ช่วงแรกของเล่ม "หลากรสในพม่า"

สนทนากับพระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
เดือนมกราคม ๒๕๔๗(ต่อ)
ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ

      ถาม:  เป็นการพิสูจน์ด้วยภายนอก ?
      ตอบ:   จริง ๆ ก็คือว่าเขาเห็นแล้วเขาสรุปเอง การสรุปของแต่ละคนจะไม่เหมือนกัน เพราะว่ามุมมองและประสบการณ์ต่างกัน คนดีเขาจะสรุปในแง่ดีทั้งหมด คนชั่วจะสรุปในแง่ไม่ดีทั้งหมด ไอ้กึ่งดีกึ่งชั่ว ก็ให้ไปอย่างละครึ่ง
              ในเมื่อต่างคนต่างสรุปเอง โดยที่ไม่เอาตัวเข้าไปคลุกคลีอยู่ในวงการนั้นก็จะไม่รู้อะไรดีจริง อะไรไม่ดีจริง ดังนั้นเรื่องของศาสนา ท่านถึงได้ใช้คำว่าสีลัพตปรามาส คืออย่าใช้การลูบ ๆ คลำ ๆ แค่นั้นนะ ต้องทำจริง ๆ ต้องทุ่มเทเข้าไปจริง ๆ ให้มันรู้จริง ขณะเดียวกันคนที่สามารถชี้แจงเพื่อให้เขาเองแจ่มแจ้งประเภทที่เรียกว่าหมดความสงสัย ก็มีน้อย ในเมื่อมันมีน้อยขึ้นมา แล้วเขาสรุปเองด้วย ก็น่าเสียดายว่าเขาเสียผลประโยชน์ในส่วนนั้นไปเยอะ ถ้าเขาเข้ามาเสียตั้งแต่แรก ๆ อาจจะได้รับอะไรดี ๆ ไปนานแล้ว
              ต้องเจอหลวงปู่ หลวงพ่อหลาย ๆ องค์ นั่งเงียบ ทำอย่างเดียว ใครรู้จักปฏิบัติตามก็ได้ไป ไม่ปฏิบัติตามก็เรื่องของมัน หลวงปู่ดูลย์ยอดปรมาจารย์ของพระทางอีสานองค์หนึ่ง ถึงเวลาเณรวันนี้เรียนทำขาบาตร ก็คือบาตรนี่ ถ้าหากว่ามีขารองนั่ง มันก็มั่นคง รองตั้งไว้...มั่นคง เสร็จแล้วก็เอ้า...เหลาดอก เหลาให้ได้ขนาด พอเหลาเสร็จมีเชือกพร้อม เอ้าดูนะ ชูให้ดู อันแรกสานกันอย่างนี้นะ แล้วก็ไขว้สอดอย่างนี้ มัดอย่างนี้ ทำเสร็จเรียบร้อย หลวงปู่นั่งเงียบ เณรดูแล้วก็หัดทำ ทำไป ๆ ทำต่อไม่ได้ จำได้ไม่หมด หลวงปู่ตรงนี้ทำยังไง ?...เงียบ หลวงปู่ทำยังไง ?...เงียบ
              จนกระทั่งเณรไปบ่นอุบอิบ หาทางแก้ปัญหากันเอง แก้ตกก็ดีไป แก้ไม่ตกก็บนต่อ รุ่งเช้าออกบิณฑบาตหลวงปู่บอก เณรวันนี้บิณฑบาตด้วยกัน เณรก็ต้องเดินตาม ตามไป ๆ เจอบ้านหนึ่งเข้า เขาก็ทำอาหารตอนเช้านี่ พระบิณฑบาตเช้า เสียงลูกสาวตะโกนถาม แม่...แกงส้มใส่กะปิหรือเปล่า ? ปรากฎว่าแม่ไม่ใช่หลวงปู่ไม่เงียบหรอก เสียงตอบมาลั่นเลย อีห่า ถ้ากูตาย มึงจะถามใคร ? หลวงปู่หันมามองหน้า เณรยิ้ม เณรก้มหน้าดูดินเลย มันก็เหมือนกันนั่นแหละ หลวงปู่ท่านมองลักษณะ ถ้ากูตายห่าแล้วมึงจะถามใคร ? ทำให้ดู แล้วต้องจำ จำแล้วก็เอาไปทำให้ได้ด้วย
              นั่นท่านรู้ขนาดนั้น รู้ว่าเดินไปทางนั้นแล้วจะได้ยินอย่างนั้น เขาจะด่าอย่างนั้น แล้วเณรจะได้รู้ตัว เขาเรียกว่าสอนโดยภาคปฏิบัติ เอาให้มันเจ๋ง ๆ ไปเลย เป็นไงถามแม่หน่อยเดียว แม่อารมณ์เสีย แทนที่จะตอบดี ๆ ด่าส่งไปเลย ตกลงแกงส้มใส่กะปิหรือเปล่า ? แกงส้มใต้ใส่กะปิรึเปล่า...เยื่อเคย เอ่อใส่...ปักใต้ใส่กะปิ ภาคกลางไม่ใส่ ภาคกลางตำพริกแกงเฉย ๆ ถ้าหากว่าลงไปปักษ์ใต้ตอบอย่าง มาภาคกลางตอบอีกอย่าง
              สุขภาพแย่มาก ๆ อาจจะยกเลิกเอาดื้อ ๆ ไม่ไหวจริง ๆ มันคงเป็นที่ไปตั้งใจสอนกรรมฐาน จะเคี่ยวเข็ญเขานั่นแหละ มารมันรู้ ตัวเราเองจะหนีให้พ้นมัน มันก็เกลียดขี้หน้าพอแล้ว ยังจะสอนคนให้พ้นมันอีกตั้งเยอะแยะ มันก็เลยสอยซะ ของเราก็ทำไปแค่หน้าที่ มีแรงก็ทำ ไม่มีแรงก็แล้วไป
              การที่เราล่วงเกินด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจ จะเจตนาหรือไม่เจตนาก็ตาม ถือว่าเป็นการปรามาสพระรัตนตรัย ตัวอย่างดูแค่สุปปพุทธกุฏฐิ ฟังเทศน์พระพุทธเจ้าแล้วท่านเป็นพระโสดาบัน พระอินทร์ก็เลยไปลองใจ การลองใจของพระอินทร์ ท่านไปแสดงให้เห็นชัดเลยว่า ท่านเป็นพระอินทร์ ท่านบอกว่าสุปปพุทธะ ถ้าเธอพูดตามเราว่า เราจะบันดาลให้เธอหายจากโรคเรื้อนและจะให้ร่ำรวยเป็นมหาเศรษฐีด้วย สุปปพุทธะแกเป็นขอทาน ลำบากมานานนี่ เป็นโรคเรื้อนด้วย แกก็สนใจ ก็ถามว่าจะให้พูดว่าอย่างไรล่ะ ? บอกว่าพูดแค่ว่า พระพุทธไม่ใช่พระพุทธ พระธรรมไม่ใช่พระธรรม พระสงฆ์ไม่ใช่พระสงฆ์ แค่นี้แหละพอ สุปปพุทธะไล่เตลิดเลย อัปเปหิ พระอินทร์ถ่อยจงถอยไป ขึ้นชื่อด้วยการปรามาสพระรัตนตรัยด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจของเราโดยเจตนาจะไม่มีอีกแล้ว พระอินทร์ท่านถึงได้โมทนา เพราะมั่นใจว่าเป็นพระโสดาบันแน่ พูดแค่นี้ถือว่าเป็นโทษแล้ว คนยิ่งใจละเอียดมากเท่าไรก็ยิ่งเป็นโทษเท่านั้น
              อย่างว่าพระนางปชาบดี โคตมี ก่อนที่ท่านจะปรินิพพานท่านก็ไปทูลลาพระพุทธเจ้า พระนางปชาบดีนิพพานอายุ ๑๒๐ ปี พระพุทธเจ้าอายุ ๘๐ นะ ท่านบอกว่า ท่านเองอบรมเลี้ยงดูพระพุทธเจ้ามาก็จริง แต่ว่าในช่วงที่ท่านปรารถนาความเป็นภิกษุณี พระพุทธเจ้าตรัสห้ามแล้ว ท่านก็ยังทูลขอพระพุทธเจ้าห้ามถึง ๓ ครั้งไม่ให้บวช ท่านก็ยังตื๊อเดินทางตามไป เพื่อตื๊อจะบวชอีก อันนี้เป็นโทษ ดังนั้นท่านกราบขอขมา ก่อนที่จะนิพพานท่านอยากไปแบบบริสุทธิ์จริง ๆ พระพุทธเจ้าท่านก็กล่าวให้อภัยว่าไม่ได้ถือโทษโกรธเคืองกัน
              ขนาดตื๊อทำความดี ยังเป็นโทษเลย คนยิ่งจิตละเอียดมากเท่าไรจะยิ่งมองเห็นโทษชัดเท่านั้น ดังนั้นส่วนที่เราทำ ๆ ไป ปัจจุบันนี้อาจจะเห็นว่าไม่เป็นโทษ แต่ถ้าเราก้าวไปสู่จุดที่ละเอียดกว่านี้ เราจะเห็นชัดเลยว่ามันเป็นโทษอยู่ ถ้าถามว่าดีไหม ? อืม...มันดี แต่มันดีไม่หมด มันถูกไหม ? ถูก แต่มันถูกไม่หมด ก็เลยยังมีส่วนผิดอยู่
              คราวนี้คนที่จิตละเอียด ส่วนผิดแม้แต่เล็กน้อยเขาถือว่าผิดมาก ในเมื่อผิดมากก็ต้องมีการขอขมาพระรัตนตรัย พระนางปชาบดีโคตรมี ท่านนิพพานตอนอายุ ๑๒๐ ปี พระพุทธเจ้าปรินิพพานอายุ ๘๐ ปี ลองหักกลบลบล้างเท่าไร ๔๐ ปี ท่านนิพพานก่อนพระพุทธเจ้า ๑ ปี เพราะฉะนั้นอายุต้องห่างกัน ๔๑ ปี ในเมื่อห่างกัน ๔๑ ปี ท่านเป็นน้า แล้วแม่พระพุทธเจ้าคลอดพระพุทธเจ้าตอนอายุเท่าไร ตีเสียว่าอย่างไม่มีก็ต้อง ๔๒ ปีใช่ไหม เพราะต้องท้อง ๑๐ เดือน ก็สงสัยว่าทำไมแก่ปานนั้น
              ปรากฎว่าไปอ่านเจอในมธุรัตถวิลาสินีอรรถกถาพุทธวงศ์ กล่าวว่า ปกติมารดาของพระโพธิสัตว์ที่จะตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า จะทรงครรภ์พระโพธิสัตว์เมื่ออายุประมาณ ๕๐-๗๐ ปี เรื่องของบุญนะ อายุมากขนาดนั้น ท่านไม่แก่ สาวพริ้งอยู่เป็นปกติ เหตุที่เป็นดังนั้นเพราะว่า ถ้าหากทรงครรภ์พระโพธิสัตว์ที่จะตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าแล้ว ก็ถือว่าบุคคลอื่น ๆ ไม่สมควรที่จะมาตีเสมอด้วยการที่เกิดในครรภ์นั้นอีก ก็เลยจะต้องตายภายใน ๗ วันทุกคน
              เมื่อเป็นดังนั้นก็ให้อยู่นานหน่อย อายุ ๖๐-๗๐ ปีก็อยู่ได้ ถึงเวลาคลอดแล้วค่อยตาย ของเราขี้สงสัย สงสัยมานานถ้าค้นไม่เจอไม่เลิก บังเอิญค้นเจอ พวกเราไม่ค่อยขี้สงสัยหรือสงสัยก็ไม่เป็นเรื่องเป็นราวไปเลย
      ถาม :  ถ้าในสมัยอายุเป็นหมื่น ๆ ปี ?
      ตอบ:   ก็คงจะช่วงนั้นแหละ อาจจะประมาณ ๕,๐๐๐-๗,๐๐๐ ปี
      ถาม :  ตอนพระพุทธเจ้าประสูติเดิน ๗ ก้าว หมายถึงเดินทางไป ๗ แคว้น ไม่ได้ก้าวจริง ๆ
      ตอบ:   เดินจริง ๆ จ้ะ เดินแบบเกรงใจมากด้วย ยังดีที่ไม่ย่ำต๊อกไปทั่วชมพูทวีปก่อน คนเขาทำไม่ได้ ก็เลยพยายามดึงพระพุทธเจ้าลงมาให้เป็นคนธรรมดาทั่วไป พระโพธิสัตว์ที่สร้างบารมีมาต่ำสุด ๔ อสงไขยกับแสนมหากัป ความสามารถของท่านเกินกว่าที่เราจะคิดถึง อรรถกถาท่านอธิบายไว้ว่า สัตว์บางเหล่าเมื่อจุติ คือ เคลื่อนลงจากที่เดิมเพื่อไปที่อื่น เมื่อจุติรู้ตัว เมื่อลงสู่ครรภ์ไม่รู้ตัว เมื่ออยู่ในครรภ์ไม่รู้ตัว ต่อจนคลอดออกมาจึงรู้ตัว สัตว์บางเหล่าเมื่อจุติรู้ตัว เมื่อลงสู่ครรภ์รู้ตัว เมื่ออยู่ในครรภ์ไม่รู้ตัว ต่อเมื่อคลอดออกมาจึงรู้ตัว แต่สัตว์บางเหล่าเมื่อขณะจุติรู้ตัว เมื่อเคลื่อนลงสู่ครรภ์รู้ตัว เมื่ออยู่ในครรภ์รู้ตัว เมื่อคลอดออกมารู้ตัว
              คราวนี้การที่ท่านรู้ตลอด พัฒนาการของท่านก็เลยไม่มีการโดนสกัดขัดขวาง ทุกอย่างทำได้เป็นปกติ เพราะฉะนั้นที่ท่านบอกว่า เกิดมาแล้วเดินได้ ๗ ก้าว เปล่งอภิสวาจาว่าเราเป็นผู้เลิศที่สุดในโลก เราเป็นผู้ที่เจริญที่สุดในโลก เราเป็นผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก ชาตินี้เป็นชาติสุดท้ายของเรา ขึ้นชื่อว่าการเกิดไม่มีสำหรับเราอีกแล้ว ถ้าคนที่มีสติรู้ตัวอยู่ตลอด พัฒนาการไม่โดนขัดขวางไป ก็ทำได้อยู่แล้ว แล้วเรื่องเดินก็ยิ่งหมู ๆ ใหญ่ แต่คราวนี้เขาไม่เชื่อตรงจุดนี้ แล้วก็ไม่รู้ รู้ไม่ถึงตรงจุดนี้ เขาก็ปฏิเสธ มันก็เรื่องปกติ ตัวใครตัวมัน เราก็เลือกทางไปของเรา เขาก็เลือกทางไปของเขา