ช่วงแรกของเล่ม "๔ สุดยอดเมืองพม่า"

สนทนากับพระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
เดือนมกราคม ๒๕๔๗(ต่อ)
ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ

      ถาม:  ด้วยเหตุนี้เพชรคำหยาด (ไม่ชัด)
      ตอบ:   ก็มันน่าจะเป็นเทวดาที่ท่านรักษา แทนที่จะประเภทว่าได้บูชาพระธาตุ ท่านเองท่านก็ได้บุญได้อานิสงส์ด้วยก็ดันผ่าเอาไปให้ใครก็ไม่รู้ พระเจ้าอโศกมหาราชท่านถึงแม้จะฆ่าพี่ ฆ่าน้อง ก็เพราะว่าถ้าไม่สู้ตัวเองก็ตาย เพราะว่าท่านเป็นคนโปรดของพระราชบิดา พี่ ๆ น้อง ๆ เจ็ดแปดสิบคนเห็นว่าถ้ารายนี้ยังอยู่ตัวเองไม่มีสิทธิ์ได้ราชสมบัติแน่ ก็เลยยกทัพจะจับฆ่าเสีย
              ท่านเองท่านก็ไม่ได้เจตนาอะไรหรอก ก็ตั้งใจแค่ว่าสู้แค่ตาย แต่ปรากฎว่าสู้แล้วชนะ พอปราบดาภิเษกขึ้นเป็นพระเจ้าแผ่นดิน ท่านก็รู้ว่าท่านฆ่าคนเอาไว้เยอะ เพราะว่าตอนรบชนะแล้ว ได้ยินเสียงเด็กร้องก็ไปดู ปรากฎว่าเด็กได้รับบาดเจ็บจากอาวุธโดนทอดทิ้งอยู่กลางสนามรบ ท่านก็สลดใจ ว่าทุกคนก็ล้วนแล้วแต่มีลูกมีเมียเหมือนกัน ทุกคนก็รักสุขเกลียดกลัวความเจ็บปวดเหมือน ๆ กัน แล้วนี่เราฆ่าไปนับไม่ได้เลย เฉพาะพี่น้องต่างแม่ฆ่าไปตั้งแปดสิบ ท่านสลดใจขึ้นมาว่าทำอย่างไรเราจึงจะล้างบาปหนักนี่ได้ ก็ไปกราบปรึกษาพระ พระท่านก็แนะนำให้ว่าต้องทำการทำนุบำรุงพุทธศาสนา
              ปรากฎว่าการทำนุบำรุงพุทธศาสนาท่านก็ฆ่าไปบานเบอะอีก สมัยนั้นเดียรถีย์ปลอมบวชมาเยอะ พอเห็นพระเจ้าอโศกมหาราชทำนุบำรุงพุทธศาสนาพระกินดีอยู่ดี นิกายอื่นมันก็ผอมกะหร่องไปตาม ๆ กัน ก็ปลอมเป็นพระเข้ามา เขาเห็นจีวรก็ให้ ๆ มันก็อ้วนไปตาม ๆ กันแล้วก็ทำชั่ว พอมีการร้องเรียนมากขึ้น ๆ ก็เลยมการทำสังคายนาพระวินัย กวาดพระทั้งหมดมารวมกันไว้ เรียกออกมาทีละคน เอาพระที่มั่นใจว่ารู้ธรรมแน่ ๆ มาเป็นพยาน ถามเรื่องคำสอนพระพุทธเจ้า องค์ไหนตอบได้รอด ใครตอบไม่ได้ก็หัวขาดอยู่ตรงนั้น เขาบอกจีวรที่จับถอดออกกองเป็นภูเขาย่อม ๆ เลย พอเห็นว่าเอาจริง พวกยอมถอดจีวรเผ่นกันเยอะกลัวตาย
              สังคายนาพระไตรปิฎกเสร็จเรียบร้อยก็ยังสืบหาทั่วชมพูทวีปขุดหาพระบรมสารีริกธาตุเก่าทั้งหมดขึ้นมา แล้วสร้างเจดีย์ทั่วชมพูทวีป ๘๔,๐๐๐ องค์บรรจุพระบรมสารีริกธาตุถวายเป็นพุทธบูชา แล้วตัวท่านเองก็เอาสำลีพันตัว เอาน้ำมันราดแล้วก็จุดไฟเผาถวายเป็นพุทธบูชา สายตาเพ่งจดจ่อพระเจีดย์ที่สร้างถวายด้วยความปิติ ตลอด ๗ วันกว่าไฟจะดับ ปรากฏว่าไม่เป็นอะไรเลย อำนาจบุญรักษาเอาไว้ได้ นั่นแสดงว่าท่านต้องได้ฌานสมาบัติด้วย ถ้าไม่ได้ฌานสมาบัตินี่ไหม้เกลี้ยงแน่ ๆ กำลังของฌานจะป้องกันอันตรายต่าง ๆ ได้ทั้งหมด
      ถาม :  ต้องฌานระดับไหนถึงป้องกันได้ ?
      ตอบ:   ต้องบอกว่า อัปนาสมาธิ ตีซะว่าฌาน ๔ แล้วกัน มีพระพุทธเจ้าองค์หนึ่งชื่อว่า สมเด็จพระมังคะละสัมมาสัมพุทธเจ้า (ไม่ชัด) ท่านมีพระรัศมีกายแผ่ไปเป็นหมื่นธาตุ องค์โน้นสิบวา องค์นี้ยี่สิบวา องค์นั้นครึ่งโยชน์ องค์นี้หนึ่งโยชน์ องค์นี้แผ่ไปทั้งหมื่นโลกธาตุ สัตว์ทั้งหมื่นโลกธาตุ ไม่จำเป็นต้องอาศัยแสงเดือนแสงตะวัน อาศัยพระรัศมีท่านอย่างเดียวกำหนดเวลากลางวันกลางคืนด้วยการหากินของสัตว์ ด้วยการบานของดอกไม้ ดอกไม้บานสัตว์ออกหากินก็เช้าแล้ว ถึงเวลาสัตว์มันกลับรัง ดอกไม้มันหุบก็ค่ำแล้ว แต่มันสว่างเหมือนกันหมด แล้วก็ไม่ใช่สว่างแค่ชั่วครั้งชั่วคราวแบบองค์อื่น ของท่านสว่างตลอดเป็นนิตย์
              ในอดีตท่านก็ลักษณะเดียวกับพระเจ้าอโศกมหาราช ใช้ตัวเองเป็นไส้ประทีบ คือเอาพวกผ้าพวกสำลีพันตัวเองแล้วราดน้ำมันจุดไฟเผาถวายเป็นพุทธบูชา ท่านไม่ได้ประเภทยืนเฉย ๆ เหมือนพระเจ้าอโศกมหาราช ท่านเดินจงกรมรอบเจดีย์ด้วย กะว่าล้มตายตรงไหนก็เอาตรงนั้น
              แต่ปรากฎว่าตลอด ๗ วันไม่เป็นอะไรเลยเหมือนกัน อานิสงส์ตัวนี้ก็เลยทำให้เวลาท่านสำเร็จพระสัมมาสัมโพธญาณแล้ว พระรัศมีแผ่ไปทั้งหมื่นโลกธาตุยันกลางวันและกลางคืนให้สว่างเสมอกันหมด ถวายบูชาด้วยแสงสว่าง ถวายบูชาด้วยของหอม แสงสว่างนี่จะมีส่วนของทิพจักขุญาณด้วย แสดงว่าทิพจักขุญาณของสมเด็จพระมัคะละสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านนี้ประเภทรู้แจ้งแทงตลอดไม่มีอะไรปิดบังได้เลย เล่นเผาตัวเองเลย
              แต่นี่แน่ ๆ ก็คือ พระพุทธเจ้าจะต่างด้วยประมาณ คือ ขนาดร่างกาย ต่างกันด้วยพระรัศมี ต่างกันด้วยตระกูล ต่างกันด้วยยานพาหนะที่ออกบวช ต่างกันด้วยประมาณของบัลลังก์ ต่างกันด้วยไม้ตรัสรู้ จะมีความแตกต่างกันอยู่ว่าต่างกันตรงไหน นอกนั้นแล้วความสามารถก็คือรู้แจ้งเจนจบเหมือนกัน
      ถาม :  ..................................................
      ตอบ:   เรื่องหลวงพี่โอ ฉันลำโพงใครรู้มั่ง เรื่องกรรมมันบังจริง ๆ ช่วงนั้นทางวัดยังทำยาพระประทานอยู่ จะมีส่วนประกอบส่วนหนึ่งก็คือลำโพงกาสลัก หนัก ๑ ชั่ง ลำโพงกาสลัก จะไม่เหมือนดอกลำโพงทั่ว ๆ ไป คือ ดอกจะเป็นสีม่วง
              คราวนี้โยมก็เห็นพระไปเสาะแสวงหาอยู่มันลำบาก บ้านเขามีลำโพงกาสลักก็เลยแกะเอาเมล็ดแห้งใส่ขวดเอามาให้ แหมเม็ดมันเหมือนเมล็ดพริกเปี๊ยบเลย พอเอามาถวาย หลวงพี่โอก็เอาวางไว้ข้างตัว มันวันงาน พอถึงเวลาฉันเพล ก็อย่าลืมว่าวัดท่าซุงนี่ก๋วยเตี๋ยวเป็นหลักใช่มั้ย ? พอถึงเวลาฉันเพลก็ยกก๋วยเตี๋ยวมาให้ หลวงพี่โอก็มองซ้ายมองขวา เห็นลำโพงเป็นพริกไปได้ ก็เทใส่ บอกแปลกใจเหมือนกัน ทำไมพริกมันมีแต่เม็ดวะ ? แต่ก็ไม่ได้แปลกใจมากเพราะโซ้ยซะเรียบแล้ว ไปรู้ตัวอีกทีตอนอยู่โรงพยาบาล แล้วเพื่อนพระล้อมอยู่เต็มไปหมด ถามว่าเป็นอะไร ? พี่ฉันลำโพงเข้าไป เอ๋อไปเลย ไม่รู้เรื่องอะไรเลย
              นั่นยังดีนะ ถ้าไม่ใช่ว่าเรื่องอยู่กับหลวงพ่อมา รับรองได้ว่าบ้าแน่ ๆ เพราะหมาเผลอไปกินเม็ดลำโพงเข้าไปกลายเป็นหมาบ้าหมด คนไปกินลำโพงเข้าก็บ้ามั่ง แต่อันนั้นสารพัดของหลวงพ่อทำให้ ทั้งกัน ทั้งแก้ ก็เลยรอดไปได้
              ของอาตมาเองตอนนั้นเป็นมาลาเรียอยู่ มันได้ยาตัวใหม่มาพอดีชื่อเมฟาควินเคยได้ยินมั้ย ? ยาตัวใหม่ออกมาหมอนพพรรีบวิ่งโร่บอกเลย หลวงพี่ ตัวนี้เจ๋งมากอยู่หมัดเลย โอเค เจ๋งก็เจ๋งว่ะ คราวนี้ตัวยาเขาบอกว่าถ้าน้ำหนักไม่ถึง ๖๐ กิโล ให้กิน ๑ เม็ด เม็ดเดียวครั้งเดียว ไม่ใช่ครูปราณีนะ นั่นเล่นวันละเม็ด ๆ ล่อไป ๑๐ กว่าเม็ด แล้วก็บอกหลวงพ่อ หนูเดินไม่ตรงทางเลย เป็นอะไรก็ไม่รู้ นั่นไม่ตายก็บุญแล้ว พาซื่อขนาดนั้น ถ้าน้ำหนักเกิน ๖๐ โล ให้กิน ๓ เม็ด หมอนพพรมาถึงก็เทปุ๊บ ๓ เม็ดให้เลย เราเองจะส่งยาเข้าปาก เสียงท่านย่า บอกชัด ๆ เลย กินไม่ได้นะลูก เราก็เอ๊ะ! ทำไมกินไม่ได้ หมอเขาก็ให้มาแล้ว เขาก็ยืนอยู่ตรงหน้าเลย กินเหอะ อึ๊บเข้าไป คุณเอ้ย อาเจียนเป็นถังเลย มันเหมือนกับพวกเมารถ เมาเรือ หรือแผ่นดินมันหมุนไม่รู้จับจบ แล้วแสบที่สุดก็คือว่า ตัวยามันแตกตัวแบบฮาล์ฟไลฟ์ ทุกเวลาที่บรรจบเจ้ามามันจะออกฤทธิ์เท่าเดิมตลอด ๓๓ วัน
      ถาม :  จริง ๆ ถ้ากินพอเหมาะนี่มันน่าจะเป็นยาที่ดี
      ตอบ:   ดี...ก็ขนาดคนมันยังจะตาย แล้วเชื้อโรคมันจะไม่ตายได้ไง คราวนี้หมอเขาบอกว่าเขากะผิด เห็นเราสูงขนาดนี้น้ำหนักน่าจะถึง ๖๐ แกไม่รู้หรอกว่าน้ำหนักแค่ ๕๔ แกก็เทมา ๓ เม็ดเลย ปรากฎว่างานนั้นนี่ประเภททั้งยาฉีด ยากินแก้อาเจียนสารพัดหมอระดมเข้าไป น่วมสนิท พอตอนหายไปดูกูทำอะไรมาว้า ถึงเจออย่างนี้ เอาเหล้าให้ช้างกิน ต้องกรอกมันให้ครึ้ม ๆ หน่อยมันจะได้กล้าออกไปรบ ไม่งั้นเวลาเสียงปืน เสียงโห่ เสียงแห่อะไรมันดัง ๆ มันจะกลัว กรอกไปตัวหนึ่งไม่กี่ไหเอง (หัวเราะ) เจอเข้าไปเต็ม ๆ เมาไป ๓๓ วัน
              ตอนนั้นดีที่สุดเลย รู้เลยว่าตัวเองมีสติแค่ไหน ขนาดบังคับร่างกายไม่ได้ สติมันทรงเปรี๊ยะเลยนะ ถึงเวลาค่อย ๆ คลำไปจะไปห้องน้ำ บางทีเกาะข้างฝาก็เซแท่ด ๆ รูดจะล้มกับพื้น เดิน ๆ ไปหน้ามืดนี่รู้ตัวรีบนั่งก่อน สติมันดีจริง ๆ เลย คนใกล้ตายมันน่าจะเป็นอย่างนั้นทุกคน สติดีมากเลยไม่มีอะไรเป็นที่พึ่งแล้ว นี่จะตาย เกาะพระไว้ก่อน อะไร ๆ ที่อยู่ในท้องมันอาเจียนออกมาเกลี้ยงเลย น้ำเพิ่งจะดื่มเข้าไป ก็ออกมาเดี๋ยวนั้นอ่ะ
      ถาม :  ทำไมถึงชื่อ นางพญา ทำไมไม่ นายพญา ?
      ตอบ:   สมัยก่อนเขาขุดกรุได้ที่วัดนางพญา พิษณุโลกโน้น ตั้งแต่นั้นมาพระรูปแบบนี้เขาก็เลยเรียกว่า สมเด็จนางพญามาตลอด รู้จักวัดนางพญามั้ย ? ถ้าไม่รู้จักตรงไปวัดหลวงพ่อพุทธชินราช แล้วออกไประตูหลังก็ประตูวัดนางพญาพอดี หาง่ายมั้ย คนไม่รู้หากันตายเลย
      ถาม :  นางพญานี่คือทรงแบบสามเหลี่ยมใช่มั้ยคะ ?
      ตอบ:   ใช่จ้ะ
      ถาม :  แล้วมีบทอาราธนา หรือเปล่าคะ ?
      ตอบ:   มีจ้ะ อาราธนา ก็คาถาหลวงพ่อล่ะจ้ะ อิทธิฤทธิ พุทธนิมิตตัง ระยะนี้กฎของกรรมสั่งอะไรคนจะทำตรงข้ามทุกอย่าง เริ่มตั้งแต่เช้ามืด สั่งพวกเด็กวัดให้เตรียมกะละมังไปหลาย ๆ ใบ เอาใส่รถปิ๊กอัพไปแล้ว ไปจอดรอที่หน้าป้อมตำรวจ พอถึงเวลาบิณฑบาตรรอบตลาดจะเดินออกมาตรงนั้นพอดี ก็จะได้เทข้าวใส่ลงไปในกะละมังแล้วตัวเราก็จะได้แบกบาตรเปล่าไป เพื่อไปเตรียมบิณฑบาตพวกอาหารแห้งต่อ
              ก็ปรากฎว่า พอถึงเวลาบิณฑบาต เด็กทั้งหมดดันเอากะละมังไปไว้ตรงจุดที่พระจะเริ่มบิณฑบาตอาหารแห้ง แล้วก็ล่อยรถเปล่า ๆ ทิ้งเอาไว้ที่ข้างป้อมตำรวจ โอเค ไม่ว่ากัน รักษาอารมณ์ใจของเราให้ผ่องใสไว้ บอกมันวิ่งไปเอามา มันก็วิ่งตับแลบไปเอามา เทข้าวเสร็จ เราก็บอกกับเขาว่า เอาข้าวกับอาหารทั้งหมดที่ได้ไปลงไว้ที่โรงครัววัด เสร็จเรียบร้อยแล้ว เอารถมาจอดรอที่หน้าสาธารณสุขที่พระจะไปนั่งรออยู่ โดยเฉพาะใกล้ ๆ เราเข้าไว้ เพราะคนจะใส่เยอะเป็นพิเศษ ถึงเวลาพระตั้งแถว รถอยู่ไหนหว่า ถามเด็กวัดบอกอยู่หน้าป้อมตำรวจครับ บอกวิ่งตามมันมา ก็วิ่งตามมันมา มาถึงนู้นจอดอยู่ลิบ ๆ โน้น ก็บอกว่าไปบอกมันว่าถ้าหากพระเริ่มเดินให้ขับรถขนาบข้างมา พอพระเริ่มเดินมันรอเขาวิ่งคั่นมา ๕ คัน แล้วมันค่อยเริ่มขยับ
              ทีนี้เด็กวัดมันก็ตายซิ ช่วงรถต่อกัน ๕ คัน ก็ต้องเว้นช่วงด้วย มันเป็นระยะไกลเท่าไหร่ล่ะ รับของจากเราแล้วต้องวิ่งไปใส่รถ แล้วต้องวิ่งกลับมารับ สนุกมั้ยล่ะ สถานการณ์อะไรก็ตามรักษาใจให้ผ่องใสเข้าไว้
      ถาม :  สิ่งใดที่เป็นอุปฆาตกรรมนี่ เราจะแก้ไขได้มั้ยครับ ?
      ตอบ:   ถ้าหากว่ามั่นคงในทาน ศีล ภาวนา กรรมเก่าจะตามสนองได้ไม่เกิน ๒๕ เปอร์เซนต์ วิธีจะแก้ก็คือว่า อันดับแรก สร้างกรรมดีให้มันสูงเข้าไว้ โดยเฉพาะเรื่อง ทาน ศีล ภาวนา ที่เป็นบุญใหญ่ อันดับที่สอง สร้างฌานสมาบัติให้เกิดเข้าไว้ เพื่อจะได้มีกำลังหนีเขา อันดับที่สามก็คือ เลิกคิดอยากจะไปเกิด ไปนิพพานซะเลยมันก็จบ เลือกเอาว่าจะเอาระดับไหนดี
      ถาม :  เอารวยก่อน (ไม่ชัด)
      ตอบ:   จ้า...มันคงจะได้ไปหรอกอยากจะบอกเหลือเกินว่า อาตมาเองโดนท่านย่าว่า ไอ้หน้าอย่างมึง ถ้ารวยก็เลว ท่านบอกว่ากำลังใจของเรามันหนักไปด้านเดียว ถ้าปล่อยให้รวยเต็มที่เต็มบุญของเราไม่ได้เข้าวัดหรอก มันไปซ่าส์อยู่ที่ไหนก็ไม่รู้
      ถาม :  จะรวยขนาดไหนคะ ถ้าผลของทานสนอง ?
      ตอบ:   ไม่รู้จ้ะ อาตมาไปก็ไปต่อว่าย่าครับ ผมไปแอบดูบุญเก่าตัวเองมาแล้ว ให้ผมเป็นพระเจ้าจักรพรรดิยังไม่พอเลย ชาตินี้ให้ผมแค่เนี้ย (หัวเราะ) ท่านถึงได้พูดใส่หน้าว่า ถ้ามึงรวยก็เลว ก็ใช้อดีตังสญาณย้อนไปดูซิว่าเราทำอะไรมามั่ง
      ถาม :  ทำไมคนอื่นเขารวยเอา ๆ
      ตอบ:   ก็เพราะเขารวยแล้วไม่เลวไงล่ะ ดูนิสัยของเราซิ ว่านิสัยของเรารวยแล้วจะเป็นอย่างนั้นจริงมั้ย รับรองได้ มันไม่ได้ใกล้วัดเลยล่ะ หันหลังเข้าวัดตลอด
      ถาม :  จริง ๆ แล้วพวกเราต้องรวย ใช่มั้ยคะ ?
      ตอบ:   เริ่มด้วยทานบารมี มันต้องรวยทั้งนั้น ถ้าหากว่าหมดอยากเมื่อไหร่มันจะรวยทันที รับรองว่าไหลมาเทมา อย่างอาตมาตอนนี้นะ อย่ามาเลยกูไม่อยากได้ มาเมื่อไหร่กูเหนื่อยเท่านั้น มันก็ยิ่งมา
      ถาม :  (ไม่ชัด) ความหมายของอสทิสทาน
      ตอบ:   อสทิสทาน คือ ทานที่ไม่มีใครสามารถเปรียบได้ที่จะถวาย อย่างเช่น พระนางมัลลิกาเทวี ท่านทำ ใช้เจ้าหญิง ๕๐๐ ไหวมั้ย ? ๒ องค์ ปรนนิบัติพระ ๓ องค์ ใช้ช้าง ๕๐๐ เชือก เพื่อกั้นกลดถวายพระ เจอเข้าไปสองห้าร้อยเราก็หมดแล้ว ถ้าไม่ใช่ยิ่งใหญ่ระดับพระมหากษัตริย์หรือโคตรมหาเศรษฐีถวายไม่ได้หรอก ที่ท่านทำได้เพราะว่าท่านมีเจ้าหญิง ๕๐๐ (หัวเราะ) ชาวบ้านจะไปเอาที่ไหนล่ะ เจ้าหญิง ๕๐๐
              อสทิสทาน คือทานที่ไม่มีใครเปรียบได้ อย่างสมัยพระสีวลี ที่ท่านเป็นคนตัดฟืนก็เหมือนกัน อันนั้นชาวบ้านกับพระราชาแข่งกันถวายทานใช่มั้ย ? ใครจะทำได้ดีกว่า พอไปเห็นทานของเขาประณีตกว่ามีอะไรมากกว่า เดี๋ยวงวดต่อไปเราต้องหาให้เยอะกว่านั้น หาไปหามางานสุดท้ายกะเอาชนะพระราชาให้ได้ก็ว่ามันทุกอย่างเลย แหมดันไปขาดน้ำผึ้งสดซะได้ ที่คั้นแล้วนาน ๆ นั้นมี แต่น้ำผึ้งสดคารวงอยู่มันไม่มี พระสีวลีท่านเป็นคนตัดฟืนก็บังเอิญไปจ๊ะเอ๋รังผึ้งเข้า
              ท่านเองวันนี้ท่านก็จะเข้าเมืองอยู่แล้ว เดี๋ยวเอาไปฝากสหายเรา ก็ตีผึ้งไป ปรากฎเศรษฐีก็ให้คนถือเงินไปนั่งรอที่ประตูเมืองด้านละ ๑๐๐๐ กหาปณะ ประตูเมืองทั้ง ๔ ทิศ คนไหนมาแล้วถือรวงผึ้งมาก็ให้ขอซื้อเขา บอกว่าให้ราคาสูงสุดได้ถึง ๑๐๐๐ กหาปณะ พอพระสีวลีถือรวงผึ้งมา คนก็เข้าไปขอซื้อให้ ๑ กหาปณะ ท่านได้ยินก็แปลกใจ ก่อนหน้านั้นแพงมาก ๑ กหาปณะ เท่ากับ ตำลึงทอง ๔ บาท สมัยนั้นก็เทียบราคาตำลึงทอง เท่ากับ ๔ บาททองคำ ท่านก็แปลกใจ
              คราวนี้ท่านเป็นคนมีปัญญา รู้ว่าของไม่แพงขนาดนี้ให้แพงขนาดนี้ก็โก่งราคา บอกราคาแค่นี้ไม่ขาย เค้าก็ให้ ๒,๔,๘,๑๖ กหาปณะ ไล่เข้าไปจนถึง ๑๐๐๐ ก็ไม่ขาย แต่แปลกใจมาก ถามว่าจะเอาไปทำอะไรให้แพงขนาดนี้ ชาวบ้านก็เล่าให้ฟัง เจ้านายของเราจะทำบุญแข่งกับพระราชา งานนี้พระราชาต้องแพ้เราแน่ เพราะเรามีของครบทุกอย่าง แต่ขาดอยู่อย่างเดียวก็คือ น้ำผึ้งสดจากรวงที่ท่านมีอยู่ถึงได้ขอซื้อ ท่านบอกว่า ถ้าอย่างนั้นไม่ขายหรอก แต่ถ้าอนุญาตให้ร่วมบุญด้วย ก็จะเอาน้ำผึ้งสดจากรวงถวายร่วมบุญด้วย เขาก็บอกว่าถ้าอย่างนั้นต้องไปถามเจ้านายเราก่อน พอไปถามมหาเศรษฐี ท่านก็ตกลงยินดีด้วย พระสีวลีท่านก็นำเอารวงผึ้งไปคั้นน้ำ ไม่น่าเชื่อว่าน้ำผึ้งที่คั้นออกมาไม่ทราบเหมือนกันว่าเทวดาท่านช่วยอีท่าไหน มีจำนวนพอถวายพระภิกษุสงฆ์ทั้งแสนรูป
              คราวนี้กองทานของเขานั่น มันขาดอยู่อย่างเดียวก็คือน้ำผึ้งสดจากรวง พระสีวลีท่านไปทำบุญปิดท้ายเขาก็เลยกลายเป็นรวบยอด เกิดมากี่ชาติ กี่ชาติ รวยไม่รู้เรื่องเลย ชาติที่ท่านเป็นพระสีวลี ท่านก็เกิดอยู่ในท้องของ พระนางสุปวาสา ปรากฎว่าแม่ท้องตั้ง ๗ ปี ๗ วัน อานิสงส์กรรมเก่า ชาติหนึ่งท่านเป็นพระมหากษัตริย์ไปล้อมเมืองเขาอยู่ ๗ ปี กับ ๗ วัน คลอดออกมาก็โตเป็นหนุ่มเลย
              คราวนี้ก็มีการเชิญเลี้ยงนิมนต์พระเข้าไปในวัง ไปฉัน พระสีวลีท่านออกมาก็ ๗ ขวบกว่า ท่านก็ประเคนของได้เลย พระสารีบุตรก็ถาม เป็นไงกุมารอยู่ในท้องแม่สบายมั้ย ? พระกุมารบอก สบายอย่างไรได้พระคุณท่าน ต้องขดงอก่องอขิงอยู่ ๗ ปีกว่า นั่งเฉย ๆ อย่างเดียวก็เมื่อยจะแย่อยู่แล้ว ก็บอกว่าในเมื่อมันทุกข์ขนาดนี้แล้ว จะบวชมั้ยเล่า ? เพราะบวชแล้วปฏิบัติพ้นทุกข์ได้ พระสีวลีก็บอก ถ้าบวชแล้วปฏิบัติพ้นทุกข์ได้ก็จะบวช ก็ไปถามพระนางสุปวาสา ท่านก็โมทนาด้วยก็ตกลง พระสารีบุตรก็เลยบวชให้ เขาบอกว่ามีดโกนจรดศีรษะครั้งแรกท่านเป็นพระโสดาบัน ครั้งที่สองท่านเป็นพระอนาคามี ครั้งที่สามเป็นพระอรหันต์ไปเลย คนทุกข์มา ๗ ปีกว่า ๆ มันเห็นชัดมากเลย ไม่ต้องเสียเวลาพิจารณามาก
              คราวนี้จุดนั้นก็เลยกลายเป็นว่าชาวบ้านชนะพระราชา พระราชาหาของไม่ได้เยอะขนาดนั้น ก็เลยกลายเป็นอสทิสทาน ท่านที่ไม่มีใครเขาเปรียบได้ แต่แปลกมาก การถวายอสทิสทานหัวหน้าทีมต้องเป็นผู้หญิงเท่านั้น เป็นผู้ชายอด มีหน้าที่เป็นลูกน้องอย่างเดียว มีหน้าที่วิ่งไปหาของอย่างเดียว จะร่วมบุญจะอะไรก็ได้ แต่ว่าหัวหน้าทีมเจ้ามือใหญ่เป็นผู้หญิง ในศาสนาของสมเด็จพระสมณโคดมของเราก็พระนางมัลลิกาเทวีถวายอสทิสทาน แม่ถวายก็เป็นของเราอยู่แล้ว
      ถาม :  อสทิสทานในศาสนาของเราก็จะมีได้แค่หนเดียว ?
      ตอบ:   หนเดียว
      ถาม:   เพราะจะไม่มีใครทำเทียบได้อีกแล้ว
      ตอบ :  ตัวเองทำอีกก็ไม่ได้ดีกว่านั้น คงจะได้แค่นั้น มันมีเกร็ดขำ ๆ อยู่ตอนหนึ่ง ก็คือว่าเขาหาช้างได้ ๔๙๙ เชือก ขาดอีก ๑ เชือก เป็นช้างตกมันหาไม่ได้ หมดประเทศแล้ว เสร็จแล้วจะทำอย่างไร ก็ไปทูลพระราชา
              คราวนี้พระเจ้าปเสนทิโกศลก็เลยเข้าไปทูลถามพระพุทธเจ้าว่า ช้างตกมันเอามากั้นกลดถวายพระจะมีอันตรายมั้ย ? พระพุทธเจ้าบอกว่า เอาไปกั้นกลดถวายพระองคุลีมาลเถระเถอะ เป็นยังไง มันต้องเจอคนที่สมน้ำสมเนื้อกันหน่อย เขาบอกว่ามหาชนทั้งหลายเห็นว่าช้างนั้นเอางวงจับกลดกั้นยืนนิ่งอยู่เหมือนดั่งรูปปั้น พอถึงเวลาฉันเสร็จ กล่าวอนุโมทนาเสร็จพระจะกลับ ภิกษุที่เป็นปุถุชนก็สงสัยเข้าไปเรียนถามพระมหาเถระว่า รู้สึกอย่างไรที่มีช้างตกมันยืนกั้นกลดให้ พระองคุลีมาลเถระบอกว่า ไม่รู้สึกอะไรหรอก นอกจากว่าเรารักเขา ๆ ก็เลยรักเราด้วย คือท่านแผ่เมตตาเป็นปกติแล้วทีนี้กำลังท่านสูง กระทั่งช้างตกมันรับตัวเมตตาท่านได้ก็เลยหายตกมัน ยืนกั้นกลดเป็นตุ๊กตาไปเลย
              ฟังดูง่าย ๆ ไม่เห็นมีอะไรเลย เรารักเขา เขารักเราก็เท่านั้นเอง ถึงเวลาไปจะแผ่เมตตาก็สั่นพั่บ ๆ แบบวันก่อนที่จับตะขาบนั่นไง (หัวเราะ) ของเราก็มือขวางหน้าแล้วก็ช้อนมันขึ้นมา ให้พวกท่านปิง ไม่มีใครเอาหรอก เผ่นกันหมด ตัวมันใหญ่เกินไป ไม่อยากเสี่ยง ตัวประมาณฟุตหนึ่งได้ ก็ทำให้เขาดูว่าทำไมไม่กลัว ก็เลยบอกว่าจริง ๆ แล้วสัตว์จะทำร้ายคนด้วยสองสาเหตุ สาเหตุแรกก็คือ เรากลัวมัน ถ้าเรากลัวมัน มันเองเป็นเจ้าของสถานที่ ก็จะไล่เราออกนอกเขต ก็จะไล่ทำร้ายเรา แล้วอีกอย่างถ้ามันกลัวเรา มันก็จะป้องกันตัวด้วยการทำร้ายเรา ถ้าเราเข้าหามันโดยไม่กลัวมันแล้วไม่คิดจะทำร้ายมัน มันจะจับอะไรไม่ถูก มันจะเอ๋อไปชั่วคราวให้เราเล่นกับมันได้ อาตมาถึงได้จับงู จับตะขาบ จับแมงป่อง เป็นว่าเล่น จริง ๆ มันมั่นใจอยู่อย่างเรามียันต์เกราะเพชรกัดยังไงก็ไม่ตายอยู่แล้ว แต่ทีนี้คนอื่นไม่อย่างนั้น ไม่ตายก็เจ็บ (หัวเราะ) เขาเลยไม่กล้าเล่นด้วย
      ถาม:   เพราะอย่างนี้พระถึงได้ธุดงค์ ?
      ตอบ :  จริง ๆ ก็คือว่าไปในถิ่นที่ทอันตรายต่าง ๆ จิตจะมีสภาพตื่นตัว แล้วหลังจากที่ฝ่าฟันอันตรายสารพัดสารเพไปทั้งสัตว์ร้าย ทั้งปีศาจ ภูตผี อะไรก็ตาม แล้วจะเห็นว่าจริง ๆ แล้วไม่มีอะไรเกินคุณของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ จิตใจก็จะมายึดมั่นในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นหลัก
              ทีนี้การก้าวถึงพระอริยเจ้า ข้อแรกก็คือ ต้องเคารพพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ จริง ๆ ในเมื่อท่านผจญมาขนาดนั้นแล้ว เคารพจริง ๆ แน่แล้ว เพราะผ่านมาเยอะแล้วนี่ เห็นแล้วว่าจริงแน่ แท้แน่ไม่มีอะไรเหนือกว่านี้แล้วแน่ ๆ ไม่ได้พาพระออกธุดงค์มา ๒-๓ ปีแล้ว มัวแต่ทำงาน ครั้งสุดท้ายไป พาเขาไปนอนในบ้านช้าง ช้างมันมีบ้านของมันนะ พวกเราเคยเห็นกันหรือเปล่า ? โอ้ย มันจัดสถานที่กว้าง เลี่ยน สะอาดเรียบร้อยน่านอนมากเลย ส่วนใหญ่จะเป็นดงไม้ใหญ่ที่ร่มรื่นมาก ๆ แล้วมันก็ดึงหญ้ารวม ๆ กันเป็นวงกลม ๆ กว้างประมาณซัก ๒ เมตร แล้วก็สูงเป็นศอกเลย ตัวหนึ่งก็วงหนึ่ง ที่นอนของมัน
              ช้างเวลานอนถ้าอยู่ในที่ ๆ ปลอดภัยเขานอนกับพื้นนะ เขาไม่ได้ยืนหลับ ถ้าอยู่ในที่ ๆ ไม่ปลอดภัย เขาถึงจะยืนหลับ พาพระไปนอนในบ้านช้าง ทีนี้ก็ชี้ต้นไม้ให้ว่าต้นนี้พอขึ้นได้นะ ของคุณขึ้นต้นนี้นะ พระท่านก็เถียงกันซิ แหม เรามอบกายถวายชีวิตแล้ว ทำไมต้องหนีมันด้วย คุณมอบกายถวายชีวิตแล้ว แต่พ่อแม่คุณไม่ได้มอบให้ผมนี่หว่า (หัวเราะ) ตายขึ้นมาเมื่อไหร่พ่อแม่เขาเอาเราตาย ต้องขอร้องเจ้าพ่อประคุณหนีมันซะหน่อยนะ (หัวเราะ) ไม่ใช่ปล่อยให้มันตึ้บตาย ผมกว่าจะเอาศพไปยืนยันว่าช้างมันเหยียบตายไม่ใช่ผมแอบฆ่าซะเองก็หัวโตพอดี บอกลูกศิษย์เสร็จเรียบร้อย อาจารย์นอนในรอยตีนช้างสบาย เราไม่คิดจะหนีนี่หว่า (หัวเราะ)
              ช้างเวลาเดินเขาจะเดินเป็นทางประจำของเขา ทางมันจะลึก ประมาณหน้าแข้ง ถ้าหากว่าโขลงใหญ่ ๆ เดินก็กว้างเป็นเมตรเลย นอนอยู่ข้างในรอยตีนมันน่ะสบายดี เวลาลมพัดก็ไม่ถูกเรา มันอยู่ในหลุมเป็นซองยาว ๆ ไปเลย ถึงเวลาสอนพระกางกลด ถึงเวลาคุณจะกางกลดมองซ้ายมองขวา มองบน มองล่างให้ดีนะ ข้างบนมันจะมีกิ่งไม้แห้ง กิ่งไม้ใหญ่ อะไรมันตกมาใส่ได้หรือเปล่า ? ข้างล่างมันมีใบไม้ ใบหญ้า มีหลุม มีบ่อ อะไรที่จะซุกซ่อนสัตว์เล็กสัตว์น้อยที่จะเป็นอันตรายหรือเปล่า ? สอนเขาเสร็จเรียบร้อยเราก็กางกลดใต้กิ่งไม้แห้งอันโตเป็นโอ่งเลย แน่จริงก็ทับลงมาซิ (หัวเราะ) มันจะได้สบายซะที ก็เลยต้องกลายเป็นว่า ถึงเวลาคุณทำอย่างที่ผมพูดนะ คุณอย่าทำที่ผมทำนะ ไม่งั้นเดี๋ยวตายฟรี