ถาม:  แล้วอย่างพระที่เข้าไปบวชใหม่ พระบวชใหม่แล้วในคณะที่นั่งบวช ถ้ามีองค์ใดองค์หนึ่ง ปาราชิก?
      ตอบการบวชนั้นไม่สมบูรณ์ เป็นได้แค่เณร
      ถาม :  แล้วอย่างที่ปลงอาบัติการเข้าพิธีบวช ?
      ตอบถ้าหากว่าเป็นปาราชิกปลงไม่ตก เป็นสังฆาทิเสสปลงไม่ตก แก้ไขไม่ได้ ยกเว้นตั้งแต่ถุลลัจจัยลงไปถึงแสดงคืนได้ เพราะโทษประหารชีวิตกับจำคุกตลอดชีวิตนี้คุณต้องรับโทษของคุณไป
      ถาม :  แล้วอย่างนั้น ถ้าจะบวชก็ต้องเลือก.........
      ตอบ :  โอ้โห... ระวังให้เต็มที่เลย ไม่อย่างนั้นดีไม่ดีบวชไปแล้วก็ไม่เป็นพระ หลวงพ่อท่านเคยทำอยู่อย่างหนึ่ง ก็คือญัตติใหม่ต่อหน้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ปีที่อาตมาบวชกับปีถัดมา ท่านญัตติให้ซ้อนกัน ๒ ปี พอปีถัดไปปีที่ ๓ พรรษาที่ ๓ ท่านไม่ได้ทำให้ พวกเราก็เข้าใจโดยปริยายว่า ตัวซวยไปแล้ว...(หัวเราะ)...
              ตอนนั้นยังอยู่ที่นี่ ถึงเวลาพอบวชเสร็จ ท่านก็มาญัตติให้ใหม่อีกทีหนึ่งต่อหน้าพระ เท่ากับว่าหลวงพ่อเป็นคู่สวด พระพุทธเจ้าเป็นอุปัชฌาย์ อาตมาก็เคยทำไป ๒ ที เพราะว่าพระที่เขามาอยู่กับเรา เขาไปบวชกับอุปัชฌาย์ที่เรามั่นใจว่าเขาไม่ใช่พระแน่นอน ก็เลยใช้วิธีนั้น บอกเขาว่าให้ตั้งใจคิดว่า เราบวชโดยมีหลวงพ่อเป็นอุปัชฌาย์ จิตใจของเรามุ่งตรงต่อองค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วเราก็สวดญัตติให้ไปเลย เป็นการญัตติซ้ำอีกทีหนึ่ง แต่ถ้าจะเอาตามกฎหมาย ของเขาบวชถูกต้องแล้ว เพราะว่ามีอุปัชฌาย์อาจารย์ มีคู่สวดถูกต้องทุกอย่าง
              แต่คราวนี้ผู้ร่วมสังฆกรรมมันไม่บริสุทธิ์ เราเลยต้องมาทำอย่างนี้ใหม่ ช่วยให้สงฆ์เป็นสงฆ์ขึ้นมา แต่ว่าอย่างน้อย ๆ สงฆ์ที่อยู่ในขณะนั้นต้องมีไม่ต่ำกว่า ๕ องค์นะ เพราะว่าท่านกำหนดเอาไว้ว่า วีสติวรรค ก็คือยี่สิบองค์ แล้วก็ทสวรรคสิบองค์ ปัญจวรรคห้าองค์ ในปัจจันตชนบทคือ ไม่ใช่เขตของชมพูทวีปที่เป็นมัธยมประเทศตรงกึ่งกลางนี่ให้ใช้พระอย่างน้อย ๕ องค์ ของเรานี่มันเป็นปัจจันตประเทศแหง ๆ อยู่แล้ว มันไม่ใช่อินเดียนี่ อินเดียเขาถือเป็นมัธยมประเทศ ประเทศที่อยู่กึ่งกลางทวีป นอกนั้นออกไปก็ ๕ องค์ใช้ได้ทั้งนั้น
              ก่อนหน้านี้ท่านกำหนดเอาไว้เยอะแล้ว พระมหากัจจายนะลำบาก เพราะว่าท่านอยู่กรุงอุชเชนีที่เป็นปัจจันตชนบทไกลมากเลย กว่าจะรอพระครบ ๑๐ รูป มาเพื่อบวชพระ ก็เป็นอันว่าเล่นเอาญาติโยมรอไปสองปีสามปี ท่านก็เลยให้ลูกศิษย์เดินทางไปกราบทูลพระพุทธเจ้า ขออนุญาตให้ลดจำนวนสงฆ์ลง พระพุทธเจ้าอนุญาตว่า ถ้าเป็นปัจจันตชนบทให้สงฆ์แค่ ๕ รูปคือ ปัญจวรรคก็สามารถบวชภิกษุได้ ตอนที่ต้องบวชล่อเข้าไปเท่าไร ๑๗-๑๘ องค์ เกินซะอีก
      ถาม :  ......................................................
      ตอบ :  มันอยู่ที่ว่าความรู้สึกของเราไวแค่ไหน บางคนไม่รู้สึกอะไรเลย อย่างหลวงพี่สามารถท่านก็โดนเพื่อนนักบวชทำใส่ท่านก็ไม่รู้ แต่ว่าของมันย้อนกลับไป จนท่านต้องมาสารภาพเอง...(หัวเราะ)... บอกเลิกเหอะ ๆ ไม่เอาแล้ว หลวงพี่สามารถก็...เลิกอะไรวะ กูไม่เห็นรู้เรื่องเลย ? ...(หัวเราะ)... ตอนนั้นมันก็ขึ้นอยู่กับเรา ถ้าความรู้สึกของเราดี มันก็จะรู้สึกเร็ว
      ถาม :  ................................มันรู้สึกมึน ๆ เหมือนโดนหมดครับ
      ตอบ :  จ้ะ...ลักษณะนั้น แสดงว่าเขาเล่นแรงละสิ
      ถาม :  .........................................................
      ตอบ :  คือ ...เขาตั้งใจทำเราหนักแค่ไหน เขาก็จะโดนแค่นั้น เพราะว่าเรื่องของยันต์เกราะเพชรนี่จะสะท้อนไสยศาสตร์ทุกรูปแบบเลย จะไม่เป็นอันตรายด้วยไสยศาสตร์หนึ่ง ไสยศาสตร์เหล่านั้นจะโดนย้อนคืนเจ้าของเขาไป ใครเป่ายันต์เกราะเพชรแล้ว พวกไสยศาสตร์นี่ ถ้ามันไม่หมั่นไส้อยากลอง มันก็จะกลัวไปเลย
      ถาม :  ................ ยาธาตุน้ำขาว เขาบอกว่ามีแอลกอฮอล์ ๒ เปอร์เซ็นต์ ?
      ตอบ :  ถ้าหากว่าเป็น ยาตามสูตรเขาไม่เป็นไรจ้ะ กระทั่งยาดองเหล้าก็เหมือนกัน ถ้าหากว่าดองตามสูตรแล้วก็กินตามที่เขากำหนด ไม่เป็นไร ยกเว้นให้ แต่ถ้าประเภทกินเอาเมา กินเอามัน อะไรนี่ ไม่สำเร็จจ้ะ เจ๊งหมด
      ถาม :  .............................................
      ตอบ :  เมื่อทุกคนมีการกระทำมาก่อน ไม่ว่าดีหรือชั่ว การกระทำนั้นเขาเรียกว่า กรรม แต่ส่วนใหญ่ที่เราใช้คำว่าเวรกรรม กลายเป็นความหมายที่ไม่ดีไป ทุกคนก็ต้องเวียนตายเวียนเกิดไปเรื่อย ๆๆ จนกว่าจะพัฒนาจิตถึงขั้นสูงสุด หลุดพ้นการเวียนตายเวียนเกิดไปได้ เมื่อหลุดพ้นการเวียนตายเวียนเกิดไปได้ ก็ไม่ต้องมาเกิดอีก แต่ไม่ได้หมายความว่า กรรมเดิมมันจะหมด พระที่ท่านไปนิพพานกัน ไม่ว่าจะพระอรหันต์ก็ดี พระปัจเจกพุทธเจ้าก็ดี พระพุทธเจ้าก็ดี ไม่ได้ใช้หนี้เดิมหมด เพียงแต่ว่าท่านหนีหนี้ได้
      ถาม :  ...(ไม่ชัด)... ไม่ชอบขี้หน้า ...(ไม่ชัด)... ถ้าเกิดไปไหนมาไหน...เมตตา...ของหลวงพ่อ...เมตตานี่ไม่เป็นไรใช่ไหมคะ ?
      ตอบ :  พูดง่าย ๆ ว่า ถ้าท่องได้ก็กันเหนียวไว้ก่อนว่า “เมตตัญจะสัพพะโลฯ” ไปเลยทั่ว ๆ ไปก็ใช้คาถาเมตตาก็ได้ “พระอะระหัง สุคโต ภะคะวา นะเมตตาจิต”
      ถาม :  ...(ไม่ชัด)... มีร้านขายพระ ที่วัดอะไร ...เขาสนิทกับพี่แสง ?
      ตอบ :  ไอ้บังนะซิ
      ถาม :  ผมบอกพี่แสง...........แกคุย เอ๊ย! รู้จักเดี๋ยวลดให้อีก................... แล้วพอคุยไปคุยมา ...แสงที่ไปต่างประเทศกับเขา ผมว่าอุ๊ย มันคนละแสง แน่เลย... พี่เคยไปไหนกับเขา ? (หัวเราะ)
      ตอบ :  เคยจ้ะ เคยไปพม่า
      ถาม :  ลดราคาให้ก็โอเคล่ะ (หัวเราะ)
      ตอบ :  ไม่เป็นไรหรอก แสดงว่า บารมีของท่านแสง นี่ยังใช้ได้อยู่ อย่างน้อย ๆ เขาก็เข้าใจผิดละว่ะ
      ถาม :  มันมีอีก หนองบัว...ไปมันมีหนองโพธิ์ แล้วก็หนองบัว หนองสะมังไปถึงก็ไปยืนเก้ ๆ กัง ๆ เอ! มันมีงานอะไร ? จะไปถามทาง ปรากฏว่าถ้าเขานิมนต์เข้าไปนี่เราจะทำยังไง สวดไม่เป็น พอดีไปถึงโยมนิมนต์เอาไว้เลย เป็นงานแต่งเขา พอดีไปเจอบัตรเบ่งเข้า ...โยมอยู่บ้านใหม่เลยนำทาง
      ตอบ :  แล้วของคุณได้ไปหรือเปล่า ที่ว่ามอละอิตน่ะ
      ถาม :  ....................................................
      ตอบ :  แสดงว่าพวกท่านแสง นี่มันคลำไปถึงหนองบัว กันเองหรือไง?
      ถาม :  บ้านใหม่เขามีเณรไปส่ง เจ้าอาวาสบ้านใหม่จะดึงตัวเอาไว้บอกว่าไม่ได้
      ตอบ :  มันเก่งกว่าเราอีก เราไปใหม่ ๆ ไม่มีคนนำนี่ไม่กล้ากระดิกไปไหนเลย นี่คุณอย่าคิดว่าพม่านะ มันมีคนพูดไทยได้ไปตลอดแนวเลย แสดงว่าเชื้อสายเก่า ๆ ของเราตกอยู่แถวนั้นเพียบเลย
      ถาม :  ตอนกวาดต้อนหรือครับ ?
      ตอบ :  เพียงแต่มันเป็นภาษาเก่า ๆ หน่อย ฟังดูคิดว่าลาว
      ถาม :  แต่ก็รู้เรื่องหรือเปล่า ?
      ตอบ :  รู้เรื่องหมด แต่เราพูดไป เขาไม่ค่อยรู้เรื่อง เพราะว่าภาษาเราพัฒนาไปมาก
      ถาม :  เจอโยมอายุ ๘๐ ขึ้นไป ...มอละอิต,ลงมาห่มผ้าสีกรัก ผู้หญิงตัวตรงแน่วเลย เดินลง ห่มผ้าเหมือนพระเลย เอายามือไม้สั่นหมด ไม่ได้กินข้าวตั้งแต่เมื่อวานเย็น เลยเอาน้ำ-ข้าวต้มไปถวายให้ ไม่ใช่ถวายว่ะ ให้โยมเอาไปให้กิน กินเสร็จแล้วก็กราบใหญ่เลย แล้วก็เดินลงนี่ เราชะลอเมื่อไรแกแซงเอา (หัวเราะ) ๘๐ ผมแค่นึกว่า ผมขึ้นสะพานลอย ผมก็แย่แล้ว....เดินเท้านี่สม่ำเสมอดีจัง ตัวตรงแน่ว
      ตอบมอละอิต สมัยก่อนน่ะ พวกลับแลเขาจะเอาอาหารไปคอยรับรองคนที่ขึ้นไปแสวงบุญ มาตอนหลังเจอคนโลภมากเข้า เขาเลยเลิกเลี้ยง คราวนี้คุณจะไปต้องแบกไปกินกันเอง ยายแกคงไม่ได้เอาไปล่ะมั้ง ?
      ถาม :  ไม่ได้เอาไปเลย
      ตอบ :  ขึ้นไปถึง ไม่ลมใส่ก็บุญโขแล้ว
      ถาม :  แกอยู่มะละแหม่ง แสดงว่าเพิ่งเลิกให้เลี้ยงไม่นานนี้สิครับ ?
      ตอบ :  ไม่ทราบเหมือนกัน
      ถาม :  ...มีเสื้อผ้า...มีเครื่อง....
      ตอบ :  เขามีกระทั่งที่นอน เขาก็ให้ คราวนี้ไปทำไม่ดี ประเภทได้แล้วไม่คืนมั่ง(หัวเราะ)
      ถาม :  อ้าว ! ก็ให้แล้ว ไม่ใช่หรือครับ ?
      ตอบ :  เขาเองแค่ให้ใช้ในงานนั้น
      ถาม :  อ้อ!
      ตอบ :  ของกินน่ะ กินไปเหอะ แต่ของใช้คืนมั่งซิ (หัวเราะ)
      ถาม :  ขึ้นไปมอละอิต ไปนำโด่ง พวกตามไม่ทัน ไม่เอาอะไรไปเลย ไปเจอแม่ออกที่เคยมานี่...แกเลยเอาน้ำต้มไปถวายแล้วให้กินยาเสร็จบอกพรุ่งนี้นิมนต์ให้ฉันเจ ไม่อด...(หัวเราะ)
      ตอบมอละอิต เขาฉันเจตลอด เพราะว่าที่โน่นเขาไม่ต้องการให้เอาเนื้อสัตว์เข้าไป
      ถาม :  ไปนับถือ ฤๅษี
      ตอบ :  พวกชาวบ้าน ทางด้านพม่าจะนับถือฤๅษีมากโดยเฉพาะฤๅษีโบโบอ่อง พวกฤๅษีโบมินข่อ เขาสร้างชื่อเสียงเกียรติยศไว้มหาศาลเลย สร้างเครดิตให้ฤๅษีได้ดีมาก เพราะของเขา เขาสำเร็จพวกฤทธิ์ พวกปรอทวิชาการต่าง ๆ ทำเอาของเป็นทองได้ อะไรอย่างนั้นแล้วก็ไม่ได้เก็บไว้เล่น ๆ ใส่เสกแจกชาวบ้าน (หัวเราะ)
      ถาม :  อ้าว ! เอาไปใช้แล้วมันไม่เสื่อมหรือครับ ?
      ตอบ :  ฆราวาสนี่ไม่ใช่พระ ของเขาเอง เขาก็ต้องมีการกำกับเอาไว้สิว่ามันได้สักเท่าไหร่
      ถาม :  อาภัสราพรหมนี่ แสดงว่าแต่ก่อนไม่มีพรหม ไม่มีเทวดาชั้นอื่น มีแต่อาภัสราพรหม ?
      ตอบ :  ไม่ใช่ พรหมเทวดาชั้นอื่นเขาก็มีเป็นปกติอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าอาภัสราพรหมที่ท่านหมดอายุ ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นผู้ที่ลงมา คือพรหมทั้งหมดมี ๑๖ ชั้น ไล่ถูกไหม ? จะไล่ตั้งแต่ชั้น ๑ ขึ้นไปเลย เป็นปาริสัชชาพรหม ปโรหิตาพรหม มหาพรหม ๓ ชั้นนี่เกิดจากอำนาจของปฐมฌานคือปฐมฌานอย่างหยาบเกิดเป็นปาริสัชชาพรหม ปฐมฌานอย่างกลาง เป็นปโรหิตาพรหม ปฐมฌานอย่างละเอียดเป็น มหาพรหม แล้วถัดไปก็เป็น ปริตรตาภาพรหม อัปปมาณาภาพรหม อาภัสราพรหม ๓ ชั้นนี้ เกิดจากกำลังของ ทุติยฌาน คือ ฌานที่ ๒ ฌานที่ ๒ อย่างหยาบเกิดเป็นปาริตตาภาพรหม ฌานที่ ๒ อย่างกลางเกิดเป็นอัปปมาณากภาพรหม ฌานที่ ๒ อย่างละเอียดเกิดเป็นอาภัสราพรหม
              เพราะฉะนั้นจะเห็นว่าอาภัสราพรหม จริง ๆ เกิดแค่กำลังของทุติยฌาน คือ ฌาน ๒ เท่านั้น แล้วถัดจากนั้นไปก็จะเป็นปริตตสุภาพรหม อัปปมาณสุภาพรหม สุภกิณหกาพรหม ๓ ชั้นนี้ เกิดด้วยกำลังของฌาน ๓ หรือ ตติยฌาน ฌาน ๓ อย่างหยาบจะเกิดเป็นปริตตสุภาพรหม ฌาน ๓ อย่างกลางเกิดเป็น อัปปมาณสุภาพรหม ฌาน ๓ อย่างละเอียดเกิดเป็นสุภกิณหกาพรหม ต่อไปก็จะเป็นเวหัปผลาพรหม อย่างละเอียดเป็นอสัญญีสัตตาพรหม ต่อไปจะเป็นส่วนของพรหมอนาคามี คือไล่ตั้งแต่พระอนาคามีชั้นต้น ตั้งแต่อุปหัจจปรินิพพายี ไล่ขึ้นไปจนกระทั่งถึง อุทธังโสโต อกนิฏฐคามี จะมี ๕ ชั้น ก็จะมีอวิหาพรหม อตัปปาพรหม สุทัสสาพรหม สุทัสสีพรหม อกนิฏฐพรหม ก็คือชั้นที่ ๑๒ ๑๓ ๑๔ ๑๕ ๑๖ ส่วนที่เหลือก็เป็นอรูปพรหม อรูปพรหมนี่จะอยู่ระหว่างชั้นที่ ๑๑ กับ ๑๒ พอดี จะมีอยู่ ๔ ชั้นด้วยกัน ที่ไปด้วยกำลังของอรูปฌาน คือ อากาสานัญจายตนพรหม ชั้นหนึ่ง แล้วก็วิญญานัญจายตนพรหม ชั้นหนึ่งอากิญจัญญายตนพรหมชั้นหนึ่ง เนวสัญญานาสัญญายตนพรหมชั้นหนึ่ง
              คราวนี้พรหมมีอยู่ ๕ ชั้นด้วยกันที่ไม่รับรู้เรื่องราวภายนอก ก็คืออรูปพรหม๔ แล้วก็อสัญญีสัตตาพรหม คือพรหมชั้นที่ ๑๑ โดยตรงของชั้นอสัญญีสัตตานี่ท่านไม่มีอายตนะตัวรับรู้ ร่างกายมีแต่ไม่อยากรับรู้อย่างอื่น จิตก็เลยดำเนินอยู่แต่ภายในอย่างเดียว ไม่รับรู้อาการภายนอกมีรูปอยู่สักแต่ว่าเป็นรูปเท่านั้น คนเขาเลยเรียกว่า พรหมลูกฟัก นั่งโด่เด่อยู่เฉย ๆ
      ถาม :  แล้วถ้าพรหมชั้นที่ ๑๑ แบบนี้ ฉิบหายจากความดี หรือเปล่าคะ ?
      ตอบ :  ก็ยังไงล่ะ ? ยังมีกำลังของความดีเหลืออยู่ แต่ถ้าหากว่าพ้นจากตรงจุดนั้นแล้ว ก็ต้องดูว่ากำลังของความดีของท่านหย่อนลงมา แล้วท่านจะเลื่อนไปเป็นอะไร ? อาจจะเกิดเป็นพรหมชั้นต่ำกว่าลงมา หรืออาจจะเกิดเป็นเทวดา หรืออาจจะเกิดเป็นมนุษย์ หรือถ้าหากว่ากำลังความดีมันสิ้นสุดลงโดยสิ้นเชิง ความดีอื่นไม่มีหนุน ก็อาจจะกลายเป็นลงอบายภูมิก็มี อ้าว ! ล่อพรหมไป ๒๐ ชั้นแล้ว
      ถาม :  แล้วทำไมพรหมถึงลง...คือ กำเนิดโลกก็คือ พรหมลงมากินง้วนดิน ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องเฉพาะพรหมชั้นนี้ ?
      ตอบ :  ก็ ตำราว่าไว้ อาตมาก็ขี้เกียจสงสัย พระพุทธเจ้าบอกก็เชื่อก็แล้วกัน เพราะท่านบอกว่า พุทธวิสัยหนึ่ง คือความสามารถของพระองค์ท่าน สร้างบารมีมาขนาดนั้น ต้องทำได้พิลึกพิลั่นเกินมนุษย์ธรรมดาอยู่แล้ว
              ฌานวิสัย ความสามารถของผู้ทรงฤทธิ์ ทรงอภิญญา ทรงสมาบัติอย่างหนึ่ง กรรมวิบาก การปรุงแต่งให้ผลของกรรม โลกจินไตย ความไม่มีที่สุดของโลก ท่านว่าทั้ง ๔ อย่างนี้ อย่าเสียเวลาไปคิด มันจะไม่มีโอกาสทำความดี ตายฟรีซะเปล่า ๆ เลยกลายเป็นว่า ผู้ที่คิดถึงมีส่วนของความเป็นบ้า ไม่อยากบ้าอย่าไปคิดท่านว่าอะไร กำลังความรู้ของเราไม่ถึงเชื่อท่านไปเหอะ ยังไงก็ไม่ผิดแน่
      ถาม :  .................................................
      ตอบ :  คิดดูแล้วกันนะ ที่เล่า ๆ มาให้ฟังนี่ มันง่ายกว่าบาลีหลายเท่าเลย
      ถาม :  ง่ายกว่า
      ตอบ :  บอกได้เลยว่า บาลีนี่ โค-ตะ-ระ ยากเลย ...ไม่ไหว เมื่อวานนี้ตอนที่ไปกราบทำวัตร ท่านเจ้าคุณพระราชธรรมโสภณ วัดท่ามะขาม ก็เจอเพื่อนกัน มหาธนเดช เดิมท่านชื่อ สุภาพ คราวนี้ชื่อมันไม่เพราะ ก็เลยเปลี่ยนเป็น มหาธนเดช ท่านก็บอกว่า น้อง ๆ ครับ ผมเตือนนะครับ ทุ่มเทกับมันได้ แต่ให้รู้จักพักผ่อนบ้าง เพราะเพื่อนผมเขาบ้าไปแล้ว ๑ รูป(หัวเราะ) คือทุ่มเทไม่ยอมพักผ่อนบ้าง เวลาพักผ่อนไม่พอ มันเครียดมาก ๆ ร่างกายไม่ไหว มีหลายรายแล้วที่หมอมัดติดเตียง ฉีดยาให้สงบน่ะ
      ถาม :  พระนี่นะคะ ?
      ตอบ :  ก็นี่แหละ ที่ท่องกันอย่างชนิดหูดับตับไหม้นี่แหละ ต้องถามคุณเสถียรพงษ์ วรรณปก สมัยก่อนนี่ ที่เขาเรียนบาลีอยู่ ครูเขาให้นอนหนุนลูกมะพร้าว มันกลม ๆ นี่ พลิกหน่อยมันร่วงป๊อก ตื่นขึ้นมาก็อ่านหนังสือต่อ เสร็จแล้วเป็นเด็กบ้านนอก ถ้าหากว่าวันไหน พระจันทร์ข้างขึ้น สว่างพอก็วิ่งไปอ่านข้างนอก ถ้าพระจันทร์ข้างขึ้นไม่สว่างพอ จะจุดเทียนบางทีก็ไม่มี เศษเทียนนิดหนึ่งก็หวงกันนักหวงกันหนา บางทีก็แอบไปขโมยธูปมาของอาจารย์นั่นแหละ เอามาทีหนึ่งเจ็ดดอกแปดดอก จุดมันกำใหญ่ ๆ แล้ว ก็เป่าฟู่ทีหนึ่ง พอมันสว่างก็เล็งดูหนังสือมันว่าอะไร แล้วก็ท่องทีละคำ ใช้จำทีละคำ
              อักขรัง คือ อักษร จัดเป็น นปุงสกลิงค์ คือไม่มีเพศ (หัวเราะ) เป็นยังไง ? ตัวหนังสือมันยังแยกเพศ ไม่ได้เลย จะมีปุงลิงค์ เพศชายอิตถีลิงค์ เพศหญิง นปุงสกลิงค์ ไม่ใช่เพศชาย ไม่ใช่เพศหญิง
      ถาม :  ..............................................
      ตอบ :  แผ่นยันต์ทำน้ำมนต์ ชุดนี้มีแค่ ๗๒ แผ่น เพราะว่าผู้การสถาพร เขาไปให้ร้านเขาพิมพ์มาให้ คราวนี้ร้านมันรู้ดี ปกติแล้วแถวที่หนึ่ง ช่องแรกซ้ายมือกับช่องที่ ๓ ขวามือ ตัว “นะ” กับตัว “พุท” จะคร่อมเส้นยันต์อยู่ แล้วคราวนี้พวกนั้นเขารู้มาก เขาบอกว่า ...เขาเรียกว่ายันต์ขาด ใช้การไม่ได้ มันก็เลยเพิ่ม “มะ” กับ “อะ” มาให้ ๒ ตัว นี่ถ้าหากไม่ใช่พระท่านทำให้ก็ใช้งานไม่ได้ไปเลย ผิดตำรา รุ่นนี้จะมีเหรียญลักษณะข้างหน้าเป็นพระพุทธรูป แล้วก็ข้างหลังเป็นยันต์นี่ด้วย เหรียญสี่เหลี่ยม ๆ เป็นเนื้อเงินก็มีเหมือนกัน
      ถาม :  หลวงพ่อทำหรือคะ ?
      ตอบ :  ไม่ใช่จ้ะ ที่วัดท่าซุง สมัยหลวงพ่อท่านยังอยู่ ท่านทำขึ้นมา อาตมาตอนนั้นก็ทำแค่ ๑๒ แผ่น คือเงิน ๖ แผ่น ทอง ๖ แผ่น ตอนนั้นทุนน้อยก็เลยทำแค่นั้น ตอนทำไม่มีใครเขาสนใจหรอกพอทำเสร็จแล้วมันมาขอแบ่งกัน บีบคอจะเอา มันน่าฆ่าทิ้งไหม ? ตอนทำพอได้ยันต์มา ก็ไปสั่งเขารีดแผ่นทองแผ่นเงินให้ได้ขนาดที่หลวงพ่อบอก คือ กว้าง ๓ ยาว ๓ หรือกว้าง ๔ ยาว ๔ แล้วก็มาเขียนยันต์ เสร็จเรียบร้อยก็ส่งให้หลวงพ่อ ...ว่า หลวงพ่อจะเสกเมื่อไรครับ ? หลวงพ่อบอกแกไปเสกเอง วิธีก็บอกให้แล้ว โห! แทบตายแน่ะ เพราะว่ามันต้อง อิติปิโสฯ ๑๐๘ จบ นะมะพะธะ ๑๐๘ จบ อิติปิโสฯ ของหลวงพ่อต้อง ๓ ห้อง อยู่แล้วใช่ไหม ? ว่ากว่าจะจบ ๒ ชั่วโมงครึ่ง เสร็จแล้วไม่มีความมั่นใจสักกะติ๊ดหนึ่ง
              พอถึงเวลาหลวงพ่อพุทธาภิเษก แอบเอาเข้าไปซุกในกอง หลวงพ่อท่านหัวเราะ บอกก่อนหน้านี้ ข้าก็เหมือนเอ็งนั่นแหละ หลวงพ่อปานอยู่ข้าไม่เคยมั่นใจตัวเองเลยเหมือนกัน แต่พอหลวงพ่อปานไม่อยู่แล้ว ชาวบ้านเขาเห็นแกเป็นลูกศิษย์ ในเมื่อเขามาหาแกก็ต้องมั่นใจเองแหละ อาตมาเพิ่งจะซาบซึ้งที่หลวงพ่อพูดหมายถึงอะไร ก็อีตอนท่านตายแล้วนี่เอง
      ถาม :  ..........................................
      ตอบ :  มันสำคัญตรงเสก อย่าใช้กำลังตัวเองได้ละดี คราวนี้พระท่านอนุญาตให้ทำ ใครทำก็ตามถ้าหากถูกต้องตามแบบท่าน มีอานุภาพเหมือนกันหมด แต่ถ้าหากว่าเป็นการเฉพาะ อย่างเช่นว่า ธงท้าวมหาชมพู ธงท่านปู่พระอินทร์ หรือไม่ก็ยันต์ของกรมหลวงชุมพร หรือยันต์ท้าวเวสสุวรรณอย่างนี้ ถึงเวลาตั้งเครื่องบวงสรวงแล้วเชิญเจ้าของท่านมาเสก อย่าทำเองเป็นอันขาด ทำเองฝีมือเรานี้มันห่วยแตก ยังไง ๆ สู้ท่านไม่ได้หรอก
      ถาม :  แล้วการกำหนดเห็นภาพพระ เห็นพระเป็นสีทองหรือสีขาวอันไหนดีกว่ากัน
      ตอบ :  แล้วแต่เราชอบ แต่ถ้าหากว่าเป็นกสิน สีขาวแสดงว่ากำลังใจเริ่มทรงตัวเป็นฌาน ถ้าหากว่าเป็นขาวทึบทั้งแผ่น แสดงว่าเป็นปฐมฌาน ทรงตัวแน่นอนแล้ว พอภาพค่อย ๆ สว่างใสขึ้น สว่างขึ้น ๆ ไปเรื่อย ๆ จนสว่างเจิดจ้าเต็มที่ เหมือนเอากระจกสะท้อนแสงตะวันใส่ตา ลักษณะอย่างนั้นเป็นฌาน ๔ เต็มกำลัง ถ้าหากว่าเป็นเรื่องของกสินขาวดีกว่า เพราะว่าเหลืองมันจะค่อย ๆ จางลงเป็นขาวไง
      ถาม :  แล้วถ้าเกิดเราจับสีทองปุ๊บ ถ้าเกิดจับทองแล้วเผลอ ๆ ไป เผลอ ๆ มาเป็นสีขาว ก็ต้องแสดงว่า ?
      ตอบ :  ถ้าหากว่ายังเป็นภาพพระอยู่ยังได้ อย่างเช่นว่า ตั้งใจเป็นพุทธานุสติ นึกถึงภาพพระพุทธเจ้าอยู่ ภาพไม่ว่าจะมานั่ง มาเดิน มายืน มานอน ยังไงถือว่าเป็นภาพพระพุทธเจ้าเหมือนกัน ใช้ได้ แต่ถ้าหากว่า เราจับนิมิตเฉพาะเพ่งภาพ เช่น เพ่งดิน เพ่งปฐวีกสิน กลายเป็นภาพสวรรค์วิมาน ฤๅษี เทวดา อะไรมาปรากฏขึ้น ก็น้อมใจถึงท่านด้วยความเคารพว่า เชิญอยู่ตรงนั้นแหละจ้ะ ผมจะเอาอันนี้ สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นจริง ๆ นะ ความเป็นทิพย์ที่มันเกิดขึ้น เนื่องจากว่าจิตของเราเริ่มเข้าสู่จุดอุปจารสมาธิ แต่ว่ามันไม่ใช่นิมิต คือสิ่งที่เรายึดอยู่ สิ่งที่เรายึดอยู่ ถ้าเป็นนิมิตตามกองกรรมฐาน ต้องเอาตามกองนั้น เปลี่ยนเป็นอย่างอื่นไม่เอา
      ถาม :  แล้วถ้าเกิดว่าจับแค่อานาปานุสสติ แล้วก็ภาพพระพุทธรูป ?
      ตอบ :  เหลือเฟือแล้วจ้ะ ก็เป็นพุทธานุสสติกับอานาปานุสสติ ๒ อย่าง เข้าไปแล้วถ้าหากว่ายิ่งจับว่าสีอะไร ก็จะได้วรรณะกสิน ไปอีกกองหนึ่ง
      ถาม :  จำเป็นไหมว่า อุปจารสมาธิจะต้องเกิดควบแสงสีต่าง ๆ ?
      ตอบ :  ไม่จำเป็น บางคนก็ก้าวข้ามไปเลยก็มี บางคนไปทรงฌานเต็มที่ แล้วค่อยเห็นก็มี แล้วแต่จังหวะ แล้วแต่เวลาของมัน ทรงฌานเต็มที่แล้ว ค่อยเห็นมันเป็นกำลังของทิพจักขุฌานเต็ม ๆ
      ถาม :  อารมณ์อุปจารสมาธิ จะทรงได้นานแค่ไหน ?
      ตอบ :  นานแค่ไหนขึ้นอยู่กับเรา ถ้าเราไปให้ความสนใจภาพก็จะหายไป ถ้าเราไม่ให้ความสนใจก็จะอยู่นาน ขึ้นอยู่กับเราเอง เขาห้ามสนใจสวยแค่ไหน หล่อแค่ไหนอยู่ตรงนั้นแหละ ถ้าไปสนใจหายไปเลย
      ถาม :  ภาพที่เห็นในอุปจารสมาธินี่ เหมือนเห็นกะตาเลยหรือเปล่า ?
      ตอบ :  ต้องใช้ว่า เห็นด้วยใจ จะไปเปรียบว่าเห็นด้วยตาก็ไม่ได้ ถามว่าชัดไหม ? ก็ชัดจ้ะ แต่ถ้าว่าด้วยตาใช่ไหม ? ไม่ใช่จ้ะ
      ถาม :  คล้าย ๆ ฝันหรือเปล่า ?
      ตอบ :  เป็นความรู้สึก อย่างขณะนั่งสำนึกถึงบ้าน บ้านชัดแจ๋วเลย ตาเห็นหรือเปล่าล่ะ ? ไม่ใช่หรอก ลักษณะอย่างนั้น
      ถาม :  แสดงว่า ถ้านั่ง ๆ อยู่ แล้วก็รู้สึกว่า มีคนเขามาสอน แล้วใจมันรู้สึกอย่างนี้ สอนอย่างนี้ ?
      ตอบ :  จ้ะ ใช้ได้จ้ะ ถ้าหากว่าเป็นเรื่องที่พิจารณาแล้วว่าอยู่ในทำนองคลองธรรม อยู่ตรงตามสิ่งที่หลวงพ่อสอน ไม่ออกไปไกลอะไร ทำตามได้
      ถาม :  .............................................
      ตอบ :  อานุภาพของยันต์ทำน้ำมนต์ รักษาโรคทุกชนิดที่ไม่เกินกฎของกรรม ขณะเดียวกันหลวงพ่อท่านบอกว่า ถ้าหากเพ่งภาพยันต์กำหนดเอาไว้อยู่บ่อย ๆ ทุกวัน ๆ จนภาพติดตา ท่านบอกว่าจะบรรเทากฎของกรรมได้ด้วย น่าสนใจไหม ?
      ถาม :  ถ้าเผื่อว่าไม่มียันต์ ถ่ายรูป...?
      ตอบ :  เขียนเอาสิ ได้ ๆ รูปถ่ายก็ได้
      ถาม :  ที่บอกว่าเพ่งจนจำได้เป็นฌาน ?
      ตอบ :  กำหนดเป็นรูปยันต์ นึกถึงเมื่อไรก็เห็นภาพเมื่อนั้น
      ถาม :  แสดงว่ารายละเอียดพวกนี้ต้องได้หมดเลยใช่ไหม ?
      ตอบ :  ต้องได้หมด เพราะว่าเราเองเราจะได้รู้ว่า นะโมพุทธายะ แต่ละตัวเขียนยังไง ถึงเวลาได้นึกออก ยันตัง สันตัง วิกรึง คะเร นะมะพะทะ แล้วก็ขึ้น อุณาโลมมา ปะนะชา ยะเต นะมะพะทะ นะ กาโรโหติ สัมภะโว จงมาเกิดเป็น นะ นะมะพะทะ โม กาโรโหติ สัมภะโว จงมาเกิดเป็น โม นะมะพะทะ พุท กาโรโหติ สัมภะโว จงมาเกิดเป็น พุท นะมะพะทะ ธา กาโรโหติ สัมภะโว จงมาเกิดเป็น ธา นะมะพะทะ ยะ กาโรโหติ สัมภะโว จงมาเกิดเป็น ยะ นะมะพะทะ แล้วก็เหมือนกัน แต่ละตัวว่าเหมือนกัน จนกว่าจะครบ แล้วก็ปลุกด้วย อิทธิฤทธิ พุทธะนิมิตตัง ขอเดชะเดชัง ขอเดชเดชะ จงมาเป็นที่พึ่งแก่มะอะอุนี้เถิด ๗ จบ แล้วก็ถ้าหากว่าเป็นแผ่นยันต์อย่างนี้อยู่แล้วก็ว่า อิติปิโส ๗ จบ นะมะพะธะ ๑๕ จบ แต่ถ้าหากว่าเป็นแผ่นยันต์ที่เราเขียนขึ้นเอง ก็ อิติปิโส ๑๐๘ จบ นะมะพะธะ ๑๐๘ จบ
      ถาม :  ...(เรื่องธุดงค์)...
      ตอบ :  ปีที่แล้วไม่ได้ออกเลย แต่ว่าฝึกลูกศิษย์ไว้หลายรูป ซึ่งให้ท่านเริ่มมีความชำนาญทาง แล้วก็เอาตัวรอดในป่า พอจะพาคนอื่นรอดได้ การเดินในป่ามันสำคัญอยู่ตรงที่ว่า ป่าเปลี่ยนอยู่เสมอ ยิ่งฤดูฝนนี่อาทิตย์เดียวเท่านั้นแหละ เปลี่ยนจนเราจำไม่ได้
              เพราะฉะนั้น หลักการเดินป่า โดยเฉพาะจำทิศสำคัญที่สุด เดินป่าอย่าถามทางชาวบ้าน ให้ถามทิศไปทิศไหน ? แล้วก็ไปในป่าเขาจะมีร่องรอยของเขาอยู่ อย่างพวกด่านสัตว์ พวกรอยบากไม้ หักกิ่งไม้ของชาวบ้านเขา ถ้าดูเป็นมันก็ซูเปอร์ไฮเวย์ดี ๆ นี่เองแหละ แต่ถ้าดูไม่เป็นก็หลงทางอยู่นั่นแหละ
              เพราะฉะนั้นก็จะต้องฝึกหัดพวกนี้ให้เป็น สิ่งไหนกินได้ กินไม่ได้ อย่างพวกพืชผักผลไม้ พวกเห็นพวกอะไร แล้วก็น้ำชนิดไหนควรจะกิน น้ำชนิดไหนไม่ควรเสี่ยงเพราะอาจจะมีโรคภัย ต้องศึกษา และที่สำคัญสัตว์ชนิดไหนที่จะตื้บคุณแบน หรือว่าชนิดไหนที่มาแล้วเราไม่ต้องหนีก็ได้
              ครั้งก่อนพาพระธุดงค์เข้าห้วยขาแข้ง ช้างมันมากผิดปกติ คือแต่ละวันนี่เดินอย่างน้อย ๆ ก็ต้องเจอ ๒ โขลง ๓ โขลง ตอนกลางคืนก็ไปถึงบ้านช้างพอดี เพิ่งจะรู้ว่าช้างมันมีบ้านนอนของมัน ถ้าหากว่าอยู่ในถิ่นของมันจริง ๆ ช้างเขาจะทำที่นอนของเขาเอาไว้ ตรงจุดนั้นมันจะเป็นต้นไม้ใหญ่ร่มรื่นมากเลย อยู่ใกล้ ๆ ห้วยด้วย ช้างมันจะดึง ๆ หญ้ามากอง ๆ รวมกันกลม ๆ อย่างกับโต๊ะใหญ่ ๆ แล้วก็หนาสักศอก เป็นที่นอนของเขา ห่างกันสัก ๓-๔ เมตรจะมีอยู่อีกที่หนึ่ง พวกเราก็ไปนอนในบ้านช้าง พอไปนอนเสร็จช้างมันได้กลิ่นคน ได้กลิ่นควันไฟ มันก็หากินโผงผางอยู่ใกล้ ๆ นั่นแหละ แต่มันไม่กล้าเข้ามา ก็ชี้ต้นไม้บอกกับพระลูกศิษย์ว่า ต้นนี้มันเล็กพอที่จะขึ้นได้ แล้วก็ใหญ่พอที่จะทานกำลังช้างได้ ที่เล็กพอจะขึ้นได้ก็คือ แขนมันโอบได้รอบ ต้นไม้ถ้ามันเกินโอบจะขึ้นไม่ได้ ขึ้นลำบาก ยกเว้นคนกำลังแขนแข็งแรงจริง ๆ ถึงจะขึ้นได้ ต้นที่เล็กพอคนจะขึ้นได้แล้วก็ใหญ่พอที่ทานกำลังช้างได้ ถึงเวลาคุณขึ้นต้นนะนะ คุณขึ้นต้นนี้นะ คุณเอาน้ำไป ถ้าคุณมีย่ามมีอะไรก็ติดตัวไปด้วย กันช้างมันกระทืบเสียหาย สั่งเขาเสร็จเรียบร้อย เราก็นอนแผ่ในรอยตีนช้างนั่นแหละ สบายใจ พระลูกศิษย์เขาก็ประท้วง บอกว่าเราออกเดินป่ามามันก็ต้องมอบกายถวายชีวิต แล้วทำไมต้องหนีมันด้วย บอกมอบกายถวายชีวิตมันถูก แต่ถ้าคุณตายเมื่อไหร่ พ่อแม่คุณเล่นผมแน่เลย เพราะฉะนั้นได้โปรดเมตตาปีนมันหน่อยเหอะ (หัวเราะ) ต้องสอนเขาสารพัด
              บางทีไปถึงปักกลด ของเราเองก็อยู่บนริมตลิ่งโน้น รกก็รก กว่าจะทำความสะอาด กว่าจะปูผ้า กว่าจะวางกลดได้ พระลูกศิษย์โน่น เห็นหาดทรายอยู่ในห้วยประเภทนิ่มอย่างดีเลย ลงไปถึงเขาปูผ้าหาไม้หลักมา ๒ อัน ปักเสร็จเอาไม้ขวางแล้วก็กางกลด บอกเออ! เอาซะให้พอ นี่มันเป็นเวลาเดือน ๑๑ กว่าจะขึ้นเดือน ๑๒ แล้ว ผมอนุญาตให้คุณปักกลดอย่างนั้นได้ แต่ถ้าหากว่ามันเพิ่งพ้นฝนมาใหม่ ๆ นี่ ผมไม่ให้คุณปักอย่างนั้นหรอกในป่า ตรงที่เราอยู่ฝนไม่ตก ไม่ได้หมายความว่าที่อื่นฝนจะไม่ตก ถ้าทางต้นน้ำฝนตก น้ำมันหลากมาเราจะไม่รู้ตัวหรอก โครมเดียวมันก็มาถึงแล้ว ไปปักกลดอยู่ถูกหาดทรายในน้ำมันก็เรียบร้อย จะเหลืออะไรล่ะ? แล้วก็บอกกับเขาว่า ถึงเวลาก็ต้องดูด้วย พื้นดินลักษณะไหนจะมีอันตรายจากงูเงี้ยวเขี้ยวขอหรือแมลงมีพิษหรือเปล่า ? ทางด้านบนมันจะมีอันตรายหรือเปล่า ชี้ให้เขาดูอย่างกิ่งไม้ใหญ่เหนือหัวผมเนี่ย อันเบ่อเร่อเลย มันแห้งแล้วคุณเห็นไหม ? ถึงเวลาลมพัดมา มันหักโค่นลงมาทับตายเมื่อไหร่ก็ได้ คุณอย่าไปกางกลดแบบนี้ แต่ผมไม่เป็นไร ว่าแล้วก็นอน (หัวเราะ)
              สอนให้เขารู้ ของเราไปเอามรณานุสสติ มึงลงมาเมื่อไหร่กูก็ตาย เออ! เรื่องของมึง ถึงได้บอกว่าเวลาสอนลูกศิษย์ ต้องบอกว่า คุณจงทำตามที่ผมพูด แต่อย่าทำตามที่ผมทำ ไล่เขาขึ้นต้นไม้แต่เราเองนอนในรอยตีนช้าง เวลามันเดิน ๆ ดินมันจะยุบเป็นร่อง มันสบายดี ประมาณตัวของเรา แล้วมันหลบลมได้ด้วย เพราะมันเหยียบ ๆ ลึกประมาณหัวเข่าเรา