ช่วงแรกของเล่ม "อดีตที่ผ่านพ้น ๓๔-๓๖"

สนทนากับพระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
เดือนกันยายน ๒๕๔๕
ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ

      ถาม:  ผมนึกอย่างพวกนักการเมืองที่แบบโกงกินบ้านเมืองมา แล้วก็ไปทำบุญเอาหน้า สร้างวัดสร้างวา ทำโน่นทำนี่ แล้วจิตใจมันก็จับแต่แบบเอ้ย เนี่ยเคยทำบุญหนัก ๆ สร้างวัดสร้างวามาตลอด ?
      ตอบ:  ถ้าหากว่าเขาจับอย่างนั้น ก่อนตายได้ดีจริง ๆ แต่ส่วนชั่วมันรออยู่
      ถาม:  คืออย่าพลาด ?
      ตอบ:  อย่าพลาดก็แล้วกัน ตามกติกา บอกแล้วเอาอันไหนก่อนก็ได้ อนุญาต ค่านิยมผิด ๆ ว่า ถ้าทำในสิ่งที่ไม่ดีแล้วได้รับความสนใจมันเด่น ก็เลยไปกินยาบ้าบ้าง ไล่ยิงกบาลเพื่อนบ้าง ตัวเนี่ยมันเป็นจิตวิทยาอย่างหนึ่ง โดยที่คนเรามันผิดพลาดโดยไม่รู้ตัว จนกระทั่งทุกวันนี้ พวกสื่อมวลชนก็เหมือนกัน บุคคลที่ทำความดีมีเยอะแยะมันไม่ค่อยจะกล่าวถึงหรอก แต่ถ้าพลาดเมื่อไหร่ โอ้โฮ้ ลงให้ยับไปเลย บางทียังไม่ทันจะตัดสินถูกผิด มันจัดแจงจะตัดสินเสร็จเรียบร้อยแล้วด้วย ถึงเวลาพิสูจน์ได้ว่าเขาเป็นคนดี ไม่แก้ข่าวให้อีกต่างหาก
      ถาม:  .........................................
      ตอบ:  มีเหมือนกัน แต่เนื่องจากว่าขนบธรรมเนียมประเพณีก็ดี การยึดถือในสิ่งเก่า ๆ ที่เขาบอกเล่ากันมาก็ดี ทำให้สิ่งที่เขาเห็นมันต่างกันไป ๆ อย่างเช่น ของจีนเขาบอกว่านรกเขามี ๑๐ ขุมใช่ไหม แสดงว่ายังเห็นไม่ครบ เสร็จแล้ว ของฝรั่งเทวดาฝรั่งก็ต้องแต่งตัวเป็นผ้าขาว มีวงแสงอยู่บนหัว มีปีกด้วย คือลักษณะนั้นที่เขามา เขามาตามความเชื่อของเขา ถ้าไม่มาลักษณะนั้น เขาจะไม่รู้ว่านี่เป็นเทวดา ของจีนก็เหมือนกัน เขาต้องแต่งตัวเป็นงิ้วมา ถ้าไม่อย่างนั้น เขาก็ไม่เชื่อว่า นี่คือเทวดา ก็คือว่าทำตามความเชื่อของเขา แต่สภาพความเป็นจริงเป็นอีกอย่างหนึ่ง
              เพราะฉะนั้น สิ่งที่ใช้มโนมยิทธิไปดู คือถอดจิตไปดู เมื่อเวลาเราเห็นอะไรบางอย่างขึ้นมาแล้ว เกิดความสงสัย ให้กำหนดใจถามท่านว่า ขอดูตามสภาพความเป็นจริง ว่าเป็นอย่างไร แล้วจะรู้เลย ของเขา เขาไม่ได้สงสัย เพราะเขาเชื่อและมั่นใจว่าเป็นอย่างนั้น ในเมื่อเชื่อและมั่นใจว่าเป็นอย่างนั้นก็โอ.เค.
              แต่ว่าเท่าที่ดู ๆ มาแล้ว มีของไทยกับพม่าที่เห็นได้ใกล้เคียงความจริง เพราะว่าอย่างของพม่านี่ พระพุทธรูปส่วนใหญ่เขาทำทรงเครื่องไปเลย ส่วนใหญ่พระพุทธรูปทรงเครื่องแล้วก็เครื่องทรงเทวดา เขาก็ใกล้เคียงกับของเรา
      ถาม:  หมายถึง คนที่อยู่ข้างล่างใช่ไหมครับ ไม่ได้หมายถึงเทวดา ไม่ได้หมายถึงคนที่ตายไปแล้ว แล้ว...?
      ตอบ:  หมายถึงว่าเขาเห็นแล้วเขามาสร้าง ได้ใกล้เคียงของจริงหน่อย ของชาติอื่นนี่ไกลไปเลย
      ถาม:  .....................................
      ตอบ:  มีอยู่ขุมหนึ่งจะเรียกว่า ตามโพทกนรก จริง ๆ ก็ต้องเรียกว่าหม้อทองแดง แต่บังเอิญมันเป็นหม้อที่ใหญ่โตมโหฬารมาก คนเลยคิดว่าเป็นกระทะไปเลย เป็นแค่ขุมเดียวในยมโลกีย์นรกสิบขุม ต้นงิ้วก็เป็นอีกขุมหนึ่ง เรียกสิมพลีนรก หรือฉิมพลีนรก ฟังชื่อเพราะ ๆ นะ ความจริง สิมพลี หรือฉิมพลี ภาษาบาลี มันแปลเป็นไทยว่าต้นงิ้ว
      ถาม:  ฝรั่งหรือไทยก็ต้องโดนเหมือนกัน ?
      ตอบ:  โดนเหมือนกัน ถึงเวลาเขาจะซาบซึ้งเองว่ารสชาดเป็นอย่างไร ขอให้ทำผิดเอาไว้เหอะ ไม่ใช่ว่า เออ...อยู่ประเภทศาสนาพุทธแล้วกลัวตกนรก ย้ายไปอยู่ศาสนาคริสต์แล้วไม่ต้องลงนะ ปลอดภัย ไม่รอดละจ๊ะ
              ขอให้ทำเท่านั้นแหละ ผลของการกระทำของเรานั่นแหละ ที่เล่นเราเอง ไม่ใช่ใครหรอก อย่าคิดถึงความชั่วเก่า ๆ ที่เราทำมา ให้ตั้งหน้าตั้งตาคิดถึงแต่ความดีที่เราได้สร้างขึ้นจนมั่นงคงในจิตใจ สภาพจิตของเราถ้าเกาะความดี ตายมันจะไปดี เกาะความชั่วตายมันจะไปชั่ว
              เพราะฉะนั้น เกาะดีให้ชิน ถึงเลามันจะได้ไปดีไว้ก่อน พอไปดีได้แล้ว คราวนี้มันจะเห็นช่องทางเองว่า จะหนีอย่างไร ? ถึงเวลามันจะรู้ว่าหนีหนี้ได้อย่างไร ไม่งั้นหนีไม่รอดขึ้นมาก็เสร็จ ไม่มีใครที่เป็นผู้บริสุทธิ์โดยสิ้นเชิง ส่วนใหญ่เคยทำความชั่วมาแล้วทั้งอดีตและปัจจุบัน
              ตัวอย่างที่หนัก ๆ ก็คือ พระองคุลีมาล ฆ่าคนเกินพันนะ นั่นน่ะ อีกรายหนึ่งยิ่งมากกว่าองคุลีมาลอีก ก็คือตามพทาธิกโจร ตามพทาธิกโจร นี่เขาจะเป็นนายโจรเคราแดง ตอนหลังโดนกวาดจับได้ทั้งแก๊งเลย ๕๐๐ กว่าคน เพชฌฆาตเขาก็ไม่มีปัญญาจะฆ่าแล้ว เยอะขนาดนั้นน่ะ เพราะว่าโทษประหารชีวิตหมดทั้งแก๊งเลย แก๊งนี้เลวมาก ตามพทาธิกโจร ท่านก็เลยอาสาบอกว่า ทางการเขาประกาศว่ามีใครอาสาจะฆ่าพวกโจรทั้งหมดนี่ได้บ้าง ต่อให้เป็นโจรด้วยกันก็ตาม จะอภัยโทษให้ ไม่มีใครอาสาสักคนหนึ่ง ถามไล่ไปทีละคน พ่อเจ้าประคุณอยู่ท้ายแถวก็เลยอาสา ฟันหัวเพื่อนซะ ๔๙๙ หัวเป็นอย่างน้อย เขาก็เลยอภัยให้แล้วตั้งเป็นเพชฌฆาต
              ในเมื่อตั้งเป็นเพชฌฆาตแล้วต้องฆ่าอีกตั้งเท่าไหร่ล่ะ รับรองว่าเยอะกว่าองคุลีมาลอีก แต่ว่าองคุลีมาลเมื่อท่านบวชแล้ว ตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติดีกลายเป็นพระอรหันต์ กรรมเก่าทั้งหมดก็ถือเป็นอโหสิกรรมไป ไม่สามารถตามทวงท่านได้ ตามพทาธิกโจรก็เหมือนกัน
              ถึงเวลาพระสารีบุตรไปสงเคราะห์ จริง ๆ แล้วท่านเองก็จิตใจกลุ้มมากว่า ฆ่าสัตว์ ฆ่าคนเอาไว้เยอะ สงสัยลงนรกแน่ ๆ พระสารีบุตรท่านฉลาดกว่า ถามว่า ที่ทำน่ะ ทำด้วยความพอใจของตนเองหรือว่าใครสั่ง ก็บอกว่า พระราชาสั่ง ในเมื่อพระราชาสั่ง พระสารีบุตรก็บอกว่า ถ้าหากมันมีนาอยู่ผืนหนึ่ง เจ้าของนาเขาจ้างเราไปทำนา ถึงเวลาข้าวเกิดขึ้นมันเป็นของเจ้าของนา หรือของเรา ตามพทาธิกโจร ก็บอกว่า ก็ต้องเป็นของเจ้าของนา เพราะว่าตัวเรารับค่าจ้างไปแล้ว พระสารีบุตรก็เลยเลี้ยวกลับมาว่า ก็ในเมื่อท่านรับค่าจ้างเป็นเพชฌฆาตแล้ว เวลาท่านฆ่าคน บาปจะตกกับใคร คิดไม่ทัน ก็เลยคิดว่า บาปตกกับพระราชา ตัวเองเลยสบายใจ ในเมื่อสบายใจคิดว่าตัวเองไม่มีกรรม พอพระสารีบุตรเทศน์เข้า จิตส่งไปตามธรรมได้ เป็นพระโสดาบันรอดไปอีก
              ตกลงว่า ไม่มีใครที่ไม่เคยทำความผิด แต่ว่าต่อให้ผิดมากมายเพียงไร ถ้าไม่ใช่อนันตริยกรรมแล้ว ตั้งหน้าตั้งตาทำดี ถ้าจิตเกาะความดี จะไปรับผลของความดีก่อน เมื่อรับผลของความดีก่อน ถึงเวลาแล้วก็หาทางหนีกันเอาเองก็แล้วกัน
              น่าลองไหม ไอ้ของเรานี่ไม่ต้องถึงขนาดฆ่ามานับไม่ได้อย่างตามพทาธิกโจรล่ะนะ เอาแค่คน สองคน ก็ประเภทขวัญหนีดีฝ่อแล้ว ปัจจุบันมันก็ฆ่าพิลึกพิลั่น เยอะแยะ ประเภทหั่นเป็นชิ้น ๆ ใส่โถชักโครกบ้าง ฆ่าโบกปูนบ้าง
      ถาม:  เขามีวิธีการปฏิบัติอย่างไรในการย่นระยะทางครับผม ?
      ตอบ:  ย่นระยะทาง เอากสิณ ๑๐ ให้ได้ก่อน พอได้แล้วมันก็แค่ ใช้ความคล่องตัวในกสิณ ๑๐ อธิษฐานเอา หรือ เน้นในวาโยกสิณ แต่ไม่ต้องถึงขนาดนั้นก็ได้มั้ง ? อาตมาเคยลองดู มันไม่ใช่ย่นระยะทางนะ แต่มันเร็วกว่าปกติ ตอนนั้นใช้คาถา สัมปจิตฉามิ เราเดินก็รู้ว่าทางมันยาวเท่าเดิม แต่คนเดินตามวิ่งตามไม่ทัน แล้วก็อีกทีหนึ่ง นั่นเขาลองเอามอเตอร์ไซค์ลองไล่ดู ก็ไม่ทัน เราไม่รู้เรื่องอะไรเลย เราก็เดินของเราเอ้อระเหยลอยชายของเราไปอย่างนั้น เขามาบอกทีหลัง ของเราก็ภาวนาไปของเราเรื่อยเปื่อย มันอยากวิ่งตามเองนี่หว่า เอาแค่คาถานี้ก้ได้ เพราะว่าถึงเวลาทำมันก็มีผล เหมือนกับอภิญญาใหญ่เหมือนกัน ย่นระยะทางเหรอ ? สมัยนี้หลวงพ่อสอน ขึ้นรถแล้วหลับไปเลย ลืมตาขึ้นมาก็ถึงแล้ว
      ถาม:  ...............................
      ตอบถ้าหากมองเห็นว่าธรรมดาของเขาเป็นอย่างนั้น มันก็จะไม่เครียดหรอก แต่คราวนี้สภาพจิตของเราที่เครียดเพราะยังรับไม่ได้ ถ้ายอมรับได้ มันจะไม่เป็น เพียงแต่ว่าเราจะควานคำว่าธรรมดาเจอไหม ?
              ธรรมดามันเป็นอย่างนั้นน่ะ ทำงานกับคนงี่เง่าอย่างนั้น มันต้องมีปัญหาอยู่แล้ว เรื่องของมัน พอปัญหาเกิดขึ้นก็เป็นลูกโซ่ไปเรื่อย
      ถาม:  เราแก้ตัวเราได้ แต่เราแก้คนอื่นไม่ได้ ?
      ตอบจริง ๆ ก็คือ แก้ที่ตัว ทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุด คนอื่นจะเป็นอย่างไร ช่างมัน ถ้าหากว่านายเขามีความยุติธรรม มีสายตาที่ยาวไกลเขาเห็นอยู่แล้วว่าใครผิด
      ถาม:  เรื่องเกี่ยวกับงาน เทคนิคอะไรพวกเนี่ย มันเป็นเทคนิค เราแก้ไม่ได้ ?
      ตอบ:  ลองหาใครที่มีความสามารถที่จะแก้ไขตรงจุดนั้นได้เข้ามาช่วยเหลือเราสิ ถ้าบ้อท่าจริง ๆ ก็รายงานขึ้นไป
      ถาม:  มีคาถาจัดการเจ้านายโหดหรือว่าคนที่สูงกว่าแล้วเขาแบบไม่ค่อยมีเหตุผล ใช้อารมณ์ ?
      ตอบ:  เอาอย่างนี้ดีกว่า ไปนั่งท่องคาถาดีกว่าได้สองฝ่าย คือตัวเราก็ได้สมาธิด้วย ขณะเดียวกัน ผลของคาถาก็ทำให้เขารักเขาเมตตาเราด้วย แต่ระวังเอาไว้นะ มันตีกับเราผิดปกติเลย ต่อไปมันอาจจะถมงานมาให้เราเยอะกว่าเดิมอีก รักมากก็ให้เยอะ
              คาถาเมตตาของหลวงพ่อนะว่า พระอะระหัง สุคะโต ภะคะวา นะ เมตตาจิต ถึงเวลาก่อนไปทำงานก็นึกถึงหน้าเขา ว่าคาถานี้ไปเรื่อย ๆ จนใจสบาย เอาซัก ๒๐ นาที ครึ่งชั่วโมง อะไรก็ได้ หรือไม่ก็ระหว่างเดินทางอยู่ก็นึกถึงหน้าเขา แล้วว่าไปเรื่อย ๆ แล้วคอยดูจะต่างกันเป็นฟ้ากับดินเลย พระอะระหัง สุคะโต ภะคะวา นะ เมตตาจิต จำให้ได้ ว่าไปเรื่อย ๆ ตอนแรกว่าจะให้คาถาพวกวัวกินนมเสือ หนูกินนมแมว ไอ้นั่นมันไม่สนุก ยกเว้นผู้ที่แสวงหาความตื่นเต้น ก็ไม่รู้เหมือนกันว่า กำลังกิน ๆ อยู่จะโดนตบชักหรือเปล่า ฉะนั้น เอาคาถาบทนี้ดีกว่า เพราะมันได้ผลเลย
      ถาม:  ขออีกทีค่ะ จำไม่ได้ ?
      ตอบพระอะระหัง สุคะโต ภะคะวา นะ เมตตาจิต คาถาบทนี้ เป็นของหลวงพ่อแช่ม วัดฉลอง ที่ภูเก็ต สมัยหลวงปู่ปาน ธุดงค์ลงใต้ได้มา
              สมัยนั้นท่านก็ได้คาถาพระปัจเจกโพธิโปรดสัตว์มาด้วย เสร็จแล้วนายประยงค์ ตั้งตรงจิตร เอาไปทำได้ผล ร้านขายยาตราใบโพธิ์ ของท่านเปิดกิจการจนกระทั่งร่ำรวย หลวงปู่ปานจะต้องการเงินเพื่อการก่อสร้างซักเท่าไหร่ก็ได้ สมัยก๋วยเตี๋ยว ๒ ชาม ๕ สตางค์ นายประยงค์สำรองเงินให้หลวงปู่ ๒๐,๐๐๐ บาท เทียบกับเงินสมัยนี้มันเท่าไหร่ ๒ ชาม ๕ สตางค์ ตีซะสมัยนี้อย่างถูก ๆ ชามละ ๑๕ บาท ซื้อได้เปล่าล่ะ มันล่อไป ๒๐ ไปแล้วมั้ง เอา ๒๐ ก็ได้ ๒ ชาม เท่ากับ ๕ สตางค์ ก็เท่ากับว่า ๔๐ บาท ๕ สตางค์ ๔๐๐ ก็ ๕๐ สตางค์ บาทหนึ่ง เท่ากับ ๘ ร้อยพันบาท ๘ แสน หมื่นบาท ๘ ล้าน ต้องสำรองเงินให้หลวงปู่ทีหนึ่ง ๑๖ ล้าน เขารวยได้ขนาดนั้น เอาไหม มีเงินสำรองเอาไว้ใช้ที ๑๖ ล้าน ตั้งใจจริง ๆ ทุกอย่างมีผลจริง
              คาถามันสำหรับคนจริงเท่านั้น ขอให้ทำจริง ๆ แล้วจะมีผล ส่วนใหญ่มันทำ ๆ ทิ้ง ๆ ไม่เอาจริงเอาจัง คาถาบทไหนที่อาตมาบอกไป แปลว่าใช้ได้ผลด้วยตัวเองมาแล้ว
              สมัยก่อนหัดภาวนาใหม่ ๆ มันคัน อยากมีฤทธิ์มีเดช มีอะไร หลวงพ่อท่านรู้จริต ท่านก็ให้คาถาไป เอาบทนี้ไปทำ ๆ มันจะมีผลอย่างนี้ ๆ นะลูก ภาวนาวันหนึ่งไม่ต่ำกว่า ๓๐ นาทีนะ แล้วอย่าลืมนะเว้ย ศีลต้องบริสุทธิ์ ไม่งั้นไม่ได้ผล กว่าจะรู้ท่านหลอกให้เราปฏิบัติซะเต็ม ๆ ไปแล้ว พอได้ผลก็วิ่งหน้าบาน ท่านเออ ๆ ดี ๆ ลูก เดี๋ยวเอาบทนี้ไปนะ บทนี้มีผลอย่างนี้ ๆ โดนอีก ว่าไปเรื่อย
              จนกระทั่งมาถึงปัจจุบันนี้ นึกไม่ออกว่าสิ่งที่มันเกิดขึ้น เกิดขึ้นเพราะอะไร ? เกิดขึ้นเพราะว่า กำลังของสมาธิ กำลังของคาถา หรือว่าพระท่านสงเคราะห์ หรืออะไรไม่รู้ มันคล่องตัวลักษณะเหมือนว่า ต้องการอะไรได้อย่างนั้น จนตอนนี้บอกไม่ถูก แยกไม่ออกแล้วมันเกิดเพราะอะไรกันแน่ สมัยใหม่ ๆ ยังแยกออก
      ถาม:  .................................
      ตอบสมาธิยิ่งดีเท่าไหร่ จะได้ผลมากเท่านั้น เพราะฉะนั้นถ้าถามว่าขึ้นกับคนสวดหรือเปล่า ? ขึ้นร้อยเปอร์เซ็นต์เลย
      ถาม:  ...........................................
      ตอบ:  พื้นฐานต้องมีอยู่แล้ว เรื่องของศีล สมาธิ ถ้าจัดการกับเจ้านายไม่ถึงตาย ถือว่าไม่ผิดศีล เจ้านายนี่ น้อยคนที่จะยอมรับว่า ความผิดพลาดเป็นของตัวเอง ส่วนใหญ่มีลูกน้องให้ มันก็ยัดให้ยันเต เอาตัวรอดไว้ก่อน บุคคลที่ทำอนันตริยกรรมชาตินี้ตกอเวจีมหานรกแน่นอน
      ถาม:  พระโมคคัลลาน์...?
      ตอบพระโมคคัลลาน์ ท่านเคย ๆ ทำ แล้วท่านก็รับกรรมไปเรียบร้อยแล้ว แต่ว่าเศษกรรมที่เหลือ เงินต้นน่ะจ่ายไปแล้ว เศษกรรมที่เหลือมันตามมาในชาติปัจจุบันนี้ ทำให้ท่านต้องโดนทุบจนกระทั่งว่า กระดูกป่นเท่าเม็ดข้าวสาร อรรถกถาเขาเปรียบไว้ว่า ถ้าจับใบหูนี่ กระดูกทั้งหมดก็จะไปกองที่ปลายเท้า ถ้าจับปลายเท้ากระดูกทั้งหมดก็จะมากองด้านศีรษะ ละเอียดได้ขนาดนั้น นั่นแค่เศษกรรม
              แต่ว่าตัวต้นจริง ๆ ลงอเวจี ฆ่าพ่อ หนึ่ง ฆ่าแม่ หนึ่ง ฆ่าพระอรหันต์ หนึ่ง ทำร้ายพระพุทธเจ้าถึงห้อพระโลหิต หนึ่ง ทำสังฆเภท คือยุสงฆ์ให้แตกกัน ความจริงทำร้ายพระพุทธเจ้า ทำอย่างไรก็จะไม่หนักหนาเกินกว่านั้นอยู่แล้ว เพราะฉะนั้น โทษก็เลยกลายเป็นทำร้ายพระพุทธเจ้า อย่างเก่งก็ได้แค่ห้อเลือด แต่ว่าความที่เจตนาทำร้ายต่อพระพุทธเจ้า โทษก็เลยกลายเป็นอนันตริยกรรม ลงอเวจี แน่นอน
      ถาม:  แต่ว่าก็ยังมีโอกาสที่จะเข้าพระนิพพาน ?
      ตอบ:  มี แต่ว่าต้องพ้นจากชาตินั้นแล้ว หลุดขึ้นมาได้เมื่อไหร่ก็เป็นอันว่าได้ ทำชั่วเอาไว้เยอะ ถ้าลงอเวจีเป็นพื้น ต่อไป ขุมอื่น ๆ มันก็เก็บไปเรื่อยแหละ กว่าเงินต้นจะหมดเดี๋ยวดอกเบี้ยตามมาอีก
      ถาม:  แล้วพระเทวทัตล่ะคะ ?
      ตอบพระเทวทัตนี่ สองอย่างรวมกัน คือว่าทำร้ายพระพุทธเจ้าถึงห้อพระโลหิตอย่างหนึ่ง จริง ๆ ตั้งใจจะฆ่าให้ตาย แต่ฆ่าไม่สำเร็จ ไม่ว่าจะเป็นเอาช้างนาฬาคีรี มากรอกเหล้าให้เมา แล้วไสไปไล่ชนพระพุทธเจ้าก็ไม่ได้ จัดนายขมังธนูไปยิงพระพุทธเจ้าก็ไม่สำเร็จ ตัวเองก็เลยขึ้นไปบนเขาคิชกูฏ กลิ้งหินลงมาจะทับพระพุทธเจ้า ก็ไม่สำเร็จอีก แล้วอีกอย่างก็คือยุสงฆ์ให้แตกกันกลายเป็นสองฝ่าย ตั้งใจว่าจะชิงอำนาจการปกครองสังฆมณฑลไปจากพระพุทธเจ้าท่าน
              ในเมื่อทำสงฆ์แตกกันก็เป็น อนันตริยกรรมอย่างหนึ่ง ทำร้ายพระพุทธเจ้าถึงห้อพระโลหิตก็เป็นอนันตริยกรรมอย่างหนึ่ง แต่ว่า พระเทวทัต ก่อนที่จะโดนธรณีสูบมิดไปทั้งตัว ได้ตั้งใจขอขมาพระรัตนตรัย โทษก็เลยน้อยหน่อย กลายเป็นว่าลงอเวจีแค่ประมาณสิ้นอายุศาสนานี้ เท่านั้น คือ ราว ๆ ๕,๐๐๐ ปี กับอีกหน่อยหนึ่ง เพราะว่าก่อนพระพุทธเจ้า จะปรินิพพาน ก็เลยบวกเข้าไปอีกหน่อยหนึ่ง เสร็จแล้วขึ้นมาจะเป็น พระปัจเจกพุทธเจ้า บุญเก่าท่านก็ทำไว้เยอะ
      ถาม:  แต่ว่าเป็นพระพุทธเจ้าได้ไหมคะ หรือว่าเป็นแค่พระปัจเจกฯ ?
      ตอบ:  พระเทวทัตน่ะเหรอ ท่านตั้งใจไว้อย่างนั้น พระปัจเจกพุทธเจ้ามีความสามารถเหมือนพระพุทธเจ้าทุกอย่าง ขาดแต่สัพพัญญุตาญาณอย่างเดียว แล้วก็ไม่อยากสอนใครให้เข้าถึงมรรคผล ยกเว้นบุคคลใดมีวิสัยจะได้มรรคผล ในลักษณะเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้าเหมือนกัน ท่านก็จะสอนเขา ถ้าสำหรับประชาชนทั่ว ๆ ไป ท่านสอนแค่ ทาน ศีล ภาวนาขั้นต้นเท่านั้น ไม่สอนให้ถึงมรรคถึงผล ปัจเจกะ แปลว่า รู้เฉพาะตัว คือขี้สงสัย แต่ไม่อยากสอนใคร ขี้สงสัย ก็เลยอยากจะรู้ให้ครอบ จริง ๆ โอกาสที่คนจะทำอนันตริยกรรมมันยาก คนฆ่าพ่อ ฆ่าแม่ได้ นี่มันโหดน่าดูเลย แล้วพระอรหันต์ท่านทรงความดีขนาดนั้นน่ะ
      ถาม:  อย่างคนที่เมายาบ้าแล้วฆ่าพ่อแม่นี่เป็นอะไรไหมคะ ?
      ตอบ:  เป็นจ้ะ เขาไม่ได้ถามว่าคุณเมาหรือเปล่า ? แต่เขาถามว่า คุณทำหรือเปล่า ? เสร็จแหง ๆ เลย
      ถาม:  ...............................
      ตอบ:  จริง ๆ สังฆเภท ก็คือสงฆ์เขาแยกกัน ประเภทว่าถ้าหากว่าวัดเดียวกันแยกกันทำสังฆกรรมคนละโบสถ์ นั่นชัวร์เลย สังฆเภทแน่ สังฆะเภทะความแตกแยกในหมู่สงฆ์
      ถาม:  อ้าว แล้วถ้าเกิดพระพวกนั้นที่บวชเข้ามาไม่ใช่ พระแท้ล่ะครับขาดจากความเป็นพระไปหมดแล้วล่ะ ?
      ตอบ:  ขาดตั้งแต่แรกแล้ว โทษอันนี้ก็ไม่มี แต่ถ้าหากว่าเจตนาร้าย มันก็ต้องโดนเหมือนกัน
      ถาม:  อ๋อ เจตนาเป็นตัวตั้ง ?
      ตอบ:  ตัวท่านไม่ใช่พระ แต่สิ่งที่ทำก็คือโทษของอเวจีเขา เป็นอนันตริยกรรม
      ถาม:  หนึ่งกัปนี่จะนับกันอย่างไรครับ ?
      ตอบ:  ก็อรรถกถาถึงได้เปรียบว่า เป็นภูเขาหินล้วน กว้างหนึ่งโยชน์หนาหนึ่งโยชน์ ยาวหนึ่งโยชน์ ร้อยปี เทวดาเอาผ้าเนื้ออ่อนเหมือนสำลีมาปัดทีหนึ่ง ร้อยปีมาปัดทีหนึ่ง สึกเสมอพื้นเมื่อไร ก็ได้กัป
      ถาม:  เวลาตกอเวจีทีหนึ่งพระพุทธเจ้าไม่ตรัสรู้ไปแบบ ...?
      ตอบ:  ก็ถึงได้บอกไงว่า ถ้าหากว่าในช่วงนี้นะ ถ้าใครขึ้นข้างบนได้ ถือว่า เฮงที่สุด เพราะว่าพระพุทธเจ้ายังเหลืออีกตั้ง ๖ องค์ติด ๆ กัน แต่ขณะเดียวกันใครลงข้างล่างก็ซวยที่สุด ซวยตรงที่ว่า พระพุทธเจ้าไปซะจนหมดทั้ง ๖ องค์แล้ว ยังไม่โผล่ขึ้นมาเลย ตกลงจะเอาเฮง หรือเอาซวยดี
      ถาม:  แล้วมันมีความพิเศษอะไรหรือเปล่าครับ ทำไมกัปนี้ถึงได้เยอะอย่างนี้ ?
      ตอบ:  คือมันฟลุคน่ะ ปกติแล้วจะมี สารกัป มีพระพุทธเจ้า ๑ องค์ มัณฑกัป มีพระพุทธเจ้า ๒ องค์ วรกัป มีพระพุทธเจ้า ๓ องค์ สารมัณฑกัป มี ๔ องค์ ภัทรกัป มี ๕ องค์ เต็มที่ก็แค่นี้ ไม่เกินนี้ บังเอิญนี่เป็น ภัทรกัป ๒ กัปติดกัน รวยเป็นบ้าเลย อย่างว่าบางช่วงที่ผ่านมา ระหว่าง กัปหนึ่งที่มีพระพุทธเจ้า บางทีเว้นไป อสงไขยกัป กว่าจะมีมาอีกองค์หนึ่ง ห่างกันถึงขนาดนั้น
      ถาม:  จริง ๆ ถ้าขึ้นข้างบนช่วงนี้ ก็ถือว่าโชคดีสุด ๆ ?
      ตอบ:  โชคดีสุด ๆ เลย เพราะ ๒ กัปติดกันนะ ๒ กัปไม่ใช่น้อย ๆ นะ ๒ กัป ๑๐ องค์
      ถาม:  แล้วหลัง ๆ นี่ พระโพธิสัตว์ท่านเยอะขึ้น ๆ มาก ๆ หรือเปล่าครับ ผมรู้สึกว่า พอศาสนาเหมือนกับว่า พอพระพุทธเจ้าท่านมีเยอะขึ้น ๆ คนที่ปรารถนาเป็นพระโพธิสัตว์ก็เยอะขึ้น ๆ มันจะทำให้แบบถึงเวลา พระโพธิสัตว์บารมีเต็มจะมาแบบอัด ๆ ๆๆ กัน ?
      ตอบ:  อย่างนั้นคนที่บารมีเต็มก็ต้องรีบมาอัดกันด้วย ไม่อย่างนั้นก็เหมือนเดิม นาน ๆ โผล่ที
      ถาม:  จริง ๆ ถ้าฟังอย่างนี้ แสดงว่ามันไม่มีจุดจบเลยนะชีวิตที่เกิดใหม่เนี่ย ?
      ตอบ:  ก็ดันทะลึ่งเกิดมาแล้ว จุดจบน่ะมี เพียงแต่มันจะทำหรือเปล่าหลุดพ้นได้ก็อันว่าจบ หลุดพ้นไม่ได้ก็เวียนตายเวียนเกิดทุกข์โทษเวรภัยกันต่อไป
      ถาม:  แต่จริง ๆ ก็พูดยาก เคยมีคนถามผมว่า ทำไมไม่เปิดโลกให้เห็นกันจะ ๆ ไปเลยว่า นรกอย่างนี้นะ สวรรค์อย่างนี้ จะได้เห็นกันแล้วจะได้รู้จะได้ไม่ต้องมา ?
      ตอบ:  เขาใช้คำว่า มันเกินกฏของกรรม ที่มันเกินกฏของกรรมเพราะว่า ทุกอย่างให้เป็นจิตแท้เขากระทำ ไม่ใช่เกิดจากการโดนชักจูงหรือว่าข่มขู่กัน เอาเป็นอันว่าถึงเวลาคุณเป็นแล้ว ก็เปิดให้มัน มันนาน ๆ หน่อยแล้วกัน ส่วนใหญ่ก็เปิดแค่แวบเดียว ตอนเสด็จลง
      ถาม:  ผมเข้าใจแล้วครับ พอมันไม่ใช่จิตแท้ มันก็ ๆ จะแค่ช่วงนั้น พอถึงเวลาที่มันผ่านไปมันก็ลืม ?
      ตอบ:  ดีไม่ดี มันก็เลวเหมือนเดิม มันไม่ใช่ทำดี เพราะเกิดจากจิตใจที่แท้จริง มันกลายเป็นฝืนทำซะแล้ว