สนทนากับพระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
เดือนเมษายน ๒๕๔๕
ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ
ถาม : คำว่า "ตัดร่างกาย" ในขณะก่อนตาย เราจะต้องทำจิตใจอย่างไร ?
ตอบ : ทำเหมือนกับตอนเป็นนั่นแหละ ถ้าคิดจะตัด คือว่าจริง ๆ แล้วตอนก่อนตาย ส่วนใหญ่จะมีอาการเวทนาคือการเจ็บป่วยอย่างแรงกล้า มันเป็นการตัดกิเลสไปในตัวหมดอยู่แล้ว พอเวทนาขึ้นมาอย่างแรง กิเลสมันก็เกิดไม่ได้ กำลังเจ็บป่วยร้องโอดโอยอยู่ คิดจะไปรักใคร คิดจะไปโกรธใครล่ะ หลงก็หลงไม่ไหวก็เห็นอยู่แล้วว่าร่างกายเจ็บป่วยขนาดนี้ เราก็แต่เพิ่มความคิดเราไปนิดเดียวว่า ถ้าหากว่าตายตอนนี้เราจะไปนิพพานง่ายที่สุด เพียงแต่คนที่จะคิดขนาดนั้นได้ บุญเก่าต้องสร้างมาพอทีเดียว
ถ้าหากว่าทำมาไม่พอมันก็มืดบอด นึกไม่ออกคิดไม่ได้อยู่นั่นแหละ เพราะฉะนั้นตุนบุญไว้ให้เยอะ ๆ เอาไว้วินาทีสุดท้าย แล้วคิดออกไปนิพพานได้ก็กำไรมหาศาลแล้ว ไม่จำเป็นว่าต้องเป็นตั้งแต่ก่อนตายหรอก
ถาม : อ้อ....แค่ตรงนั้นคิดออก และพูดออก ก็คือถึงเลย ?
ตอบ : แค่นั้นแหละจ้ะ ไปเป็นเทวดาได้ก็กำไรบานแล้ว ถ้าขนาดนั้นนี่ถูกรางวัลที่ ๑ ที่ ๖๐ คู่เลยมั้ง ไม่ใช่...๖๐ คู่ มันกี่คู่นะ ๖๐ ล้านน่ะ
ถาม : ทำไงถึงละสังโยชน์ได้ ?
ตอบ : ก็ตั้งใจละจริง ๆ ซิจ้ะ ไม่ใช่ไปนั่งมองมันเฉย ๆ ทำจริง ๆ จ้ะ สังโยชน์สำคัญที่สุดข้อที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ ที่ว่าเห็นว่าตัวเราเป็นของเราละให้ได้ ถ้าหากว่าเราเป็นที่ตัวนี้แล้ว ตัวที่ ๒ วิจิกิจฉาความลังเลสงสัยในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ถ้าเราเข้ามาถึงระดับนี้ไม่เรียกว่าลังเลแล้ว ถ้าลังเลจะไม่เข้ามา ก็ถือว่าเป็นกำไรอยู่ในตัว ก็ไปเน้นหนักอีกนี่ ข้อที่ ๓ ทรงเรื่องของศีล พยายามรักษาสิกขาบทต่าง ๆ ให้บริสุทธิ์จนกระทั่งมันชินเป็นส่วนหนึ่งอันเดียวกับตัวเรา ไม่ล่วงศีลด้วยตัวเอง ไม่สนับสนุนคนอื่นล่วงศีล ไม่ยินดีเมื่อเห็นคนอื่นล่วงศีล ถ้าทำได้ขนาดนี้โดดไปคว้าตรงท้ายเลยตั้งใจว่าไปเมื่อไหร่จะไปนิพพาน ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวมันจะไปติดตรงนั้นจะไปติดตรงนี้
ถ้าเราตั้งใจจะไปนิพพาน ตัวอวิชชาที่จะทำให้เรายึดติดในร่างกายนี้ในโลกนี้ ก็เป็นอันว่าโดนตัดไปด้วย ทำจริง ๆ อันดับแรกรักษาศีลให้บริสุทธิ์ อันดับที่ ๒ พยายามสร้างสมาธิให้ตั้งมั่นให้ได้อย่างน้อยปฐมฌาน เพื่อจะได้มีกำลังตัดกิเลสพอศีลบริสุทธิ์ สมาธิตั้งมั่นปัญญาก็จะเกิด ถ้าหากว่าปัญญายังไม่เกิด ยังไม่เห็นรู้ตามความเป็นจริง ยังไม่เข็ดยังไม่กลัวมัน ก็จะเกิดอยู่ร่ำไป
ฉะนั้นถ้าถามว่าตัดอย่างไร เดี๋ยวหามีดมา สิ่งไหนที่มันพอตามันก็จะพอใจด้วย จำไว้ อย่างลืมว่าถ้าเราเกิดฉันทะความพอใจขึ้นมา ราคะยินดี อยากมี อยากได้มันก็จะเกิด ฉันทะบวกกับราคะ ภาษาพระเขารวมกันแล้วเรียกว่า อวิชชา เข้าใจหรือยังจ๊ะ เห็นอะไรแล้วพอตา พอใจก็เจ๊งเลย
ถาม : เวลาเราอยู่ในภวังค์จวนจะหลับ ก็จะรู้สึกว่ามีพระท่านมาสอนอย่างนี้ค่ะ แต่ว่าพอเราตื่นขึ้นมารู้ตัวดีแล้วนี่เราจะไม่รู้เลยค่ะว่าท่านมาสอนอะไรค่ะ ?
ตอบ : หลวงพ่อท่านสอนอยู่เสมอว่า นักปฏิบัติที่ดี กระดาษกับปากกาต้องใกล้มือไว้ พอท่านสอนเราก็เขี่ยเลย ไม่ใช่เขียน ตอนนั้นเขียนไม่ได้ บางทีเปิดไฟก็ไม่ได้ ต้องคลำทั้งมืด ๆ อย่างนั้นแหละ
เพราะถ้าขยับมาก ๆ สมาธิคลาย สิ่งที่เราต้องการก็ไม่สามารถจะรู้ได้อีก เพราะฉะนั้นเขี่ยให้มาเป็นเลา ๆ ไว้ก่อนว่าท่านสอนเรื่องอะไร แล้วพอตื่นขึ้นมาก็มาอ่านมันจะได้ อาตมาเขี่ยประจำล่ะ พอถึงเวลาขึ้นมามันจะได้มีเค้าอยู่
เรื่องของพระของเทวดาหรือผีบอกอะไรนี่มันแปลกอยู่อย่างว่า อย่ารอให้สว่าง รอสว่างปุ๊บมันค้นไม่เจอเลย หลวงพ่อเคยมาบอกให้ทำโน่นทำนี่อยู่ ๓ ข้อ เราก็ โอ๊ย...สบายมาก ๓๐ ข้อยังจำได้ มั่นใจหัวตัวเองใช่มั้ย ? ตื่นขึ้นมาเหลืออยู่ข้อเดียว อีก ๒ ข้อแคะเท่าไหร่ก็จำไม่ได้ หาไม่เจอมันหายเงียบไปเฉย ๆ เหมือนกับไม่เคยเจอกันมาก่อน แต่จำได้ว่าท่านให้ไว้ ๓ ข้อเป็นซะอย่างนั้น เพราะฉะนั้นให้รีบ ๆ เขี่ยไว้ก่อนให้มันมีเค้าว่าเป็นเรื่องอะไรถึงเวลามันจะได้แคะออก
ถาม : แล้วอย่างบางทีเราได้ยินเสียงนะคะ แต่มองไม่เห็นตัวตน แต่ตอนนั้นยังไม่หลับเท่าไหร่ พอได้ยินเสียงมาเหมือนจะทำนองแบบไม่รู้ว่าหนูโดนทดสอบหรือเปล่าน่ะค่ะ แบบว่าเรานี่ดี อย่างเช่นเป็นคนดี เรียนดี เรียนเก่งอะไรอย่างนี้และมีอีกเยอะแยะมากมาย ซึ่งเราคิดว่ามันไม่ได้เป็นไปตามนั้นเลย ?
ตอบ : อันนั้นไม่ต้องห่วงอันนั้นข้อสอบชัวร์ ๆ เลย พระนั่นเจอมาเยอะต่อเยอะเลย อย่างของหลวงพ่อท่านทำ ๆ ไปก็มีคนเดินมาถึง ก็ถือดาบมา ๒ เล่ม โยนให้เล่มหนึ่งบอกมาฟันกัน หลวงพ่อบอกไม่เอาหรอก ถ้าแกอยากจะฟันก็ไปฟันเอา แกอยากจะฟันแขน ฟันขา ฟันคออะไรก็เชิญ ฉันยอมตาย เขาว่า เอ๊ะ เรามาเจอพระอรหันต์เข้าแล้วก็ก้มกราบ แล้วถ้าหลวงพ่อเชื่อว่าตัวเองเป็นพระอรหันต์แล้วก็เจ๊งเลยสิใช่ไม๊ ?
อย่างเช่นว่าบางทีพระปฏิบัติไป ปฏิบัติไป อยู่ ๆ เห็นเทวดาเดินมาตัวสว่างโร่มาเลย รู้เลยว่าพระหรือเทวดาในลักษณะนี้ เป็นพระอริยเจ้าแน่นอนเลย เพราะรัศมีส่ว่างผิดปกติไม่เหมือนเทวดาทั่วไป มาถึงก็กราบ ๆ ก้นโด่งเชียวนะ แหม...ชื่นใจเหลือเกิน นาน ๆ ได้กราบพระปฏิบัติดีปฏิบัติชอบซะที เป็นเราคนกิเลสท่วมหัวก็เจ๊งเลย เทวดารู้ว่าท่านเป็นพระอริยเจ้าแน่ ๆ มากราบเราแล้วก็บอกด้วยว่าเป็นพระปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบมันจะไปหลงว่า เอ๊ะ...เราก็ไม่เลวนี่หว่า ดีไม่ดีจะเป็นโน่นเป็นนี่ซะหน่อยแล้วมั้ง แล้วเราก็ไม่ปฏิบัติต่อไม่ทำต่อ
อย่างนี้เราก็เสียท่าเขา พวกนี้เป็นข้อสอบทั้งนั้น อย่าไปเชื่ออะไรง่าย ๆ รับรู้รับทราบไปด้วยความเคารพ อะไรไม่เหลือบ่ากว่าแรงพยายามทำไป ถ้าหากว่ามันเหลือบ่ากว่าแรงตะกายไม่ถึงก็ละไว้ก่อน ต่อไปเขาจะเปลี่ยนเป็นด่าแทน ชมแล้วมันอยากไม่พังดีนัก
ถาม : แล้วอย่างที่ ...ถามเฉย ๆ นะคะ อย่างที่พระโสรยานี่คือ ?
ตอบ : หูเป็นทิพย์
ถาม : ได้ยินแต่เสียง ?
ตอบ : ถ้าหากว่าเป็นทิพโสต ได้ยินแต่เสียง จะใกล้จะไกลขนาดไหนในโลกนี้ก็ได้ ในโลกอื่นก็ได้ ถ้าต้องการฟังจะได้ยินหมด ถ้าหากว่าทิพจักขุญาณถึงจะเห็น
ถาม : แล้วที่เราได้ยินเสียงเทวดาพูดคุยกันอย่างนี้คือ เป็นยังไงคะ ?
ตอบ : ก็ลักษณะของทิพโสต แต่ว่ามันจะเป็นในลักษณะที่ว่าเขาปรับมาหาเรา ของเรากับเขานี่มันคนละคลื่นความถี่กัน ถ้าเราปรับไปหาเขาก็คือเราสร้างทิพโสตหรือทิพจักขุขึ้นมา แต่ถ้าเขาปรับมาหาเรา เขาจะใช้กำลังของเขาปรับมาเอง ถ้าเขาปรับมาหาเรานี่ชัดเป็นพิเศษ ถ้าเราปรับไปหาเขาส่วนใหญ่ความสามารถเรามันแย่ ก็ไม่ค่อยชัดเท่าไหร่
ถาม : แล้วอย่างเป็นเรื่องสมมุติน่ะค่ะ อย่างไปออสเตรเลียแล้วฝันว่ามีดวงวิญญาณดวงหนึ่งเขาเดินมาคุยกับเราเลย เขาบอกเราว่า เขาชื่อนี้เขามาตายที่นี่ เขาเป็นชาวที่นี่ แล้วก็อีกพวกหนึ่งก็จะเดินมาแบบมาขอบุญ แบบทำมืออย่างนี้น่ะค่ะ ที่ปลายเตียงเราแล้วก็เดินออกไปอย่างนี้ค่ะ
คือในสิ่งที่เราเห็นดังกล่าว ณ พื้นที่ตรงนั้นเนี่ยแสดงว่าเรามีความสัมพันธ์กับพวกเขามาแต่เก่าก่อนหรืออย่างไรคะ เราจึงได้สัมผัสแล้วเจอ ?
ตอบ : มีทั้งว่าเรามีความสัมพันธ์กับเขามาแต่เก่าก่อนก็ได้ ขณะเดียวกันเขารู้ว่าเราเป็นผู้ที่มีบุญเป็นนักปฏิบัติมั่นคงใน ทาน ศีล ภาวนา เขาสามารถที่จะได้ส่วนบุญกับเราได้ เขามาขอเอาเฉย ๆ ก็มี
คราวหน้าให้เพิ่มความขึ้สงสัยขึ้นนิดหนึ่ง อย่างเช่นเขาบอกเสร็จเรียบร้อยถามว่ามีอะไรเป็นหลักฐานมั้ย อย่างเช่นว่าไปถามใครหรือว่าไปหาดูได้ที่ไหน เพื่อจะได้ยืนยันว่าเรื่องที่เธอบอกฉันเป็นเรื่องจริง แล้วเขาจะบอกให้ มันจะพิสูจน์ได้ง่าย ๆ อย่างว่าเขามีญาติมีโยมเหลืออยู่ที่ไหนบ้าง ที่เราจะติดต่อสอบถามเรื่องนี้ว่ามันถูกต้องมั้ย แล้วเขาจะบอกหมด แต่ตอนนั้นต้องรีบจดนะ อย่าให้สว่าง ๆ ลืมอีก
ถาม : ส่วนใหญ่จะเป็นลักษณะแบบ อย่างเช่น เราไม่ได้ตั้งใจ คือตอนนี้กำลังจะเรียนต่อนะคะ คือเราไม่ได้คิดว่าจะต้องเป็นประเทศไหน พอดีในฝันนี่มาอีกแล้วค่ะ ชัดมาก เป็นชาวอินเดียมาบอกเราว่า ถ้าได้ไปอังกฤษให้ไปที่เมืองแทนสฟิว แล้วบอกว่าที่แห่งนี้จะเป็นป่าทึบแล้วมีลำธาร ก็แสดงภาพให้ดูเลย ซึ่งเราก็เอ๊ะ อะไร...เราไม่เคยคิดว่าเราไปจะไปไหนเลย ปรากฏหลังจากฝันได้มา ๑ ปี ตัวเองก็ไปสมัครไปก็ปรากฏว่า ที่อังกฤษรับเข้าเรียนแต่ว่าตอนนี้ยังสอบไม่ผ่าน แต่อังกฤษรับแล้วก็เลยไปค้นหาดูในอินเตอร์เน็ตน่ะค่ะ ว่าเมืองแทนสฟิวที่เขาพูดนั่นมันมีจริงหรือเปล่า ปรากฏไปเช็คดูมันมีจริง ๆ น่ะค่ะ ซึ่งเราก็ตกใจขนลุกซู่เลย เฮ้ย มันเป็นไปได้ด้วย แล้วลักษณะอย่างนี้มันเป็นเหมือนกับว่าเป็นเทพมาบอกก่อนล่วงหน้าหรือว่าอย่างไรคะ ?
ตอบ : เรียกว่าอย่างนั้นก็ได้คือว่าเราอาจจะมีความสัมพันธ์เคยอยู่ที่นั่น เคยทำอะไรไว้ที่นั่น เขาเองเขาต้องการให้เรากลับไปสถานที่นั้น มันเป็นไปได้ ๒ อย่างว่า ถ้าอยู่ในสถานที่ ๆ เราคุ้นเคยสิ่งต่าง ๆ ที่เราทำมันจะง่ายหรือว่าอยู่ในสถานที่ ๆ เขามีอำนาจถึง เขาสามารถช่วยเหลือสงเคราะห์เราได้ง่ายนะ คราวนี้บอกเขาด้วย จุดธูปบอกเขานึกถึงหน้าคน ๆ นั้นน่ะ บอกเขาบอกว่าตอนนี้จะไปแล้วล่ะ ช่วยสงเคราะห์ให้ทุกอย่างมันง่าย ๆ หน่อย
ถาม : ค่ะ ไม่รู้เหมือนกันค่ะ ตอนนี้ยังหาทุนยังไม่ได้เลยเจ้าค่ะ ?
ตอบ : บอกเขาไปตรง ๆ เลยเดี๋ยวเขาจัดการเอง เรื่องของผี ของเทวดา ถ้าเขาโอเค. ถ้าเขาต้องการจะช่วยต้องการให้เราไปจริงมันจะง่าย วิธีง่ายที่สุดคบกับผีคบกับเทวดาสบายใจ เขาไม่หลอกเราหรอก ของเขาได้เขาก็บอกว่าได้ ไม่ได้เขาก็บอกว่าไม่ได้ แต่ว่าอย่าตั้งใจมากนะ ทำใจสบาย ๆ ภาวนาหลับไปเหมือนเดิม
ถ้าหากจุดธูปบอกเขาแล้วมีอะไรขัดข้องเดี๋ยวเขามาบอกเอง หรือว่าจะให้เราแก้ไขยังไง ไปหาใคร หรือขอทุนที่ไหนอย่างนี้ เดี๋ยวเขามาบอกเอง
ถาม : การที่บุคคลซึ่งเป็นชาวต่างชาติที่เราไม่รู้จักเลย อยู่ดี ๆ ก็อยากจะเข้ามาแย่งคิวที่จะสอนภาษาอังกฤษให้ ก็เลยว่าคนเหล่านี้นี่เพียงแค่เราเอ่ยปากว่า เราต้องการเรียนภาษาอังกฤษก็มาทั้งหมด ๓ คนเรียงกัน มาทั้งหญิงทั้งชาย แสดงว่าเราเคยมีความสัมพันธ์...?
ตอบ : พระพุทธเจ้าตรัสว่า บุคคลที่เกิดมาในโลกแล้วได้พบกัน ในอดีตไม่มีความสัมพันธ์มานั้นไม่มี ต้องเคยมีความสัมพันธ์กันมาอย่างน้อย ๆ ในฐานะใดฐานะหนึ่ง
หลวงพี่ประทีปพระที่น่ารักของท่าซุง เดินทางไปพร้อมกับหลวงพ่อ ทีนี้อเมริกามันหนาวนี่ พระใส่เสื้อกันหนาวไม่ได้ ก็ได้แต่ห่มจีวร ปรากฏว่ามีคุณมืดหลายคน เดินมาก็ส่งตังค์ให้เอาไปซื้อสเวตเตอร์ อีกคนหนึ่งก็มาส่งตังค์ให้บอกเอาไปซื้อซะ อีกคนก็ส่งตังค์ให้เอาไปซื้อซะ พระทั้งกลุ่มมันให้อยู่องค์เดียว ไม่ให้องค์อื่นด้วย ทีนี้ท่านก็งง ๆ ว่า อะไรกันวะ ? หลวงพ่อบอก เอ็งเคยเกิดที่นี่ เป็นหัวหน้าเผ่าอินเดียนแดง พวกนั้นลูกน้องเก่าเอ็งทั้งนั้นแน่ะ มันเห็นเจ้านายมันจำได้ มันก็เลยให้สตางค์ มันห่วงกลัวจะหนาวตาย
ปรากฏว่าหลวงพี่ประทีปแกกลับมา แกบอกว่า เฮ้ย...เล็ก ข้าไม่อยากจะเชื่อว่ะ ข้าเองก็ไม่รู้ว่าใจมันมีความผูกพันอะไร แกก็เปิดต้นขาให้ดูแกสลักรูปหัวอินเดียแดงอยู่น่ะ คือแสดงว่าใจลึก ๆ ของแก ๆ ก็ยังนึกถึงเรื่องเดิม ๆ ของแกอยู่ แต่ว่ามันไม่รู้ตัว พอไปถึงโน่นชัดเลย ยิ่งหลวงพ่อยันไว้ด้วยเถียงไม่ออกเลย ให้อยู่คนเดียวจริง ๆ พระนั่งอยู่ตั้ง ๔-๕ องค์ เป็นยังไงเจอหัวหน้าอินเดียนเข้าแล้ว
นั่นน่ะลักษณะเดียวกัน คนเราที่เกิดมาในโลกนี้ได้พบได้เจอได้อะไรกัน ในอดีตไม่เคยมีความสัมพันธ์กันมานั้นไม่มีหรอก อย่างน้อย ๆ ก็ต้องมีไม่ฐานะใดก็ฐานะหนึ่ง อาจจะเป็นครอบครัวเดียวกัน อาจจะเป็นลูก เป็นพ่อ เป็นแม่ เป็นพี่ เป็นน้อง เป็นสามี ภรรยา เป็นเพื่อนฝูง เป็นครูบาอาจารย์อะไรกันมาอย่างนั้น
พวกนั้นอาจจะเป็นเพื่อนที่เรารักมากก็ได้ เคยซี้กันมาก่อนในอดีต มาชาตินี้ถึงเวลาเจอเพื่อนก็อยากจะช่วย เขาเองเขาก็ไม่รู้ตัว แต่ว่าความสัมพันธ์จะทำให้เหมือนกับมันดึงดูดกันเข้ามา เดี๋ยวพอไปแล้วก็จะเจอพวกนี้อีก ยิ่งสถานที่ ๆ เป็นถิ่นเก่าที่เป็นอะไรนี่นะ แต่ว่าให้ระวัง ๆ เอาไว้นิดหนึ่ง สถานที่เก่าที่ไหนก็ตามคนที่รักเรามีอยู่ อย่าลืมว่าคนที่เกลียดเราก็มีอยู่
เพราะฉะนั้นถึงไปอยู่ก็ตามอย่าประมาท ต้องตั้งหน้าตั้งตาอยู่ในทาน ศีล ภาวนา โดยเฉพาะภาวนารักษาอารมณ์ให้ทรงตัวไว้เสมอ ถึงเวลาอะไรจะเกิดขึ้นพรรคพวกเขาจะได้บอกเราได้
ถาม : การที่เราจะได้ไม่ได้นี่ขึ้นอยู่กับจังหวะชีวิตด้วยหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : ขึ้นอยู่กับจังหวะ ถ้าหากว่าจังหวะไหนกุศลส่งอะไรก็ง่ายไปหมด ถ้าหากว่าเป็นช่วงอกุศลคือความไม่ดีที่เราทำไว้มันเข้ามา อะไรมันเข้ามาก็สะดุดติดขัดไปหมด จำเอาไว้ว่า เราเกิดเป็นมนุษย์ ต้นทุนเราพอแล้ว บุญเราต้องทำมาพอสมควรทีเดียวถึงได้เกิดเป็นมนุษย์ได้ ในเมื่อบุญเราทำมาพอสมควรแล้วก็อย่าประมาท ต้องรีบเร่งทำไปให้มันมากขึ้น โดยเฉพาะตัวที่มันไม่เสียอะไรเลย ก็คือศีลกับภาวนา รักษาศีลให้ปกติ ภาวนาเจริญสมาธิให้เป็นปกติ พวกนี้จะเป็นบุญใหญ่กำลังสูงมาก
ถ้าหากว่าเราให้ทานอย่างเดียว มันเสียทรัพย์เสียของเสียอะไร แต่ศีลกับภาวนาเราไม่ต้องเสียอะไรเลย เป็นบุญใหญ่ง่ายที่สุด บุญกุศลพวกนี้แหละที่จะตามส่งผลให้กับเรา ถ้าจะมีเคราะห์กรรมอะไรเนื่องด้วยสิ่งไม่ดีเก่า ๆ ที่เราทำมา ถ้าเราเป็นผู้มั่นคงใน ทาน ศีล ภาวนา สิ่งทั้งหลายเหล่านั้นจะตามสนองเราได้ไม่ถึง ๒๕ เปอร์เซ็นต์ เต็มที่ก็ได้แค่ ๑ ใน ๔ เท่านั้น อีก ๓ ส่วนนี่อานุภาพของทาน ศีล ภาวนากันไปเรียบร้อยแล้ว
ยิ่งไปต่างประเทศยิ่งต้องอาศัยเยอะเลย เพราะว่าเราไปต่างบ้านต่างเมือง มันเหงาบ้าง เครียดกับการเรียนบ้าง เดี๋ยวถึงเวลาร้องไห้น้ำตาเป็นเผาเต่าเลย เคยเห็นเขาเผาเต่ามั้ย ? เขาจะเอากาบกล้วยพัน ๆ ๆ แล้วก็โยนเข้ากองไฟเลย เต่าก็ตะเกียกตะกายตายยากตายเย็นน้ำตาไหลน้ำตาร่วง โบราณเขาว่าอะไรมันมีเหตุ มีผลแต่บางคนเขานึกไม่ถึง ร้องไห้น้ำตาเป็นเผาเต่ามันจะเผาทำไม มันก็เผาไปกินนั่นแหละ (หัวเราะ) เต่าก่อนจะตายมันก็ดิ้นก็รนของมันน้ำตาไหลน้ำตาร่วง
ถาม : ช่วงนี้ถ้าทำวิปัสสนาให้กายว่าง แต่ทำไม่ค่อยบ่อยน่ะค่ะ นาน ๆ ทีจะจับลมหายใจจะจับตอนนอนแล้วช่วงกลางวันนึกถึงความตายบ้าง วันหนึ่งประมาณครั้งเดียว ?
ตอบ : ดีกว่าไม่นึกเลย จริง ๆ แล้วชีวิตเราอยู่กับลมหายใจเข้าออก หายใจเข้าไม่หายใจออกมันก็ตายแล้ว หายใจออกไม่หายใจเข้าไปใหม่มันก็ตาย เพราะฉะนั้นให้นึกถึงทุกลมหายใจเข้าออก นึกได้เมื่อไหร่ก็ เอ๊ะ นี่เราจะตายแล้วนี่หนอ ถ้าหายใจเข้าไม่หายใจออก ก็เสร็จเรียบร้อยไปแล้ว ตั้งเป้าไว้เลยว่าตายแล้วจะไปไหน
ถ้าหากว่าเราคิดว่าเทวดาดีตายแล้วเราจะไปเป็นเทวดา คิดว่าพรหมดีตายแล้วเราจะเป็นพรหม ถ้าคิดว่าพระนิพพานดีตายแล้วเราจะไปพระนิพพาน ตั้งเป้าของเราเอาไว้
ลักษณะของกำลังใจมันเหมือนกับสมาร์ทบอม ถึงเวลาเสร็จล็อคเป้ายิงมันถึงเวลามันทำงานของมันเอง เช้า ๆ ของเรา ๆ ก็ตั้งการงานของเราที่เราดำเนินมาแล้วทุกวัน ถ้าหากมันหมดอายุขัยหรือว่าเกิดอุบัติเหตุอันทำให้เราต้องตายไปภายในวันนี้ เราขอไปนิพพานที่เดียว แล้วภาวนาให้กำลังใจทรงตัวซักพักหนึ่งอาจจะ ๕ นาที ๑๐ นาที ถ้าทำอย่างหนี้ได้ วันนั้นทั้งวันต่อให้จิตมันวุ่นวายด้วยเรื่องงานเรื่องการอะไรก็ตามที ถ้ามันตายมันจะไปนิพพาน เพราะเราล็อคเป้าเอาไว้ตั้งแต่ตอนเช้าแล้ว สมัยนี้โทมาฮอคมันทำได้ใช่มั้ย ? เราเอามั่ง
ถาม : ขนเจียมคืออะไรครับ ?
ตอบ : ขนเจียมก็คือขนสัตว์ แต่คราวนี้มันเป็นขนสัตว์ที่เป็นเส้น ๆ มันไม่ใช่ขนที่เป็นหนัง อย่างเช่นว่า เขากร้อนมาอย่างนี้ ประเภทที่เราตัดตัดผมเลยล่ะ คำว่าหล่อสันถัดด้วยขนเจียม ก็คือทำที่นั่งด้วยขนสัตว์ แต่ที่เขาเรียกว่าหล่อก็เพราะว่า สมัยก่อนนี่เขาหล่อจริง ๆ เขาจะทำเป็นกะบะขึ้นมานะ แล้วเสร็จแล้วก็เอากาวลงครั้งหนึ่ง แล้วก็เอาขนสัตว์โรยให้ทั่วลงกาวอีกชั้นหนึ่งแล้วก็ขนสัตว์โรยให้ทั่ว ไล่ไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะหนาตามต้องการ ทิ้งไว้ให้แห้งแล้วก็ลอกออกมาทั้งผืน
|