ช่วงแรกของเล่ม "มิงกะละบา เมียนมาร์"

สนทนากับพระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
เดือนพฤศจิกายน ๒๕๔๕(ต่อ)
ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ

      ถาม:  เห็นอยู่บนดินหรือ ?
      ตอบ:   ไม่ใช่อยู่กลางอากาศนี่เลย ลักษณะเหมือนกับบินนี่แหละ แต่ว่ามันวิ่งของมันอยู่กลางอากาศ ถ้าเราดูเหมือนกับนกบินหรือว่าแมลงบิน แล้วเป็นเรื่องอัศจรรย์ว่ากลางคืนมืด ๆ แต่ว่าเห็นชัดมากเลย
      ถาม :  แล้ววัวธนูที่บางสำนักปลุกเสกให้ศิษย์บูชา...?
      ตอบ:   อันนั้น ไม่ทราบเหมือนกันว่าเอาไว้ป้องกันอันตรายอะไรหรือเปล่า ? แต่ถ้าหากเป็นของสมัยก่อนเขาจะมีคาถากำกับ เขาจะใช้ครั่งจากกิ่งพุทราตายพราย คือตายคาต้น แล้วต้องเป็นกิ่งที่ยื่นไปทางตะวันออกเท่านั้น เอามาปั้น กระทั่งวันเวลาที่จะไปเก็บครั่ง ก็ต้องเป็นวันที่ฤกษ์ดี เวลาที่จะมาทำ กำหนดเวลาเช่นเก้าโมงถึงบ่ายสอง พ้นจากนี้แล้วจะไม่มีอานุภาพ เวลาปั้นก็ต้องปั้นไปภาวนาไป แล้วถึงเวลาจะมีคาถากำกับในการใช้ด้วย
              ถ้าหากว่าทำตามวิธีนี้ ก็คือเอาไว้ป้องกันตัว ถึงเวลามีอันตรายอะไรเกิดขึ้นให้เขาเอาไปป้องกันเราได้ แต่ที่ทำ ๆ สมัยหลังนี่ ไม่ค่อยเข้าใจเหมือนกันว่าเขาทำเพื่ออะไร เพราะว่าส่วนใหญ่เป็นการหล่อสำเร็จ ในเมื่อหล่อสำเร็จไม่ได้ทำตามแบบโบราณเราก็เลยไม่เข้าใจ วัวธนูมีหลายแบบ แบบที่ว่าเป็นตำราของหลวงพ่อน้อย วัดศรีษะทอง ที่นครปฐม ไอ้เรามันเด็กนครปฐม มันจะต้องประเภทเข้าใจ ใช่มั้ย? (หัวเราะ) ถัดมาที่ไม่มีเวลาฉุกเฉินเลย เขาจะใช้ไม่ไผ่ที่ล้มขวางทางเดิน จะต้องกลั้นใจฟันทีเดียวให้ขาด แล้วเอาส่วนปลายมาจักตอกสาน สานเป็นวัว ก็เป็นการทำหยาบ ๆ แบบเร่งรีบ อย่างน้อย ๆ ต้องทำให้เสร็จก่อนค่ำ
              เพราะว่าถ้าหากค่ำแล้ว อันตรายจากไสยศาสตร์มันจะทวีกำลังของมันเพิ่มขึ้น เพราะมันอาศัยความมืดช่วย วาระเวลามันช่วย แล้วเขาจะมีประเภทที่ทำด้วยสายสิณจน์จูงผี มีประเภทปั้นด้วยขี้ผึ้งปิดหน้าผี พวกอันนี้จะอยู่ไม่ทน แต่ว่าที่ทำด้วยครั่งพุทราตายพราย ตามตำราหลวงพ่อน้อยนี่ เห็นญาติโยมสมัยนี้ยังมีอยู่หลายคนเก่ามากเลย แต่ก็ยังอยู่
      ถาม :  ตอนหนูอายุซัก ม.ปลาย ไปที่วัดที่นครปฐม ยังมีให้เช่าอยู่เลยวัวธนู?
      ตอบ:   อันนั้นคงรุ่นใหม่ ไม่ใช่เก่าหรอก รุ่นของหลวงพ่อน้อยหายาก เพราะว่าอย่าลืมว่า ต้องเป็นครั่งต้นพุทราเท่านั้น แล้วต้องเป็นกิ่งที่ตายคาต้น และจะต้องหันตะวันออกด้วย ปีหนึ่งจะหาได้สักกิ่งมั้ย ?
      ถาม :  ถ้าอย่างนั้นถ้าเกิดเราเช่ามา เอามาเลี้ยง ?
      ตอบ:   ว่าไปเถอะตามสบาย แต่ถ้าหากว่าเป็นอย่างที่เขาเอาไปเข้าพิธีของอาตมาก็เท่ากับว่าเป็นวัตถุมงคลชิ้นหนึ่ง ไม่ต้องเสียเวลาเลี้ยงเขาหรอก เพียงแต่ว่าถึงเวลาของเราเองมีอะไร จะไปไหนฝากบ้านกับท่านได้ เพราะเท่ากับเทวดาองค์หนึ่งนั่นเอง
      ถาม :  เราก็มีพระภูมิอยู่แล้ว ?
      ตอบ:   มีอยู่แล้ว แต่อย่างลืมว่าพระภูมิเจ้าที่ท่านเป็นภูมิเทวดา เทวดาที่รักษาวัตถุมงคลเป็นอากาศเทวดา อานุภาพเยอะกว่าเยอะเลย แล้วถ้าอยู่ในลักษณะนั้นก็เหมือนกับว่าท่านมาเพื่อทำหน้าที่อย่างนั้น ไม่ถือว่าเป็นการใช้ท่าน ไม่ถือว่าเป็นการปรามาสลบหลู่ท่าน
      ถาม :  แล้วอย่างรับของที่พุทธาภิเษก มีหลายชิ้นอย่างนี้ท่านจะแบ่งเวรกันมาดูแลหรือว่า...?
      ตอบ:   คุณก็อาราธนาท่านพร้อม ๆ กันสิ หมดเรื่องไป แหม! เทวดาไม่เหนื่อยอยู่แล้ว (หัวเราะ) ในความเป็นทิพย์เขาก็แค่รออยู่เท่านั้นเอง อะไรจะเกิดขึ้นเขารู้หมดอยู่แล้ว
      ถาม :  พวกเครื่องราง ไสยศาสตร์ของขลังที่โบราณว่า ถ้าเผื่อไม่ได้ทำตามตำรา เก็บไว้เฉย ๆ นาน ๆ จะกลายเป็นปอบ พวกนั้นเป็นไปได้อย่างไร ?
      ตอบ:   อันนั้น ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นไปในลักษณะที่ว่า ตามตำราไสยศาสตร์ของเขาจะมีการปลุกเสก มีการปลุก มีการเสก มีการบูชาครู มีการเซ่นสรวง ตามวาระ ตามเวลาของเขา ถ้าหากว่าไม่ทำ บูชาอาจารย์ตามสายของเขาก็จะลงโทษกันมา
              ตัวอย่างชัด ที่เจ้าคุณเผด็จ ทัตตชีโว ทางวัดธรรมกาย ที่ท่านสมัยก่อนบวช ท่านเล่าให้ฟัง ท่านบอกว่าพอได้ธรรมกายก็ตรวจดูว่า บรรดาครูบาอาจารย์สำนักไสยศาสตร์เป็นใคร บอกส่วนใหญ่เป็นพวกเปรต อสุรกายทั้งนั้นเลย เพราะฉะนั้นถ้าหากไม่ไปทำตามรูปแบบของเขา เท่ากับไปฝืนคำสั่งเขา เขาลงโทษบ้างก็คงเป็นเรื่องปกติ เพราะว่าบรรดาท่านทั้งหลายเหล่านั้น ยังคลุกคลีอยู่กับเรื่องรัก โลภ โกรธ หลง เต็มที่อยู่
      ถาม :  แล้วเป็นเปรต อสุรกายอยู่ในอบายภูมิ แล้วจะมีฤทธิ์ มีเดชด้วยหรือ ?
      ตอบ:   มันจะมีพวกมหิทธิกาเปรต กับ กาลกัญจิกอสุรกาย พวกนี้ในอดีตจะได้มิจฉาสมาธิมาก่อน อย่างพวกหมอผีใช้สมาธิในทางที่ผิด ตัวเองถึงเวลาตายตกนรกไป พอเศษกรรมมาเกิดเป็นเปรต หรืออสุรกาย ในจำพวกนี้เข้า อานุภาพของสมาธิที่เคยทำได้จะส่งผลให้ว่ามีศักดานุภาพสูงมาก ท่านทั้งหลายเหล่านี้ถ้าเทวดาที่มีอานุภาพน้อย ๆ ยังต้องหลบให้ ส่วนใหญ่แล้วก็คือบรรดาเจ้าป่า เจ้าเขา ใหญ่ ๆ โต ๆ
      ถาม :  แล้วมีลูกครึ่งของเปรตด้วยเหรอคะ ?
      ตอบ:   เป็นอย่างไร ลูกครึ่ง ? ไม่เคยเจอ หน้าตาเป็นอย่างไร ? เปรตก็คือเปรต จะมีลูกครึ่งอย่างไร ?
      ถาม :  สมมุติว่าเปรตมี ๑๒ จำพวก อาจจะหนึ่งกับสองปนกันอย่างนี้
      ตอบ:   ยังไม่เคยเจอ ไม่รู้ตำราของใคร
      ถาม :  (ถามเรื่องเกี่ยวกับเซน)
      ตอบ:   แตกแขนงออกไปจากศาสนาพุทธ เซน ไปจากคำว่า ฌาน หรือธยาน ในภาษาสันสกฤต แต่คราวนี้เขาออกเสียไม่ชัด ก็เลยกลายเป็นเซน แต่จริง ๆ แล้ว ถ้าหากว่าดูตามลักษณะของเขาแล้ว มันเป็นการรู้แจ้งฉับพลันแบบเดียวกับพระพาหิยะทารุจิริยะ พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า ”เธอจงอย่าสนใจในรูป” ท่านเข้าใจตลอดเลย ทางนิกายเซนเขาถือว่า พระมหากัสสป เป็นปรมาจารย์ใหญ่ของเขา
      ถาม :  ที่เขาบอกว่าสามารถมีภรรยาได้ ไม่ผิดพระวินัยหรือ ?
      ตอบ:   ต้องดูสิ ถ้าหากว่าอย่างของเซนเขานี่ อย่าลืมว่าบรรดาท่านที่ปฏิบัติตัวส่วนใหญ่จะอยู่ป่าอยู่เขา ไม่มีบ้านไม่มีเรือนด้วยซ้ำ จะไปผิดอะไร แต่เราว่ามานี่ พวกศาสนาชินโตของพวกญี่ปุ่นเขา มีภรรยาได้ เพราะเป็นการปรับเพื่อเอาใจคน
              ช่วงสงครามโลกญี่ปุ่นอยู่เต็มประเทศไทย คราวนี้ทหารญี่ปุ่นเขาไปนิมนต์พระจะเลี้ยงงานอะไรไม่รู้ นิมนต์หลวงพ่อด้วย ท่านบอกว่า “ถ้ามีภรรยาก็พาไปด้วยนะครับ” หลวงพ่อท่านบอก “เสียท่ามัน หาไม่ทัน” (หัวเราะ) เขาคิดว่าพระไทยมีแบบเขา ปัจจุบันนี้บรรดาไม่ใช่พระห่มเหลืองเฉย ๆ มันมีกันเยอะ
      ถาม :  อย่างของสายมหายานที่เขาอาจมีคำสอนที่ไม่เหมือนเถรวาท ...(ไม่ชัด)...
      ตอบ:   ก็อาจอยู่ลักษณะ สัทธรรมปฏิรูป คือว่าไปปรับเปลี่ยนเพื่อให้ตรงกับจริตนิสัยของคน เพื่อให้คนยอมรับจะได้มีผลในการเผยแพร่ศาสนา แต่เป็นการทำให้ธรรมะพระพุทธเจ้าท่านเสื่อมไป เสียไป มีโทษใหญ่เลยล่ะ
      ถาม :  ผู้ทีเริ่มปรารถนาพระนิพพาน กับปรารถนาพระนิพพานแล้ว วิบากจะมารุมมากเป็นพิเศษ ?
      ตอบ:   ยังไง ? ถามว่าจริงหรือเปล่า ? มีส่วนจริงอยู่บ้าง
      ถาม :  แต่ไม่ทุกกรณี ?
      ตอบ:   ไม่ทุกกรณี คือ ถ้าเราเป็นผู้มั่นคงในทาน ศีล ภาวนา พวกวิบากกรรมต่าง ๆ ส่งผลได้ประมาณ ๒๕% เท่านั้น แต่ต้องแยกแยะให้ออกว่า ๒๕% ของมดกับช้างมันต่างกัน ถ้าเราทำเอาไว้เยอะ ๒๕% ของเราคนอื่นโดนก็อ่วมเหมือนกัน ขณะเดียวกันถ้าเราตั้งใจในลักษณะนั้นแล้ว ก็เหมือนกับว่าลูกหนี้เตรียมจะหนีหนี้ เจ้าหนี้เขาต้องขยันทวงหน่อย ในเมื่อเขาขยันทวง ถ้าเกิดบางช่วงมาพร้อม ๆ กัน ก็น่วม ขอให้ดีใจเถอะว่า เขาทวงเราแสดงว่าเราใกล้ที่หมายแล้ว ถ้ามันไม่ทวงเลยนี่สิน่ากลัว ถ้าไม่ทวงแสดงว่ายังห่างมาก
      ถาม :  คิดเรื่องศีล ๕ ศีลข้อที่ ๕ เรื่องสุรา เมื่อก่อนก็ดื่มมันมีทั้งสุขและทุกข์ แต่มา ณ ปัจจุบัน ถามว่าเอามาให้กินอีกมั้ย ? ไม่กินแล้ว เป็นสิ่งที่ตัดง่าย เพราะตรงนั้นจุดหนึ่งผมคิดว่าเราไม่ชอบ แต่ในศีลบางข้อเราคิดว่าเราไม่อยากจะยุ่งเหมือนลักษณะสุรา แต่บางทีมันก็ยังติดอยู่ เป็นเพราะว่าเรายังมองไม่เห็นความผิดของจริงในศีลข้อนั้นใช่มั้ยครับ ?
      ตอบ:   อันนี้ใช่เลย เหตุที่เรายังละเว้นไม่ได้เพราะยังไม่เห็นทุกข์ เห็นโทษของมัน สิ่งต่าง ๆ ที่เราทำ มันเป็นกรรมทั้งนั้น ถึงแม้จะเป็นสิ่งที่ดีก็เรียกว่า กุศลกรรม สิ่งที่ไม่ดีก็เรียกว่า อกุศลกรรม การละเมิดศีลเป็นอกุศลกรรมล้วน ๆ ในเมื่อเป็นอกุศลกรรมล้วน ๆ มีแต่จะพาให้วัฏสงสารยาวไกลออกไปไม่มีที่สิ้นสุด เราจะต้องเกิดมาพบกับทุกข์โทษ เวรภัยชาติแล้วชาติเล่า หาที่สุดไม่ได้ มีแต่ความทุกข์ตลอด ถ้าเรายังไม่เห็นจุดนี้จริง ๆ ไม่เห็นโทษของมันจริง ๆ ก็ยังไม่คิดจะละให้เด็ดขาด
      ถาม :  ถ้าไม่เห็นทุกข์ ก็คือยังไม่พ้นทุกข์ ?
      ตอบ:   ไม่เห็นทุกข์คือไม่เห็นธรรม
      ถาม :  .............................................
      ตอบ:   เมื่อเดือนที่ผ่านมา อาหารเป็นพิษกันหลายคนใช่มั้ย ? สามารถหาเหตุสำคัญอันดับแรก กินข้าวคำน้ำคำ อันดับที่สองกินเสร็จแล้วไปอาบน้ำเลย ระวังไว้ด้วยร่างกายของเรามีธาตุอยู่ ๔ อย่าง คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ อันนี้โบราณว่าเถียงไม่ได้ เรื่องจริงช่วงที่เรากินอาหารลงไปไฟธาตุมาเพื่อจะย่อยอาหาร การสันดาปเผาผลาญอาหารเป็นหน้าที่ของธาตุไฟ ทางวิทยาศาสตร์เขาว่า ตอนนั้นกระแสโลหิตในร่างกายของเราทั้งหมด จะลงไปรวมอยู่ที่กระเพาะ เพื่อที่จะย่อยอาหาร เพราะฉะนั้นตอนนั้นสมองจะมีเลือดเลี้ยงน้อย หลังอาหารก็เลยจะอยากนอน ง่วง ๆ ซึม ๆ หน่อยหนึ่ง
              คราวนี้เมื่อไฟมันกำลังลุก เราก็อาบน้ำราดลงไปแล้วมันจะเกิดอะไรขึ้น ไฟดับ ในเมื่อไฟดับย่อยอาหารไม่ได้มันก็อืด แล้วก็อาหารเป็นพิษ ผะอืด ผะอม กระอักกระอ่วน อ้วกมั่ง ท้องเสียมั่ง พยายามแก้นิสัยให้ได้ อย่าไปกินข้าวคำน้ำคำ กล้ำกลืนฝืน ๆ มันลงไป พอหลังจากอิ่มว่าตามไปอีกหน่อย อย่าเยอะ ถ้าเยอะเดี๋ยวไฟดับอีก ถ้าภาษาหมอน้ำย่อยมันเจือจาง คือไฟมันดับเสียแล้ว ถ้าอยากอาบน้ำใจจะขาด ก็อั้นเอาไว้สักชั่วโมง แล้วค่อยไปอาบ หรือไม่ก็อาบมันก่อนกิน
      ถาม :  คนโบราณเขาก็ฉลาด
      ตอบ:   เขารู้มากกว่าเรา สมัยใหม่หมอเขาไม่ค่อยเชื่อโบราณ หมอก็บอกอาหารเป็นพิษ ความจริงคือความไม่สมดุล ของธาตุในร่างกาย พอธาตุ ๔ ไม่สมดุลเมื่อไหร่ จะเริ่มป่วย ของเราไฟกำลังลุก ก็เอาน้ำไปราด ข้าวคำหนึ่งน้ำอึกหนึ่ง ลงไปอีกเรียบร้อยดับ ดับแค่นั้นยังกลัวไม่สนิท กินอิ่มเสร็จอาบน้ำซ้ำเข้าไปอีก ตอนอาบน้ำซ้ำสาหัสที่สุดเลย เพราะว่าเลือดที่หล่อเลี้ยงอยู่ในกระเพาะ จะต้องวิ่งออกมาเพื่อต่อต้านความเย็นทางผิวหนัง ก็เลยไม่เหลืออยู่ที่กระเพาะเลย ทีนี้กินอะไรลงไปก็อยู่อย่างนั้นล้วน ๆ ในเมื่ออาหารไม่ย่อยเราก็แย่
      ถาม :  ...................................
      ตอบ:   อะไรที่ยังไม่ได้ทำอย่าคิดว่าเราทำไม่ได้ ในชีวิตยังไม่มีอะไรที่ทำไม่ได้ ทั้ง ๆ ที่บางอย่างไม่เคยทำ จำไว้ว่าเราต้องกล้า ความกล้าในการที่เราจะทำสิ่งต่าง ๆ นี่แหละ จะเป็นตัวช่วยให้ทุกอย่างสำเร็จ
              ถ้าปัจจุบันนี้ให้นายกฯ คือ คุณทักษิณ ชินวัตร ลงทุนทำอะไรอย่างหนึ่ง ถามเขาว่ามั่นใจร้อยเปอร์เซ็นต์ ไม่มั่นใจหรอก คุณทักษิณก็ไม่มั่นใจร้อยเปอร์เซ็นต์หรอก ดีไม่ดีก็ ๕๐:๕๐ ด้วยซ้ำไป แต่คุณทักษิณมีความกล้าที่จะทำ คนเราจะประสบความสำเร็จหรือไม่อยู่ตรงที่กล้า การที่เราทำอะไรถูกต้องหรือว่าผิดพลาด เราไม่มีอะไรจะเสีย จำไว้มีแต่ได้อย่างเดียว ทำถูกได้กำไร ทำผิดได้บทเรียน โธมัส อัลวา เอดิสัน ทดลองเกี่ยวกับไฟฟ้าไป ๒๐๐ กว่าครั้งไม่สำเร็จ ลูกศิษย์บอกว่าอาจารย์ครับ เราล้มเหลวมา ๒๐๐ กว่าครั้งแล้ว อาจารย์ยังจะทำอีกหรือ เอดิสันบอกว่า ใครบอกว่าฉันล้มเหลวมา ๒๐๐ กว่าครั้ง ฉันได้ความรู้เพิ่มมาอีก ๒๐๐ กว่าครั้ง จะได้รู้ว่า ๒๐๐ กว่าทางนี้มันทำไม่ได้ เราก็หาทางใหม่ คนที่ประสบความสำเร็จเขามีวิธีคิดที่ไม่เหมือนกับเรา นึกออกมั้ย ? ผิดพลาดมา ๒๐๐ ครั้งนั่นก็คือกำไร เราไม่ต้องไปทดลอง ๒๐๐ ครั้งนั่นอีก เพราะรู้ว่ามันผิดแน่ เราก็เริ่มครั้งที่ ๒๐๑
              โน่นทิศตะวันออกอยู่ด้านโน้น ต่อไปจะให้พวกหนูหัดมองทิศตะวันออกเอาไว้บ่อย ๆ ทิศตะวันออกเป็นทิศแห่งแสงสว่าง ตะวันมีขึ้น มีตก โลกเรามีมืดมีสว่าง ชีวิตของเรามีสุขมีทุกข์ ทุกอย่างมันเป็นของคู่กัน สักวันหนึ่งข้างหน้าบางทีสิ่งที่เราปรารถนามันไม่สมหวัง เรารู้สึกว่าชีวิตมันมืดไปหมด ทำอะไรไม่ถูก หนูมองไปทางตะวันออกเข้าไว้แล้วก็ ขอให้เชื่อเถอะว่า ความมืดมันอยู่ไม่นานหรอก เดี๋ยวความสว่างก็มาถึง ความทุกข์มันอยู่ไม่นานถ้าเราต่อสู้ฟันฝ่า เดี๋ยวความสุขก็มาถึง
              เพราะฉะนั้นต่อไปข้างหน้าถ้าทำอะไร คิดว่ามันไม่ไหว หันไปมองทางตะวันออกเข้าไว้ แล้วก็ขอให้เชื่อว่า ความล้มเหลวมันเป็นของคู่กับความสำเร็จ ตั้งหน้าทำไปเดี๋ยวความสำเร็จมาเอง ฟังเข้าใจมั่งไม่เข้าใจมั่ง ก็ช่าง อยากจะบอกเพื่อว่าถึงวาระถึงเวลาเราจะได้รู้วิธีที่จะแก้ไขต่อสู้เพื่อที่จะก้าวพ้นในจุดลำบากของเรา คนเราทุกคนที่ประสบความสำเร็จมันไม่มีสบาย ๆ หรอก รัชกาลที่ ๖ ท่านบอกว่า ”หนทางแห่งเกียรติศักดิ์ จักโรยด้วยดอกไม้ หอมหวนยวนจิตไซร้ ฤๅมี” การจะก้าวสู่ความสำเร็จไม่มีถนนที่ปูด้วยกลีบกุหลาบ แถมหนามมาให้เพียบเลย กุหลาบไร้หนามมันมีแต่ละคร ในเมื่อทุกอย่างต้องมีสิ่งที่ลำบากแฝงอยู่ ถ้าเราสู้แล้วผ่านไปได้มันะจะภูมิใจ
              ตอนนี้แพรอาจจะไม่มั่นใจเราจะเอ็นฯ ผ่านมั้ย ? แต่ถ้าเกิดผ่านได้เราจะภูมิใจมาก ถ้าหากว่าเราไม่ผ่าน เราไปเรียนมหาวิทยาลัยเปิด เราสามารถที่จะสำเร็จได้ก่อนเพื่อนก็ดี หรือว่าสำเร็จได้ทั้ง ๆ ที่อยู่ในลักษณะศึกษาด้วยตนเองก็ดี เราจะภูมิใจมากกว่าเพื่อนที่เขาเป็นไข่ในหินที่ครูบาอาจารย์คอยทนุถนอมซะด้วยซ้ำไป อย่าลืมทิศตะวันออกนะ ถึงเวลามองตะวันออกไว้ ตอนนี้มันค่อย ๆ มืดแล้ว แต่จำไว้ว่ามืดมันคู่กับความสว่าง ตอนที่มืดที่สุดก็คือตอนที่ความสว่างใกล้จะมาถึง อันนี้เป็นสัจธรรมเลย ไม่ใช่เรื่องที่พูดให้เท่ ๆ ตอนที่ทุกข์ยากลำบากก็จะมีความสุขรออยู่ข้างหน้า ตอนล้มเหลวก็ขอให้รู้ว่าความสำเร็จมันอยู่ไม่ห่าง
              เราล้มเหลวครั้งหนึ่ง เราก็ได้ประสบการณ์ ถ้าเราสำเร็จครั้งหนึ่งเราก็ได้กำไร ได้ทั้งคู่ไม่มีเสีย ”เจ้าเกิดมามีอะไรมาด้วยเจ้า” ...มาตัวเปล่า ตอนนี้ถือว่าประสบความสำเร็จแล้ว เรียนมาจนขณะนี้มองโลกในแง่ร้ายไว้นิด ๆ ว่าเราอาจจะเอ็นฯไม่ติดก็ได้ ถึงเวลาได้มันก็กำไร ไม่ได้ก็เสมอตัวเพราะเราคิดว่าไม่ได้เอาไว้แล้ว
      ถาม :  (เรื่องย้ายพระแม่กวนอิม) เห็นอาจารย์บอกให้ย้ายมาไว้รวมที่หิ้งพระ แล้วเวลาสวด ต้องสวด ๒ ครั้ง จุดธูป ๒ ครั้ง ?
      ตอบ:   ไม่ต้องทีเดียว จุดครั้งเดียวเหมาหมดเลย
      ถาม :  แล้วสวดรวมไปหมดเลย ?
      ตอบ:   รวมทีเดียวได้เลย จะเป็นเจ้าแม่กวนอิม จะอะไรก็แล้วแต่ เอาบทสรรเสริญพุทธคุณขึ้นหน้าก่อน ตามด้วยเจ้าแม่กวนอิม ตามด้วยรัชกาลที่ ๕ หรือด้วยรัชกาลที่ ๕ แล้วเจ้าแม่กวนอิมแล้วแต่เรา คือเอาพระนำหน้าก่อน
      ถาม :  จุดธูปแค่ครั้งเดียว ?
      ตอบ:   จ้ะ จุดมาก ๆ เดี๋ยวโรงงานธูปรวย
      ถาม :  รัชกาลที่ ๕ จุดด้วยธูป ๕ ดอก หรือ ๗ ดอก เพราะบางคนพูดไม่เหมือนกัน
      ตอบ:   เอา ๕ ดีกว่า เราจุดธูป ๕ ดอกบูชาพระไปเลย บูชาตามสายหลวงพ่อ ท่านได้รับการสงเคราะห์จากพระพุทธเจ้า ๕ พระองค์ประจำ ท่านก็เลยจุด ๕ ดอก แต่บางคนว่า ๕ ดอก ก็คือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ พ่อแม่ ครูอาจารย์ รวมแล้วก็ ๕ เหมือนกัน แล้วแต่จะตีความ
      ถาม :  แล้วจุดไหว้เจ้าแม่กวนอิมใช้ธูปกี่ดอก ?
      ตอบ:   อันนั้น ยิ่งเยอะ ยิ่งดี จะเห็นคนจีนเขาขยันจุดกันจังเลย เล่นกันเป็นกำ ๆ เดินเข้าไปในศาลเจ้า เดินออกมานี่น้ำตาร่วงเลย
      ถาม :  จริง ๆ จำนวนธูปนี่ไม่ใช่สิ่งสำคัญเลย ?
      ตอบ:   ไม่ใช่ สำคัญว่าได้บูชามั้ย ? การบูชาด้วยธูปก็คือของหอม การบูชาด้วยเทียนคือแสงสว่าง เป็นการบูชาด้วยของหอมและแสงสว่าง เพราะพุทธเจ้าท่านบอกว่า การบูชาด้วยสิ่งของเรียกว่า อามิสบูชา เรื่องทั้งหลายเหล่านี้จะมีผลในลักษณะที่เรียกว่า เป็นโลกียะ คือจะเป็นทรัพย์สินสิ่งของ หรือเครื่องอำนวยความสะดวก หรือว่าความสามารถพิเศษอะไรบางอย่างเฉพาะตัว
              ท่านบอกว่าปฏิบัติบูชาสำคัญกว่า ปฏิบัติบูชาคือการตั้งใจอยู่ในทาน ศีล ภาวนา ของเราตั้งหน้าตั้งตาทำไป
      ถาม :  ถ้าได้ลูกแก้วจักรพรรดิมาแล้วทำอย่างไร ถึงจะมีความคล่องตัว ?
      ตอบ:   ใช้ควบกับคาถาเงินล้าน เรื่องของลูกแก้วของหลวงพ่อจะเป็นเรื่องของด้านลาภโดยตรง สวดคาถาเงินล้านบูชา แต่ถ้าหากว่าจะเอาให้ได้ผลจริง ๆ เลย ใช้ควบเป็นกรรมฐาน จับภาพแก้วแล้วภาวนาคาถาเงินล้านไปด้วย
      ถาม :  แล้วขึ้นอยู่กับบุญเก่าเราด้วยมั้ยคะ ?
      ตอบ:   พูดง่าย ๆ ว่า ถ้าได้มา บุญเก่าต้องดีอยู่แล้วจ้ะ ฉะนั้นได้มาไม่ต้องคิดเลย ลุยได้เลย เรื่องของหลวงพ่อนี่ แค่คาถาอย่างเดียวก็เหลือเฟือแล้ว ยังควบกับแก้วจักรพรรดิอีก ได้ผลมากกว่าปกติเยอะเลย
      ถาม :  เคยไปหาหลวงปู่ (ไม่ชัด) แล้วถามว่าจะสามารถบรรลุได้ชั้นต้นหรือเปล่า ? เพราะอยากจะปิดประตูอบาย หลวงปู่บอกว่าให้ละโทสะ
      ตอบ:   ไม่ต้องถามจ้ะ ถ้าถามอาจจะไล่เตลิดไปแล้วก็ได้ จำไว้ว่า เรื่องกรรมฐาน เรื่องการบรรลุมรรคผลอะไรก็ตาม ขึ้นอยู่กับเราทำจริงมั้ย ? ถ้าเราทำจริงมีสิทธิ์ทุกคน คือว่าทุกคนที่ตั้งใจทำมีสิทธิ์ที่จะได้มรรคผลอยู่ทุกคน เพียงแต่ว่าทำจริงแค่ไหนเท่านั้น จะต้องมั่นใจว่าเราคือหนึ่งในผู้ที่จะบรรลุมรรคผล ไม่ใช่ไปเที่ยวถามคนโน้นคนนี้ ถามไปก็ไม่มีประโยชน์ เพราะขึ้นอยู่กับการทำของเรา
      ถาม :  เขาบอกว่าชาตินี้ เขาขอแค่เป็นพระโสดาบัน เพราะว่าคิดว่าจะเกิดมาใหม่ ที่จะช่วยคน
      ตอบ:   ได้จ้ะ คือตั้งความหวังว่าเราจะเป็นพระอรหันต์ไปเลย ถ้าหากว่ามันไม่ถึงแล้วเราค่อยมาช่วยคน ถ้าตั้งเป้าไว้สูงมันจะเยอะไปเอง ยังอยากช่วยคนอีกมากหรือ ? ถ้าอยากช่วยเดี๋ยวจะให้ช่วยเอง ทุกคนมีกรรมเป็นของตัว