ถาม :  .......(ไม่ชัด) .......เลือกห้องพัก ?
      ตอบ:  เขาเรียกว่าธรรมะจัดสรร คนอื่นเขาหนีไปนอนห้องแอร์หมดทิ้งกุฏิที่มีเทปหลวงพ่อไว้บานเลย ดีมั้ยล่ะ ? สบาย ทำตัวให้มันลำบากเข้าไว้ ต่อไปอยู่ที่ไหนมันก็สบาย ถ้าไปทำตัวสบายเข้าไว้ แล้วมันจะลำบาก หลายต่อหลายคนเขาถามว่าออกจากวัดท่าซุงทำไมสบายจะตาย ก็มันสบายจะตายนะสิถึงได้ไม่อยากอยู่
      ถาม: ...............................
      ตอบ:  เฮ้อ ถ้าหากว่ามันขาดความรู้ตัวเมื่อไหร่ เดี๋ยวมันก็เผลอลอยลมไอ้เผลอตัวนี้พาลงนรกอยู่เรื่อยล่ะ
      ถาม: .......................
      ตอบ:  คือบางคนเก่งเกินไป ดังนั้นเก่งเกินไปอย่าเพิ่งเชื่อ ระยะหลัง ๆ นี่มีพวกได้มโนมยิทธิไปใช้ผิดเยอะ เอาไปใช้ผิด รู้จริงบ้าง ไม่รู้จริงบ้าง อะไรบ้างลักษณะนั้น ก็เลยทำให้คนอื่นเดือดร้อนกันเยอะ เพราะอย่างที่ดูนี่แหละ พอดูเสร็จแล้วก็เอาไปบอกคนอื่นเขา ทำให้ญาติโยมพี่น้องเดือดร้อนกัน ต้องไปแก้ไขต้องไปทำอะไรกัน เราเป็นลูกทำความดีที่เป็นบุญเป็นกุศล อุทิศให้พ่อแม่ไป ถ้าท่านอยู่ในเขตที่เป็นกุศลก็ได้รับสบายไปเลย ถ้าท่านยังโมทนาไม่ได้ ผลบุญนั้นก็ยังรออยู่ไม่ได้ไปไหน
      ถาม: ...........................
      ตอบ:  มันมีเยอะ ระยะหลังนี่เขาเก่ง ใช้ผิดกันอยู่เรื่อย มโนมยิทธิ นี่หลวงพ่อท่านสอนให้รู้แล้วละ รู้แล้วเข็ดซะบ้าง เกิดมากี่ชาติต่อกี่ชาติ มีชาติไหนไม่ทุกข์บ้าง แต่ปรากฏว่าระยะหลังนี้ รู้แล้วไปยึดกันเรื่อย ประเภทไปฟื้นความสัมพันธ์ ชาติก่อนเธอเป็นอย่างนั้นกับฉัน เธอเป็นอย่างนี้กับฉัน สบาย แทนที่ว่ายน้ำถึงฝั่งก็เลยกอดคอจมน้ำตายกันหมด มีชาติไหนที่เราไม่ทุกข์บ้าง ? ทุกชาติที่เกิดมายังทุกข์อย่างนี้แล้วยังอยากเกิดอีกไหม ? อันนี้ไม่ได้ตำหนิเขานะ คือคนเราบางทีมันก็คัน พอมันคันมันรู้อะไรก็อดไม่ได้ ทำอะไรได้ก็ใช้มันไปเรื่อย แต่ว่าไม่รู้ว่าสิ่งไหนควรสิ่งไหนไม่ควร
              แล้วบางอย่างประเภทเขามาหลอกเรา คนที่รู้เห็นยิ่งชัดเจนเท่าไร ยิ่งมีโอกาสโดนหลอกง่ายเท่านั้น เห็นเขาไล่ยิงกันมา เราก็โทรแจ้งตำรวจ ตำรวจมาถึงเราหน้าแตก เขาถ่ายหนังกันอยู่น่ะ แล้วเราเห็นเขายิงกันจริง ๆ ไหมล่ะ ? จริง .....แล้วเรื่องที่เราเห็นจริงไหมล่ะ ? ไม่จริง ...........ลักษณะนี้แหละ การรู้เห็นของ ทิพจักขุญาณ บางทีก็มีการทดสอบกัน แล้วเขาทดสอบกันแรงหนัก ๆ กัน เขาไม่เกรงใจกันหรอก โดนต้มได้สบาย ฉะนั้นยิ่งรู้มากเท่าไร ยิ่งต้องระมัดระวังมากเท่านั้น
              สมมติว่าความเป็นทิพย์บอกเรามา ๓ เรื่อง ๔ เรื่องพร้อม ๆ กัน เรื่องที่ ๑ ถูกต้องก็น้อมใจเชื่อ เรื่องที่ ๒ ถ้ายังไม่เกิดขึ้นตามนั้นก็อย่าเพิ่งเชื่อว่าจะเป็นไปตามนั้น อะไรที่มันจะเป็นสิ่งไม่ดี เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วจะเป็นอันตรายหรือเสียหายกับเรา เราก็ระมัดระวังป้องกันเอาไว้ แต่ถ้าหากว่ามันยังไม่เกิดขึ้น ก็ระมัดระวังป้องกันเฉย ๆ อย่าเพิ่งเชื่อว่ามันจะเกิดขึ้นตามนั้น จนกว่ามันจะเกิดขึ้นแล้วจริง ๆ พอเรื่องที่ ๒ ถูกก็อย่าเชื่อว่าเรื่องที่ ๓ จะถูกเป็นไปตามนั้นต้องละไว้ไนฐานที่เข้าใจเสมอ เชื่อเต็ม ๆ ไปเมื่อไรโอกาสโดนหลอกมีเยอะนิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า แม้แต่ที่อาตมาพูดก็อย่าเพิ่งเชื่อเลย
      ถาม:  ถ้าเราไม่ได้มโมมยิทธิ แต่เราเชื่อฟังคำสั่งสอนขององค์พระ.....?
      ตอบ:  โอ้ อันนี้เป็นพระอรหันต์ง่ายเลย
      ถาม:  แต่เราไม่เห็นพระนิพพาน ?
      ตอบ:  ก็บอกแล้ว ถ้าเป็นพระอรหันต์ง่ายเลย จำไว้ว่า กติกาของคนไปนิพพาน อันดับแรก ต้องเคารพพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ จริง ๆ อันดับที่ ๒ รักษาศีลให้บริสุทธิ์ไม่ล่วงศีลด้วยตนเองไม่ยุให้คนอื่นทำ ไม่ยินดีเมื่อมีคนอื่นทำ อันดับที่ ๓ ตั้งใจว่าตายแล้วไปนิพพาน มีแค่นี้แหละ มีข้อไหนบอกว่าต้องได้มโนมยิทธิ ? มีข้อไหนบอกว่าต้องได้อภิญญา ? ไม่มี......
      ถาม:  คือเราจะไม่ได้พวกนี้เลย พระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าเราเชื่อจริง ๆ ?
      ตอบ:  ถ้าหากว่าอย่างนั้นยิ่งง่ายจริง ๆ โอกาสโดนหลอกก็น้อยมากเรียนจบเร็วกว่าเขา เพราะว่าพระอรหันต์จริง ๆ มี ๔ ประเภทด้วยกันประเภทที่ ๑ เรียกว่า สุกขวิปัสสโก เข้าถึงธรรมไปเลยไม่จำเป็นต้องเห็นอะไร ประเภทที่ ๒ เตวิชโช เข้าถึงธรรมแล้วสามารถระลึกชาติได้ รู้ว่าคนและสัตว์ก่อนเกิดมาจากไหน ตายแล้วจะไปไหน ประเภทที่ ๓ ฉฬภิญโญ หรืออภิญญา ๖ เข้าถึงธรรมแล้วยังมีความสามารถพิเศษอีก ๕ ประการ ประเภทที่ ๔ เรียกว่า ปฏิสัมภิทาญาณ เข้าถึงธรรมแล้วยังมีความสามารถครอบคลุมบุคคลทั้ง ๓ ประเภทข้างต้นที่กล่าวมา เหมือนกับเราเรียนจบปริญญาตรีเท่ากัน แต่เพียงแต่ว่าเพื่อนเราเป็นหมอ แล้วเขาผ่าตัดได้ เราเองไม่ได้เป็นหมอ ขืนไปผ่าคนไข้ตาย แล้วจบเหมือนกันไหม ? จบเหมือนกัน ดีไม่ดีเราจะทำงานเก่งกว่าด้วย เพียงแต่เราไม่ได้ เป็นหมอแค่นั้นเอง
      ถาม:  ....................
      ตอบ:  ฟังแล้วค่อยยังชั่วเนอะ ไม่งั้นนึกว่าชีวิตนี้ไม่มีหวัง สำคัญตรงศีล เน้นเรื่องศีลเอาไว้ ถ้าหากว่าศีลทรงตัวสมาธิก็จะมั่นคง สมาธิมั่นคงปัญญาจะเกิด ปัญญาเกิด ก็ไปคุมศีลให้บริสุทธิ์ยิ่ง ๆ ขึ้น ศีลยิ่งบริสุทธิ์ขึ้น สมาธิก็ยิ่งดี สมาธิยิ่งดี ปัญญาก็ยิ่งเกิด โอ้ย ...สนุกอย่าบอกใคร
      ถาม:  หลวงพ่อครับ คาถาบทนี้ใช้ทำอะไรได้บ้าง ?
      ตอบ:  อันไหนจ๊ะ
      ถาม:  พระโมคคัลลาน์ ?
      ตอบ:  พระโมคคัลลาน์ อันนี้เขาใช้ประเภทที่ว่ากระดูกแตก กระดูกหัก เสกน้ำมันทาประสานกระดูกได้ แล้วก็ดับพิษไฟได้
      ถาม:  ......................
      ตอบเต็มกำลัง ถ้าหากว่ากำลังเราไม่พอ ยังไง ๆ มันก็ไม่ได้หรอก เอาครึ่งกำลังให้มันคล่องตัวไว้ก่อนดีกว่า เต็มกำลังมันต้องสะสมกันนาน ถ้าไม่ใช่คนที่มีของเก่ามาก่อนมันไม่ได้ง่าย ๆ หรอก แต่ว่าพอถึงเวลาเขามีฝึกเต็มกำลัง เราก็ไปร่วมกับเขา ลองดูซะก่อน ให้มันต้องคิดว่าเราต้องเป็นหนึ่งในจำนวนคนที่ได้ ถ้ากำลังใจเรามั่นคง อย่างนั้นมันได้ง่ายอยู่ ถึงเขาเปิดฝึกเต็มกำลังเราก็ไป แต่ว่าก่อนไปเราซ้อมครึ่งกำลังเอาไว้ก่อน
      ถาม:  ........................
      ตอบหลักการปฏิบัติจริง ๆ เน้นตรงศีลก่อน เอาศีลเป็นหลักเลย ถ้าศีลไม่มีหรือว่าศีลบกพร่อง โอกาสสมาธิทรงตัวมันจะยากแล้วพอก้าวเข้ามาจับตรงจุดสมาธิ เน้นตรงลมหายใจเข้าออกไม่ว่าเราจะฝึกตามสายไหนมา จะใช้คำภาวนาอย่างไรก็ตามอย่าทิ้งลมหายใจเข้าออกเป็นอันขาด กำหนดใจให้รู้ลมหายใจเข้าออกอยู่ หายใจเข้าให้รู้ว่าหายใจเข้า หายใจออกรู้ว่าหายใจออก เอาความรู้สึกทั้งหมดตามลมหายใจไป ลมหายใจมันผ่านจมูก รู้ว่าตอนนี้มันผ่านจมูก ผ่านกึ่งกลางอก ให้มันรู้ว่าผ่านกึ่งกลางอก สุดลงที่ท้อง ให้รู้ว่ามันสุดที่ท้องให้ความรู้สึกทั้งหมดของเราอยู่ตรงจุดนี้แหละจ๊ะ แล้วพยายามประคองศีลให้บริสุทธิ์ พยายามสร้างความมั่นคงในการภาวนาให้ได้
              คือว่าเราแรก ๆ อาจจะทำมากไม่ได้ ก็กะว่านับ ๑- ๒๐ ก็พอ หายใจเข้าหายใจออกนับ ๑ หายใจเข้าหายใจออกนับ ๒ ถ้ามันไปคิดเรื่องอื่นเราดึงกลับมานับ ๑ ใหม่พยายามเอาให้ได้สัก ๒๐ ก่อน แล้วพออารมณ์ใจเริ่มทรงตัวปุ๊บ มันก็จะเกิดอาการประหลาด ๆ ขึ้นกับตัวเยอะ ตอนนั้นก็มาไล่ถามได้ว่าแต่ละอย่างคืออะไร หลักใหญ่ ๆ อยู่ตรงนี้แหละจ้ะ เอาศีลให้บริสุทธิ์ แล้วก็ตั้งหน้าภาวนาโดยอยู่กับลมหายใจเข้าออกไว้ แล้วคราวนี้รับรองว่าเจอกับตัวเองแน่ ๆ เดี๋ยวคราวหน้าจะเช็คความก้าวหน้า คือถ้าหากว่าเราเกาะอยู่ในนี้จะไม่มีทางพลาดเลย เพราะว่าศีลจะเป็นเครื่องป้องกันเราทุกรูปแบบ อยู่กับโลกแต่ไม่ติดในโล ก เพราะเรามีศีลเป็นเครื่องป้องกัน
      ถาม:  ....................
      ตอบ:  พระกาลท่านถึงเวลา ท่านจะมารับหลวงพ่อ ปรากฏว่าพอพระกาลจะมา พระท่านเสด็จก่อน ในเมื่อพระท่านเสด็จก่อน พระกาลก็ต้องรออยู่ด้านนอก เพราะว่าเทวดาชั้นผู้ใหญ่ พรหม มาเกลี้ยงเลยโดยเฉพาะพระอรหันต์ ท่านก็เข้ามาไม่ได้ พระท่านอยู่สนทนากับหลวงพ่อไปพักหนึ่ง พอพ้นเวลาท่านก็ลากลับ เรื่องของเทวดาเขาตรงไปตรงมา ถ้าตรงเวลาเขาก็มารับ ถ้าเลยเวลาก็ถือว่าจบกันแค่นั้น ทีนี้เรื่องของวาระสงครามก็เหมือนกัน ตอนแรกก็ไม่เข้าใจเพราะว่าความรู้สึกก็คืออยากให้เกิด ๆ ไปเลย มันไม่ใช่ซาดิสม์หรอกนะ มันขี้เกียจรอ ให้มันเกิด ๆ ไปเลยหมดเรื่องหมดราว จะได้รู้หน้ารู้หลังกันไปเลย แต่ปรากฏว่าท่านพยายามจะดึงมันเอาไว้ เนื่องจากว่ามันมีโอกาสที่ว่าเราอาจจะพ้นได้ ในเมื่ออาจจะพ้นได้ ท่านก็จะใช้เวลาดึงให้มันพ้นเกณฑ์เมษายน ปี ๔๖ ไป ถ้าพ้นเกณฑ์ตรงนั้นแล้ว มันจะเกิดก็จะเกิดในวงแคบ ๆ เท่านั้นจะไม่ลามใหญ่ออกไป
      ถาม:  แต่ถ้าเกิดในช่วงนี้ ?
      ตอบ:  ถ้าเกิดในช่วงนี้รับรองได้ว่ากว้างแน่ แต่ถ้าหากว่ามันพ้นเกณฑ์ไปแล้ว มันก็อยู่ในวงแคบ ๆ อาจจะประเภทตีกันแค่ ๒ ประเทศ ๓ ประเทศอะไรอย่างนั้น
      ถาม:  บทสวดพุทธคุณ ตรงปัญญาปะทีปะชะลิโต มีที่มาอย่างไร ?
      ตอบปัญญาปะทีปะชะลิโต ความแปลตรง ๆ ว่ามีปัญญาอันสว่างไสวเหมือนอย่างกับไฟที่รุ่งโรจน์ เหมือนอย่างกับเปลวไฟที่สว่างรุ่งโรจน์
      ถาม:  เคยอ่านเจอแล้ว ที่มาของบทพุทธคุณตรงนี้ ครั้งหนึ่งพระพุทธเจ้าถาม แล้วใช้ปัญญาโต้ตอบกันและกัน ใครเป็นคนถามและโต้ตอบกัน ?
      ตอบสัจจนิครนถ์ นิครนถ์ จะเป็นนักบวชจำพวกหนึ่ง สัจจนิครนถ์เขาเป็นคนมีปัญญามาก ศึกษาวิชาการทางด้านของเขาเจนจบ จนกระทั่งเขาเชื่อว่าความรู้ของเขามันล้นพุงน่ะ จะต้องเอาเหล็กแผ่นมาคาดพุงเอาไว้ กลัวพุงแตก ความรู้มันเยอะ แต่บังเอิญความรู้ของเขามันเป็นมิจฉาทิฏฐิ พระพุทธเจ้าไปเพื่อที่จะแก้ เพราะว่าเล็งญาณดูแล้วว่าคนนี้โปรดได้ ก็เลยไปในลักษณะที่เรียกว่าเพื่อโต้ตอบปัญหากัน แล้วชนะโดยที่สัจจนิครนถ์ไม่สามารถที่จะเถียงได้ เพราะว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่ท่านบอกไว้มันแจ่มแจ้ง เปรียบเหมือนกับว่าหงายของที่คว่ำ หงายกะลาที่คว่ำขึ้นมาหรือไม่ก็เปิดของที่ปิดอยู่ขึ้นมา สัจจนิครนถ์รู้แจ้งเห็นจริงในจุดนั้น ก็เลยเปรียบในลักษณะที่ว่าพระองค์ท่านมีปัญญาอันรุ่งเรืองเหมือนอย่างกับเปลวไฟ ส่องสว่างให้ความมืดมนของเขาหมดไปได้ สัจจนิครนถ์ถ้าหากว่าอยู่มันจะอยู่ในพาหุง ๘ บท น่าจะเป็นบที่ ๖ สัจจังวิหายะมะติ สัจจะกะวาทะเกตุง คนเวลามันดื้อ มันดื้อสะเด็ดเหมือนกัน
      ถาม: เวลามันออกมาแล้วเห็นสัมภเวสี แล้วเราจะทำอย่างไร ?
      ตอบ:  ก็ตั้งใจอุทิศส่วนกุศลให้เขา เพราะว่าพวกนั้นส่วนใหญ่เขาจะลำบาก เราน่ะถ้าออกไปเราจะลืมสังเกตตัวเอง ส่วนใหญ่แล้วบุคคลที่ออกไปได้ลักษณะนั้น บารมีจะเท่ากับพรหมชั้นใดชั้นหนึ่งตามความหยาบละเอียดส่วนใหญ่ก็จะเท่ากับพรหมชั้นที่ ๑๐ เพราะว่าจะออกด้วยกำลังของฌาณ ๕ ถ้าหากว่าออกด้วยกำลัง กำลังฌาณ ๔ ละเอียดก็จะเท่ากับพรหมชั้นที่ ๑๑ ซึ่งถือว่าบารมีสูงมหาศาลเลย คราวนี้พวกนี้เขาลำบากอยู่ เขาอยากได้บุญ โดยเฉพาะบุญกรรมฐานเป็นบุญที่ใหญ่มาก
              เพราะฉะนั้นเมื่อเห็นเราก็ตั้งใจอุทิศให้เขาจ้ะ ส่วนใหญ่จะเป็นอย่างนั้น จะไปกลัวกัน วันก่อนมียายหนูคนหนึ่งมาพอเจอเข้าก็รีบท่องคาถาไล่เขาเพราะว่าตัวเองกลัว ถ้าเจอในลักษณะอย่างนั้นผีร้องไห้แน่เลย ตั้งใจอุทิศ ว่ากุศลบารมีทั้งหมดที่เราสร้างสมมาตั้งแต่ต้นจนกระทั่งบัดนี้ โดยเฉพาะบุญกรรมฐาน ขออุทิศให้แก่เธอทั้งหลายที่เราได้เห็นเมื่อครู่นี้ ขอให้เธอทั้งหลายได้โมทนา ประโยชน์ความสุขใดที่เราจะพึงได้รับ ขอเธอทั้งหลายจงได้รับด้วย
              เรื่องของอาชีพที่เกี่ยวข้องกับชีวิตสัตว์ บางคนเลี้ยงกุ้ง บางคนเลี้ยงปลา บางคนเลี้ยงไก่ เคยมาถามว่าเขาเลี้ยงสัตว์อย่างนี้ แล้วก็ขายเขานี่บาปมั้ย ? ก็บอกว่าให้เขาวางอารมณ์ว่า ในเมื่อเราเอาลูกสัตว์เล็ก ๆ มาแล้ว เราจะตั้งใจว่าเลี้ยงดูเขาให้รับความสุขสะดวกสบายทุกอย่าง ให้ตั้งใจอย่างนี้ แล้วเสร็จแล้วพอมันได้อายุขายได้นะ เราขายอย่างเดียว ส่วนคนซื้อ ซื้อไปทำอะไรเราไม่รับรู้ ถ้าเรา สามารถตัดกำลังใจอย่างนี้ได้โทษจะไม่มี
              ลักษณะเดียวกับภรรยาของพรานกุกุตตมิต ภรรยาของพรานกุกุตตมิต เป็นพระโสดาบันแต่สามีเป็นพราน ถึงเวลาจะออกล่าสัตว์ก็แม่อีหนูเอาหน้าไม้มา ก็ส่งให้ แม่อีหนูเอาบ่วงเชือกมา ก็ส่งให้ แม่อีหนูเอาหอกเอาแหลนมาก็ส่งให้ พระภิกษุไปบิณฑบาตเห็นเข้าก็งง ๆ พระพุทธเจ้าพยากรณ์ว่าคนนี้เป็นพระโสดาบันแล้วทำไมสนับสนุนผัวให้ฆ่าสัตว์อีก ก็ไปฟ้องพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าบอกเธอก็ไปถามเขาดูสิว่าเขาคิดยังไง ? ถึงเวลามีโอกาสพระก็ไปถาม ภรรยาของพรานของกุกุตตมิตก็บอกว่า เขาเป็นเมีย หน้าที่ของเมียก็คือ ผัวสั่งอย่างไรก็ต้องทำตาม ผัวบอกให้ส่งหน้าไม้มาก็ส่งให้ ส่งบ่วงเชือกมาก็ส่งให้ ส่งหอกมาส่งแหลนมาก็ส่งให้ ทำตามคำสั่งผัวแค่นี้เท่านั้น ส่วนผัวเอาไปทำอะไรเธอไม่รับรู้นั่นมันเรื่องของผัวไม่ได้เกี่ยวกับตัวแล้ว ก็ลักษณะเดียวกัน ส่วนเรื่องของการที่ว่าขายอย่างเช่น ขายหมู ขายไก่ ตามเขียงในตลาดน่ะ ถ้าหากว่าสั่งให้เขาฆ่านี่มีโทษแน่นอน หรือว่าถ้าหากว่าฆ่าด้วยตัวเองก็มีโทษแน่นอน
              แต่ว่าเรื่องของการฆ่าหมูฆ่าไก่อย่างนี้ญาติโยมทางใต้เขาจะมีอยู่ โดยเฉพาะพวกแพปลาสงขลา เขาจะนิมนต์พระถวายสังฆทานให้เขาทุกเดือนแต่มันมีสิ่งที่เขาขอร้องพิเศษเหมือนกัน อย่างไก่ ก่อนหน้านี้เขาขอข้าวเปลือก ๒ รวง ข้าวเปลือกนะ ๒ รวง เอามาพร้อมกับน้ำสะอาดขันหนึ่งให้บูชาอยู่หน้าพระให้เราสวดมนต์ภาวนากี่ชั่วโมง กี่นาที แล้วอุทิศส่วนกุศลให้เขา เขาจะกำหนดมาเลย มาตอนหลังหลวงพ่อไปต่อรองเขาบอกว่า ทำอย่างนั้นน่ะมันยาก มีที่ง่ายกว่านี้มั้ย ? ก็เลยตกลงว่าถ้าใครเคยฆ่าไก่มา ให้ถวายผ้าไตรจีวรกับพระสงฆ์ ๑ ชุด
              เพราะฉะนั้นพ่อค้าไก่ ถ้าหากว่ามีญาติโยมอะไรเป็น ก็แนะนำถวายเดือนละชุดเลยก็ได้ คือประเภทที่ว่าถวายให้แก่ไก่ทั้งหมดที่เราฆ่าหรือสั่งฆ่าเพื่อเอามาขาย ส่วนหมูนี่เขาขอหนักหน่อย เพราะหมูเป็นสัตว์ใหญ่ การจะฆ่าสัตว์ใหญ่ต้องใช้กำลังใจสูงกว่า โทษมันก็เลยหนักกว่า หมูเขาขอพระพุทธรูปหน้าตัก ๓๐ นิ้วองค์หนึ่ง ๓๐ นิ้วประมาณตัวคนน่ะ ราคาไม่หนีหมื่นขึ้นไป ถ้าหากว่าเป็นไปได้ถวายไปสักปีละครั้งก็ได้ ตั้งใจให้เขา เพราะว่าพระพุทธรูปหน้าตัก ๓๐ นิ้วหลายตังค์อยู่ ถ้าหากว่าถวายทุกเดือนอาจจะหนักเกินไป แต่อย่างผ้าไตรราคา ๕-๗๐๐ บาท พอไหวอยู่ ถวายได้ทุกเดือน ตั้งใจอุทิศให้แก่พวกเขาทั้งหลายที่ได้สั่งให้เขาฆ่าหรือว่าฆ่าด้วยด้วยตัวเอง