สนทนากับพระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
เดือนมีนาคม ๒๕๔๕
ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ

      ถาม :  (ถามถึงการพิจารณาคลื่นทะเลให้อนิจจัง)
      ตอบคลื่นทะเลที่ทยอยเข้าสู่ฝั่ง ลูกแรกหมดไป ลูกที่สองมันก็มา ลูกที่สองหมดไป ลูกที่สามก็มา มันเที่ยงแท้แน่นอนเสียที่ไหนล่ะ ? มันเปลี่ยนแปลงแปรปรวนไปเรื่อย ๆ
              และขณะเดียวกัน ถ้าหากทะลมันเป็นคน ลักษณะการทำงานที่อยู่ในลักษณะนั้นมันทุกข์ไหมล่ะ มานั่งดูอยู่อย่างนี้ เราเองก็ทุกข์ เขาเองก็ทุกข์ แล้วจนกระทั่งในที่สุด ผลสุดท้ายจริง ๆ ทะเลก็อาจเหือดแห้งไม่มีอะไรเหลือ ตัวเราเองก็อาจตกตายไม่มีอะไรเหลืออยู่
              สรุปแล้วมันก็ไม่มีอะไรทั้งสิ้น คลื่นระลอกแรกที่เข้าสู่ฝั่งอาจเหมือนคนที่เกิดขึ้นมาก่อน มันเกิดก่อน ก็แก่ก่อนแล้วก็ตายก่อน ระลอกถัดไปมันก็เกิดตามมา ตายตามมา มีสิ้นสุดเสียที่ไหน ในที่สุดทุกสิ่งทุกอย่างก็วนเวียนไม่รู้จบอยู่อย่างนี้ เมื่อไรจะหลุดพ้นไปได้ เราก็จะหลุดพ้นสภาพเช่นนี้ไป
ค่อย ๆ คิด ง่ายจะตายไป
      ถาม :  ........................................
      ตอบหลวงปู่โลกอุดร ท่านมีที่พักปัจจุบันอยู่ที่ถ้ำใหญ่ใต้หิมาลัย เสร็จแล้วเวลาคนไปพบท่าน ท่านว่าเดินทางไปถ้ำวัวแดง ๆ ลักษณะนั้น ท่านจะให้ปรากฏอยู่ตรงไหนก็ได้ คือเดินไปสามก้าวก็ไปโผล่ตรงนั้นได้ แล้วสังเกตไหมว่า คนที่ตามสะกดรอยไป เดินทางไปตามเส้นที่ท่านเคยเดิน หากันไม่เจอ เพราะมันไม่ใช่สถานที่ ๆ ที่มีตรงนั้น
              แต่ท่านสามารถที่จะ...พูดง่าย ๆ เหมือนกับว่าพอเขามาด้วยศรัทธา ท่านก็จะพาประเภทที่เดินข้ามจากจุดนั้นไปสู่จุดที่ท่านอยู่เลย เพราะฉะนั้นอาจอยู่ตรงไหนก็ได้อยู่กันหลายองค์เหมือนกัน แต่ละองค์ล้วนแล้วแต่มีหน้าที่ทั้งนั้น
      ถาม :  หลวงพี่เคยไปไหมคะ ?
      ตอบ :  ไปไม่ไหว หนาว
      ถาม :  ในที่อย่างนั้นสามารถใช้กสิณไฟช่วยได้ไหม ?
      ตอบ :  เป็นปกติอยู่แล้ว เพราะพวกโยคีส่วนใหญ่เขาบูชาไฟบูชาพระอาทิตย์ทั้งนั้น เป็นพระถ้าหากทำได้ ก็จำเป็นต้องใช้เหมือนกัน เพราะร่างกายมันไม่ไหว หรือไม่ก็โน่นเลย โดดไปเนวสัญญานาสัญญายตนฌาน รู้สึกก็ทำเป็นไม่รู้ เดินฉับ ๆ ไป
      ถาม :  หลวงพี่คะ ถ้าสมมุติวิ่งออกไปจากโลกนี้ จะไปเจอสวรรค์หรือนรกได้ไหมคะ ?
      ตอบ :  เจอ แต่กว่าจะวิ่งถึงนั้นสงสัยว่าใช้เชื้อเพลิงอะไร มันถึงไปได้ไกลขนาดนั้น เพราะว่าขอบ....ต้องใช้คำว่าอะไรล่ะ เอกภพเลยมั้ง ที่เป็นที่รวมของจักรวาลทั้งหมด ก็คือต้นทางของชั้นจตุมหาราช ต้องวิ่งฝ่าไปกี่กาแลคซี่ก็ไม่รู้กว่าจะพ้น แล้วจะใช้ยานอะไรดีล่ะ ?
              เจอเหมือนกันถ้าไปได้ นี่เป็นเรื่องฟุ้งซ่านเกินตายไปแล้วนะ โปรดอย่าเพิ่งเชื่อ ถือเป็นนิทานโกหก เขาเรียก ดาราจักร คือกาแลคซี่ ส่วนรวมของกาแลคซี่เยอะ เรียกว่าเอกภพ คือยูนิเวอร์สใช่ไหม ?
      ถาม :  มาฝึกกสิณตอนนี้รู้สึกว่าจะสายไปหรือเปล่า ?
      ตอบ :  ไม่มีคำว่าสาย พร้อมจะเริ่มเมื่อไหร่ก็เอาได้เลย การปฏิบัติทุกอย่างลงมือเมื่อไหร่เป็นคุณแก่ตัวเมื่อนั้น
      ถาม :  ถ้าเราตั้งใจปฏิบัติเพื่อการหลุดพ้น แล้วการที่มาเล่นกสิณนี่จะถูกทางมั้ยครับ ?
      ตอบกรรมฐานทุกกองในกรรมฐาน ๔๐ หรือมหาสติปัฏฐานก็ตาม ถูกทางทั้งนั้น เพียงแต่ว่าเราจะขมวดปลายมันเป็นมั้ย ? เราเล่นกสิณพอถึงวาระสุดท้ายเราก็พิจารณาเป็นวิปัสสนาญาณว่ารูปภาพกสิณจริง ๆ มันก็มีความไม่เที่ยง มันเปลี่ยนแปลงไปเรื่อย ๆ แรก ๆ มันก็เป็นภาพของอุคหนิมิตคือ เป็นรูปกสิณตามนั้น หลังจากนั้นมาก็ค่อย ๆ เปลี่ยนไป จากสีเดิมก็เปลี่ยนไปเรื่อย ๆ กลายเป็นสีขาวจากสีขาวก็เจิดจ้าไป ถึงวาระสุดท้ายก็อธิษฐานให้มาก็ได้ให้ไปก็ได้ มันไม่มีความเที่ยงแท้แน่นอนแม้แต่อย่างเดียว
              ถ้าเราตั้งความปรารถนาว่าจะให้มันดำรงอยู่ตลอดกาลสมัย เราก็ประกอบไปด้วยความทุกข์ แล้วในที่สุดแม้กระทั่งตัวเราเองที่เป็นผู้ทรงกสิณอยู่เราก็ตาย ภาพกสิณที่เราเห็นก็สลายตัวได้ วัตถุที่เราเอามาทำเป็นดวงกสิณ ก็สลายตัวได้ มันไม่มีอะไรเหลืออยู่ ในเมื่อทุกสิ่งทุกอย่างไม่มีอะไรดำรงอยู่ได้เกิดมาเมื่อไหร่ก็ต้องเจอกับสภาพเช่นนี้ มีความไม่เที่ยง มีความเป็นทุกข์ ไม่มีอะไรยึดถือมั่นหมายได้เป็นปกติ แล้วเราจะเกิดมาให้ทุกข์ทำไม ขมวดท้ายเป็นมันไปนิพพานได้ทุกกอง เอากองไหนดีล่ะ ?
      ถาม :  เตโชกสิณนี่เขามองเปลวไฟหรือว่าเขามองแสงไฟครับ คือว่าหาอะไรมาครอบจนเป็นจุดเป็นแสง ?
      ตอบ :  ถ้าหากว่าเป็นกองไฟใหญ่สมัยก่อนเขาให้ใช้ผ้าตัดเป็นวงกลม แล้วก็วางให้ตรงกับกองไฟให้ลักษณะเป็นวงกลมไว้ สนใจแต่สภาพของไฟในวงกลมนั้น มันจะเป็นแสงอย่างไร มีสีอย่างไร มีขีดอย่างไร มีเส้นอย่างไรไม่เอา
              แต่ถ้าหากว่าเราเพ่งเทียนหรือเพ่งตะเกียง ก็จำลักษณะของดวงไฟมันไว้เท่านั้น เปลวไฟมันจะมีลักษณะอย่างไร ขอบมันจะเป็นอย่างไร สีสรรมันจะเป็นอย่างไร ไม่ต้องไปใส่ใจ จำเฉพาะดวงไฟมันเท่านั้น พอคล่องตัวมาก ๆ แล้วอะไรก็ได้
              สมัยที่ทำอยู่เด็ก ๆ นี่โอ๊ย....มันมากเลยเพราะว่าบ้านอยู่ต่างจังหวัดไฟฟ้าไม่มี ก็เอาตะเกียงจุดในมุ้ง ถ้าจุดตะเกียงโดยไม่มีเหตุผล เจอไม้เรียวแน่ ๆ ก็เอาหนังสือมา นั่งตัวตรงแหน็วเลย แต่ตาไม่ได้ดูหนังสือหรอก ดูตะเกียงแล้วก็จำภาพเอา แล้วถึงเวลาต้องไปทำหน้าที่หุงข้าว ไฟทั้งเตาก็เป็นดวงกสิณของเราได้ ถ้าหากว่าจับคล่องตัวแล้วมันไม่มีปัญหาอะไรเลย
      ถาม :  คือว่าเราไม่ต้องไปเพ่งว่ามันเป็นรูปอย่างไร ?
      ตอบ :  ไม่ต้องหรอก นึกถึงลักษณะของมันแล้วจำเอาไว้แค่นั้นเอง แล้วก็นึกว่าไฟ ๆ ๆ ถ้าภาษาบาลีเขาเรียก เตโชกสิณัง เตโชกสิณัง นึกถึงลมหายใจเข้าออกพร้อมกับคำภาวนา แล้วกำหนดจดจำเอาไว้ลืมตามองแล้วหลับตาลงนึกถึงนะ มันจะเห็นได้แว๊บหนึ่ง จำลักษณะมันได้แว๊บหนึ่ง พอลักษณะเลือนไปก็ลืมตาดูแล้วหลับตาลงนึกถึงพร้อมคำภาวนา ไม่ใช่ไปนั่งจ้องมันนะ
              คำว่ากสิณแปลว่าเพ่งคือให้มันติดตาติดใจ ไม่ใช่ว่าไปนั่งจ้องในลักษณะใช้สายตาเพ่งอย่างนั้นใช้ไม่ได้ อย่างนี้เรามองแล้วหลับตามันจะจำได้อยู่แป๊บหนึ่ง แล้วพอหายไปแล้วก็ลืมตามองดูใหม่ เป็นหมื่นเป็นแสนครั้งหลังจากที่มันติดตา แล้วหลับตาอยู่ก็นึกถึงได้ ลืมตาอยู่ก็นึกถึงได้แล้ว
              คราวนี้ก็สำคัญตรงประคับประคองให้ดี เผลอเมื่อไหร่มันหาย ตอนนั้นสนุกมากเหมือนเลี้ยงลูกแก้วบนปลายเข็ม ต้องคอยระวังอยู่ทุกลมหายใจเข้าออกเลย หลังจากนั้นภาพกสิณก็จะมีการเปลี่ยนแปลงไปเรื่อย จากเปลวจะกลายจากสีเข้มก็จะมีสีอ่อนลง ๆ เป็นสีเหลืองอ่อน กลายเป็นสีขาว ๆ ทึบก็จะกลายเป็นขาวใสขึ้น ๆ จนกระทั่งใสสว่างเหมือนอย่างกับเรามองดวงอาทิตย์ทั้งดวง ทีนี้ก็อธิษฐานให้ใหญ่ให้เล็ก ถ้าอธิษฐานให้เล็กได้ใหญ่ได้ก็ขออธิษฐานให้ใช้ผลของกสิณได้
      ถาม :  ถ้าหากผมปฏิบัตินี่จะใช้เวลาเท่าไหร่ครับ ?
      ตอบเวลาขึ้นอยู่กับเราเอง ถ้าปฏิบัติถูกก็เร็ว ปฏิบัติผิดก็ช้า มันจะมีตัวมัชฌิมาปฏิปทาพอเหมาะพอดีของเรา พอเหมาะพอดีนี่มันไม่มีกฎเกณฑ์ตายตัว ไม่ได้บอกว่าต้อง ๕๐% เป๊ะ มันเป็นการพอเหมาะพอดีกับตัวของเราเอง ซึ่งเกิดจากบุญญาบารมีต่าง ๆ ของเราที่สร้างสมมาแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน บวกกับสภาพร่างกายด้วย
              อย่างเช่นว่าคนอื่นนั่งกันที ๓ วัน ๓ คืนพอดี แต่ของเราอาจจะครึ่งชั่วโมงมากกว่านั้นเราก็ไม่ไหว เพราะฉะนั้นตัวพอเหมาะพอดีเราต้องหามันให้เจอว่าพอมันเหมาะพอดีตรงไหน ถ้าทำได้พอเหมาะพอดี ผลมันก็จะก้าวหน้าเร็วมาก ถ้าทำเกินร่างกายมันเครียดเกินไปจิตใจเป็นกังวลอยู่กับร่างกายมันก็ก้าวหน้ายาก
              จริง ๆ แล้ว มันไม่มีอะไรหรอก ทำให้มันพอเหมาะพอดีพอควรแค่นั้นเอง ตัวนี้มันต้องค้นเอง พูดให้ฟังนี่มันง่าย ค้นเองนี่มันยาก ถึงเวลามันลงตัวโช๊ะลงไป เราจำอารมณ์นั้นได้ ต่อไปทำเมื่อไหร่เราก็ได้เมื่อนั้นแหละ ยากที่ครั้งแรกเท่านั้น ตั้งหน้าตั้งตาทำจริง ๆ จัง ๆ ของเราน่ะทำแล้วไม่รักษาอารมณ์ให้ต่อเนื่อง ทำ ๆ ทิ้ง ๆ ว่ายน้ำไปเสร็จเรียบร้อยก็ปล่อยให้ลอยตามน้ำ ลอยตามน้ำเสร็จนึกอยากจะว่ายขึ้นมาเมื่อไหร่ก็ว่ายใหม่อีก ได้แต่งานไมได้ผลงานเพิ่มขึ้นเลย ว่ายเมื่อไหร่มันก็เท่าเดิม ดีไม่ดีเหนื่อยมาก ๆ น้อยกว่าเดิมซะอีก เป็นคนขยันมาก ขยันทำงานแต่ไม่ได้ผลงานอะไรเพิ่มเลย ต้องทำให้ต่อเนื่องไปเรื่อย ๆ ถ้าทำต่อเนื่องแล้วผลก็จะเกิดเร็วเพราะเท่ากับว่าได้ระยะทางเพิ่มขึ้น ในที่สุดมันก็จะถึงจุดหมายที่ต้องการ
      ถาม :  เวลาทำงานใจมันก็ต้องคิดอยู่กับงานนี่ ?
      ตอบ :  ก็คิดไปซิ เวลาทำงานใจอยู่กับงานมันเป็นสมาธิอยู่แล้ว เวลาว่างก็ค่อยย้อนมาอยู่กับกรรมฐาน ไม่ใช่เวลาว่างแล้วเราก็มาคิด ๆ ๆ ต่อ เราต้องหยุดให้เป็น แล้วลากมันออกมาให้ได้ หมดเวลางานแล้วกองไว้ที่ทำงานนั่นแหละ
      ถาม :  แล้วบางทีก็ฝันเหมือนกับคล้าย ๆ ว่าบอกล่วงหน้าว่าต้องเกิดอย่างนั้นขึ้น พอฝันเหมือนเดิมก็ต้องเกิดอย่างนี้นะ ต้องเลี่ยงอย่างนี้นะ บางทีก็เหมือนกับรู้ล่วงหน้าครับ บางทีก็ฝันถึงหลวงพ่อ ?
      ตอบ :  หมั่นสังเกตไว้ก็แล้วกันว่าลักษณะไหนมันเกิดขึ้นตามความเป็นจริงก็ให้ระมัดระวังเอาไว้ จุดที่จะสังเกตได้ง่าย ๆ ก็อย่างว่าถ้าฝันใกล้รุ่งนี่มักจะแม่นเพราะว่าจิตใจของเรานี่ปกติฟุ้งซ่านอยู่แล้ว
              แต่ว่าหลังจากที่มันฟุ้งมาทั้งคืน ที่โบราณเขาว่า กลางคืนเป็นควันกลางวันเป็นเปลว กลางวันมันก็โลดแล่นไปตามอำนาจของมัน กลางคืนก็อุตส่าห์เก็บไปฝันอีก ลักษณะอย่างนั้นตอนใกล้สว่างจิตมันฟุ้งซ่านมาพอแรงหมดเรี่ยวหมดแรงแล้ว ถึงเวลาพักของมันแล้วใจมันจะสงบลงชั่วครู่ชั่วยาม ถ้ารู้เห็นอะไรจะแม่น นั่นเขาเรียกเทพสังหรณ์
      ถาม :  บางทีผมฝันถึง พอเช้าขึ้นมา คนนั้นโทรมาเลยครับเหมือนในฝันเลยครับ ?
      ตอบ :  ก็ดีแล้วไง ต่อไปจะได้มีอะไรมีเครื่องหมายให้สังเกตได้ ถึงเวลาเกิดอะไรขึ้นจะแก้ไขยังไงในฝันมันรู้ก่อนแล้ว เราก็เห็นช่องทางได้ง่ายขึ้น พวกลางสังหรณ์นี่จริง ๆ มันก็คือทิพจักขุญาณ แต่มันเป็นทิพจักขุญาณอย่างอ่อน มันไม่คล่องตัว ต้องรอจังหวะรอเวลาให้สภาพจิตสงบนิ่งลงล๊อคของมันพอดี
      ถาม :  ในความฝันนั้น เราจะเข้าใจความฝันนั้น แปลออกอีกไม่นาน เหตุการณ์ที่เราฝันนั้นมันจะเป็นจริงตามนั้นเลย อย่างนี้เขาเรียกว่าเทพนิมิต ?
      ตอบ :  บางทีมันก็เป็นกรรมนิมิตเหมือนกันแล้วแต่ อาตมาเคยเจอกลางวันแสก ๆ เลยกำลังนอนภาวนา ๆ อยู่ เห็นงูจงอางตัวเบ้อเร่อเลื้อยมา ตอนนั้นบวชใหม่ ๆ ก็อยู่กุฏิเล็ก ๆ ตรงหลังร้านอาหารของป้ากิมกี กุฏิหลังนั้นมันจะมีต้นพุทราขึ้นคลุมอยู่ครึ่งค่อนกุฏิ อากาศตอนบ่ายก็จะเย็นสบายมากเลยเพราะต้นพุทราคลุมอยู่ แดดมันส่องไม่ถึงนอนภาวนา ๆ เพลิน ๆ อยู่งูจงอางยักษ์มันเลื้อยมาตามยอดพุทรา ไหวระเนมาตลอดเลย มันเหลือเห็นเราเข้าก็พุ่งเข้ามาทางหน้าต่างจะฉกใส่ ของเราตกใจตัวแข็งขยับไม่ได้ซิ หลวงพ่อไม่รู้โผล่มาจากไหน เอาไม้เท้าสะกิดคางมันเลยหัวเรา คือแทนที่จะฉกใส่หน้าเรามันเลยหัวฉกใส่พื้นเสียงดังปั้งสนั่นเลย แล้วมันก็เลื้อยลงข้างล่างบันไดไปเสียงเลื้อยไปตามพื้นเสียงดังแสก ๆ ๆ ได้ยินถนัดหูเลย เราก็ตกใจสุดขีด
              พอดิ้นหลุดออกจากอาการช๊อคได้ อารามตกใจวิ่งหนีงูด้วยการเผ่นลงบันไดตามไปด้วย กลายเป็นวิ่งตามลงบันได ไป พอลงไปถึงตีนบันไดชะงัก เฮ้ย ! งูมันลงไปนี่หว่า เราก็มองใต้บันได ไม่มี มองรอบ ๆ กุฏิไม่มีก็เหลือห้องน้ำแห่งเดียว ก็เปิดห้องน้ำดูก็ อ้าวไม่มี นึกขึ้นได้ เฮ้ย ! หลวงพ่อยังอยู่ข้างบน วิ่งขึ้นมาหลวงพ่อก็ไม่มี ไปดูก็อ้าว หน้าต่างมีทั้งเหล็กดัดทั้งมุ้งลวด ตัวนิมิตนี่เวลามันเกิดมันซัดขนาดนี้นั่นแหละ เวลาที่งูมันฉกเราผิดนี่ ตัวมันฟาดใส่เรา ๆ ยังรู้สึกจุกเลยมันหนักนี่ ก็เลยมานั่งตีความ อ๋อ....ลักษณะนี้ต้องเป็นนิมิตแน่เลย
              งูนี่โบราณส่วนใหญ่เขาว่า เป็นผู้หญิง งานนี้มันเอาเราแน่แล้วถ้าหลวงพ่อไม่ช่วยตายแหง ๆ เลย หลังจากนั้นไม่กี่วันเขามาจริง ๆ แปลกมากผู้หญิงคนนี้ถ้านับว่าสวยก็ไม่ใช่คนสวย หน้าตารูปร่างลักษณะแบบนี้ก็ไม่เคยอยู่ในความสนใจของเรา แต่มีแรงดึงดูดมหาศาลมากเลย จะให้เรามองเขาท่าเดียว กลายเป็นว่าทำอะไรไม่ได้เลย ถ้าเขาอยู่บริเวณนั้นต้องมองเขาอย่างเดียว สวดมนต์ตาก็เหลือบมองเขา เวลาทำวัตรอย่างนี้ เวลานั่งกรรมฐานแทนที่จะนั่งหลับตาภาวนาก็กลายเป็นว่าลืมตามองเขา มันฟุ้งซ่านจนทำอะไรไม่ถูกเลย เราก็รู้ตัวว่าลักษณะอย่างนี้เราแย่แน่ ๆ ถ้าหากว่าเราพูดด้วยแม้แต่คำเดียวเสร็จเขาแน่นอนเลย เราก็พยายามจะเลี่ยงจะหลบ เขาเองเขาก็เหมือนจะรู้ตัว ไม่ว่าเราจะอยู่ตรงไหนเขาจะแถเข้ามาใกล้ ๆ พยายามที่จะพูดด้วย พอเขาเอ่ยปากเราเดินหนีเลย รู้ว่าขืนต่อปากต่อคำแม้แต่คำเดียวเสร็จแน่ ๆ ก็ประเภทที่เรียกว่า หมุนหัวปั่นอยู่ได้ ๒ วัน ๆ ที่ ๓ หลวงพ่อเรียกให้ไปเป็นยามหน้าตึก ตรงจุดนั้นเขาถือว่าเป็นเขตหวงห้ามกลาย ๆ ไม่มีธุระห้ามเข้าอยู่แล้ว เขาก็เลยไปไม่ได้ในเมื่อเขาไปไม่ได้แล้วเรื่องอะไรเราจะโผล่หัวออกมา (หัวเราะ)
              พอพ้นระยะพ้นเวลาของมันไป เขาก็ไม่มีอำนาจเหนือจิตใจของเราได้อีก แล้วของพวกนี้ประมาทไม่ได้ เดี๋ยวคนใหม่มันจะมาเพราะฉะนั้นนิมิตแบบนี้ถ้าหากว่าเรารู้ตัว รู้แล้วระวังล่วงหน้าก็ช่วยได้เยอะเหมือนกัน แปลกมากเลยคือผู้หญิงแบบนี้ไม่ได้อยู่ในสเป๊คของเราเลยนะ แต่โอ้โหแรงดึงดูดมหาศาลมากเลย ทำอะไรไม่ถูกเลยต้องมองเขาอย่างเดียว ประเภทคู่เวรคู่กรรมกันเลยล่ะ พอพ้นระยะไปแล้วจะพ้นไปเลย แต่ทีนี้เราไม่ได้เกิดชาติเดียวนี่ เดี๋ยวคนอื่นก็จะมามีอิทธิพลอีกอย่างนี้ แต่ว่าที่หนัก ๆ แบบนี้เพิ่งเจอรายเดียว นอกนั้นเรื่องเล็ก เล่นเอาเราป่วนเหมือนกัน คนไหนเกิดร่วมกับเรามากก็มีอิทธิพลมากหน่อย เกิดร่วมกับเราน้อยอิทธิพลก็น้อยหน่อย
      ถาม :  แล้วทำอย่างไรให้พ้นคะ ?
      ตอบ :  รีบไปนิพพานซะ ง่ายนิดเดียว
      ถาม :  ก็ตอนนั้นมันยังไม่ได้ไปนี่คะ ?
      ตอบตอนนั้นสติปัญญามีเท่าไหร่ก็ต้องงัดออกมาทั้งหมดแหละ ไม่งั้นลุ้นเขาไม่ขึ้นหรอก เพราะว่ามันเหมือนกับงูเหลือมกับเชือกกล้วย มันแพ้กันไปครึ่งหนึ่งแล้ว เหลือเชื่อจริง ๆ ลักษณะอย่างนี้ รูปร่างอย่างนี้ หน้าตาอย่างนี้ไม่เคยอยู่ในความสนใจของเราเลยอยู่ ๆ มามีอิทธิพลมหาศาลเอาดื้อ ๆ ถ้าเป็นคนที่ใช่เลยนี่เราเผลอเมื่อไหร่ตายแน่ (หัวเราะ) เป็นเรื่องประหลาดเหมือนกันถ้ายังไม่เจอกับตัวเองก็ยังคิดว่าเป็นเรื่องเหลวไหลอยู่นะ
              มีอยู่ครั้งหนึ่งเหมือนกันตอนนั้นไปวัดหลวงพ่ออุตตะมะ พอกราบหลวงพ่อทำบุญเสร็จก็พาโยมลงไปซื้อของที่ลานเจดีย์ เดิน ๆ ดูไปกิจการมันก็ไม่ค่อยดีหรอก มีอยู่ร้านหนึ่งแม่ค้าฟุบหลับ เราเองจะซื้อของก็เดินผ่านไปเสียงไม้มันไหวเขาก็เลยลืมตาเงยหน้าขึ้นมา พอเงยหน้าขึ้นมาใจเราหล่นวูบเลย เราก็ตกใจรีบดึงกำลังใจคืนมาใหม่ตั้งใจมองแล้วมองอีก อะไรวะ หน้าตาก็งั้น ๆ แหละ ทำไมใจเรามันไหวชนิดที่เรียกว่าเกือบจะหลุดจากสมาธิไปเลย ก็มานั่งไล่ดูว่าสภาพจิตใจของเราเป็นยังไงถึงได้เจออย่างนี้เข้า ไล่ไปไล่มาเสร็จเรียบร้อยอะไรรู้มั้ย ? ไปเจอหน้ามันเข้าตรงที่ว่า เราไปคิดไว้ก่อนว่าเขาเป็นผู้หญิงแค่นี้เองแหละ กระทุ้งเราเกือบหลุดแน่ะ ไม่น่าเชื่อเลย แค่เราไปคิดไว้ก่อนว่าเขาเป็นผู้หญิงเท่านั้นเอง
              ในเมื่อเราไปคิดไว้ก่อนว่าเขาเป็นผู้หญิงก็จะเกิดความสนใจขึ้นมาโดยที่เราไม่รู้ตัวนิดเดียวเท่านั้นเอง เผลอหน่อยเกือบล่อเราร่วงไปแล้ว
      ถาม :  อารมณ์ธรรมนี่ทุกอย่างมันละเอียดมากไปหมดเลยนะคะ ?
      ตอบ :  พูดเป็นภาษามนุษย์ไม่ได้เลย ไม่รู้ว่าจะบอกยังไงดี แต่รู้อยู่ว่ายิ่งควานไป ๆ ก็เหมือนกับว่าไม่รู้จักหมดซะที แรก ๆ เหมือนกับโค่นต้นไม้ แหม...ต้นไม้ใหญ่ล้มตึงลงฟ้าสะท้านดินสะเทือน ไชโย...เราทำอะไรได้ตั้งเยอะตั้งแยะ ที่ไหนได้ล่ะ เอาจริง ๆ ขุดตอมันเข้าไปเถอะ รากมันอีกเท่าไหร่ก็ไม่รู้ เยอะกว่ากิ่งข้างบนอีก ยิ่งขุดก็ยิ่งเยอะ แล้วมันก็เล็กลงทุกที ๆ ขุดยากขุดเย็นเป็นบ้าเลย ลองเถอะ เจอเมื่อไหร่แล้วจะซาบซึ้ง
              อาตมาอธิบายเป็นภาษามนุษย์ไม่เป็นจริง ๆ ที่หลวงพ่อท่านบอกแรก ๆ เหมือนกับยิงช้าง ยิงม้า ยิงกวางตัวมันใหญ่ยิงง่าย นาน ๆ ไปยิงมด ยิงยุง ยากเหลือเกิน ลองดูการปฏิบัติมันสนุกอย่างนี้แหละสนุกตอนเล่าให้ฟังนะ เจอเข้าเองจะร้องไม่ออก
              เรื่องอย่างนี้แหละที่พระพุทธเจ้าท่านบอกว่า กาเลนะ ธัมมัสสากัจฉา เอตัมมังคลมุตตมัง สนทนาธรรมในเวลาอันควร ถือเป็นอุดมมงคลอย่างยิ่งพอเหมาะพอสมพอดีขึ้นมาคนที่เขามาติดอยู่ตรงจุดนี้ก็อาจจะได้ประสบการณ์เรียนลัดก้าวผ่านได้เลย ขณะเดียวกันเราอาจจะปล้ำมา ๓ ปี ๕ ปี
      ถาม :  กว่าจะก้าวผ่านมันยากนะครับ แต่ต้องทำได้ ?
      ตอบ :  ถ้ามันยากจริง ๆ ท่านก็คงไปนิพพานกันได้ไม่เยอะขนาดนี้หรอก ต้องทำได้
      ถาม :  แต่ในขณะที่เดินอยู่นี้ต้องเจอใช่มั้ยครับ ?
      ตอบ :  เจอแน่นอน หนทางที่จะโรยด้วยกลีบกุหลาบไม่มีหรอก เพิ่มหนามกุหลาบให้เพียบเลย อยู่ที่ว่าสติปัญญาต้องไปพร้อมกันเสร็จ แล้วก็งัดกรรมฐานคู่ศึกมารบกับมันให้ทันแล้วกัน อาวุธของเราน่ะเพียบเลยหลวงพ่อให้ไว้เยอะแล้ว เพียงแต่คว้าขึ้นมารบให้มันถูกจังหวะแล้วกัน ตอนที่เขาตีด้วยมีดสั้นเราดันคว้าขวานมาสู้มันก็เสร็จเขาล่ะ ความคล่องตัวสู้เขาไม่ได้
      ถาม :  เพียงแต่ในจิตเรามุ่งว่าชาตินี้เป็นชาติสุดท้ายที่เราจะไปนิพพานใช่มั้ย แล้วอะไรที่จะเข้ามาให้จิตเรารู้ทัน ?
      ตอบ :  ไม่ใช่ คือว่าอันไหนก็ตามต้องพยายามใช้ปัญญาดูให้รู้ถึงเหตุของมัน เช่นสตางค์นี่ถ้าเราสักเห็นแค่ว่ามันเป็นเพียงธาตุ ๔ ดิน น้ำ ไฟ ลม กระดาษแผ่นหนึ่งมันก็คือสตางค์ ทำอันตรายเราไม่ได้ แต่เราไปคิดต่อว่า เงิน ไปซื้อของซะหน่อยก็ดี ซื้อข้าวกิน เอ้อ...ดี เดี๋ยวจะไปกินร้านนั้น อาหารมันอร่อยหน่อยเชลล์ชวนชิม นั่นกิเลสเริ่มเกิดแล้ว ไปซะหน่อย เราเคยชวนสาวไปกินร้านโน้นนี่หว่า เอ้า ! ยิ่งหนักเข้าไปอีกแล้วจากตัวราคะ โลภะ โทสะมันจะระดมมาเลยใช่มั้ย ? ไปซื้อยาบ้าซะหน่อยก็ดี ยิ่งหนักเข้าไปอีก เงินตัวเดียวแต่ถ้าคุณหยุดมันได้แค่นี้มันก็จบ ไม่อาจจะทำอันตรายอะไรได้
              นี่คือเราตัดมันตั้งแต่ต้นเหตุ แต่ถ้าหากว่าเราสืบสาวราวเรื่องด้วยการปรุงแต่งด้วย จิตสังขาร เหตุมันจะกว้างออก ๆ จนกระทั่งกลายเป็นไฟไหม้ป่า ไม่สามารถจะดับมันได้ แต่ถ้าต้นเหตุเรารู้ว่าสะเก็ดไฟนิดเดียว ถ้าเราปล่อยต่อมันจะลาม เราก็ดับมันซะมันก็หมดปัญหาไป
              เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าท่านถึงได้ตรัสว่า สิ่งทั้งหลายทั้งปวงเกิดแต่เหตุตถาคตตัดถึงเหตุ และความดับแห่งธรรมนั้น ที่พระอัสสชิท่านขึ้นว่า เยธัมมาเหตุปัพพวา เตสังเหตุง ตถาคโต เตสัญจะโยนิโรโธจะ เอวัง วาที มหาสมโณ ต้องดับตั้งแต่เหตุ ทุกอย่างอยู่ที่เหตุทั้งนั้น