคืนครบหรือไม่
แต่ปรากฎว่าพอเขาเอามาส่ง แม่ชีก็ไม่กล้าตรวจสอบต่อหน้าเขา เพราะว่าเกรงใจ เขากลับไปแล้วค่อยมาตรวจใหม่ พอไม่ครบก็ว่าอะไรไม่ได้แล้ว
ดูท่าจะต้องเปลี่ยนจากแม่ชีหรือเด็กวัดที่ดูแลให้เป็นพระ แล้วต้องเลือกท่านที่โหด ๆ หน่อยด้วย...!
*************************
ญาติโยมบางท่านก็ค่อนข้างจะมีอิทธิพลในพื้นที่ เป็นระดับนายกเทศมนตรีบ้าง สมาชิกสภาเทศบาลบ้าง นายก อบต. บ้าง สมาชิก อบต. บ้าง คนในวัดก็ไม่กล้าไปว่าอะไรเขา
ส่วนอาตมาด่าตั้งแต่นายอำเภอลงมาถึงภารโรงเลย...! เขาเคยชินกันแล้ว นายอำเภอคนเก่าโดนด่าไปต่อหน้าเลย บรรดานักการเมืองท้องถิ่นจะโดนบ่อย
ส่วนใหญ่เขาจะอยู่ในลักษณะมาหาเสียง พอถึงเวลาจะประเคนของก็ต้องประกาศเรียกขึ้นมาประเคนทีละคน ๆ อาตมาก็พอรับได้ตรงนี้ เพราะรู้ว่าเป็นลีลาของเขา
แต่พอบอกว่าให้ประเคนตอนนั้น เขากลับไม่ทำ พอเลิกงานแล้วดันมาทำ พระก็ยังกลับไม่ได้
ปกติตอนช่วงถวายสังฆทาน อาตมาบอกเขาว่า ถ้าใครจะถวายอะไรก็จัดมาตอนนี้เลย เขาก็เฉย ๆ กระทั่งพระท่าน ยถาฯ สัพพีฯ ญาติโยมกรวดน้ำรับพรเสร็จแล้ว เขาค่อยประกาศเรียกพรรคพวกมาถวาย
พออาตมาจับไมค์ได้ก็ด่าส่งไปเลย เพราะถ้าไม่มีใครว่าเขาจริง ๆ ต่อไปเขาก็จะทำผิด ๆไปเรื่อยตกลงว่าอาตมาต้องยอมเป็นคนปากร้ายไปคนเดียว”
*************************
ถาม : รับยันต์เกราะเพชรที่บ้านก็ได้ใช่ไหมครับ ?
ตอบ : อยู่ที่ไหนก็ได้ ขอให้ตั้งใจรับด้วยความเคารพ ต่อให้อยู่ดาวดวงอื่นก็รับได้ บารมีพระที่ท่านสงเคราะห์นี้ไม่มีประมาณ
เพียงแต่ว่าส่วนใหญ่พวกเรามักขาดความมั่นใจ อยากจะมารับที่วัด แต่ก็เป็นเรื่องแปลกที่มีหลายรายรับอยู่ที่บ้าน แล้วมีอาการระบุชัด ๆ ว่าได้รับแน่นอน ครั้งต่อไปดันไปรับที่วัดอีก
แต่ถ้าไปรับที่วัด บางทีสมาธิจะเสียหนัก เพราะว่าคนที่ไปบางรายโดนไสยศาสตร์ หรือพวกผีเจ้าเข้าสิงมา พอถึงเวลาเริ่มพิธี ก็จะอาละวาดตึงตังโครมคราม ทำให้เราเสียสมาธิ
แต่เรื่องพวกนี้เป็นหน้าที่ของท่านท้าวมหาราชและบริวารท่านจัดการ เพราะว่าจะอาราธนาท่านช่วยกำจัดพวกนี้โดยเฉพาะเลย
ถาม : ครั้งต่อไปเมื่อไรครับ ?
ตอบ : ๒๓ มิถุนายน กับ ๒๐ ตุลาคม ปกติแล้วปีหนึ่งจะมีครั้งหนึ่งหรือสองครั้ง แต่ปีนี้มี ๓ ครั้ง
แล้วทุกครั้งที่มีเสาร์ ๕ เหตุการณ์บ้านเมืองจะไม่ค่อยดี ก็เลยจัดพิธีขึ้นมาเพื่อผ่อนหนักให้เป็นเบา
คนที่ตั้งใจภาวนารวมกันอยู่หลาย ๆ พันคน พรหมเทวดาที่ท่านดูแลประเทศ ท่านสามารถเอากำลังที่รวมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันนั้นไปคานกับสิ่งที่ไม่ดีได้
*************************
ถาม : ท่านลาพุทธภูมิแล้วหรือครับ ?
ตอบ : ไม่เอาแล้ว อาตมาตกกระไดพลอยโจน ตามหัวแถวก็คือหลวงพ่อวัดท่าซุงมาเรื่อย จนกลายเป็นว่าระยะเวลาได้ แต่ไม่ใช่ความตั้งใจของตัวเองที่แท้จริง
ตอนที่ลาพุทธภูมิครั้งแรก ท่านไม่อนุญาต
ครั้งที่ ๒ ท่านไม่อนุญาต
จนกระทั่งถึงครั้งที่ ๓ ท่านอนุญาตแบบแปลก ๆ ท่านบอกว่าให้ลาได้ แต่งานเดิมให้ทำไปก่อน
ฟังแล้วงง ๆ เหมือนกับว่า ถ้าแน่จริงเอ็งก็ไปพระนิพพาน แล้วถ้าไม่แน่จริง ก็อยู่ต่อไปเถอะ เลยกลายเป็นคนที่ลาแล้วออกอาการประหลาด ๆ
แต่เห็นชัดอยู่อย่างหนึ่งก็คือว่า เรื่องรอบข้างไม่เอาแล้ว สมัยที่ลาพุทธภูมิ หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านเตือนว่า “เล็ก...แกระวังไว้นะ ลาพุทธภูมิแล้วกำลังจะตก”
อาตมาก็มานั่งพิจารณาดูว่าตกตรงไหน สมาธิสมาบัติก็เหมือนเดิม ความบ้าความบวมก็เหมือนเดิมทุกอย่าง พอดูไปดูมาระยะหนึ่ง ถึงได้เห็นว่าตกจริง ๆ
คำว่ากำลังตกตรงจุดนี้ก็คือ ไม่เอาเรื่องคนอื่นแล้ว ถ้าไม่ใช่มาดิ้นพราด ๆ ล้มทับตีจนเดินหนีไม่ได้ ก็ไม่ช่วยใครแล้ว ไปเองดีกว่า กำลังตกจริง ๆ ก็คือไม่เอาเรื่องคนอื่นแล้ว กำลังใจเหลือแค่นี้เอง
*************************
|