ถาม :  (ถามเรื่องการเกิดขึ้นของดวงจิต)
      ตอบ:  มีเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ แต่ก็อย่างที่บอก มันสามารถเกิดได้ แต่โอกาสมันน้อยมาก แล้วขณะเดียวกัน ที่ไปนิพพานแล้วก็ดี ที่อยู่เป็นเทวดา พรหมก็ดี ที่อยู่ในมนุษย์โลก รวม ๆ แล้วยังไม่เท่ากับข้างล่างเลย ข้างล่างยังมีโอกาสขึ้นมาอีกตั้งเยอะ
      ถาม:  แล้วโลกที่เราอยู่ปัจจุบันนี่ มีมาตั้งแต่สมัยสมเด็จองค์ปฐมแล้วเหรอครับ ?
      ตอบ:  บอกไม่ถูกเหมือนกันว่ามีมาสมัยไหน เดี๋ยวถ้ามีโอกาสลองไปเคาะถามมันดู มันจะตอบไหม ถึงเวลาก็เอาไม้กระทุ้ง ๆ หน่อย เฮ้ย ! เอ็งมาตั้งแต่เมื่อไหร่ว่ะ ?
      ถาม:  มีที่นี่ที่เดียวใช่ไหมครับ ที่พระพุทธเจ้าท่านจะลงมาตรัส ?
      ตอบมีโลกนี้โลกเดียวที่จะมีพระพุทธเจ้ามาตรัส เพราะว่าเป็นโลกที่ประกอบไปด้วยลักษณะที่มีความทุกข์ ความสุขที่มันแตกต่างแยกเห็นกันอย่างชัดเจน ในเมื่อเห็นกันอย่างชัดเจน สามารถสั่งสอนให้คนเข้าถึงธรรม ก็เห็นได้ง่าย โลกอื่นส่วนใหญ่สบาย ในเมื่อสบายไปบอกว่าทุกข์ ก็ไม่ค่อยรู้เรื่อง ไปบอกว่าไม่เที่ยง ยิ่งหนักเข้าไปใหญ่ อายุเป็นหมื่น ๆ ปีน่ะ ฉะนั้น โอกาสที่เขาจะเห็นธรรม เข้าถึงธรรมมันก็น้อย พระพุทธเจ้าท่านลงมาตรัสรู้เฉพาะในโลกนี้ เขาถึงได้เรียกว่า มงคลจักรวาล> จักรวาลที่เป็นมงคลอย่างยิ่ง ลองไปโลกอื่นดูก็ได้ประเภทบำเพ็ญบารมีกันทีลืมไปเลย
      ถาม:  จิตเวลาจะเกิดที่ไหน มันจะผูกพันกับที่นั่นหรือเปล่าครับ ?
      ตอบ:  มันมีส่วนความจำของมันอยู่ ถึงเวลาพอไปถึงตรงจุดนั้น มันก็จะจำได้ นึกได้ หรือไม่ก็ประเภทที่ว่า อยู่ ๆ ก็คุ้นเคยอย่างบอกไม่ถูก
      ถาม:  อย่างนี้ ถ้าเกิดสมมุติเราไปเกิดที่จักรวาลที่ไกลมาก ๆ โอกาสก็น้อยสิครับ ที่จะมาเกิดในจักรวาลนี้ ?
      ตอบ:  ทำไม มีเยอะแยะไป เกิดสลับกันไปสลับกันมา ของเขาก็เหมือนกัน เคยมาเกิดเป็นของเรา แล้วก็ไปเกิดเป็นของเขา เกิดเป็นเทวดา เป็นพรหมเหมือนกัน ขึ้นอยู่กับความดี ความชั่วที่เขาทำ ทำความดีเอาไว้มากกว่านี้ แต่ไม่พอที่จะเป็นเทวดา ก็ไปเกิดอยู่ในดวงดาวที่มีสะดวกสบาย
              ในเรื่องที่พระพุทธเจ้าท่านเตือนว่าไม่ควรคิดมันมันอยู่ ๔ อย่าง คือ พุทธวิสัย ความสามารถของพระพุทธเจ้า กว่าจะบำเพ็ญบารมีมาอย่างน้อย สี่อสงไขยกับแสนมหากัป สิ่งที่ท่านทำได้พิลึกพิลั่นเกินกว่าปุถุชนทั่วไปจะเข้าถึงหรือทำได้ ฌานวิสัย ความสามารถของผู้ทรงฌาน ทรงสมาบัติ คือพวกได้อภิญญา ว่าเขาจะทำอะไรได้บ้างจะเป็นอย่างไรบ้าง กรรมวิบาก คือการส่งผลของกรรมโลกจินไตย คือความไม่มีที่สิ้นสุดของโลก คือความเป็นไปของโลกเรานี้ ท่านบอกว่าทั้ง ๔ อย่างนี้ ผู้ใดคิด พึงมีส่วนของความเป็นบ้า เพราะเสียเวลาตายซะเปล่า ๆ โดยไม่มีความดีติดตัวไป เพราะมัวแต่ไปคิดอยู่ให้ตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติธรรมไป จะเกิดผลเร็วกว่าเยอะ
      ถาม:  อ่านในเว็บครับ เขาเขียนว่าปัญญาธิกะ ฉลาดกว่า บำเพ็ญบารมีน้อยกว่าศรัทธาธิกะ ?
      ตอบ:  เขาเข้าใจอย่างนั้นจริง ๆ บางฉบับ เขาเปรียบเทียบว่า เด็กโง่กับเด็กฉลาดเลย คนจะเป็นพระพุทธเจ้าโง่ มีหรือ ? ก็เอาอย่างเขาว่าแล้วกัน ที่เขาเปรียบมาน่ะมันใช่ของเขา เราเองรู้สึกว่าใกล้ปรามาสพระรัตนตรัย เราก็เลี้ยวออกมาซะ
      ถาม:  ผมอ่านความเชื่อของชาวคริสต์ นี่น่ากลัวเหมือนกันครับ ใครไม่เชื่อแบบพระคริสต์ก็ลงอเวจีอย่างเดียวไม่ผุดไม่เกิดเลย ?
      ตอบ:  เขามีอเวจีเหมือนกันเนอะ
      ถาม:  ก็นรกเขา ก็คือ ถ้าใครไม่เชื่อในพระคริสต์คือลงนรกอเวจีอย่างเดียว ?
      ตอบ:  อันนั้น เขาหมายความว่าถ้าไม่เชื่อพระคริสต์แล้วไม่มีศาสนาอื่นเป็นเครื่องยึด
      ถาม:  ผมอ่านในนั้นมันมีการ์ตูนศาสนาคริสต์น่ะครับ มีคนแบบเข้าวัดทำบุญ แล้วก็มีคนมาชวนเข้าศาสนาคริสต์แล้วเขาก็ไม่สนใจ สุดท้ายรถคว่ำตาย ไปเจอ เจอพระเยชู พระเยชูก็บอก เนี่ย เราพยายามให้คนมาชักชวนเจ้าหลายครั้งแล้ว แต่เจ้าไม่สนใจในศาสนาเรา เจ้าก็เลยต้องลงนรกชั่วนิรันดร์ ?
      ตอบ:  ชั่วนิรันดร์นี่ อยากได้มากเลยล่ะ จริง ๆ แล้วก็คือว่าของเขาอยู่ในลักษณะที่เรียกว่า จะข่ม ตั้งใจข่มศาสนาอื่นเขา เผยแพร่ในลักษณะนี้พระพุทธเจ้าไม่สรรเสริญ เพราะว่าพระพุทธเจ้าท่านพูดถึงการเผยแพร่ศาสนา พระองค์ท่านคือ แนะนำเพื่อประโยชน์ของเขา แนะนำเพื่อความสุขของเขา จะไม่ยกศาสนาของเราดีกว่าความเชื่อของเขา จะไม่มีการประเภทกดข่มเขาลง อะไรพวกนี้
      ถาม:  แต่ผมดูแล้วมันคล้าย ๆ จริง ๆ นะ อย่างล้างบาปอย่างเนี่ย สารภาพบาป ก็เหมือนกับตอนพระท่านปลงอาบัติ ?
      ตอบ:  พระคริสต์ท่านสอนให้สารภาพบาป แต่คราวนี้ว่า สารภาพบาป บางทีมันอายเขา เขาเลยสอนให้ล้างบาปแทน ระยะหลัง เอาคำสอนพระคริสต์มาดัดแปลงให้เข้ากับกิเลสคน ถ้าอย่างของเรา เขาเรียก สัทธรรมปฏิรูป
      ถาม:  จริง ๆ ของเราก็ ก็มีการดัดแปลงบ่อย ๆ ?
      ตอบ:  เยอะ ประเภทดัดแปลงเข้ากับกิเลสชาวบ้านได้ แหม....รวย ๆ ไปตาม ๆ กัน พอเอาของจริงมา เขาไม่ค่อยสนใจกัน
      ถาม:  แล้วฏิรูปอะไรเนี่ยครับ ?
      ตอบ:  ปล่อยเขาปฏิรูปต่อไปเถอะ
      ถาม: จะสำเร็จไหม ไม่ออกมารบกันเหรอครับ ?
      ตอบ:  แล้วจะรบกันไปทำไมล่ะ ?
      ถาม:  ก็เห็น เอาม็อบมาชนม็อบ ?
      ตอบ:  ก็นั่นแหละ ผิดตั้งแต่คิดจะเอาม็อบชนม็อบแล้ว โดยปกติทั่ว ๆ ไปแล้ว แค่คนธรรมดาความเห็นไม่ตรงกัน เห็นแย้งกันได้ นี่ถ้าหากว่าถือว่าคุณเป็นพุทธศาสนิกชน เป็นผู้ที่ตั้งใจปฏิบัติดีปฏิบัติชอบแค่คนแย้งแล้วคุณเห็นเขาเป็นศัตรูก็บรรลัยแล้ว
      ถาม:  ผมว่ามันไม่รู้สิ มันทั้งสองฝั่ง ก็มาจาบจ้วงหลวงตาบัว มาจาบจ้วงสงฆ์ ?
      ตอบ:  ก็ปล่อยเขา
      ถาม:  แต่ผมนึก ๆ แล้วทำไมท่านไม่ออกมาห้ามปรามบ้างล่ะ ?
      ตอบ:  ไม่มีประโยชน์อะไร เพราะว่าถ้าหากว่าโดดลงไปเล่นซะอีกก็จะพาคนหมู่มากร่วมเข้าไปอีก เพราะว่าแต่ละองค์ท่านก็มีลูกศิษย์มาก ๆ ทั้งนั้น ก็เลยจำเป็นต้องนิ่งไว้ เขาจะว่าอะไรก็ให้เขาว่าไป วันก่อนบอกสำนวนกำลังภายในเขาบอกว่า สวรรค์มีทางเจ้าไม่ไป นรกไร้ประตูเสือกตะกายมา ก็ปล่อยมันลง สำนวนจีนมันสะใจกว่า
      ถาม:  แต่ผมว่านะครับ ให้เห็นตัวอย่างความเป็นทุกข์ของคน เหนื่อย ๆ ก็ยังรู้สึกว่า ทำไมยังต้องเดินทางต่อไป ?
      ตอบ:  อันนี้ อาตมา โน คอมเม้นท์ แล้วแต่โยมเหอะ ก็เพราะยังอยากเดินอยู่
      ถาม:  ควรจะทำอะไรให้มันดีที่สุดล่ะ ?
      ตอบ:  เป็นพระพุทธเจ้าวิริยาธิกะ ดีที่สุด สิบหกอสงไขยกับแสนมหากัป
      ถาม:  ผมหมายถึงว่า ควรจะแบบทำอย่างไรบ้างที่แบบมันเร็ว ๆ หน่อย ?
      ตอบ:  ไม่มี มีทางตรงก็คือ ศีล สมาธิ ปัญญา ที่ย่อมาจาก มรรค ๘ นั่นแหละ ตรงที่สุดแล้ว
      ถาม:  แต่ที่เคยอ่านน่ะครับที่หลวงพ่อ หรือหลวงพี่บอก ที่บางองค์พระโพธิสัตว์ทีท่านเอาร่างกายเผาเป็นพุทธบูชา แล้วแบบทำให้เร็วขึ้นอย่างเนี่ยครับ ?
      ตอบ:  อันนั้นของท่านเองท่านตั้งใจทำ ความเข้มแข็งของท่าน การปรารถนาพระโพธิญาณ จะมีมาว่า ปรารถนาด้วยใจ ปรารถนาด้วยวาจา ปรารถนาด้วยกาย ปรารถนาด้วยกายและวาจา อย่างเช่นว่าปรารถนาด้วยใจ ก็คือ ตั้งใจว่า เราจะช่วยเหลือสัตว์โลกให้พ้นจากวัฏฏสงสาร สิ่งใดที่เรารู้จะให้เขารู้ด้วย สิ่งใดที่เรามีความสุขจะให้เขาสุขด้วย คิดในใจ แล้วปรารถนาด้วยใจ ถ้าเอ่ยออกมาคือปรารถนาด้วยวาจา กายกับวาจา อย่างเช่นว่า พระโพธิสัตว์แลเห็นเสือกำลังจะกินลูกตัวเองเพราะหาอาหารไม่ได้ ตัวเองกำลังบำเพ็ญอยู่บนหน้าผา มองลงไปใต้หน้าผา เสืออยู่ในถ้ำ จะกินลูกตัวเอง ก็เลยตั้งใจว่าในเมื่อคนอื่นเขาจะเดือดร้อน ตัวเราเองผู้ที่ตั้งใจจะขนถ่ายสัตว์โลกข้ามวัฏฏสงสารอย่าให้คนอื่นเขาเดือดร้อนเลย เรายอมสละตนเองดีกว่า ก็ตั้งใจอธิษฐานว่า ขอให้ผลการเสียสละนี้ ส่งผลให้ข้าพเจ้า เป็นผู้เข้าถึงพระโพธิญาณด้วยเถิด แล้วก็กระโดดลงไปให้เสือกิน นี่เรียกว่าปรารถนาด้วยทั้งกาย ทั้งวาจา พอลงไปแปะอยู่ข้างหน้าเสือมันก็เลิกกินลูก หันมาแทะซากท่านแทน
      ถาม:  อย่างนี้ มันเหมือนกับจำเป็นไหมครับว่า ไม่น่าจะมีลูกมีเมียเลย ?
      ตอบ:  จำเป็นต้องมี ถ้าหากว่าไม่มี แล้วจะหาคนร่วมสร้างบารมีมาจากไหน ?
      ถาม:  แล้วจะตัดใจลงเหรอครับ ตอนนั้นเกิดพอกระโดดปั๊บหันไป เฮ้ยลูกยังแบเบาะช่วยตัวเองไม่ได้ ?
      ตอบ:  ชาตินั้น ท่านเป็นฤๅษีอยู่คนเดียว
      ถาม:  (หัวเราะ)
      ตอบ:  เราก็เลือกตอนอยู่คนเดียวสิ จะมีประเภทสละร่างกายเป็นทานสละเลือดเนื้อเป็นทาน ตัดศีรษะ ตัดแขน ตัดขา ควักดวงตา ควักหัวใจ อะไรแบบนี้ ลองดู จนกระทั่งถึงท้าย ๆ ก็ให้ลูกเป็นทาน ให้เมียเป็นทาน
      ถาม:  อันนั้นบารมีปลายหรือยังครับหลวงพี่ ?
      ตอบ:  พวกอันนั้นก็ยิ่งนาน ก็ยิ่งเข้มขึ้น ถ้าหากว่าอย่าง พระศรีอาริยเมตไตรย นี่ ชาติแรกก็ตัดศีรษะเป็นทานเลย ถวายพระพุทธเจ้าตั้งความหวังปรารถนาพระโพธิญาณ
      ถาม:  ชาติแรกที่ปรารถนาเลยเหรอครับ ?
      ตอบ:  เป็น พระเจ้าบรมสังขจักรพรรดิ
      ถาม:  ก่อนหน้านั้นไม่เคยปรารถนามาก่อนเลยเหรอครับ ?
      ตอบ:  น่าจะเป็นอย่างนั้น
      ถาม:  แล้วกรรมดีส่งผลให้เป็นถึงพระมหากษัตริย์ โดยที่ไม่เคยบำเพ็ญในพระพุทธศาสนามาก่อน ?
      ตอบ:  ต้องเคย แต่ไม่เคยคิดจะเป็น
      ถาม:  อ๋อ อย่างพระพุทธเจ้าท่านเปิดโลกทีหนึ่ง ก็จะเป็นกันหมดอยู่แล้วล่ะ จะเหลือใครอยู่ให้ไม่คิดเป็นอีกล่ะ แล้วพระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ เปิดโลกทุกพระองค์หรือเปล่าครับ ?
      ตอบ:  นั่นเป็นธรรมเนียมเลย ต้องเรียกว่าเป็น พุทธประเพณี
      ถาม:  แล้วจะรอดได้ด้วยเหรอครับ ที่แบบไม่เคยปรารถนามาก่อน ?
      ตอบ:  ถ้าหากว่าอยู่ในโลกโลกันต์นี่ รอดแน่ มันไม่เห็นนี่หว่า
      ถาม: อ้าว ตอนนั้นในโลกันต์ก็ไม่เย็นลงเหรอครับ ?
      ตอบ:  แค่เห็นสว่างวูบเดียว เหมือนยังกับฟ้าแลบผ่านในที่มืดเท่านั้นให้เย็นลงกว่านั้นไม่ไหว เย็นสุด ๆ ของมันแล้ว
      ถาม:  เอ๊ะ แล้วอย่างนี้แสดงว่า มีพระพุทธเจ้าบางองค์ท่านเคยผ่านโลกันต์ด้วยสิครับ ?
      ตอบ:  ไม่แน่เหมือนกัน ต้องถามท่านดู
      ถาม:  มีใครที่แบบตกโลกันต์สั้น ๆ ไหมครับ ตกแป๊บเดียว ?
      ตอบ:  คงไม่มี เพราะมันสี่เท่าของอเวจี อย่างสั้น ๆ ของโลกันต์ โลกันตะ โลกะ อันตะ สุดแล้วซึ่งโลก เป็นนรกขุมเดียวที่ไม่จำกัดเวลา อยู่ไปเหอะเลิกชั่วเมื่อไหร่แล้วค่อยหลุดออกมา (หัวเราะ) คุ้มกับความชั่วที่ทำ เลิกชั่ว ถ้าเลิกมันก็ไม่ต้องอยู่แล้วสิ โลกันต์เป็นนรกต่างหากออกไปไม่ได้อยู่ในเขตนรกทั้งหมด
      ถาม:  แย่ที่สุดแล้วใช่ไหมคะ ?
      ตอบ:  ถือว่าแย่ที่สุด ไม่ใช่ยากที่สุด เพราะว่านรกขุมใหญ่ที่สุด โทษหนักที้สุดคืออเวจีมหานรกเขามีอายุกัปหนึ่ง แต่โลกันต์เขาไม่มีอายุกัปหนึ่งนี่ยังรู้ว่าถ้าเราเอาผ้าสำลีไปลูบภูเขาหินกว้างยาวสูง ๑๖ กิโลเมตร ให้สึก เสมอพื้นแค่อายุกัปหนึ่ง แต่อันนี้ไม่มีอายุ สภาพมันเป็นยังไง เหมือนกับบ่อหรือหลุมอะไรลึก ๆ ที่อยู่ตรงกลาง คำว่า โลกันต์ ก็คือสุดโลก จะเป็นรอยต่อระหว่างมนุษย์ นรก แล้วก็สวรรค์ ตรงบุ๋มอยู่ตรงกลางนี่ ไปอยู่กันตรงนั้นแหละ
      ถาม:  ไม่มีวิธีช่วยเลยเหรอครับ ?
      ตอบ:  ไม่รู้สิ ยังไม่ได้ลอง
      ถาม:  แล้วอย่างอเวจี ถ้าต้องตกกัปหนึ่ง ถึงเวลาอาจจะตกแค่แบบ ๑๐๐-๒๐๐ ปีอย่างนี้เป็นไปได้ไหมครับ ?
      ตอบ:  ได้ ก็แบบเดียวกับเทวดา อายุของเขาสมมุติว่าสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ๒๐๐ ปีทิพย์ ก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะอยู่ตามนั้น สุปติฏฐิตเทพบุตร มีอายุแค่ ๗ วันมนุษย์เอง ถ้าพระพุทธเจ้าไม่ขึ้นไปเทศน์โปรดพุทธมารดา ได้ฟังเทศน์จนกลายเป็นพระโสดาบันล่ะก็ ลงนรกไปนานแล้ว ไม่จำเป็นต้องอยู่จนครบอายุที่เขากำหนดเพราะว่า กรรมที่ทำแต่ละอย่างหนักเบาไม่เท่ากัน แต่ว่าไปทำกรรม สมมุติว่าคนหนึ่งโดนแจ้งข้อหาพยายามฆ่า คือใช้อาวุธทำร้ายคนอื่น แต่ขณะเดียวกัน อีกคนหนึ่งแค่ชักปืนมาขู่ก็แจ้งข้อหาพยายามฆ่าเหมือนกัน อันนี้ถือว่าตามกฏหมายไทยเลยนะ แล้วโทษมันจะหนักเท่ากันซะเมื่อไหร่ล่ะ ? อันหนึ่งลงมือซะเลือดตกยางออก บาดเจ็บสาหัสไปเลย อีกอันหนึ่งแค่ขู่เฉย ๆ แต่แจ้งข้อหาเดียวกันก็เลยลงนรกขุมเดียวกัน แต่โทษมันยาวสั้นต่างกัน
      ถาม:  ทำความชั่วน้อย ๆ ถ้าเผลอไปก็คงลงน้อยหน่อย ?
      ตอบ:  ไม่เป็นไร อนุญาตให้ลงได้ ๔๕๕ ขุม เว้นไว้ซะขุมหนึ่ง
      ถาม:  ทั้งหมด ๔๕๕ ขุมเหรอครับ ?
      ตอบ:  ๔๕๖
      ถาม:  ถ้ารวมโลกันต์ด้วย ?
      ถาม:  รวมโลกันต์ด้วย ๔๕๗ แต่โลกันต์เขาไม่นับรวม ถือว่าเป็นเขตพิเศษต่างหากออกไป
      ถาม:  อ้าว แล้วทำไมเว้นอะไรไว้หลุมหนึ่งล่ะครับ ?
      ตอบ:  ก็เมื่อกี้บอกไง ถ้าหากว่าทำชั่วน้อยลงก็เว้นให้หลุมหนึ่งเหลือซะ ๔๕๕ แล้วกัน
      ถาม:  ต้องแบบแผนด้วยเหรอครับ ว่าหลุดจากอเวจีแล้วต้องมานรกบริวาร ต้องมา....?
      ตอบ:  กติกาของเขาเป็นอย่างนั้น ต้องเดินผ่าน ในเมื่อผ่านก็แวะหน่อยแล้วกัน
      ถาม:  มันหลุดขึ้นมาเลยไม่ได้เหรอครับเป็นไปได้ไหมครับกำลังร้อนอยู่ ...?
      ตอบ:  มี ๆ ๆ ๆ มีที่หลุดไปเลยก็มี ตัวอย่างก็คือ ผู้ที่นึกถึงความดีขึ้นมาได้ ก็หลุดไปเลย โอกาสที่จะนึกถึงความดีมันน้อยมาก
              อย่างเช่นว่า มีสัตว์นรกตนหนึ่ง ก่อนหน้านี้ เป็นอุบาสกชรา ตั้งใจบวชลูกตัวเองก็พอถึงวันบวชก็เอาผ้ากาสาวพัสตร์ถวายก็คือ มอบให้กับนาค ทีนี้ตัวเองแก่ชรา เงอะ ๆ งะ ๆ แล้ว ก็ทำผ้าเอาผ้าตกพื้นเสียงดังตุ๊บ เสียงผ้าตกพื้นมันติดอยู่ในใจของแก ในเมื่อมันติดอยู่ในใจของแก แต่ว่าตอนตายใจแกไม่ได้เกาะอยู่ตรงจุดนั้น มัวไปวุ่นวายกับสิ่งที่เศร้าหมองต่าง ๆ ก็ลงนรกไปก่อน พอลงนรกไปก่อน นายนิรยบาลเอาตาข่ายเหล็กมาเพื่อจะทอดจับเอาสัตว์นรกไปทรมาน เสียงตาข่ายกระทบพื้น เหมือนยังกับเสียงผ้าหล่นกระทบพื้น แกก็เลยจำขึ้นมาได้แกเคยบวชลูกชายเอาไว้ พอนึกถึงความดีได้ ความดีทั้งหมดรวมตัว พ้นจากเขตนั้นไปเป็นเทวดาไปเลย
              ส่วนอีกรายหนึ่ง คล้าย ๆ กัน บวชลูกเหมือนกัน นายนริยบาลหิ้วโยนลงขุมนรกแล้ว ปรากฏว่ามีจีวรมารองรับลอยขึ้นมาอยู่ข้างบน นายนิรบาลก็แปลกใจหิ้วโยนไปใหม่ ก็รองรับขึ้นมาอีก ถามว่าเขาบอกว่าทำความดีอะไรมา เขาบอกว่าเห็นไฟนรกสีเหมือนจีวรลูกที่เคยบวชนึกขึ้นมาได้ รอดไปอย่างหวุดหวิดเลย นั่น ขนาดโยนลงไปแล้วนะ
      ถาม:  ขึ้นอยู่กับว่าเราจะนึกได้หรือเปล่า ?
      ตอบ:  ใช่สำคัญตรงนั้นเลย บุคคลที่ทำกรรมหนัก ๆ มา พระยายมราชสอบสวนถามรายละเอียดหมดทุกอย่างของความดีเขานึกไม่ได้ เพราะกรรมมันกดอยู่ บังอยู่ ประเภทนึกได้พูดไม่ออกบ้าง นึกไม่ได้เลยบ้างอะไรบ้าง
              ในเมื่อท่านพยายามจนถึงที่สุดแล้วไม่สามารถจะบอกได้ว่าทำความดีอะไรมาบ้าง ท่านก็ต้องยอมปล่อยให้เขารับความชั่ว คือลงนรกไปซะก่อน พ้นขึ้นมาแล้วค่อยมาว่าเรื่องความดีกันใหม่ ถ้านึกได้แม้แต่นิดเดียวก็เป็นอันว่าไปสบายข้างบนก่อน แล้วถ้าหากว่ายังประมาทเผลอลงมาอีกก็ดอกเบี้ยทบต้นอีกทีหนึ่ง ความดีกับความชั่วหักกลบลบล้างไม่ได้แยกกันรับไปตามวาระของมัน
      ถาม:  ถ้าทำแต่ว่านึกไม่ได้ก็ต้องลงโทษก่อนเหรอคะ ?
      ตอบ:  ถามว่าทำไหม ไม่ได้ถามว่านึกนึกออกไหม
      ถาม:  ถ้าทำแต่นึกไม่ออกล่ะคะ ?
      ตอบ:  ถ้านึกไม่ออก ก็โดน ทำหรือเปล่า ไม่ได้ถามว่านึกออกหรือเปล่า พราะฉะนั้น นึกถึงความดีให้ชินเอาไว้ ถึงเวลาใจเกาะความดี ไปเสวยความดีเลย แล้วก็หาทางหนีมัน อย่าเผลอลงไปข้างล่างได้แล้วกัน ลงไปเมื่อไหร่นี่ดอกเบี้ยทบต้น มันทบเอาไว้บานเลย ถ้าอย่างพวกเรานี่ก็คงประเภทเงินต้นร้อยเดียว แต่ดอกเบี้ยเป็นล้านแล้ว หนีมันมานานเหลือเกินนี่
      ถาม:  ผมสงสัยอยู่อย่าง อยู่ดี ๆ กันไม่ชอบ ทำไมชอบอุบัติขึ้นมาเป็นชีวิต คือเหมือนแต่ก่อนก็ไม่มีชีวิตให้ต้องมารับรู้ แล้วก็ดันไปจุติขึ้นมาแล้วที่นี้ก็เวียนว่ายตายเกิดเข้าไป ?
      ตอบ:  ส่วนผสมมันลงตัวพอดี มันไม่ลงตัวพอดี ก็ไม่ได้มาเกิดอยู่แล้ว
      ถาม:  สงสัยว่าเวลาคนเราตายไป พอจิตออกจากร่างใช่ไหมคะ แล้วจิตมันจะเป็นรูปร่างเหมือนหน้าตาคนที่ก่อนจะตาย ?
      ตอบ:  ไม่แน่ ทำความดีเอาไว้มากจิตก็จะเป็นไปตามบุญตามบารมีของตัวเอง คือสวยสดงดงามไป ถ้าทำความชั่วไว้มากสภาพภายในก็เศร้าหมอง อาจจะอยู่ในลักษณะของสัตว์นรก เปรต อสุรกายเลยก็มี หรือไม่ก็อยู่ในลักษณะที่ประเภททั้งโทรม ทั้งซีด ดูไม่ได้เลยก็มี แต่ว่าเราจะรู้เลยว่านั่นคือเรา คนอื่นเขาเห็น เขาก็รู้เลยว่านั่นคือเรา เพราะว่าสภาพเขตอื่นเขามีความเป็นทิพย์เป็นปกติอยู่