ถาม :  (ถามเกี่ยวกับเรื่องการสร้างพระองค์ที่ ๑๑)
      ตอบ :  อันนี้มันเป็นไฟท์บังคับคือไม่ได้เจตนาสร้างพระองค์ที่ ๑๑ เป็นความคิดของคนหลาย ๆ คน เราเองไม่อยากให้ทำเพราะว่าคนที่ไม่รู้จักแล้วไปปรามาสท่านโทษมันเยอะ
              อันนี้คณะของแสงชัยเขาก็ดื้อ ทำขึ้นมา เมื่อดื้อทำขึ้นมาตอนพุทธาภิเษกนี่เหงื่อหยดเลยซี พระองค์ไหนท่านก็ไม่รับทั้งนั้น ใครจะไปเสกรูปพระองค์ที่ ๑๑ ได้ล่ะ ก็ต้องของท่านเองไอ้พวกหอกหลุดนั่นก็ไม่ไปเชิญเองซะด้วย โดนเข้าเองเลยซิ พอท่านเสด็จมามันก็ชักแหง็ก ๆ อยู่ตรงนั้นแหละทำอะไรไม่ถูก ถ้าไม่ลากออกมามันตายไปแล้ว ยังไม่รู้ว่าพระองค์ที่ ๑๑ หรือสมเด็จองค์ปฐม บารมีท่านขนาดไหน เวลาท่านคุมหลวงพ่อนี่ พระวัดท่าซุงก้มหน้าดูดินหมด ถ้าเห็นหลวงพ่อตัวดำปี๋ขึ้นมาเมื่อไหร่ตัวใครตัวมันเถอะ ไม่รู้ว่าจะโดนอะไรบ้าง ?
      ถาม :  ของผมนี่รู้สึกว่าท่านใจดีครับ เวลาไหว้พระสวดมนต์ เวลาจุดธูปจุดเทียนมองท่านทีไรนี่เหมือนท่านยิ้มสุดชีวิต ?
      ตอบ :  ใจดีของคุณนี่ไม่มีเรื่องให้ระแวงนี่ ของพระนี่เดี๋ยวศีลพร่องมั่ง เดี๋ยวอะไรมั่้ง มันเยอะ...สู้กิเลสไม่ได้ขายขี้หน้าขึ้นไปท่านสับหัวหลุดเลย
      ถาม :  เวลาผมขับรถผ่านศาลที่ชาวบ้านตั้งไว้ บางทีมันรู้สึกแปลก ๆ ครับ ผมรู้สึกเหมือนกับเขานั่งไหว้ผม แล้วเหมือนกับมาคอยส่งคอยรับผม ทำไมผมถึงรู้สึกอย่างนั้นล่ะครับ ผมก็เอ้อ! ทำไมผมรู้สึกอย่างนั้นนะ เราก็ยังรู้สึกว่าเรายังไม่มีความดีสู้เขาได้เลย ?
      ตอบ :  บางทีของที่ชาวบ้านทำกันเองเขาจะเชิญผีมา พวกผีประเภทสัมภเวสี เปรต อสุรกายอย่างนี้ ถ้าหากว่าตัวเรามั่นคงอยู่ในทาน ศีล ภาวนาเป็นปกติแล้ว กายในของเราไม่กายเทวดาก็กายพรหมอยู่แล้วนี่ ในเมื่อกายเทวดา กายพรหมก็สูงกว่าเขาเยอะ เขาไหว้มันไม่แปลกหรอก ที่แปลกที่สุดก็คือ มีศาลอยู่ศาลหนึ่ง ศาลเจ้าพ่อเขาสามชั้น ตรงทางไปวัด เจ้าพ่อเขาสามชั้นจะอยู่ตรงช่วงที่เป็นภูเขามันขึ้น-ลง แต่เราไม่ค่อยรู้สึกหรอก ศาลนั้นเจอทีไรเราเผลอจะยกมือไหว้ทุกที มารู้ทีหลังว่าท่านเป็นพระอริยเจ้า ดูถูกเจ้าที่ไม่ได้นะ เราก็ว่าเจอว่าเจอศาลที่ไหนก็ไม่เคยรู้สึกอย่างนี้ มาเจออันนี้เข้าจะยกมือไหว้ทุกที
      ถาม :  ผมทำบุญทีไรก็จะอุทิศให้กับสิ่งรอบ ๆ ตัวเลยนะ เขาก็ไปเป็นเทวดาชั้นสูงกันหมดแล้ว ?
      ตอบ :  อย่างของหลวงพ่อไง ขึ้นไปบนนิพพานไปเจอบอกเอ็งมาตั้งแต่เมื่อไหร่วะ ? บอกอ้าวก็หลวงพ่อบอกให้โมทนาบุญไม่ใช่เหรอ ไม่ต้องเสียเวลาของมันเลย โมทนาบุญพระอรหันต์เป็นพระอรหันต์เฉยเลย พวกดวงเฮงอย่างนี้ก็มีด้วย
      ถาม :  มีอยู่เรื่องหนึ่งครับ เมื่อเดือนที่แล้วผมไปที่ท่านปู่ท่านย่า ผมก็เอ๊ะ...ทำไมอารมณ์ใจของผมมันคิดแต่เรื่องตายอยู่เรื่อย ๆ ขึ้นไปก็ถาม....(ไม่ชัด)....(เล่าเกี่ยวกับว่าไปถามเรื่องนางฟ้าเทวดากับท่านปู่ ท่านย่าว่าทำไมท่านฟังเทศน์จากพระพุทธเจ้าแล้วทำไมไม่ไปนิพพาน) ?
      ตอบ :  กำลังใจยังเข้าไม่ถึง ไปได้ก็ดีซิ ลักษณะของเทวดาจะเป็นอย่างนั้น แต่ว่ามีบางพวกที่ท่านจะจุติมาเพื่อจะสร้างบารมีต่อ แล้วมีหลายคนที่อยากได้ลูกแล้วทำพิธีขอ ตั้งเครื่องบวงสรวงแล้วขอกับท่านปู่พระอินทร์ เทวดาองค์ไหนที่ตั้งใจจะลงมาเกิดเพื่อสร้างบารมีก็ขอให้มาเกิดกับเรา คราวนี้พอได้มาแล้วก็รักษาให้ดีนะ (หัวเราะ)
      ถาม :  ตอนตรุษจีนมีอยู่วันหนึ่ง นั่ง ๆ อยู่ก็คิดว่าลองตามไปดูซิว่า สัตว์พวกนี้จะเป็นยังไงบ้าง ก็เลยลองดูไปหาท่านพระยายมราช ถามท่านว่าพวกนี้จะไปไหนกันครับ ? ท่านก็เลยชี้ให้ดูเป็นที่แห่งหนึ่ง เห็นหมูโดนเขาแทงคอตาย พอตายปุ๊บหมูนั่นตายแล้ว ไอ้หมูตัวผู้นั่นเป็นผู้ชายหายแว๊บไป พอเป็นตัวเมียก็เป็นผู้หญิงหายแว๊บไป เสร็จแล้ว่ท่านก็บอกว่านั่นกรรม ๕๐๐ ชาติที่โผล่มาแล้วหายนั่น ๒๐๐ ชาติเต็ม ๆ แล้ว ท่านก็บอกว่าคนสั่งการก็ดี คนฆ่าก็ดีก็ไปที่โน่นก็หายแว๊บไปเลย เสร็จแล้วก็ไปหาท่านนายบัญชีไปขอดูบัญชีท่านก็เปิดให้ดู รายการของผมนี่ยาวเหยียดเลยเป็นแถว เข่าอ่อนเลย ท่านถามว่ากลัวมั้ย ? บอกกลัวครับ ท่านก็ชี้ให้ดูท่านก็บอกว่ามันมีบาปอยู่ตัวนะ บาปตัวนี้บัญชีเขาไม่บันทึกนะ ถ้าเธอคิดว่ามันเป็นบาปเธอก็ลงนรก ตามไปดู ผมก็เลยกลับมา ไม่เอาแล้ว ?
      ตอบ :  เรื่องตรุษจีนนี่มีอยู่ปีหนึ่งก็อยากรู้เหมือนกันว่าพวกสัตว์ต้องตายตอนตรุษจีนนี่จะมีเท่าไหร่ โห!เจ้าประคุณเถอะ กี่ล้านก็ไม่รู้ ที่แปลกก็คือมันมีวัวเยอะ เราก็เอ๊ะ ! คนจีนมันกินวัวด้วยเหรอ ? บอกว่าไม่ มันเอาจริง ๆ
      ถาม :  คนจีนไม่เคยกินเนื้อเลยนะ ?
      ตอบ :  ประเทศเราไม่มี ประเทศจีนมีแคว้นซินเกียง ใหญ่กว่าประเทศไทยอีก อิสลามเกือบทั้งนั้นเลย ตอนแรกยังทึ่งมากเลย อะไรคนจีนไม่กินเนื้ออยู่แล้ว อิสลามเขาก็กินเนื้อแพะกินแกะ ตอนแรกมึนนึกว่ามีแค่หมู เห็ด เป็ด ไก่ ที่ไหนได้วัวเอาด้วยบานเลย เพราะท่านทำภาพให้ดู เอ้อเหอ ! ปี ๆ มันตายเยอะขนาดนี้เชียวเหรอ
      ถาม :  ผมยังติด ๆ เลยนะครับว่าที่เราเลี้ยง ๆ กันไว้นี่ ทำไมมันพอให้เรากินก็ไม่รู้นะครับ คิดแล้วไม่น่าจะพอกินเลยนะครับ แต่ละคนกินกันเยอะ ?
      ตอบ :  นั่นยังไม่น่าคิดเท่าไหร่หรอก แต่ที่ตายเท่าไหร่นี่น่าสยดสยองกว่าเยอะ อะไรคนเรามันจะกินเพื่อนร่วมโลกได้เยอะขนาดนั้น ?
      ถาม :  ผมยังจำได้เลยครับไปดูโรงเชือดน่ะครับ ผมยังรู้สึกเสียใจอยู่เลยไปดูเสร็จแล้วมันก็แบบ อุ๊ย...เนื้อมันตายใหม่ ๆ มันต้องอร่อยแน่เลย แล้วเพื่อนมันก็เฉือนมาให้กิน พอเอามากินก็ โห...อร่อยจริง ๆ แล้วก็แบบเฮ้ย ! ทำไมอารมณ์เราไปอย่างนั้นได้ มันเฉือนมาให้กินเราก็กิน ?
      ตอบ :  ตอนนั้นเขาเรียกว่า อกุศลกรรมมันบันดาล ในเมื่ออกุศลกรรมชักนำไปก็เป็นอย่างนั้นแล เอาเถอะตอนนี้รู้แล้วนี่อย่าไปอร่อยอีกก็แล้วกัน ลักษณะที่ทำได้ประโยชน์ตรงที่ว่าพอถึงเวลาแล้วจะได้ละอายชั่วกลัวบาป เห็น ๆ อยู่แล้วว่าโดนอะไรบ้าง
              ตอนนี้ท่านเอก็สอนพระ เณร ชี อยู่ทุกวันพฤหัส พาไปดูให้ช่ำใจจะได้เข็ด พอหลังทำวัตรเย็นประมาณทุ่้มครึ่งหรือทุ่มสี่สิบห้าก็จะเริ่มกันกว่าจะเลิกก็สามทุ่ม สี่ทุ่ม
      ถาม :  เวลาคุยไปนี่รับสังฆทานใจมันเสมอกันไปเหรอครับ ?
      ตอบ :  ดูเอาเองซิ (หัวเราะ) อาการภายนอกมันเป็นน้ำปากบ่อ ลมมาอะไรมามันก็กระเพื่อมไปตาม แต่ข้างในต้องนิ่ง เพราะถ้าหากว่าไม่นิ่งเวลากิเลสเข้ามาเรารู้ไม่ทันมัน ทำให้ได้ถ้าทำได้ถึงตรงนี้แล้วสบาย คนอื่นเขาไม่รู้หรอก เห็นเราเฮฮาไปเรื่อยไม่รู้หรอกว่าเราใส่เกราะไว้เต็มที่เลย
      ถาม :  เมื่อกี้เห็นเวลาพูดโทรศัพท์ แล้วเขามาถามผมว่าทำไมเวลาตอนคุยกับตอนรับสังฆทานต่างกัน ?
      ตอบ :  มันเหมือนกัน แต่ว่ามันต้องออกอาการเพราะถ้าไม่ออกอาการแล้วคนพวกนี้เขาจะไม่รู้ บางคนก็บอกเอ๊ะ ! ทำไมอยู่ ๆ ดุขึ้นมากระทันหัน ก็ต้องดูว่าเป็นยังไง แต่หมามันรู้หมามันเก่งจริง ๆ มันรู้ เราแกล้งเสียงดังเอ็ดตะโรมัน เปล่า...มันกระดิกหางเลียเราเฉยเลย มันรู้ว่าเราไม่ได้ด่ามันจริง คนนี่ไม่ได้คนนี่ไม่ค่อยรู้ ได้ยินเสียงดังหน่อย เฮ้ย ! โกรธแล้วนี่หว่า
      ถาม :  ขอเล่าเรื่องหมาเรื่องหนึ่งนะครับ ที่บ้านเพื่อนผมนี่เขาปฏิบัติกรรมฐาน ทีนี้ละแวกนั้นน่ะมีคนเขาจะมาขโมยของ จะเข้าบ้านใครนี่มันจะเห่ายาว ๆ ยังไงไม่รู้ เขาเลยวางยาเบื่อมันเป็นแถวเลย ตายทั้งซอยเลยครับ
              แล้วยาเบื่อนี่ก็ไปโดนหมาที่บ้านที่ปฏิบัตินี่ด้วย มันก็มีหมาที่ไม่ได้เจตนาเลี้ยง ๒ ตัวแล้วก็หมาที่อยู่ประจำอีก ๒ ตัว ตายเรียบเลย พอกลับมาบ้านหมาตายเขาก็เศร้าใจนิด ๆ เขาปฏิบัติกรรมฐานนี่เขายังวางอารมณ์ไม่ได้ เขาก็ทำอะไรของเขาไปเรื่อย พอใจมันวางจริง ๆ นี่เขาบอกว่าตัวมันนั่งอยู่ชั้น ๒ นะ แต่เอาใจลงไปเดินหน้าบ้าน พอเอาใจเดินไปหน้าบ้านนี่กลางคืนมันสว่างเหมือนกลางวัน เขาก็ขอบอกว่าขอบารมีพระพุทธเจ้าว่า ขอให้หมาของข้าพเจ้าที่ตายไปเมื่อวานนี้นี่มาพบ เขาบอกว่ามีหมาวิ่งมา ๔ ตัว ตัวที่รักมากนี่อยู่ใกล้ ตัวที่เฉย ๆ นี่อยู่ห่างออกไป เห็นเป็นหมาแป๊บหนึ่งแล้วก็เป็นคน เขาก็ชวนคุยต่อว่าตอนที่เธอโดนเบื่อนี่เธอรู้สึกยังไง ? คุยกันอย่างคนคุยกันเลย เขาก็บอกว่ารู้สึกร้อนจะตายแล้ว ๆ รู้สึกว่าต้องวิ่ง ๆๆๆ จนกระทั่งมันหมดแรงล้มลง แล้วก็รู้สึกว่าความร้อนนั้นหายแล้วก็รู้สึกสบาย แล้วเขาก็บอกว่าเขาจะให้ข้าวเธอกินมีเนื้อดี ๆ แล้วก็ข้าวอร่อย ๆ หมูชิ้นใหญ่ ๆ เขาบอกว่าอยากกินมั้ยล่ะ ? เขาบอกว่าอยากกิน พออยากกินปั๊บ เขาบอกว่าเขาเอื้อมมือเข้าไปในบ้านนะหยิบพระพุทธรูปติดมือมา แล้วเขาก็ส่งให้ แล้วบอกว่าเธอว่าตามนะ พุทธัง ธรรมมัง สังฆัง พอว่าตามเสร็จพระพุทธรูปที่อยู่ในมือเขา ลอยเข้าไปครอบที่ตัวเขา แล้วเขาก็บอกว่าผลบุญที่เขาทำมาเขาอุทิศส่วนกุศลให้ก็ไปเป็นเทวดาอยู่ชั้นหนึ่ง ประการที่สำคัญก็คือว่าเทวดาทั้ง ๔ องค์ท่านบอกว่า ๒ ตัวหลังนั่นบอกว่า ตอนที่เราเป็นหมาเรารู้ว่าท่านไม่ชอบ แต่ที่ท่านให้เรากินก็เพราะพรหมวิหาร ๔ ของท่านเราขอขอบคุณก็เลยตรงกับที่บอกว่าหมามันรู้ ?
      ตอบ :  หมามันรู้จริง ๆ ไม่มีอะไรเกินหมาแล้ว เจ้าพระคุณเถอะ ของเราดุนี่พระเณรหัวหดหมด หมามันกระดิกหางเฉยเลย มันรู้ว่าไปแต่เสียง มันรู้จริง ๆ สัตว์เดรัจฉานที่อยู่ใกล้มนุษย์นี่กรรมของเดรัจฉานใกล้จะหมดอยู่แล้ว ถ้าใจเกาะคนมันจะเกิดเป็นคน ถ้าใจเกาะพระมันจะเกิดเป็นเทวดา โอกาสที่จะกลับไปเกิดเป็นเดรัจฉานหรือว่าตกลงไปอบายภูมิที่ต่ำกว่านี่ประเภทร้อยละไม่ถึง ๑ หลวงพ่อท่านถึงได้สอนให้เลี้ยงหมาประจำ ให้ใจมันผูกไว้กับเราถึงเวลาก็เอาขนมไป
              ตอนอยู่ที่เกาะก็อาศัยเสียงหลวงพ่อ ปรากฏว่าเสียง ๔ โมงเย็นมันรู้ว่าจะได้กินมันก็วิ่งกรูกันมา จะให้มันเกาะเสียงหลวงพ่อเป็นหลัก พอถึงเวลา...โยโส ภะคะวา มันก็วิ่งพรืดมาแล้วให้ช้าหน่อยก็บ่น (หัวเราะ) โวยวายกันให้ขรมเลย โดยเฉพาะนางแว่น สัตว์เดรัจฉานพอถึงเวลาเขาตายปุ๊บกายในเขาก็เป็นคนเราดี ๆ นี่เอง
              ตอนนั้นท่านใหม่ตายที่วัดท่าซุงเป็นเทวดามาสวยเช้งเลย พระโพธิสัตว์นี่ไม่สวยได้ยังไงใช่มั้ย ? มาหน้าหมามาเลยกลัวเราจำไม่ได้ เราเห็นก็หัวเราะบอกทำไมต้องมาอย่างนี้ ? บอกเดี๋ยวท่านจำไม่ได้ ก็คุยกันก็เหมือนกับคนธรรมดานี่แหละ
      ถาม :  มีพระโพธิสัตว์กลุ่มหนึ่งครับท่านมาสอนในสมาธิ สอนไปสอนมาก็มีเทวดามาบอกว่าพระโพธิสัตว์องค์นั้นเขาจะเป็นพระพุทธเจ้า คนพวกนี้เขาจะไปนิพพานในชาตินี้ พระคุณเจ้าปฏิบัติเพื่อจะเป็นครูคนเขาจะทำอย่างพระคุณเจ้าไม่ได้ ท่านก็เลยบอกว่าไม่ต้องทำทั้งหมดให้ทำอารมณ์คล้ายนะ...(ไม่ชัด)...?
      ตอบ :  จริง ๆ แล้วพระโพธิสัตว์ถ้าหากว่าปรมัตถบารมีแล้ว ต้องศึกษาเรื่องนิพพานโดยเฉพาะเลย เพราะว่าเขาต้องรู้ให้ละเอียดจนกระทั่งทุกซอกทุกมุม มันมีหลายต่อหลายคนอย่างคณะปัจจุบันที่คุณตือพามานี่ เป็นพระโพธิสัตว์ไม่แตะนิพพานเลยก็อีกนานเลยล่ะพ่อคุณ พระโพธิสัตว์นี่ต้องเกาะนิพพานเป็นปกติ ไปมันให้ช่ำทุกซอกทุกมุมเลย กำลังใจของท่านนี่มันไม่ได้เป็นพระโสดาบัน พระสกิทาคามี พระอนาคามี พระอรหันต์ก็จริง แต่การปฏิบัติถ้าทำถึงตรงนั้นกำลังใจจะเทียบเท่าพระอริยเจ้าระดับนั้น ๆ ได้ เพียงแต่ว่ามันเหลือภารกิจอยู่ว่าจะต้องไปเกิดใหม่เพื่อตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า กำลังใจก็จะล๊อคอยู่นิดเดียวเท่านั้นเอง
      ถาม :  เหมือนผมจะคิดไปเองครับว่าต้องพยายามตัดสังโยชน์ให้ได้แล้วก็จะค่อย พัฒนาไปเรื่อย ๆ ?
      ตอบ :  เอาเถอะพวกเวลาเยอะ ค่อย ๆ พัฒนาไปเถอะ ระยะหลังเจอพวกเวลาเยอะมากเลย ของเราเองไม่ต้องอะไรหรอกที่หนองบัวนี่ ลงไปนั่งรออยู่ในเรือแล้วนี่ ๑๑ โมงกว่าแล้วแดดก็ร้อนเปรี้ยง ๆ ตากแดดรอมันอยู่เกือบครึ่งชั่วโมงกว่ามันจะมา นั่งไปหัวเราะไป ท่านนาวินจะกางร่มให้ บอกไม่ต้องหรอกครูบา จะรอดูมันว่าพวกเวลาเยอะนี่มันจะใช้เวลาซักเท่าไหร่ ของเราคนไม่มีเวลาเราจะทำอะไรปุ๊บปั๊บแล้วเราก็ไปเลย พวกนี้พอได้ยินว่าจะไปกูค่อยวิ่งไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า เพื่อนชวน เอ้า ! นั่งคุยอีกพักหนึ่ง ดึงกันไปยื้อกันมา เอ้า ! เดี๋ยวอีกคนหนึ่งรอกูด้วย เขาก็วิ่งไปอาบน้ำ เราก็ตากแดดรอตัวดำปี๋เลย มันตำหนิเขาไม่ได้ เวลาเยอะจริง ๆ ของเรามันคนไม่มีเวลา
      ถาม :  นี่ถ้าหากพระพุทธเจ้าท่านเสด็จมาตอนนี้แล้วท่านถาม ปรารถนานิพพานแค่ไหนจะตอบว่าอย่างไร ?
      ตอบ :  ถามว่าปรารถนานิพพานแค่ไหน ก็จะตอบว่าไปตอนนี้่ได้เลยก็จะดี (หัวเราะ) ไม่มีอะไรน่าเบื่อไปกว่าร่างกายนี้อีกแล้ว เพียงแต่ว่าในเมื่อเราต้องอยู่กับมัน แล้วทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับเราเกิดจากเราทำทังนั้น ในเมื่อเกิดขึ้นจากเราทำ เราก็ต้องยอมรับมัน ๆ ก็ไม่ไปดิ้นรนต่อต้านอะไรเหมือนกับอยู่อย่างมีความสุขใช่ั้มั้ย ? แต่จริง ๆ อยากไปจากมันทุกเวลาเลย ต้องยอมรับมันนะ ปกติของมันเป็นอย่างนั้นค้านไม่ได้เลยล่ะ ค้านเมื่อไหร่มันเล่นตายเลย มันป่วยปะแง็บ ๆ ให้เห็นอยู่นี่
      ถาม :  เวลาผมกราบพระ ผมชอบนึกว่าผมอยู่หน้าท่านข้างบนเลย แล้วผมก็จะกราบเหมือนกับว่าผมไม่ได้นั่งอยู่หน้าโต๊ะหมู่บูชา แต่ผมกราบองค์ปฐมบนนิพพาน แต่พอนึกอย่างนั้นแล้วจะรู้สึกว่าอารมณ์มันเย็นมากเลย รู้สึกว่าตัวมันจะไหว ๆ สั่น ๆ ตลอด ?
      ตอบ :  น่าจะทำอย่างนั้นมานานแล้ว ของเรากราบทีไรก็ไม่เคยกราบตรงนี้อีกเหมือนกัน กราบทีไรก็บนพระบาทพอดีทุกที
      ถาม :  ที่แปลกใจก็คือว่าทำไมอารมณ์ต้องเป็นแบบนี้ ?
      ตอบ :  ถ้าหากว่าเราไปปล่อยเผลอใจไปโดยประมาท เราไม่มั่นใจว่าตัวกิเลสมันจะแทรกเข้ามาเมื่อไหร่ ถ้ามันแทรกเข้ามาเมื่อไหร่เราก็เจ๊งเมื่อนั้นแหละ แต่ถ้าหากว่าเราผ่านการฝึกอย่างสาหัสสากรรจ์มาระยะหนึ่งแล้วนะ
      ถาม :  พวกใหญ่ ๆ นี่เราทำลายมันหมดแล้ว ๆ จะไปหวั่นไหวอะไรล่ะครับ ?
      ตอบ :  ก็มันประมาทได้ที่ไหนล่ะ ปัดโธ่...ตราบใดก็ตามที่เรายังมีชีวิตอยู่ตราบนั้นเราก็ต้องระวังสุดขีดอยู่นั่นแหละ เกิดเห็นสาวมันสวยขึ้นมาเมื่อไหร่ ตูก็เดี้ยงน่ะสิ
      ถาม :  .........................................
      ตอบ :  ถึงได้บอกว่าถ้านับตามสายครูบาอาจารย์จริง แล้ว ครูบาอาจารย์ท่านไม่ได้ไปนั่งทะเลาะกันหรอก ถ้าเป็นสายปฏิบัติที่มาถูกทางจริง ๆ ท่านไม่ได้มานั่งทะเลาะกัน แต่ลูกศิษย์มักจะเอากิเลสมาชนกันก็เลยทำให้เกิดสายนั้นสายนี้ ดีไม่ดีทะเลาะกันไปใหญ่โต ทั้ง ๆ ที่ครูบาอาจารย์ท่านไม่ได้รู้เรื่องอะไรด้วยเลย
              แต่ว่ามีบางสายเหมือนกันที่เขาไม่ชอบหลวงพ่อเรา คือท่านคิดว่าสิ่งที่ท่านทำนั้นดีแล้วถูกแล้วใช่มั้ยล่ะ ? ท่านเองท่านก็เหมาเอาว่าตรงนั้นใช่ แต่ขณะเดียวกันคนอื่นที่ทำไม่เหมือนของท่านต้องไม่ใช่ แล้วก็งับหลวงพ่อประจำเลย เป็นครูบาอาจารย์ใหญ่ ๆ โต ๆ ทั้งนั้นแหละ ปล่อยเขาเถอะ พวกนี้เวลาตายแล้วจะรู้ ลักษณะที่เห็นว่าตัวเองทำดีแล้ว ถูกแล้วนี่ จริง ๆ มันดีเหมือนกันถูกเหมือนกันแต่มันยังดีแค่นั้นยังถูกแค่นั้น กลายเป็นเอาทิฐิคือความเห็นตัวเองไปผสมกับธรรมะของพระพุทธเจ้า กลายเป็นพระพุทธเจ้าสอนแค่นี้ คลำหางอึ่งยังไม่ทันจะติดเลย เหมาเอาพระพุทธเจ้ามีอยู่แค่นี้ แล้วตัวนี้แหละจะทำให้ลำบากทีหลัง เพราะถ้าเขาสามารถก้าวล่วงต่อไปข้างหน้าแล้วมองกลับมา เขาจะเห็นว่าสิ่งที่ดีกว่านี้ถูกกว่านี้มันยังมีอยู่ ที่ตัวเองทำอยู่ตอนนี้น่ะผิด แล้วก็จะไปยึดที่ดีกว่านี้ที่ถูกกว่านี้ แล้วถ้าเกิดก้าวไปอีกก้าวหนึ่ง อ้าว ตรงนี้ผิดอยู่นี่ ที่ดีกว่านี้ยังมีอยู่ ก็จะไปทีละขั้น ๆ อย่างนี้ไปเรื่อย จนกว่าจะแก้สันดานของตัวเองได้ ที่จะไม่เอาตัวเองเป็นที่ตั้งนะ อันนี้เขาเรียกว่า อัตวาทุปาทาน คือถือวาจาของตนเป็นใหญ่
      ถาม :  ผมไปอ่านเจอในหนังสือหลวงพ่อท่าน ๆ บอกว่า ท่านนอนเตียงผ้าใบแล้วก็บอกว่าคนที่ทำกรรมมาเยอะนี่ตายชาตินี้ไปไหนครับ (ไม่ชัด) ท่านเห็นภาพหัวกะโหลกเรียงกัน (ไม่ชัด) ถามหลวงพ่อว่าท่านเห็นภาพนี้ท่านรู้สึกอย่างไรครับ ใจท่านว่าเฮ้ย มองเจ้ากรรมนายเวรเอาหางตามองไม่มีความสะทกสะท้าน ไม่มีความหวั่นไหวในกุศลกรรมทั้งปวง รู้สึกว่าท่านนอนกระดิกเท้าด้วย ?
      ตอบ :  ตอนนั้นของท่านเป็นอย่างนั้นจริง ๆ นี่ถ้าหากว่ายังไม่ถึงตรงนั้นก็สยองเหมือนกัน (หัวเราะ) โอ้...ขนาดนั้นมันตามทวงพร้อม ๆ กันนี่แย่เลย ท่านบอกว่าเฉพาะกะโหลกศีรษะเรียงกันจากวัดท่าซุงไปยันเขาพลอง ชัยนาท สูงเป็นกิโลไม่พอให้ไว้เฉพาะกะโหลกอย่างเดียว จากวัดท่าซุงไปยันเขาพลองนี่มันต่ำกว่า ๒๐ กิโลหรือ ?
      ถาม :  แล้วกี่ชาติคะ ?
      ตอบ :  เรื่องอย่างนี้ต้องดูเอง บรรยายยาก แบบที่เคยนั่งคิดว่า เอ๊ะ ! เราเคยเป็นหมาหรือเปล่า ? พอนึกปั๊บ โอ้โห..ฝูงเบ้อเริ่มเลย (หัวเราะ) แค่คิดว่าเคยเป็นหรือเปล่าที่ไหนได้มันเป็นซะช่ำเลย