ถาม :  ในการขับรถน่ะค่ะ บางทีสุนัขวิ่งชนตัดหน้าโดยที่เราเบรกไม่อยู่ แล้วเราไม่ได้เจตนาที่จะขับรถชนเขาเลย ?
      ตอบ :  จริง ๆ ถ้าหากว่าเจตนาไม่มี กรรมอันนั้นก็ไม่เรียกว่าเป็นกรรม แต่ว่ามันเป็นเพราะว่าในอดีตอาจจะเคยมีกรรมผูกพันกันมา ทำให้เขาจะต้องมาตายลงด้วยน้ำมือเราทั้ง ๆ ที่เราไม่ได้เจตนาเลย ตัวกรรมที่ผูกพันกันมามันส่งผลให้เขาเป็นอย่างนั้น เราเองก็ตั้งใจอุทิศส่วนกุศลให้เขาไปเลย เคยเจอหลายทีบางทีมันนอนตายข้างถนน อุทิศส่วนกุศลให้มัน ๆ ดันจะตามมา บอกเอ็งไม่ต้องตามเลย อยู่ตรงนั้นแหละ ถ้าหากว่าไปที่ดี ๆ ได้ก็ไปซะ
      ถาม :  แล้วสุนัขที่เสียชีวิตเนี่ยนะคะ วิญญาณมันยังออกไปอยู่ในรูปสุนัขหรือว่าเปลี่ยนสภาพไป ?
      ตอบ :  ส่วนใหญ่ก็คือคนดี ๆ นี่เอง เพราะว่ารูปสุนัขนี่เป็นแค่เปลือกนอกที่เห็น อทิสมานกายของจะคล้ายกันหมด ตามความดี ความชั่ว แต่ว่าสัตว์เดรัจฉานนี่ถ้าหากว่าตาย...กำลังใจเกาะคนจะเกิดเป็นคนกำลังใจเกาะพระจะเกิดเป็นเทวดา อย่างเก่งของเขาก็จะเกิดเป็นเดรัจฉานอย่างเดิม โอกาสที่จะลงอบายภูมิต่ำกว่านั้นมันน้อยมาก....เพราะฉะนั้นพวกนี้จะได้เปรียบเราเยอะ เกาะอะไรได้อันนั้นเลย
      ถาม :  ทำไมจิตของพวกสุนัขถึงไม่ตกต่ำมากกว่าที่มนุษย์เราเป็นอยู่ ?
      ตอบ :  เพราะว่าความหยาบของจิตของเขา ทำให้เขาต้องจำกัดอยู่ในร่างของสัตว์เดรัจฉาน ก็เป็นการลงโทษมามากพอแล้ว อีกอย่างหนึ่งโอกาสที่เขาจะทำผิดในลักษณะที่เรียกว่า ละเมิดสิ่งที่เป็นกรรมใหญ่เป็นอะไรมันน้อย โอกาสจะลงอบายภูมิก็ยาก แต่ว่ามีเหมือนกันนะ ประเภทอย่างที่ว่าโตไทยพราหมณ์ สมัยที่เป็นลูกสุนัขไปขวางทางพระพุทธเจ้าป่านนี้ยังอยู่อเวจีอยู่เลย
      ถาม :  แค่ขวางทางนี่เหรอครับ ?
      ตอบ :  ใช่...คือตั้งใจข้บไล่พระพุทธเจ้าไม่ให้เข้ามาในเขตของตัวเอง เพราะกลัวว่าพระพุทธเจ้าสอนเอาสาวกของตัวเองไปหมด โตไทยพราหมณ์ท่านตั้งใจจะเป็นพระพุทธเจ้า...(หัวเราะ)
      ถาม :  หมานี่คิดได้อย่างงี้เลยเหรอครับ ?
      ตอบ :  ตอนเป็นคนก็คิดอย่างนั้น พอเป็นหมาจำได้ก็เอาแบบเดิม
      ถาม :  โห..น่ากลัวมากเลยนะเจ้าคะ ?
      ตอบ :  จ้ะ...เรื่องของกรรมมันน่ากลัวมาก แต่ว่าคนเราส่วนใหญ่มองไม่เห็นต้น ไม่เห็นปลายก็เลยไม่กลัว
      ถาม :  แล้วทำไมหมานี่ถึงมีลักษณะแบบว่า จงรักภักดีต่อเจ้านาย ?
      ตอบ :  พวกนี้โดยธรมชาติของเขาว่า ใครเลี้ยงเขาเขาจะดีด้วย
      ถาม :  คือคล้าย ๆ ว่าคนที่มีจิตกตัญญูหรือเปล่าครับ มาเกิดเป็นหมา ?
      ตอบ :  ลักษณะแบบเดียวกัน แต่ว่ามันเป็นสัญชาตญาณอย่างหนึ่งว่า ถ้าหากว่าเขาทำให้เจ้านายพอใจ ส่วนที่เขาได้ตอบแทนก็คือได้ที่กิน ได้ที่อยู่ เขาก็เลยจำเป็นต้องทำอย่างนั้น มันเป็นสัญชาตญาณของเขาอย่างหนึ่งที่จะเอาตัวรอดได้
      ถาม :  มีคนเขาเกิดเหตุการณ์ประหลาดขึ้นน่ะเจ้าค่ะ มีญาติของเขาอยู่คนหนึ่งอยู่ดี ๆ ตอนสี่ทุ่มนี่ยังคุยกันแบบคนปกติ ทีนี้พอเริ่มห้าทุ่ม ห้าทุ่มนี่ศีรษะเขาเกิดอาการมึนงง แล้วก็อาการพูดจาเพ้อเจ้อพูดอะไรไม่รู้เรื่องเลย ทางบ้านบอกดูอาการแล้วไม่ไหว แล้วก็เลยพาส่งโรงพยาบาล พอพามาที่โรงพยาบาลหมอเช็คสมอง มีน้ำบวมอยู่ในสมอง แล้วหมอบอกว่า คนเนี้ยจะอยู่ได้ไม่ถึงเจ็ดวันน่ะค่ะ ทีนี้พอญาติของเขาพาไปหา ไม่ทราบว่าเขาไปหาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ กราบไหว้เนี่ยนะเจ้าคะ หลังจากนั้น ๓ วันสมองที่บวมอยู่ที่หมอบอกว่าคนนั้นจะเสียชีวิต มันยุบลงแล้วหมอก็ไล่บอกว่ากลับบ้านได้แล้ว ไม่ต้องอยู่ไม่เสียชีวิตแล้ว ทีนี้ไม่ทราบว่าพลังอะไรที่มันไปมีผลให้เป็นอย่างนั้นได้เจ้าคะ ?
      ตอบ :  ของลักษณะนั้น มันอาจจะอยู่ในลักษณะที่ไปโดนไสยศาสตร์ที่ที่โบราณเขาเรียกว่า ลมเพลมพัด ลักษณะของการโดนลมเพลมพัด มันก็จะทำให้เกิดอาการเจ็บป่วยพิลึกพิลั่นเกิดขึ้นกับร่างกาย หมอทั่ว ๆ ไป เขาตรวจเขาจะหาสาเหตุไม่ออก หรือว่าสาเหตุของเขาก็รักษาไม่ได้ คราวนี้พอไปในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ หรือหลวงปู่หลวงพ่อที่ท่านมีความสามารถก็ดี ของพวกนี้มันไม่สามารถต้านอำนาจได้ มันสลายตัวไปก็เท่ากับว่าหายเป็นปกติ
      ถาม :  ได้ใช่ไหมเจ้าคะ พวกนี้เสื่อมลงไปได้ ?
      ตอบ :  ได้จ้ะ ถ้าหากว่าเจอของที่มีอานุภาพสูงกว่าข่มเข้าก็ไม่เหลือ อย่างที่งานเป่ายันต์เกราะเพชรที่ผ่านมามีพวกที่โดนของไปก็หายไปหลายคน
      ถาม :  ที่ไปที่วัดถ้ำอาชาทองน่ะครับ หลวงพ่อครูบาท่านบอกว่าท่านโดนของแบบว่าโดนประจำเลยอย่างเนี้ย ท่านบอกว่าถ้าเกิดเวลาเผลอสติปุ๊บของนี่จะเข้าตัวทันที ทำไมถึงเข้าได้ล่ะครับ เพราะว่าท่านเป่ายันต์เกราะเพชรเหมือนกัน ?
      ตอบเรื่องของยันต์เกราะเพชร มันสำคัญตรงที่ว่าได้อาราธนาหรือเปล่า ? หลวงพ่อท่านถึงได้ย้ำนักย้ำหนาว่าตอนเช้าต้องภาวนาอิติปิโสฯ ให้อารมณ์ใจทรงตัวแล้วตั้งใจนึกถึงพระ กลืนน้ำลาย ๓ ครั้ง จะคลุมได้ทั้งวัน
      ถาม :  ในเรื่องการของการอโหสิกรรมน่ะเจ้าค่ะ เวลาเราอโหสิกรมแล้วมีการจุดธูปเทียน แล้วมีดอกไม้ธูปเทียนให้อโหสิกรรมกัน กับการอโหสิกรรมด้วยการพูดปากเปล่าเหมือนกันไหมเจ้าคะ แล้วอิทธิพลผลของการอโหสิกรมด้วยปากเปล่า ?
      ตอบคือถ้าหากว่าโจทย์กับจำเลยอยู่ต่อหน้ากัน แล้วต่างเอ่ยปากยอมความอโหสิกรรมกันมันจะมีผลทันทีเดี๋ยวนั้นเลย แต่พวกประเภทไปจุดธูปจุดเทียนขออโหสิกรรม ถ้าอีกฝ่ายไม่ยอมก็เท่านั้นล่ะจ้ะ แล้วถ้าถามว่ามันมีผลเหมือนกันไหม ไม่เหมือนหรอกเพราะเรื่องอโหสิกรรมนี่โจทก์จำเลยมันต้องมาอยู่ต่อหน้ากัน ต่างคนต่างออกปากยกโทษให้อีกฝ่ายหนึ่งก็จบเลย ประเภทที่ว่าเขาไม่รู้เรื่องอะไรเลยเราไปจุดธูปจุดเทียนขออโหสิกรรมอยู่ฝ่ายเดียวก็อาจจะไม่ได้อะไรเลย นอกจากเปลืองธูปเปลืองเทียนไป หรือว่าเราเองขออโหสิกรรมเรายอมอยู่ฝ่ายเดียว
      ถาม :  แล้วเขาสามารถจองเวรเราข้ามภพข้ามชาติได้เลยใช่ไหมเจ้าคะ ?
      ตอบ :  ได้จ้ะได้ เพราะว่าของพรรค์นี้ถ้าเขาไม่เลิกมันก็ตามไปเรื่อยแหละ
      ถาม :  โห....อย่างนี้ก็ถ้าเกิดเราอโหสิกรรมฝ่ายเดียวเขาจองเรา เราก็เสียเปรียบสิเจ้าคะ ?
      ตอบถ้าคิดอย่างนั้นก็อีกยาว (หัวเราะ) มันจะจองหรือไม่จองเรื่องของเขา ของเราเองถึงเวลาถึงวาระเราก็ตั้งใจอโหสิกรรมให้เขาเสีย เราถอนจิตของเราออกมาจากหล่มอันนั้นซะ มันก็เป็นอันว่าจบกันไป ส่วนเขาเองจะจองยังไงเรื่องของเขาเถอะ เราไม่ว่ากันอยู่แล้่ว
      ถาม :  ถามต่อนะเจ้าคะ สงสัยเรื่องเวลาจะนำศพขึ้นเมรุเผาศพน่ะเจ้าค่ะ จะต้องมาเวียนศพทางด้านซ้าย การเวียนศพทางด้านซ้ายกับทางด้านขวาที่เวลาบวชพระ ต้องเวียนขวา เวียนซ้ายกับเวียนขวานี่มันต่างกันยังไงคะ ?
      ตอบ :  นั่นมันเป็นการยึดถือของคน เขาถือว่าเวียนขวาเป็นมงคล เวียนซ้ายเป็นอวมงคล ในเมื่อเขายึดถือมาอย่างนั้นเขาก็ทำกันอย่างนั้น
      ถาม :  มันมีผลอะไรที่จะต้องมาเวียนศพก่อนเผาไหมเจ้าคะ ?
      ตอบ :  มีจ้ะ...เหนี่อยดีอย่างน้อย ๆ ได้วนตั้ง ๓ รอบ
      ถาม :  นึกว่าจะให้ปลงอนิจจังก่อนที่จะเผา ?
      ตอบ :  จริง ๆ ก็คือให้ตั้งใจอย่างนั้น รอบแรกก็คืออนิจจัง รอบสองคือทุกขัง รอบสามก็คืออนัตตา ให้เห็นความไม่เที่ยงความเป็นทุกข์ไม่มีอะไรยึดถือมั่นหมายได้ แต่คนส่วนใหญ่เดินก็สักแต่ว่าเดินตาม ๆ กันไป
              แล้วระยะหลังเห็นอะไรแปลก ๆ เยอะเลย ปกติจูงศพก็คือพระหรือเณรใช่ไหม ส่วนชาวบ้านน่ะเขาส่งศพ แต่สมัยนี้เห็นมันแย่งกันจูงอุตลุด เคยเห็นไหม ? เออ...นั่นแหละ คราวหน้าจำไว้นะจ๊ะเดินตามโลง เราไปส่งศพ จูงศพน่ะมันหน้าที่ของพระของเณรเขา สมัยนี้มันแย่งพระแย่งเณรทำกันเยอะเลย สบายดีเหมือนกันนะ
      ถาม :  ตอนไปเวียนศพต่างจังหวัดเห็นเขาเกาะกันเป็นพรวนเลยเจ้าค่ะ อันนี้เขาทำไปทำไมเจ้าคะ แตะศพนะคะแตะโลงแล้วก็อีกคนหนึ่งก็ต่ออีกคนหนึ่งก็ต่อ ?
      ตอบ :  อันนั้นน่าจะถามเขาดู เห็นเขาแล้วก็ถามเขาเลยก็หมดเรื่อง
      ถาม :  ไม่เข้าใจว่าเขาทำไปเพื่ออะไรน่ะเจ้าคะ ?
      ตอบ :  คงลักษณะเดียวกับประเภททำบุญแล้วก็จับส่งกันมั้งหือ... วันก่อนสามีภรรยาคู่หนึ่งถวายสังฆทาน สามีถวายข้างหน้า ภรรยาก็จับหลังสามี บอกเออ...ประเคนผัวแล้วห้ามเอาคืนนะ (หัวเราะ) ก็จับผัวส่งมาข้างหน้านี่หว่า (หัวเราะ) พระรับแล้วห้ามเอาคืนนะ มันนั่งงงอยู่พักหนึ่ง ก็ลักษณะเดียวกันนั่นแหละ
      ถาม :  เอ่อ....แล้วที่มีคนเขาบอกว่าถ้าไปเวียนเทียนกับศพเดี๋ยวจะต้องไปเจอคนตายอีก บางคนเขาบอกว่าฉันไม่อยากเจอ ฉันไม่เวียนด้วย เขาจะไม่เจอตามที่เขาต้องการไหมคะ ?
      ตอบ :  โอย...ไม่จริงหรอกจ้ะ ตัวเองมันยังตายเลย นั่นมันเป็นแค่ความเชื่อที่เขายึดถือ ถ้าหากว่ามันถึงวาระ ถึงเวลาเสร็จทั้งนั้นแหละจ้ะ
      ถาม :  ศักดิ์สิทธิ์จังเลยเจ้าค่ะ ? (พูดถึงพระองค์ที่ ๑๑)
      ตอบ :  ศักดิ์สิทธิ์จังเลยเจ้าค่ะ ไม่ต้องชมหรอกจ้ะ เป็นปกติอยู่แล้ว (หัวเราะ) คนที่สามารถรับได้เขาก็รู้คนที่รับไม่ได้ก็มาชื่นชมเออ...สวยจังเลย
              เรื่องของพุทธาภิเษกนะ ให้มีเทวดาหรือพรหม หรือพระอรหันต์ซักองค์หนึ่งถือว่ายอดเยี่ยมแล้ว แต่ว่าถ้าพระพุทธเจ้าท่านเสด็จเองก็ยิ่งมหาศาลกันเข้าไปใหญ๋
              สมัยก่อนส่วนใหญ่ใช้กำลังของตัวเอง ถึงเวลาก็อธิษฐานภาวนากัน ใช้กำลังสมาธิสมาบัติของตัวเอง มายุคหลังที่หลวงปู่ปานสอนหลวงพ่อเล็ก ท่านบอกว่าถ้าทำเองแล้วถึงเวลามันเสื่อมได้ แต่ถ้าขอบารมีพระ หรือบารมีพรหมเทวดาท่านช่วยสงเคราะห์นี่มันจะยาวนานกว่า เพราะว่าอายุของท่านเยอะกว่ามนุษย์มากเหลือเกิน มาตอนหลังสายหลวงพ่อก็ใช้วิธีเชิญพระ เชิญเทวดากันอย่างเดียวตั้งเครื่องบวงสรวงแล้วแต่ท่านจะสงเคราะห์
      ถาม :  พอดีมีคำถามของเพื่อนคนหนึ่งน่ะเจ้าค่ะ เขาต้องการทราบวิธีการตัดความผูกพันที่จิตเขาไป ผูกพันโดยที่เขาบอกว่ามันไม่ได้เกิดจากความรักมาก่อน แต่อยู่ ๆ ที่ไปผูกพันกับเขา แล้วเขาก็มีความรู้สึกว่าตัวของเขาเนี่ยผูกพันมากกว่าคนที่เขาไปผูกพันด้วย เขาก็เลยบอกว่าเขาพยายามจะตัด แต่เขาตัดไม่ได้สักที ?
      ตอบ :  บอกเขาบอกว่า ต่ำสุดต้องทรงฌานให้ได้ แล้วก็อย่าเผลอหลุด ๆ เมื่อไหร่มันไปผูกใหม่หรือไม่ อันดับต่อไปก็ต้องให้เห็นความเป็นจริงว่าการเกิดมาคนเดียวมันก็ทุกข์พออยู่แล้ว สองคนมันก็ยิ่งทุกข์มากขึ้น แล้วถ้าหากว่ายิ่งมีสามมีสี่ก็ยิ่งทุกข์หนักขึ้น ความทุกข์อย่างนี้เรายังต้องการมันอีกไหม ? เพราะฉะนั้นอย่างต่ำ ๆ ต้องทรงฌานให้ได้ ถ้าทรงฌานได้นี่ตัวรัก โลภ โกรธ หลง จะระงับลงชั่วคราวความผูกพันต่าง ๆ มันก็จะหยุดลงชั่วคราว ถ้าเผลอคลายออกเมื่อไหร่มันเอาอีกหรือไม่ก็พิจารณาให้เห็นความเป็นจริงพอจิตยอมรับสภาพมันก็เลิกไปเอง
      ถาม :  ฌานนี่ฌานระดับไหนเจ้าคะ ?
      ตอบ :  ปฐมฌานก็พอ
      ถาม :  ทีนี้ก็ไปตั้งจิตตัดเหมือนกับที่บอกนะเจ้าคะ พอตัดเสร็จมันกลายเป็นว่ามันไม่ได้ตัดเฉพาะคนนั้น มันตัดรอบตัวเลย ?
      ตอบ :  (หัวเราะ) ดีแล้วไม่ใช่เหรอ ?
      ถาม :  มันเลย คนที่เคยเกลียดมันก็หยุดเกลียด คนที่เคยรักก็หยุดรัก มองสภาพเขาว่า อ๋อ...เขาเป็นอย่างนั้น สิ่งที่เราที่เราเกลียดมันเป็นความปรุงแต่งจากจิตตัวเองพอนั่งปุ๊บมันเลย...?
      ตอบ :  สาธุ...ความจริงตัวนี้นี่ยากมากเลยนะ ไม่รักในฐานะที่ควรรัก ไม่เกลียดในฐานะที่ควรเกลียด อันนี้หลวงพ่อท่านเคยบอกไว้ว่าอารมรณ์พระอรหันต์เลย รักษาให้อยู่จริง ๆ นะ
      ถาม :  รักษาไว้เหรอเจ้าคะ นึกว่าตัวเองผิดปกติจะมาถาม ?
      ตอบ :  ไม่ผิดปกติจ้า...หายากมาก ทำได้ยากที่สุดเลย พยายามประคับประคองเอาไว้อีกไม่นานได้ตายแน่ (หัวเราะ) อ้าว...ฆราวาสเป็นพระอรหันต์ไม่ได้อยู่เกิน ๗ วันนะจ๊ะ เพียงแต่ตอนนี้ของเรามันหันได้แป๊บเดียว พยายามประคับประคองให้มันเป็นของเราจริง ๆ
      ถาม :  ตอนแรกจะมาถามว่าผิดปกติจะแก้ไขยังไง ?
      ตอบ :  ไม่ต้องแก้จ้ะ รีบ ๆ ทำให้มันได้มาก ๆ เข้าไว้ให้กำลังใจมันทรงตัวอยู่ในลักษณะนี้ไปเลย
      ถาม :  คือไปนั่งสมาธิ ทำอยู่หน้าของพระพุทธองค์ท่านน่ะเจ้าค่ะ แล้วพอนั่ง พอจิตอยู่ในสภาพนี้นะเจ้าคะ กายของตัวเองเริ่มมีความรู้สึกเปลี่ยนเป็นกายที่ใส ๆ ๆ แล้วเปลี่ยนเป็นองค์พระน่ะเจ้าค่ะ แล้วสักพักนึงมันก็มีแสงเป็นสีรุ้งรอบ ๆ น่ะเจ้าค่ะ ก็เลยสงสัยมันเกิดอะไรขึ้นไม่เข้าใจ ?
      ตอบ :  ไม่เกิดอะไรขึ้น อย่าลืมว่าพระพุทธเจ้าไม่อยู่ที่ไหนนอกจากพระนิพพานการที่เราส่งกำลังใจขึ้นพระนิพพานเป็นการตัดกิเลสที่อัตโนมัติที่สุดและง่ายดายที่สุด เพราะว่าตัวรัก โลภ โกรธ หลง ต่าง ๆ มันเป็นสมบัติของร่างกาย ถ้าไม่มีใจซึ่งเป็นตัวคอยปรุงแต่งเพิ่มเติมไป คอยที่จะกระตุ้นเร้ามันอยู่ พวกนี้มันก็ต้องดับลงของมันเองธรรมชาติของมัน ไม่ยั่งยืน มันอยู่นานไม่ได้ หลวงพ่อท่านสอนมโนมยิทธิให้พวกเราเพื่อให้เรารู้จักพระนิพพานขึ้นพระนิพพานได้ง่าย มันเป็นการตัดกิเลสที่ง่ายที่สุด ไม่มีวิธีไหนง่ายกว่านี้อีกแล้ว
              ท่านเคยเล่าให้ฟังว่า มีระยะหนึ่งที่มีพระสำเร็จอรหันต์ ๗ องค์พร้อม ๆ กัน เสร็จแล้วปรากฏว่ามาศึกษามโนมยิทธิไปจากวัดท่าซุงแล้วก็ตั้งหน้าตั้งตาจับพระอย่างเดียว แล้วเสร็จแล้วถามท่านบอก เป็นพระอรหันต์ได้ไง ท่านบอกก็ไม่รู้อยู่ ๆ มันก็เป็นเอง คือลักษณะอย่างนี้ เพราะว่าการที่เราเอาจิตเกาะนิพพาน สภาพจิตมันจะแจ่มใส กิเลสมันกินไม่ได้พอนานไป ๆ ความเคยชินมันเกิด กิเลสมันก็จะหมดไปเองโดยอัตโนมัติ ตัวมโนมยิทธิจุดนี้แหละที่สำคัญที่สุดที่หลวงพ่อท่านต้องการให้พวกเรา
              ท่านไม่ได้ให้เราเอาไปฟื้นความสัมพันธ์กับคนอื่นนะ ท่านสอนให้เราล่ะจ้ะ แต่ส่วนใหญ่มันเอาไปยึด รีบ ๆ ทำเข้าตอนนี้มาตรงทางแล้ววิธีนี้แหละทำบ่อย ๆ เข้าอีกไม่นานจะได้เผากันแน่
      ถาม :  เอ่อ....พอทำถึงตรงนี้นะเจ้าคะ มีความรู้สึกตอนนี้เนี่ยเรามีชีวิตอยู่เพื่อหน้าที่ ๆ เราจะต้องทำ แล้วทำตามหน้าที่ ๆ ควรจะทำ แล้วมันก็ไม่มีความหวังที่จะอยากได้อะไรหรือเป็นอะไรมัน ๆ ๆ ....มันดูมันว่าง ๆ ยังไงมันไม่เข้าใจว่า...?
      ตอบ :  (หัวเราะ) เข้าใจจ้ะ ไม่ต้องอธิบายจ้ะ ตอนนี้ถ้าหากว่ารักษาอารมณ์ใจนั้นได้มันจะอยู่เหนือบุญเหนือบาปแล้ว รู้ว่าอันนี้ดีก็ทำ รู้ว่าอันนี้ชั่วก็ละ มันไม่เกาะทั้งดีทั้งชั่ว ไม่กลัวตาย ไม่อยากตาย แต่พร้อมที่จะตายได้ทุกเวลา ถ้าหากว่างานตัวเองหมดไปทันทีจ้ะ
      ถาม :  เหรอเจ้าคะ ?
      ตอบ :  จ้ะ....เพราะฉะนั้นรีบหางานให้เยอะ ๆ ไว้ (หัวเราะ) กำลังใจของคนที่ทำถึงจุดนี้ถ้ากำลังใจมันตั้งตรงจุดจริง ๆ ไม่มีใครเขาอยากอยู่หรอก
      ถาม :  เลยเข้าใจว่าพระอรหันต์หรือพระพุทธองค์ท่านไม่อยากมายุ่งแล้ว พอตอนนั้นเราก็เลย ...?
      ตอบ :  แต่ว่านั่นท่านก็ทำตามหน้าที่ของท่าน อันไหนที่ยังพอสงเคราะห์คนได้ตามพรหมวิหารก็สงเคราะห์ไป แต่จริง ๆ ท่านไม่ได้เกาะตรงจุดนั้นแล้ว
      ถาม :  แล้วจิตเราสบายดีนะเจ้าคะ ?
      ตอบ :  บ๊ะ ! ไม่สบายใครเขาจะทำกันเล่า
      ถาม :  เหรอเจ้าคะ ทำต่อเหรอเจ้าคะ ?
      ตอบ :  ทำต่อจ้ะ ตอนนี้เราจะเข้าใจชัดเจนว่า จริง ๆ แล้วนิพพานไม่เห็นต้องยึดต้องเกาะอะไรมันเต็มอยู่ในใจของเราเอง ตายเมื่อไหร่เรารู็ว่าเราไปแน่ พูดให้คนอื่นฟังมาเยอะแล้ว เขาคลำตรงนี้ไม่ค่อยถูกกันนะ ...
              แรก ๆ มันเกาะต้องอาศัยเกาะก่อน อย่างที่เคยเปรียบเทียบให้ฟังว่าเหมือนเกาะบันไดขึ้นมาเดินขึ้นบันไดเกาะราวบันไดเพื่อความมั่นคง แต่พอถึงห้องข้างบนแล้วไม่จำเป็นต้องแบกราวบันไดไปด้วย เพราะเราถึงซะแล้วนะ...
              เพราะฉะนั้นอารมณ์พระนิพพานมันจะเต็มอยู่ในใจของเราเอง ในเมื่อมันเต็มอยู่ในใจของเราเอง เราก็จะเกหิดความมั่นใจขึ้นมาว่าตายตอนนี้เราก็นิพพานตอนนี้่ ไม่เห็นต้องไปยึดไปเกาะอะไรอีกแล้ว
      ถาม :  มีคนมายืนด่าน่ะเจ้าค่ะ เราก็ฟังแล้วก็เหมือนกับว่าไอ้คำพูดเนี่ยมันผ่านไป ๆ พอเขาด่าเสร็จเราก็เลย อ๋อ...ด่าเสร็จแล้ว ๆ เราก็เดินต่อแล้วมันรู้สึกเฉย ๆ ไปเลยเจ้าค่ะ ?
      ตอบ :  จ้ะ...ประคับประคองให้ได้แล้วกัน ตัวนั้นแหละคือตัวปล่อยวางจริง ๆ เห็นก็สักแต่ว่าเห็นได้ยินสักแต่ว่าได้ยิน คือมันไม่รับเอามาปรุงไม่รับมาแต่งอีกแล้ว
      ถาม :  ก็กลัวว่าตัวเองจะผิดปกติน่ะเจ้าค่ะ ?
      ตอบ :  ผิดจ้า ผิดปกติมาก ไม่เหมือนกับชาวบ้านเขาน่ะจ้า เริ่มใกล้ ๆ จะเป็นพระแล้ว (หัวเราะ)
      ถาม :  คือมีความรู้สึกว่าคุยกับใครก็ไม่ค่อยอยากจะคุยเท่าไหร่ จะอยู่นิ่ง ๆ รักษาจิตนิ่ง ๆ อย่างนี้น่ะค่ะ ?
      ตอบ :  จ้า อีตานี้ต้องระวังให้หนัก เพราะว่าอารมณ์ใจอย่างนี้ ถ้าทรงตัวก็ดีไป ถ้าไม่ทรงตัวถ้าหลุดนี่กว่าจะคลำเจออีกนานเลย เพราะฉะนั้นต้องพยายามรักษากำลังใจให้อยู่ตรงจุดนี้ให้ดีที่สุด อย่าเผลอสติหลุดไปเห็นว่าโลกมันดีอีกล่ะ
      ถาม :  เจ้าค่ะ ตอนนี้มองตัวเองเหมือนศพเคลื่อนที่เจ้าค่ะ มันเกิดการปล่อยวางหมด ?
      ตอบ :  คืออารมณ์ใจของมันจะเห็นชัดเจนหมดว่า ร่างกายนี้ไม่ใช่ของเรา มันเป็นแต่ตัวที่พาทุกข์พาโทษมาให้เรา มันก็เลยพร้อมที่จะไปจากมันทุกเวลา ขณะที่อยู่ก็ดูแลรักษาไปตามหน้าที่เท่านั้น ร่างกายมันเป็นสมบัติที่เรายืมโลกมันมาใช้ โดยมารยาทของการยืมก็ต้องดูแลมันให้ดีหน่อย ไม่งั้นเดี๋ยวจะคืนเขาในสภาพเละ ๆ เทะ ๆ คนเขาจะด่าเอา เพราะฉะนั้นตอนนี้เราก็รักษาไปตามหน้าที่ของเราใช้งานไปตามหน้าที่ของเรา หมดธุระเมื่อไหร่ก็เลิกกัน
      ถาม :  ทำต่อไปนะเจ้าคะ ?
      ตอบ :  จ้า...ทำต่อไปจ้า ไปรออยู่ข้างบนนะ แล้วจะตามไปทีหลังอนุญาตให้แซงก่อน
      ถาม :  ไม่รู้จะทำอย่างไรต่อไปคะ ?
      ตอบ :  ไม่ต้องทำ เอาแค่เดิมพอแล้วทำมากไปเดี๋ยวมันเกิน นี่เพิ่งเจอเป็นรายแรกแล้วเขาชมมาด้วย นาน ๆ จะมีคนถวายสังฆทานให้ตรง ๆ ซักทีถวายให้พระ พระเครื่องที่ตัวเองใช้อยู่ นาน ๆ จะมีอย่างนี้ซักที แล้วทำได้ถูกจุดด้วย อันนี้พระท่านชมมาเองนะ ไม่เกี่ยวกับอาตมา