ถาม:  การปฏิบัติเข้าถึงมรรคผล...
      ตอบ:   เราต้องทำเอง ใครทำใครได้ ทำแทนกันไม่ได้ ภายนอกอย่างพระพุทธเจ้าก็ดี ครูบาอาจารย์ก็ดี พรหมเทวดาก็ดี ได้แต่สนับสนุน บอกวาระบอกเวลาเท่านั้น อย่างเช่นว่า เอ้อ...ตอนนี้จังหวะที่ควรจะได้มรรคผลแล้วนะ กุศลเก่าของเธอกำลังส่ง ให้เร่งปฏิบัติเข้าไว้ หรือควรจะทำอย่างนั้น ควรจะทำอย่างนี้ แต่คนทำจริง ๆ คือตัวเรา ถ้าไม่ทำก็ฝันไปเถอะ คำพยากรณ์เขาว่ากันตามปัจจุบัน ในเมื่อว่ากันตามปัจจุบัน กำลังใจตอนนั้น ถ้าทำอย่างนั้นตลอดไป มันจะได้เมื่อนั้น ถ้าเราเร่งกำลังใจมากขึ้นมันจะได้ก่อน หย่อนกำลังใจลงมันจะได้ทีหลัง จะไปว่าท่านผิดไม่ได้ มันอยู่ที่เราเอง
              จะว่าไปแล้วเรื่องการถือมงคลตื่นข่าว มันเป็นธรรมดาของปุถุชนทั่วไป ใครว่าอะไรที่ไหนดีก็แห่ไปที่นั่น แต่ถ้าเป็นพระอริยะเจ้าตั้งแต่โสดาบันขึ้นไป ท่านรู้อยู่แล้วว่าที่ดีจริง ๆ คือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ในส่วนที่เป็นนามธรรมเท่านั้น นอกนั้นที่แห่ไปอาจจะเจอกายเนื้อล้วน ๆ ซึ่งมันพึ่งพิงอย่างแท้จริงไม่ได้ เดี๋ยวท่านก็ต้องจากไป
              เพราะฉะนั้น พระโสดาบันขึ้นไปจะไม่ถือมงคลตื่นข่าว มีจิตใจมั่นคง พระปฏิบัติดี คนปฏิบัติดีที่ไหน ก็น้อมให้ความเคารพเป็นปกติ แต่ถ้าประเภทที่เรียกว่าจะให้เปลี่ยนครูเปลี่ยนอาจารย์ เปลี่ยนการปฏิบัติของท่าน ท่านไม่เปลี่ยนแล้ว คือเห็นผลแล้วจากการปฏิบัติอย่างนี้ ก็จะทำต่อไป อย่างเช่นว่า วัดโน้นให้หวยดีไปนะ วัดนี้ของขลังดีนะไป
              การปฏิบัติเหมือนกับการกินอาหาร คนเรามันก็ต้องมีอาหารที่ตัวเองถูกใจถูกปาก การปฏิบัติแรก ๆ เหมือนกับว่าเริ่มไปกินอาหารอยู่ ถ้าไม่ถูกปากถูกใจ มันยังไม่มีอาหารใหม่ ไม่มีร้านใหม่ มันก็ทนกินไปก่อน เมื่อทนกินไปรู้ว่ามีร้านใหม่ที่ไหนที่มันดีกว่า ที่รสชาติมันถูกใจมากกว่า เขาจะเปลี่ยนร้านของเขาเอง
              สมัยก่อนที่ปฏิบัติใหม่ ๆ ก็ติคนโน้นว่าคนนี้ สำนักนั้นสอนผิด สำนักนี้สอนไม่ดี สำนักนั้นสอนจึงจะถูก สำนักนี้สอนจึงจะดี แต่ปัจจุบันนี้ ความรู้สึกมันก็คือว่า ใครก็ตามสามารถเอาคนเข้าวัดได้ ใช้ได้ทั้งหมด เพราะว่าอย่างน้อยมันเป็นเชื้อ...ปลูกฝังเชื้อแห่งความดีลงในใจของเขาเหล่านั้น เมื่อถึงวาระถึงเวลา ผลบุญอันนี้ของเขารวมกับผลบุญเก่ามันส่งผลขึ้นมา เขาสามารถก้าวขึ้นไปสู่ระดับที่สูงกว่า เห็นว่าตรงจุดนี้ยังไม่ดีจริง เขาจะไปเสาะแสวงหาตรงจุดที่ดีกว่านั้นเอง เหมือนกับว่าเปลี่ยนร้านไปหาอาหารที่ถูกปากถูกใจตัวเอง ถ้าร้านไหนมันไม่ครบเครื่องครบครันจริง ๆ ถ้าได้ไม่ถูกปากถูกใจท่านก็เปลี่ยนไปเรื่อย พอเจอที่ที่เหมาะสมกับตนเอง คิดว่าจริตของตนเองเหมาะกับอาหารชนิดนี้ และจริตของเราเองเหมาะกับการปฏิบัติแนวนี้ ท่านจะหยุดอยู่ตรงนั้น แล้วก็ตั้งหน้าตั้งตาทำ
              เป็นไงเปลี่ยนร้านบ่อยไหม ? วันนี้มีคนมาสารภาพ บอกว่าเปลี่ยนการปฏิบัติมาจนนับครั้งไม่ถ้วน ไม่ได้ดีสักที มันก็คงจะเจริญหรอกนะ ขุดบ่อจะเอาน้ำ ขุดไปยังไม่ทันจะได้น้ำเลย เปลี่ยนที่ขุดอีกแล้ว เมื่อไรมันจะได้ล่ะ ?
              เพราะฉะนั้นเรื่องของการปฏิบัติ คว้าจุดใดจุดหนึ่งขึ้นมาต้องลุยให้จบไปเลย ถ้ามันจบสักจุดหนึ่งแล้วที่เหลือมันง่าย กำลังใจเท่ากันหมด เปลี่ยนวิธีการเท่านั้นเอง
      ถาม :  ไปในลักษณะเป็นเนื้อนาบุญ
      ตอบ:   ลักษณะนั้นก็ไปทำบุญกับท่าน ให้ท่านเป็นเนื้อนาบุญของเรา พาลูกศิษย์ไปรู้จักของดีบ้าง ถ้าหากว่าเป็นคำสอนแล้ว ถึงเวลาถึงวาระทั้งหมดมันก็จะลงอยู่ในพระไตรปิฎก ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์นั่นแหละ ไม่ไปไหนหรอก
              ธรรมะของเราไม่มี มีแต่ธรรมะของพระพุทธเจ้าเท่านั้น เราเรียนรู้ตรงจุดไหน แล้วชำนาญ ก็ยกตรงจุดนั้นขึ้นมา...เอามาสอน บรรดาคนที่เขาชอบตรงจุดนั้น ปฏิบัตแล้วได้ผลตามนั้น เขาก็ปฏิบัติตาม ๆ กันมา มันก็เลยกลายเป็นสายกรรมฐานต่าง ๆ ขึ้นมา ทั้งที่จริงแล้ว ทั้งหมดก็คือสายพระพุทธเจ้านั่นแหละ ไม่มีที่อื่นหรอก
      ถาม :  ไม่ชัด...ไม่รู้จะเอาธรรมะตรงจุดไหนแก้ปัญหา ?
      ตอบ:   หลวงพ่อท่านถึงได้บอกว่าศึกษาให้ครบ ศึกษาไม่ครบกับมันไม่ทัน เปิดตำรารับไม่ทัน ก็โดนเขาตีหงายท้องไปก่อน เคยฟังประวัติ...ปฏิปทาท่านผู้เฒ่าไหมล่ะ ? หลวงพ่อท่านบอกว่าหลวงปู่ปานให้ท่องวิสุทธิมรรคทั้งเล่มโดยเฉพาะส่วนของกรรมฐาน ๔๐ ต้องจำให้ได้หมดว่ากรรมฐานแต่ละกองนิมิตเป็นอย่างไร คำภาวนาเป็นอย่างไร แต่ละกองมีคุณสมบัติอย่างไร ต่อต้านกิเลสตัวไหน ถึงเวลาจะได้คว้าขึ้นมาถูก
              แต่ว่ามันมีบางอย่าง อย่างที่อาตมาเจอมาเอง มันเป็นเรื่องที่เรานึกไม่ถึง อย่างเรื่องของราคะจริต เราก็คิดว่า เออ...ถ้าเรายังมีราคะอยู่เป็นปกติอย่างนี้น่ะ การสงเคราะห์คนมันก็ลำบาก เพราะมันต้องคอยระวังใจตัวเองเป็นอย่างมาก ก็เลยคิดว่าจะตัดราคะให้ได้ ปล้ำกับอสุภกรรมฐานมาปีแล้วปีเล่า ไม่สำเร็จ แรก ๆ ก็ดูที่ไม่ดี ดูไปดูมาตอนแรกไปใหม่ ๆ ก็อ้วกแตกอ้วกแตนอยู่เลย ปฏิบัติไปปฏิบัติมานาน ๆ เข้า มันชักเลือกดูแต่ที่สวย ๆ ศพเขาผ่ามาตรงเละ ๆ เราก็ไม่ดู เราเลือกดูตรงที่มันยังดีอยู่ ใจมันด้านขนาดนั้นน่ะ เสร็จแล้วก็ เอ๊...ทำไมเราทำแล้วไม่ได้ผล พอดีปีนั้นเรียนนักธรรมโท กล่าวถึง พระเจ้าอุเทนถาม พระรัฐบาลเถระ ว่า ภิกษุในธรรมวินัยนี้เป็นคนหนุ่ม ย่อมมากด้วยกามราคะ เหตุใดจึงทรงธรรมทรงวินัยนี้อยู่ได้ ? พระรัฐบาลเถระกล่าวว่า มหาราชะ ดูกร มหาราช ภิกษุในธรรมวินัยนี้ พิจารณาดังนี้ว่า
              มาตุคามนี้สมควรตั้งไว้ในที่แห่งมารดา ก็ตั้งไว้ในที่แห่งมารดา
              มาตุคามนี้สมควรตั้งไว้ในที่แห่งพี่สาว ก็ตั้งไว้ในที่แห่งพี่สาว
              มาตุคามนี้สมควรตั้งไว้ในที่แห่งน้องสาว ก็ตั้งไว้ในที่แห่งน้องสาว
              มาตุคามนี้สมควรตั้งไว้ในที่แห่งลูกสาว ก็ตั้งไว้ในที่แห่งลูกสาว
              ภิกษุในธรรมวินัยนี้พิจารณาดังนี้ จึงทรงพรหมจรรย์อยู่ได้

              โอ้โห...ฟังแค่นี้ สว่างไป ๓ โลกเลย นี่...ตัวเมตตาบารมี รักเขาเหมือนคนครอบครัวเดียวกับเรา เห็นเขาเป็นคนครอบครัวเดียวกับเรา ตัวจิตราคะมันเกิดไม่ได้ เห็นเขาเป็นพี่เป็นน้อง เป็นพ่อเป็นแม่ เป็นลูกเป็นหลานของเราเอง พอมันมาลงตรงนี้ จึงได้นึกไปที่หลวงพ่อท่านบอกว่า กรรมฐานทุกกอง ถ้าตั้งใจทำไปนิพพานได้หมด แล้วถ้ามันตัดราคะไม่ได้อย่างที่เราต้องการจะไปนิพพานได้อย่างไร ? เพียงแต่มันตัดในมุมไหนในแง่ไหนเราต้อง....(?) มันให้ถึง ต้องจับมันให้ติด พอมาเจอตรงนี้เข้าอสุภกรรมฐานที่ปล้ำมาตั้งหลายปีก็กองอยู่นั่นแหละ โครงกระดูกที่แขวนอยู่ไว้ในกุฏิตั้งหลายปี ก็เอาไปคืนได้แล้ว บรรดาผีทั้งหลายที่เคยแบกศพมาผ่าให้ดูเป็นศพ ๆ ก็เลิกได้แล้ว อันนั้นเขาเมตตาเองนะ เขารู้ว่าพระสมัยนี้คงประเภทหาศพดูได้ยาก แบกมาให้ยันกุฏิเลย แล้วที่แบกมาเจ้าประคุณเอ๊ย...สเป๊กเราทั้งนั้นเลย ชอบยังไง สวยขนาดไหน เอามาหมด ประเภทไม่มีเสื้อผ้าหรอก มันหามหัวหามท้ายมาเลย มาถึงก็วางลง เหมือนกับคนนอนหลับดี ๆ นี่เอง เสร็จแล้วมันก็ผ่ากระจายเลย เราชอบตรงไหนมันผ่าให้ดูตรงนั้น ดูซิว่ามันจะสวยจริงไหม มองตรงไหนมันผ่าตรงนั้น บางทีก็เลือดนองไปทั้งพื้นเลย จะอ้วกแตกอ้วกแตนอยู่
              เรื่องของเทวดาเขาสงเคราะห์นี่มันเป็นจริงเป็นจัง จับได้ต้องได้หมด กระทั่งบอกไม่ไหวแล้ว พอแล้ว มันจะอาเจียน เดี๋ยวเลอะเทอะไปหมด นั่นแหละเขาก็หายวับไปหมด เดี๋ยวก็มาใหม่ อยากได้อีก มาอีก ขนาดนั้นเอาไม่อยู่ แต่พอจับตรงจุดนี้ได้ ท่านที่เคยสงเคราะห์ เออ...ไม่ต้องแล้ว รอดตายไปที มีที่ให้ยืนติดแล้ว ไม่ต้องห้อยต่องแต่งอยู่ปลายเหว ค่อยยังชั่วหน่อย
              ดังนั้นว่ากรรมฐานแต่ละกอง ถึงจะเป็นคู่ศึกของมันกันก็จริง แต่ไม่แน่ว่าจะเอามันอยู่ เพราะวิสัยของเรามันไม่ได้มาด้านนั้น มันดันตะแบงข้างไปอีกด้านหนึ่ง ถ้าเป็นไปได้ มีเวลาศึกษามันให้ครบ ถ้าไม่มีเวลาก็เอากองเดียวตียาวมันไปเลย พวกที่แบกมา มันเป็นศัลยแพทย์ ผ่าเก่งจริง ๆ ไม่ต้องสั่งไม่ต้องบอกเลยนะ แค่เราคิดเท่านั้นเอง เราคิดตั้งใจจะดูตรงไหนว่ามันสวย มันผ่าตรงนั้น ไม่เหลือให้ดูเลย สี กลิ่น รส พร้อมสมบูรณ์แบบ บางทีเราทนเหม็นคาวเลือดไม่ไหวจะอ้วกแตกแล้ว บอกพอทีพอทีไม่ไหวแล้ว เขาก็หายวูบไปหมด
      ถาม :  พระโสดาบันเล่นหุ้นเล่นหวย ?
      ตอบ:   อ๋อ...ถ้าหากว่าได้มาโดยไม่ผิดศีลผิดธรรม ท่านยังทำเป็นปกติจ้ะ ไม่เกี่ยวเรื่องรับเงิน
      ถาม :  แล้วพระสกิทาคา ?
      ตอบ:   อันนั้นเริ่มจืดสนิทแล้วจ้ะ สกิทาคามีต้องดูตัวอย่างที่ชัดที่สุด ก็คือ พระมหากัสสป กับนางภัททกาปิลานี พระมหากัสสปนี่แม่มอบสมบัติให้ หวังจะให้ลูกจรรโลงให้รุ่งเรืองไป แต่ว่าท่านไม่ได้คิดใยดีในสมบัติอยากจะบวชอย่างเดียว นางภัททกาปิลานีก็เหมือนกัน แต่ว่าต่างคนต่างไม่ได้บอกกัน พอถึงเวลาเขาจับแต่งงานกัน แต่งก็แต่ง เคารพผู้ใหญ่นี่ไม่กล้าเถียง ไม่กล้าบอกใช่ไหม ? ถึงเวลากลางคืน นอนห้องเดียวกัน ก็เอาพวงมาลัยคั่นกลางไว้ ต่างคนต่างหันหลังให้กัน ลักษณะอย่างนั้น ถ้าไม่ถึงสกิทาคามี ทำไม่ได้หรอก ยังไงกามราคะมันต้องกำเริบแน่ จะหนักจะเบามันต้องมี ถ้าทำได้ขนาดนั้นมันต้องใช่ แล้วเสร็จแล้วรอจนพ่อแม่ตาย อึดขนาดไหน ? รอจนพ่อแม่ตาย พระมหากัสสปในตอนที่เป็นปิปผลิมาณพ ก็บอกนางภัททกาปิลานีว่า ภคินี ดูก่อนน้องหญิง สมบัติทั้งหลายของเรา เธอจงเอาไป ส่วนเราจะออกบวชนะ นางภัททกาปิลานีก็บอกว่า สมบัติทั้งหลายของท่านเหมือนน้ำลายที่ถ่มทิ้งแล้ว เรื่องอะไรเราจะรับเอาไว้ เราก็จะบวชเหมือนกัน
              ในเมื่อใจเดียวกันก็เลยประกาศบอกว่า มหาชนใดก็ตามที่ต้องการสมบัติเห็นปานนี้ก็จงมา ทั้งหมดก็มาก็แบ่งสันปันส่วนกันไป ๒ คนก็ประเภทเหลือแต่ตัว นุ่งห่มผ้ากาสาวพัตร ตั้งใจว่าพระอรหันต์อยู่ที่ไหนในโลก ก็ตั้งจะบวชเพื่ออุทิศพระอรหันต์องค์นั้น แล้วก็ออกเดินทาง ปรากฏว่าไปถึงทางแยก คนหนึ่งก็ไปซ้าย คนหนึ่งก็ไปขวา หมดเรื่องไป พระมหากัสสปเดินไปถึง พหุปัตตนิโครธ พบพระพุทธเจ้านั่งรอยอยู่ท่านตรวจดูอุปนิสัยสัตว์โลกตั้งแต่เช้าแล้วว่า ต้องไปโปรด รับฟังธรรม รับโอวาท ๓ ข้อ เสร็จเรียบร้อย ปฏิบัติกลายเป็นพระอรหันต์ นางภัททกาปิลานีเลี้ยวไปอีกทางหนึ่ง เจอสำนักภิกษุณีไปปฏิบัติกลายเป็นพระอรหันต์
              ตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุด เพราะว่าพระสกิทาคามีนี่ ราคะ โทสะ โมหะ เบาบางลงมาก พูดง่าย ๆ ก็คือว่าร้อยวันพันปีอาจจะนึกสักแวบหนึ่งว่า เออ...คนโน้นก็สวยดี คนนั้นก็หล่อดี แล้วมันก็แค่นั้น เพราะว่าสติสมบูรณ์มากแล้ว พอนึกได้อารมณ์ใจก็เริ่มตัด มันก็หายไป อยู่ต่อไม่ได้ ดังนั้น ถ้าหากว่าไปแล้ว ว่าพระสกิทาคามียังเล่นหวยเล่นหุ้นไหม ? ถ้าถึงระดับนั้นไม่เอาจ้ะ ทุกอย่างมันเซ็งไปหมดแล้ว ไม่เป็นรสเป็นชาติ
              คราวนี้ในเรื่องของอารมณ์กามราคะ ถ้าพระโสดาบันยังเป็นปกติ แต่ว่าจะไม่ฝืนในกาเมสุมิจฉาจาร คือหมายความว่า ถ้าหากว่าประเภทไปล่วงเกินบุคคลที่มีเจ้าของจะไม่ทำ ถ้าเจ้าของเขาไม่ได้อนุญาตนี่จะไม่มีพระสกิทาคามีนี่มันน่าจะเหลือแต่กามราคานุสัย ก็คือว่า สิ่งที่มันนอนเนื่องในสันดาน นาน ๆ มันก็โผล่ขึ้นมาทีหนึ่ง แต่ว่ากำลังใจถ้าละเอียดก็เลยตัดได้ ในเรื่องของพระอนาคามี ต้องใช้คำพูดว่า อยากจะบอกว่าส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย ที่จะสร้างฮอร์โมนต่าง ๆ เกี่ยวกับทางกาม มันคงจะเลิกทำงานไปเลย
              เจอสาว ๆ คนหนึ่งสมัยก่อนบวช อายุน่าจะประมาณ ๒๕-๒๖ ปี แต่งตัวสวยพริ้งอยู่ทุกวัน ใช้เปลือกเพื่อปิดตัวเอง กลัวคนจะรู้ว่าเป็นนักปฏิบัติ แต่จริง ๆ แล้วเป็นพระอริยเจ้า อยากจะเชื่อว่าเป็นพระอนาคามี ถามท่านว่า เมื่อทำถึงแล้วจะเป็นอย่างไร ? ท่านบอกว่า ร่างกายส่วนต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับกามราคะ มันเหมือนหยุดทำงานหมด กระทั่งประจำเดือนก็หายไปเฉย ๆ (หัวเราะ) ไม่น่าเป็นไปได้
      ถาม :  อายุ ๒๕ นี่นะคะ ไม่มี
      ตอบ:   จ้า... ๒๕ จ้ะ ไม่ใช่ ๕๕ (หัวเราะ) คือพอทำถึงปุ๊บ เหมือนกับว่าส่วนต่าง ๆ ที่จะเกี่ยวในเรื่องของกามมันหยุดหมดเลย เลิกทำงานไปเลย จะเป็นวิธีพิลึกพิลั่นอะไรก็แล้วแต่เถอะ เป็นอันว่ามันหยุดก็แล้วกัน ดังนั้นว่าน่าจะหมดตั้งแต่ตอนนี้ละ ในเรื่องของกามราคะของพระอรหันต์ก็คงไม่ต้องกล่าวถึง เดี๋ยวจะเล่าเรื่องต่อให้ฟังเกี่ยวกับเรื่องสาวคนนี้ เอาอีกหน่อยหนึ่ง คราวนี้สาวคนนี้เธอมีสามีเป็นปกติ ในเมื่อมีสามีเป็นปกติ พอมาถึงจุดนี้ ก็บอกกับสามีว่า ตอนนี้เรื่องเกี่ยวกับกามารมณ์นี่ไม่ต้องมายุ่งเกี่ยวกันแล้วนะ จะมีเมียน้อยกี่คนก็อนุญาตให้ จะไปเที่ยวอาบ อบ นวด ยังไงก็เชิญ หัวหกก้นขวิดขนาดไหนก็ไม่ว่า คนเรามันแปลก อะไรที่เขาหวงมันชอบ อนุญาตขนาดนั้นแล้ว ไปซ่าส์นอกบ้านได้ไม่นาน ก็คิดถึงเมียกูในบ้าน ถึงเวลาก็กลับบ้าน วันนี้ยังไงกูปล้ำเมียตัวเองแน่ ! พอมาถึงจับตัวปั๊บ ปรากฏว่า มันอัศจรรย์คงเป็นเรื่องบุญ เพราะว่าตัวเมียร้อนฉ่า จนผัวตกใจ คิดว่าไม่สบายหนักขนาดนี้แล้วทำไมไม่กินยา ไม่รักษาอะไร รายโน้นก็เออ ๆ คะ ๆ ไปตามเรื่อง ก็รอดไป ปรากฎว่า วันต่อมา ผัวเมากลับมา เอ๊า! ป่วยก็ป่วยละวะ กูไม่เว้นแล้ว จะปล้ำเมียตัวเอง ปรากฏว่า วันนั้น เมียก็ไม่รู้ว่า ? น่าจะเป็นเทวดาช่วย เอาเรี่ยวเอาแรงมาจากไหนไม่รู้ ตบผัวเปรี้ยงเดียว กระเด็นติดข้างฝาเลย แล้วเสียงที่ดังออกมา ผัวเขาบอกว่า “ต่อไปนี้ ถ้าหากยุ่งกับผู้หญิงคนนี้อีก จะเอาให้ถึงตาย” น่าจะเป็นเรื่องของเทวดาที่เขารักษา กลัวว่าการล่วงเกินพระอริยเจ้าระดับนั้น มันจะเป็นโทษสาหัส ไม่น่าเชื่อ ผู้หญิงตัวเล็ก ๆ ตบผัวทีเดียวปลิวติดข้างฝาเลย (หัวเราะ)
              นั่นแหละ ตัวอย่างเห็นชัด ๆ แต่ถ้าเราเห็นเปลือกนอกเขาจะไม่รู้เลย ที่ไม่รู้เพราะว่า เขายังแต่งหน้าสวยพริ้งตามปกติ ลักษณะนั้นแหละคือ ลักษณะที่ว่าปิดตัวเองไว้ เพื่อไม่ให้คนอื่นรู้ว่าตัวเองทำอะไร แต่อันนี้ไม่ยืนยันนะ เพราะว่าอาตมาไม่ใช่ผู้หญิง ก็เลยไม่กล้ายืนยันว่า ถ้าเป็นพระอริยเจ้าขึ้นไปถึงระดับนั้นแล้วร่างกายจะหยุดทำงานเหมือนสาวคนนั้นมั้ย ? (หัวเราะ)
      ถาม :  ต้องหาซัก ๒-๓ ตัวอย่าง ใช่เปล่าคะ ?
      ตอบ:   มันจะต้องเป็นเอง มันถึงจะยืนยันได้ (หัวเราะ)
      ถาม :  แล้วความผูกพันล่ะครับ ?
      ตอบ:   ความผูกพัน ความห่วงใย เป็นปกติ สำหรับพระอริยเจ้า อยากจะบอกในลักษณะเหมือนกับปรามาสพระรัตนตรัย แต่โปรดฟังให้จบ พระพุทธเจ้าก็ห่วงใยครอบครัวท่านเป็นปกติ ถ้าไม่ห่วง ท่านก็ไม่เสด็จไปโปรดพุทธมารดา ไม่ห่วง ท่านก็ไม่เสด็จไปโปรดพุทธบิดา พร้อมพระประยูรญาติ ไม่ห่วงท่านก็ไม่เสด็จไปโปรดพระนางพิมพาพร้อมกับพระราหุล ท่านก็ห่วงเป็นปกติ พระสารีบุตรเองเป็นโรค ต้องใช้คำว่า “กระเพาะทะลุ” พูดอย่างอื่นแล้วฟังยาก ถ่ายเป็นเลือดอยู่ตลอด รู้ตัวว่าจะนิพพานคือ ตายแน่ ๆ แล้ว ก็ยังคิดว่า แม่เราเป็นมิจฉาทิฐิอยู่ มีลูกตั้ง ๗ คน เป็นอรหันต์หมดเลยบ้านนี้ แต่แม่เป็นมิจฉาทิฐิอยู่ ต้องกลับไปสงเคราะห์แม่ตัวเอง ถ้าไม่ห่วงแล้วจะไปทำไม แต่ว่าท่านทั้งหลายเหล่านี้ท่านทำตามหน้าที่ของตัว ถ้าทำดีที่สุดแล้ว สงเคราะห์ไม่ได้ท่านจะปล่อยวาง มันไม่เหมือนพวกเราตรงที่ว่า พวกเราถ้าหากว่าทำไม่ได้ ก็จะไปกลุ้มไปกังวลอยู่ ใจมันหมอง แต่ว่าท่านผ่องใสเป็นปกติ ทำแค่ตามหน้าที่เท่านั้น ประเภทที่พูดง่าย ๆ แบบเล่นลิ้นว่า “ห่วงใย แต่ไม่ผูกพัน” อะไรทำนองนั้น
      ถาม :  (ไม่ชัด) สังเกตุร่างกาย
      ตอบ:   ท่านปิงกลัวว่าเป็นผู้ชาย ถ้าถึงตรงนั้นแล้วมันจะเหี่ยว บอกแล้วว่าไม่ยืนยัน ใครทำถึงก็รู้เองล่ะ แล้วอีกคนหนึ่งก็...ที่หลวงพ่อเล่าไว้ในน่าจะหนังสืออ่านเล่นมั้ง ที่เด็กผู้หญิงอายุ ๕ ขวบ แล้วก็ตายโดยที่ยังไม่หมดอายุ แล้วเด็กผู้หญิงคนนี้ก็ร้องไห้อยู่ที่ตำหนักพระยายม ร้องจะหาแต่หลวงพ่อ ปกติที่ไปลงตรงนั้น บารมี ต้องใช้คำว่า บารมีของพระยายมท่านข่มอยู่สนิททุกรายอาละวาดไม่ออกหรอก แต่เด็กคนนี้จะหาหลวงพ่อ จะหาหลวงพ่อ(หัวเราะ) เทวทูตต้องมาตามหลวงพ่อไป ไปถึงพระยายมท่านก็ชี้แจงว่า เด็กคนนี้ถ้าโตขึ้นจะเป็นพระอนาคามี แต่เธอสวยมาก ถ้าหากว่าเป็นพระอนาคามีแล้วโทษเก่าที่เคยทำอยู่ จะทำให้โดนผู้ชายเบียดเบียน มันจะเกิดโทษมหาศาลสำหรับผู้ที่เบียดเบียนเธอ ก็เลยตัดให้ตายเสียดีกว่า ขึ้นไปต่อเอาข้างบนแล้วกัน ก็มีเหมือนกันนะ ไม่ใช่วาระของอายุ แต่อยู่แล้วจะเป็นโทษต่อคนอื่นเขา แบบเดียวกับพระอรหันต์ว่า ทำไมพอท่านบรรลุแล้ว ถ้าอยู่ในความเป็นฆราวาสถึงอยู่ได้ไม่เกิน ๗ วัน แต่ว่าจริง ๆ แล้ว ปกติที่หลวงพ่อท่านเจอมา ท่านบอกว่า ถ้าบรรลุตอนกลางคืนจะไม่ได้เห็นตะวันขึ้น ถ้าบรรลุตอนกลางวันจะไม่ได้เห็นตะวันตก ต้องตายก่อนแน่นอน เพราะว่าถ้าอยู่ต่อจะเป็นโทษต่อคนอื่นมาก
              เอาตัวอย่างแค่ว่า นางขุชุตตรา นางขุชุตตราในชาตินั้นนี่ เพื่อนท่านเป็นภิกษุณีอรหันต์ มาเยี่ยมแล้วนั่งคุยกัน ตัวแกก็แต่งตัวจะออกไปงานเขา ทีนี้เขามานั่งอยู่ขวางทางทำให้เธอหยิบกระเช้าเครื่องแต่งตัวไม่ได้ ก็บอกว่าพระแม่เจ้าโปรดช่วยหยิบส่งให้ดิฉันหน่อย เพื่อนเธอเป็นภิกษุณีอรหันต์ยังไม่พอ ยังเป็นปฏิสัมภิทาญาณด้วย สภาพจิตเร็วมาก มองปั๊บรู้เลย เธอใช้พระอรหันต์เธอต้องเกิดโทษแน่นอน ถ้าเราไม่หยิบให้เธอ เธอโกรธ เธอลงอวจีมหานรกไปเลย แต่ถ้าเราหยิบให้เธอ การใช้พระอรหันต์ทำให้เธอต้องเกิดเป็นคนใช้เขา ๕๐๐ ชาติ เอาเถอะเกิดเป็นคนใช้เขายังไงก็ยังเบากว่าลงอวเจีมหานรก ก็หยิบส่งให้ นั่นแหละแค่นั้นแหละ
              แล้วอีกตัวอย่างก็คือ นางสิริมา ในชาติก่อนที่เธอเวียนเทียนอยู่ แล้วมีภิกษุณีอรหันต์องค์หนึ่ง ท่านก็เคี้ยวหมากเป็นปกติ ถึงเวลาบ้วนน้ำหมากละอองน้ำหมากมันกระเด็นไปเปื้อนชายผ้าเข้า เธอก็ด่าเอา บอกว่าหญิงแพศยาที่ไหนถึงได้บ้วนน้ำหมากมากระเด็นถูกผ้าเรา เกิดมาชาติใหม่ต้องไปเป็นหญิงแพศยา คือเป็นหญิงนครโสเภณีไปขายตัวให้เขาอยู่ แล้วก็บอกว่าต้องเป็นอย่างนั้นตลอด ๕๐๐ ชาติ นั่นขนาดอยู่ในอุดมเพส คือเพสของภิกษุ ภิกษุณีที่เขาเคารพอยู่แล่ว ยังเป็นโทษกับคนอื่นขนาดนั้น ถ้าเป็นฆราวาสเขาไม่เกรงใจหรอก ยิ่งประเภทอาวุโสกว่าด้วย เดี๋ยวก็ตบหัวโครมใช้งานไปเลยอะไรอย่างนั้น มันจะเป็นโทษใหญ่ต่อคนอื่นเขา ก็เลยตัดให้ตายซะก่อนดีกว่า อยู่ต่อไปคนพูดปรามาสแม้แต่คำเดียวก็ลงนรก ใช้เธอก็ลงนรก ด่าเธอก็ลงนรก อยู่ไปมีแต่โทษทั้งนั้นก็เลยไปเสียเลยดีกว่า
              แต่ถ้าอยู่ในสภาพของพระอย่างนี้ คนเขาให้ความเคารพเป็นปกติอยู่แล้ว จะดีไม่ดีเขาก็ประเภท ชั่วช่างชี ดีช่างสงฆ์อยู่แล้ว ไม่มายุ่งมาเกี่ยวด้วย ถึงได้อยู่ได้ แต่ถ้าเป็นฆราวาสหลวงพ่อท่านบอกเท่าที่ท่านดูมา ไม่เคยมีใครอยู่เกินอย่างที่ว่าเลย ในพระไตรปิฎกบอกว่าอยู่ได้ไม่เกิน ๗ วัน ท่านเจอมาจริง ๆ อยู่ได้ไม่เคยเกินวัน บรรลุกลางคืนตายไม่ได้เห็นกลางวัน บรรลุกลางวันตายไม่ได้เห็นกลางคืน