สนทนากับพระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
ณ. บ้านอนุสาวรีย์ เดือนมีนาคม พ.ศ. ๒๕๔๔ (ต่อ)

      ถาม :  ............(ฟังไม่ชัด).........
      ตอบ:   ตัวนั้นสำคัญที่สุด การพิจารณาตัวเอง คือ กำหนดไว้เลยว่า ยี่สิบสี่ชั่วโมงเราทำดีกับทำไม่ดี อันไหนมันมากน้อยกว่ากัน พยายามให้ส่วนของความดีมีให้มากกว่า จนกระทั่งสามารถที่จะดำรงอยู่ในความดีได้ตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง ไม่อย่างนั้นเราจะขาดทุน
      ถาม :  มีคนบอกว่าถ้าเราจะรักษาศีลไม่ทานเนื้อสัตว์......(ฟังไม่ชัด)...
      ตอบ:   ไม่จำเป็น รักษาศีล กินเนื้อสัตว์ได้เป็นปกติ เพียงแต่ว่าเราอย่าไปสั่งให้เขาฆ่า อย่าลงมือฆ่าเอง ที่เขาขายกันทั่ว ๆ ไป ตามท้องตลาดเราซื้อหรือไม่ซื้อ เขาก็ขายอยู่แล้ว ถ้าพวกนั้นไปถึง ก็ซื้อมาเถอะอย่าไปทุบเอง ฆ่าเองก็แล้วกัน สำหรับพระละเอียดหน่อย พระพุทธเจ้าท่านบอกว่า ถ้าไม่รู้ว่าเขาฆ่าเพื่อเรา ถ้าไม่เห็นเขาฆ่าเพื่อเรา ถ้าไม่รังเกียจว่าเขาฆ่าเพื่อเรา อย่างนี้ถึงจะฉันได้ ถ้ารู้ว่าเขาฆ่าเพื่อเรา เดินเข้าหลังบ้านไปสักพักหนึ่ง ยกแกงออกมาแล้ว อ้าว !เมื่อกี้นี่มันมีเสียงไก่โดนเชือดนี่หว่า นี่รู้ว่าฆ่าเพื่อเราใช่มั้ย ? หรือเห็นว่าเขาฆ่าเพื่อเราต่อหน้าต่อตาเลย แล้วรังเกียจว่าเขาฆ่าเพื่อให้เรากินโดยเฉพาะหรือเปล่า ถ้าอย่างนี้ฉันไม่ได้ สำหรับฆราวาสแล้วถ้าหากว่าไม่ได้สั่งให้เขาฆ่า ไม่ได้ลงมือเองไปซื้อตามท้องตลาดที่เขาทำไว้เรียบร้อยแล้ว ก็ได้เลยก็พระยังฉันได้ ฆราวาสจะไม่ได้ได้ยังไง
      ถาม :  ..........(ฟังไม่ชัด).......เขาบอกว่าศีลยังรักษาได้ไม่ครบ อย่างศีลข้อหนึ่ง ก็คือเราไปเบียดเบียนสัตว์
      ตอบ:   บอกเขาไปว่าศีลข้อหนึ่ง ห้ามฆ่าสัตว์นะ เรื่องของศีลนั้นตรงไปตรงมา คำว่าเบียดเบียนสัตว์เพิ่มขึ้นกลายเป็นกรรมบทสิบ กรรมบทสิบนี่เขาถือการเบียดเบียนด้วย มันจะละเอียดขึ้น แต่ว่าขณะเดียวกันว่า การกินมังสะวิรัต ถือว่าดีมาก เพราะว่าเป็นการงดเว้นโดยสิ้นเชิง มีจิตประกอบไปด้วยเมตตาต่อสัตว์โลกเป็นปกติ แต่นั้นหมายความว่า ต้องทำเพื่อละจริง ๆ ถ้าทำแล้วไปอวดหรือไปคิดว่าตัวเองดีกว่าเขา ตัวเองปฎิบัติเคร่งครัดกว่าคนอื่นเขา อย่างนั้นนี่...รู้สึกว่ากินเนื้อสัตว์กิเลสจะน้อยกว่าเยอะ สำคัญตรงที่ว่าเราไปยึดถือการปฎิบัติของเรากว่าดีหรือเปล่า เคร่งกว่าหรือเปล่า ถ้าทำอย่างนั้นถึงงดกินเนื้อสัตว์ไปก็เท่านั้นแหละ
      ถาม :  เป็นการอวดกิเลส ?
      ตอบ:   เป็นการอวดความดีของตัวเอง
      ถาม :  .........(ฟังไม่ชัด)......เราก็ไม่อยากให้ใครมองไม่อยากให้ใครมารู้ว่า คือ อยากให้เรารู้เองของเรา
      ตอบ:   อยู่กับโลกตามปกติ..แต่ว่าเราไปแค่กรอบของศีล คลุกคลีตีโมงกับเขาได้ จะไปเที่ยวไปเตร่ไปเฮไปฮาเราไปได้แต่ถ้าหากว่าเขาพาเราไปฆ่าสัตว์ เราไม่เอา พาเราไปกินเหล้า เราไม่เอา เราจะมีกรอบของเราอยู่ ไปมันแค่นั้น มันไม่ได้ปฎิเสธโลก เราอยู่กับโลกอย่างมีสติเสียด้วยซ้ำไป เพราะเราระวังอยู่เสมอว่าศีลจะขาดหรือเปล่า
      ถาม :  ไม่ได้ห้ามฟังเพลง ?
      ตอบ:   ไม่ได้ห้ามเลยจ้ะ ศีลห้าข้อไม่ได้ห้าม ว่าได้เต็มที่
      ถาม :  มันอยู่ที่จิตของเราใช่มั้ย ถ้าเรารู้อยู่ ว่าเราทำอะไรอยู่ เราอยู่ตรงไหน ?
      ตอบ:   รู้อยู่ พอขยับ ก็รู้แล้วว่าศีลจะขาดมั้ย !
      ถาม :  เราทำตัวปกติธรรมดา เหมือนคนธรรมดา แต่ใครจะไปรู้ว่าเราทำอะไรอยู่
      ตอบ:   ใช่ ตัวนั้นแหละ เพราะว่าการทำนี่ มีหลายคนที่ทำลักษณะอวดคนอื่นเขาลักษณะอย่างนั้นมันจะกลายเป็นอุปกิเลส อุปกิเลสก็คือว่า เเทนที่จะทำโดยเจตนาบริสุทธิ์ในการลด ละ เลิก ซึ่งความไม่ดีในใจของเรา ก็กลายเป็นทำเพื่อให้คนอื่นเขาเห็นว่าเราดี
      ถาม :  ชอบเพราะเขาสรรเสริญว่าเราดี
      ตอบ:   ก็ยิ่งกลายเป็นอะไร...เขาเรียก สีลัพพัตตุปาทาน คือ การยึดมั่นในศีลพรต คือแนวปฎิบัติของตนเองว่าดี แทนที่ จะลด จะละ จะเลิก ก็กลายเป็นเกาะเพิ่มขึ้นอีก
      ถาม :  แล้วคนที่ละวางได้.......(ฟังไม่ชัด).......
      ตอบ:   ไม่ใช่ คนที่ละวางมากเท่าไรยิ่งขยันมากกว่าปกติ เพราะรู้ตัวอยู่เสมอว่าเวลามีแค่นี้เท่านั้นหรือว่ามีแค่วันนี้เท่านั้น คนที่มีเวลาแค่วันนี้เท่านั้น ต้องทำวันนี้ให้ดีที่สุด จะขยันกว่าคนอื่นเยอะเลย หน้าที่การงานอะไรในปกติธรรมดาของตน ทำหน้าที่นั้นจนเต็มที่ เพื่อว่าถึงเวลาแล้วจากไปอย่างสง่างามที่สุด ไม่มีใครนินทาว่าร้ายตามหลังไปได้ ขยันกว่าปกติ ไม่ได้ขี้เกียจ ถ้าปล่อยวาง แล้วขี้เกียจ นั้นไม่ใช่แน่ เลยจ้ะ
      ถาม :  อย่างเวลาเขาแข่งกัน เราก็มามองว่า ทำไมเราต้องแข่งกัน ?
      ตอบ:   อย่างนั้นมันเป็นเรื่องปกติของเขา เราเองมันไม่อยากในตรงนั้นใช่มัย ? แต่ว่าหน้าที่รับผิดชอบของเรา เราต้องทำให้ดี ทำเต็มความรับผิดชอบของเรา ทำเหมือนกับมีวันนี้วันเดียว ผลงานทุกอย่างต้องให้มันลงตัว คนอื่นเขามาสานต่อจะได้ไม่ต้องลำบาก
      ถาม :  มานั่งคิดดู.......(ฟังไม่ชัด)........
      ตอบ:   ไม่ใช่ จริง ๆ แล้วก็คือว่า หน้าที่ของเรามีอย่างไรทำอย่างนั้นและทำให้ดีที่สุด มันยิ่งกว่าแข่งนะ เพราะถ้าเราทำเต็มกำลังของเราถึงไม่ต้องแข่ง ประเภทที่เรียกว่าเราทำดีอยู่แล้ว คราวนี้คนที่ทำดีสม่ำเสมอกับคนที่ดีในบางเวลานี่ เขาสู้เราไม่ได้ จะดีไปกว่าเขาเสียด้วยซ้ำไปถ้าหากว่าเป็นเจ้านายพิจารณาผลงาน เออ! คนนี้เขาเสมอต้นเสมอปลายดี ผลงานต่าง ๆ จะเป็นของเรา ดีไม่ดีจะเจริญกว่าคนอื่นเขาเยอะ
      ถาม :  .........(ถามเกี่ยวกับเรื่อง “ช่างเขาเถอะ”).........
      ตอบ:   ช่างเขาเถอะ นั้นเป็นเรื่องของอารมณ์ใจ เราจะไม่เก็บมาคิด ให้มันเสียเวลา เพราะถ้าเราเก็บเข้ามาเมื่อไร ก็คือการเอาสิ่งที่ไม่ดีเข้ามาในใจ เราก็ปล่อย ช่างเขาเถอะ เขาเองเขาคิดว่าดี เขาถึงทำ ส่วนเราของเรา เรารู้ว่าตรงนี้ดีเราก็ทำให้เต็มที่ของเราไป
      ถาม :  มีคนบอกว่าถ้าเราจะรักษาศีลไม่ทานเนื้อสัตว์......(ฟังไม่ชัด)...
      ตอบ:   แต่เราอยากรู้ เราไม่รู้ว่าการที่เขาทำ เขาจะคิด.......(ฟังไม่ชัด).......
      ตอบ:   ตัวนั้นไม่เกี่ยวกันเลย ไม่คิดนั่นมันยาก เพราะส่วนใหญ่เขาจะคิดกันทั้งนั้นส่วนใหญ่ก็ไม่ทราบว่าตัวทุกข์เพราะความคิดตัวเอง จะรู้สึกมันมากกับการคิด เหมือนกับคนกินของเผ็ด รู้อยู่ว่ามันเผ็ดแต่มันอร่อย หารู้ไม่ว่ามันทำให้ลำบากปวดท้องปวดไส้ทีหลัง ตั้งหน้าตั้งตากินแล้วมาบ่นทีหลังว่าเผ็ดจังเลย
      ถาม :  เคยมานั่งคิดเหมือนกันนะ อย่างที่บอกเรื่องการเบียดเบียนเมื่อกี้ แต่มาพิจารณาแล้วว่าในขณะเดียวที่เราทำตรงนั้น ถ้าเราไม่เต็มร้อยคือจิตใจเรานี่มันยังอยากกินอยู่เป็นปกจติอยู่ มันก็เป็นการเพิ่มทุกข์ให้กับตัวเอง
      ตอบ:   มันกลายเป็นทุกข์มากกว่าเดิมเสียด้วยซ้ำ
      ถาม :  มากกว่าเดิม ต้องลำบากอีกแล้วทำให้คนอื่นต้องเดือดร้อนอีก
      ตอบ:   แล้วที่แน่ ๆ ก็คือว่า มีอยู่จำพวกหนึ่ง ที่เอาอาหารปรุงแต่งด้วยโปรตีนเกษตรน่ะ ทำขึ้นมาเป็นขาหมู เป็นไส้หมู เป็นพะโล้ เป็นอะไรทุกอย่าง ตัวนั้นนี่มันปรุงแต่งมากกว่าเราเยอะเลย เพราะฉะนั้นดูให้ดี ถ้าขืนทำลักษณะนั้น แทนที่จะลดกิเลส กลายเป็นเพิ่มเสียด้วยซ้ำไป หลอกตัวเองสองชั้น เขาเรียกว่าโง่สองชั้น หลอกตัวเองไม่พอหลอกชาวบ้านด้วย
      ถาม :  ..............(ฟังไม่ชัด)..........
      ตอบ:   พระพุทธเจ้าท่านสอนที่เรียกว่า สายกลาง คือไม่เบียดเบียนทั้งตัวเอง ไม่เบียดเบียนทั้งผู้อื่น ท่านบอกว่าได้ก็คือได้ คราวนี้ได้ในสภาพของท่าน ก็คือ อย่าฆ่าเอง..... อย่างสั่งเขาฆ่าอย่างนี้ เราก็ทำตามนั้น
      ถาม :  ..............(ฟังไม่ชัด)..........
      ตอบ:   ต้องหลวงปู่แหวน คนไปคุยหลวงปู่แหวนบอกว่า เขาเป็นมังสะวิรัต เขาคุยลักษณะที่ว่าดีกว่าคนอื่นเขา หลวงปู่แหวนก็เปรย ๆ ขึ้นมา ท่านบอกว่าเห็นวัวเห็นควายมันกินหญ้าทั้งชีวิต ไม่เห็นว่าเป็นพระอรหันต์ซะที ( หัวเราะ) นั้นท่านพูดเปรย ๆ นะท่านไม่ได้ว่าใครคือเวลาคนคุยใส่ท่านมาก ๆ ท่านก็คงเซ็งในอารมณ์ โดยเฉพาะที พระเทวทัต ขอพระพุทธเจ้าว่าขอให้พระภิกษุในธรรมวินัยนี้ฉันมังสะวิรัตทุกองค์ พระพุทธเจ้าบอกว่า ผู้ใดต้องการเป็นมังสะวิรัต ก็ให้ฉันมังสะวิรัต ผู้ใดต้องการฉันอาหารปกติ ก็ให้ฉันปกติ เพื่อจะได้ไม่ลำบากแก่ญาติโยมที่เขาให้อาหารไม่อย่างนั้น สมมุติว่าพระสององค์ไปบ้านเดียวกัน ก็แย่ละสิ ต้องอาหารปกติชุดหนึ่งอาหารมังสะวิรัตชุดหนึ่ง ลำบากเขาเยอะ เวลาไป วัดหนองบัวก็จะมังสะวิรัตตามเขา ไม่อย่างนั้นเขาจะต้องทำอาหารสองชุดถึงเวลาเขามาเมืองไทยเราเองก็สั่งมังสะวิรัตไปเลย คือไม่ต้องแยกต่างหาก ฉันเป็นเพื่อนเขาไป พอเรากลับมาอยู่ตามสภาพปกติของเรา เราก็ว่าของเราต่อไป
      ถาม :  แล้วถ้าเราต้องการรักษาโรค หรือว่าเรามีจุดประสงค์ของเรา
      ตอบ:   ถ้าอย่างนั้นก็ทำได้ไม่มีปัญหาอะไร แต่ก็รู้เลยว่ามันลำบากกว่าเดิม บางทีเรื่องของการปรุงแต่ง ถ้าหากว่าจิตมันสั่งให้ทำอย่างนั้นมันก็กลายเป็นหลอกตัวเองด้วย หลอกคนอื่นด้วย เพิ่มกิเลสให้กับตัวเองซะเปล่า ๆ ทำได้น่ะดี ไม่ใช่ไม่ดี ขนาดหมอเขายังบอกเลยว่า ถ้าหากว่าอายุยังไม่ถึงยี่สิบอย่าเพิ่งกินมังสะวิรัต เพราะว่ากระดูกกล้ามเนื้อมันยังไม่โตเต็มที่เดี๋ยวกระดูกผุ กล้ามเนื้ออ่อนแรง
      ถาม :  หลวงพี่ทำงานองค์เดียว ไม่มีกรรมการวัด ?
      ตอบ:   คือกรรมการวัดนั้นมันมากเรื่อง บางทีเขาเข้ามาโดยตำแหน่งแล้วเขาให้มีตำแหน่งเดียว คือ ไวยาวัจกร ไวยาวัจกรนี่จริง ๆ มีอยู่ลักษณะของโยมวัด มีหน้าที่ช่วยเหลือพระ แต่พอตั้งขึ้นเป็นตำแหน่งขึ้นมาแล้วส่วนใหญ่นั้นเข้ามาควบคุมพระโดยเฉพาะควบคุมการเงินทั้งหมด แล้วถ้าหากว่าเงินถึงมือพวกเขาจะจัดการยากมาก บางทีก็หายไปเฉย ๆ โดยหาสาเหตุมิได้ ถ้าหากมีกรรมการวัดมักจะใช้แต่พระด้วยกัน
      ถาม :  เขาบอกว่า พี่จะทำก็ หนูจะฝากเงินไปด้วย เราก็กลัวว่าเขาจะเต็มใจหรือเปล่า แล้วพอดีคนแนะนำเขามาแนะนำให้ทำชุดใหญ่ ๑,๐๐๐ หนึ่งน่ะ (ทำให้ผู้ตาย)
      ตอบ:   ไม่จำเป็นต้องขนาดนั้นหรอกจ๊ะ สังฆทานอย่างไรก็ได้กับข้าวสักถุง ตั้งใจใส่บาตรพระหน้าวัด อยู่หน้าบ้านก็ได้ คือถ้าไม่เกิน ๓ เดือนทำไปยังทัน เวลาของข้างล่างเขาต่างจากเราเยอะ วันหนึ่งอยู่ประมาณ ๕๐ ปีมนุษย์ เพราะฉะนั้นภายใน ๓ เดือนของเรานี่ มันเป๊ปเดียวของเขายังทันอยู่
      ถาม :  ที่ว่า ๑๐๐ วันใช่มั้ยคะ ? แต่นี่เขาถือว่าเขาก็ทำแล้ว
      ตอบ:   เขาก็ทำแล้ว แต่บางทีบุญที่เขาทำ กำลังมันไม่สูงพอโดยเฉพาะการทำบุญ ถ้าเริ่มต้นด้วยบาป ผีเขาไม่เอา เช่นว่าต้องไปฆ่าสัตว์ ฆ่าปลา ฆ่าไก่ ของพวกนี้เขาจะไม่เอา เพราะเขาจะได้ส่วนของบาปนั้นด้วย เขาต้องการบุญบริสุทธิ์ที่ทำโดยที่ไม่เบียดบียนใคร ไม่เริ่มต้นด้วยบาปเหล่านั้น
      ถาม :  แล้วเขาตายนี่ เขาตามมาจริงใช่มั้ยคะ ?
      ตอบ:   ส่วนใหญ่แล้วคนตาย ถ้าหากว่าหาที่ไปไม่ได้ เขาเป็นผู้ที่ตายก่อนหมดอายุขัย ความเคยชินก็จะกลับบ้าน ถ้าหากกลับบ้านแล้วไม่มีใครให้ความสนใจ บางทีก็ตามคนที่เขารู้จัก (หัวเราะ)
      ถาม :  แหงเลยหละ !
      ตอบ:   อันนี้ไม่กล้ายืนยัน (หัวเราะ) ความจริงเขาตามเราก็ดีไม่เห็นมีอะไรต้องกลัว
      ถาม :  ก็ตกใจ ขี้กลัวผีอยู่แล้วด้วย
      ตอบ:   จำเอาไว้แล้วกัน ถ้ากลางค่ำกลางคืนเสียงอะไรดัง ๆ อย่าทักเพราะบางทีผีเขาเข้าบ้านไม่ได้เขาจะทำให้เราตกใจแล้วส่งเสียงทักขึ้นมา เขาสามารถที่จะเกาะเราเข้ามาตอนนั้นได้ ให้เราระวังไว้ว่าถ้ามีเหตุการณ์อะไรพวกนี้ก็อย่าไปตกใจ อย่าไปทักอะไรง่าย ๆ เพราะถ้าเราทัก เหมือนกับเราเปิดประตูบ้านให้เขาเข้า พระภูมิเจ้าที่เขาไม่สามารถจะกันได้เพราะถือว่าเจ้าของบ้านอนุญาตแล้ว ระวัง ๆ ไว้ ครั้งหน้ามีสุ้มมีเสียงอะไรขึ้นมาออกไปดูให้มันชัดเจนไปเลย อย่าไปทักไปถามว่าใคร มาจากไหน อะไรอย่างนี้ เดี๋ยวแย่
      ถาม :  ทำไมมันมีอะไรแปลก ๆ
      ตอบ:   ความจริงมันไม่แปลก เรื่องทั้งหลายเหล่านี้ มีเป็นปกติอยู่แล้ว แต่ว่าเราจะสัมผัส หรือว่ารู้เห็นไม่ได้ เป็นเพราะว่าสภาพจิตของเราบางทีมันก็มัวไปเยอะ ถ้าหากว่าคนที่สามารถขัดเกลาจิตของเขาให้ใสให้สะอาดได้ ก็สามารถรู้เห็นได้เป็นปกติ
      ถาม :  อย่างนั้นก็แล้วไป เขาก็รู้ว่า อะไรเป็นอะไรใช่มั้ยคะ ?
      ตอบ:   อันนี้ของเราประเภทรู้ว่าบ้าง ไม่รู้บ้าง ก็ลำบากนิดนึงเดี๋ยวเพื่อความแน่ใจคืนนี้ลองใหม่อีกครั้ง (หัวเราะ)
      ถาม :  ไม่เอาาาาาว์..........
      ตอบ:   เขาก็คงจะหวังจากลูกหลานยาก ก็เลยมาพึ่งเรา คือ ถ้าหากว่าเป็นสังฆทานนี่ถวายที่ไหนก็ได้ พระจะปฎิบัติดี หรือปฎิบัติไม่ดีก็ตาม ถ้าเป็นสังฆทานอานิสงส์จะเท่ากันหมด ตัวบุญจะเท่ากันหมด แต่มันสำคัญตรงที่พระที่รับไป ถ้าทำไม่ดีนี่ขาดทุนเยอะเลย คนรับน่ะขาดทุน ของเราทำนี่เราไม่เป็นไร สังฆทานจะเป็นทานของหมู่สงฆ์ทั่วไปไม่จำเพาะเจาะจงว่าคนใดคนหนึ่ง ถ้าเอาไปกินไปใช้คนเดียวนี่ พระองค์นั้นนี่โทษเยอะเลย
      ถาม :  ถ้าอย่างนั้นภายใน ๗ วัน เขาก็ได้แล้ว แล้วเขามาหาเราทำไม ?
      ตอบ:   บอกแล้วว่า บุญบางอย่างถ้าเริ่มต้นด้วยบาป เขาไม่เอาเราก็ไม่มั่นใจว่าในงานนั้น เขาได้ฆ่าปลา ฆ่าไก่อะไรหรือเปล่า ถ้ามีโอกาสก็ทำให้เขาหรือไม่ก็บอกเขาไปหาลูกหลานเหอะ
      ถาม :  ...........(เสียงไม่ชัด)..........
      ตอบ:   ไม่มีอะไรหรอก ทำใจสบาย ๆ สวดมนต์ไหว้พระ แขวนพระเอาไว้ ขอบารมีท่านสงเคราะห์
      ถาม :  ต้องอาราธนาบ่อยเลย ทุกวัน
      ตอบ:   ดีแล้ว ถ้าเราเกาะพระเป็นปกติ อันตรายอื่นจะทำได้ยากมาก อาราธนาพระไว้ทุกวัน แขวนติดตัวไปทุกวัน นึกถึงท่านให้ช่วยด้วยถ้าหากเราไม่นึกถึงไม่ขอ บางทีท่านก็ไม่รู้จะช่วยยังไง อธิษฐานขอท่านช่วยคุ้มครอง ช่วยรักษาเราด้วย
        ถาม :    แล้วที่ฝันว่าไอ้สิงโตมางับนี่ก็ไม่เป็นไร ?
        ตอบ:     ในฝันนี่ไม่เป็นไรหรอกจ้ะ ถ้าหากว่าฝันว่าโดนสัตว์ร้ายขบกัดเขาบอกว่าให้ระวังจะมีศัตรู ศัตรูก็น่าจะเป็นคนด้วยกัน ผีเขาคงไม่มาทำตัวเป็นศัตรูของเราหรอก