ถาม:  การบรรลุธรรม ถ้าท่านที่มีบารมีเต็ม จะต้องรอเรื่องของวาระและเวลาในการบรรลุธรรมหรือเปล่า ?
      ตอบ:   วาระและเวลาขึ้นอยู่กับสิ่งที่ท่านทำ ถ้าหากว่าขยันทำดี ทำถูก ทำพอเหมาะพอดี ก็บรรลุได้เร็ว ถ้าหากว่าขยันเกินไป ทำมากเกินไป บางทีก็กลายเป็นช้า ดังนั้นเรื่องของการบรรลุธรรมพระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า
              ประการที่หนึ่ง สุขาปฏิปทา ขิปปาภิญญา บุคคลที่ทำง่าย ๆ บรรลุง่าย ๆ
              ประการที่สอง สุขาปฏิปทา ทันธาภิญญา ทำง่าย ๆ แต่บรรลุยาก
              ประการที่สาม ทุกขาปฏิปทา ขิปปาภิญญา ปฏิบัติลำบาก แต่ว่าบรรลุเร็ว
              ประการสุดท้าย ทุกขาปฏิปทา ทันธาภิญญา ปฏิบัติลำบากบรรลุก็ยาก
      ถาม :  ท่านที่ได้รับยันต์เกราะเพชรแล้วไม่ต้องตาย ถ้าหากบรรลุธรรมแล้ว เกิดอุบัติเหตุจะตายได้หรือไม่ ?
      ตอบ:   ไม่ต้องบรรลุธรรมก็ตายได้ อย่าลืมว่าถ้าไม่ถึงอายุขัยจะไม่ตายโหง แต่ถ้าถึงอายุขัยวาระกรรมใหญ่เข้ามาจริง ๆ อย่างเช่น พระโมคคัลลาน์ เป็นพระอรหันต์ปฏิสัมทิภาทาญาณ เป็นผู้เลิศที่สุดในด้านฤทธิ์ ยังต้องยอมให้โจรทุบตายเลย ถ้ามีอะไรไม่เกินวิสัยท่านก็ช่วยสงเคราะห์ให้ คือช่วยผ่อนหนักให้เป็นเบา ช่วยทำเบาให้เป็นหายได้
              ส่วนพระราหูท่านเป็นพระโพธิสัตว์ "นิตยะโพธิสัตว์" คือพระโพธิสัตว์ที่ได้รับคำพยากรณ์จากพระพุทธเจ้า ท่านจะเกิดในภัทรกัป ต่อไปจะเป็นสมเด็จพระสัมมาพุทธเจ้า มีนามว่า นารทะ ท่านเคยไปช่วยงานที่วัดท่าซุง หลวงพ่อถามท่านว่า ทำไมต้องไปอมพระจันทร์ด้วย ท่านบอกว่าจ้างผมก็ไม่อมขี้ดินหรอก ในสายตาของท่าน พระจันทร์ก็คือขี้ดินก้อนหนึ่ง ถามว่าแล้วพวกเราควรจะเรียกท่านว่าอย่างไร ท่านบอกเรียกพี่ก็ได้ พระราหูท่านเป็นเทวดา ที่ขนาดร่างกายเล็กที่สุด เรียกว่ามีอัตภาพสมาคาวุต คาวุตหนึ่งเท่ากับ ๑๐๐ เส้น ๑๐๐ เส้น เท่ากับ ๒๐ วา เป็น ๑ เส้น และ ๑๐๐ เส้น เท่ากับ ๒,๐๐๐ วา ๔,๐๐๐ เมตร ๔ กิโลเมตร เล็กที่สุด และใหญ่กว่านั้นก็เลยบอกว่า พระราหูในธรรมบทมีบอกว่า ท่านอยากไปกราบพระพุทธเจ้ามาก แต่ว่าตัวท่านใหญ่เหลือเกิน
              อรรถกถาท่านบอกว่า แค่รอยต่อระหว่างคิ้วกว้างโยชน์หนึ่ง คือ ๑๖ กิโลเมตร จะตัวใหญ่แค่ไหน ท่านเกรงว่าท่านไปแล้ว ท่านต้องไปค้ำพระพุทธเจ้าอยู่ จะเป็นการไม่เคารพ ก็นั่งกลุ้มอยู่นั่นแหละ อยากไปก็อยากไป กลัวเป็นการปรามาสพระก็กลัว พระพุทธเจ้าเมื่อทรงทราบความคิดเลยเสด็จไปโปรดเอง ไปถึงที่อยู่ของท่านแล้วก็เสด็จตะแคงข้างสีหไสยาสน์ กลายเป็นพระราหูต้องเงยหน้ามอง
              ขนาดนอนมีปางไสยาสน์อยู่ปางหนึ่ง ให้สังเกตว่าถ้าพระบาทเสมอกันเขาเรียกว่า ปางพระปรินิพพาน ถ้าเป็นพระบาทซ้อนเหลื่อมพร้อมที่จะลุก เขาเรียกว่า ปางไสยาสน์ หรือบางคนเรียกว่า ปางโปรดอสุรินทราหู ทำให้รู้ว่าพุทโธ อัปปมาโณ คุณพระพุทธเจ้าไม่มีประมาณ เหมือนกับพระอินทร์ตอนเสด็จขึ้นไปโปรดพระพุทธมารดาที่บัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ กว้าง ๓๐ โยชน์ ยาว ๖๐ โยชน์ พระอินทร์ท่านนั่งสภาพร่างกายท่านจะพอดี แต่ถ้าพระพุทธเจ้าเข้าไป สูงแค่ ๘ ศอกของมนุษย์เท่านั้น ในอรรถกถาบอกว่า ๑๘ ศอกเท่ากับ ๑๘ ศอกของมนุษย์ ขึ้นไปนั่งก็เหมือนกับแมลงวันกาะก้อนหิน พระอินทร์ก็ยังแปลกใจว่า พระพุทธเจ้าขึ้นมาทั้งที ที่เราจะรับให้เหมาะสมก็ไม่มี ยกบัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ถวายให้พระพุทธเจ้าประทับนั่ง แล้วก็มานั่งคิดว่าถ้าพระพุทธเจ้าท่านขึ้นไปนั่ง ก็คงเหมือนกับแมลงวันเกาะอยู่บนบัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ จะไม่งาม พระพุทธเจ้าท่านทราบความคิด ก็เลยโยนผ้าสังฆาฏิไปให้คลุมบัณฑุกัมพลศิลาอาสน์พอดี แล้วท่านนั่งลงก็มีขนาดพอดีพอเหมาะพอสมไปหมด
      ถาม :  การกินเหล้าที่เป็นเมนูอาหาร เช่น ปีกไก่เหล้าแดง หอยอบไวน์ ผิดศีลหรือไม่ ? เพราะไม่ได้กินให้เมา
      ตอบ:   ไม่ได้กินให้เมาไม่ได้ ถ้าเจตนากินรู้ว่ามีส่วนผสมของเหล้าก็ผิด แต่ถ้าไม่เจตนาสั่งไปโดยไม่รู้ เอามากินไม่ถือว่าผิด ถ้าบอกว่า เฮ้ย วันนี้ไปล่อปีกไก่อบเหล้าแดงกันหน่อย อันนี้ผิดชัดเลย กินเหล้าต่อให้ไม่เมาขนาดไหนก็ตาม จะทำให้ประสาทสั่งงานและสมรรถภาพของร่างกายถดถอยไปมาก ต่อให้กินเหล้าแก้วหนึ่ง ถอยรถเข้าที่ปรากฎว่ามีความผิดพลาดขึ้นประมาณ ๓๘% ที่พระพุทธเจ้าห้ามเพราะว่า ถ้าสมมุติการทำความดีของเราที่ต่อต้านความชั่วเป็นเขื่อน การกินเหล้าเข้าไปก็ทำให้เขื่อนมีริ้วรอยร้าว รอยร้าวต่อให้เล็กขนาดไหนก็ตาม ถ้าแรงน้ำดันมากเข้าตรงนั้นก็จะพังก่อน และจะเป็นเปิดโอกาสให้ความชั่วอื่น ๆ เข้ามาได้ง่าย เพราะสติสัมปชัญญะของเราขาดลง หรือว่าเชื่องช้าลงไปเนื่องจากอำนาจของเหล้าไปกดประสาทอยู่
              ดังนั้นถ้าเจตนาผิดแน่ ๆ แต่ถ้าไม่รู้กินเข้าไป ถ้าเป็นฆราวาสเขาไม่ปรับ ถ้าเป็นพระต้องไม่มีสีไม่มีกลิ่น แล้วถ้าหากเป็นการผสมยา ว่ากันตามสูตรตามจำนวน ส่วนใหญ่ไม่เกินถ้วยตะไล ๑ ข้อนิ้ว ๑ องคุลี อย่าไปใส่ถาด ๑ องคุลี ถาด ๑ องคุลีก็เกือบกลมได้
      ถาม :  พระเขี้ยวแก้วที่อยู่บนโลกมนุษย์ ที่อยู่ในประเทศไทยในปัจจุบันนี้มีลักษณะพระทนต์คู่ หลวงพ่อท่านบอกว่า พระอินทร์ท่านนำมาเก็บไว้ที่พระจุฬามณี เพราะเป็นของไม่คู่ควรกับโลกมนุษย์ ข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร ?
      ตอบ:   ฟังให้ดี ๆ ไม่ใช่เป็นของไม่คู่ควรกับโลกมนุษย์ แต่เป็นของที่ไม่คู่ควรกับโทณพราหมณ์ และพระเขี้ยวแก้วแต่ละองค์ท่านจะมี ๔ องค์ด้วยกัน
              พระเขี้ยวแก้ว เบื้องขวาด้านบน อยู่ที่ดาวดึงส์
              พระเขี้ยวแก้ว เบื้องล่างซ้าย อยู่นาคพิภพ
              อีกสององค์ท่านว่า อยู่ที่บนโลกมนุษย์นี่แหละ ทางจีนเขาว่ามีองค์หนึ่ง
              อาตมาไปกราบพระเขี้ยวแก้วที่พุทธมณฑลแล้วมั่นใจว่าน่าจะเป็นฟันกราม เคยไปเจอที่พม่าของหลวงปู่โกณฑัญญะ ไม่ได้มีแต่พระทนต์ ท่านมีพระสารีริกธาตุเป็นสิบ ๆ ถัง เพราะท่านสั่งซื้อโหลแก้วที่ใบใหญ่กว่าถังอีก ไม่ทราบเหมือนกันว่าทางโน้นเขาใช้ทำอะไร บรรจุใส่โหลแก้วแล้วก็ซ้อน ๆ ไว้ริมผนังสูงท่วมหัว ท่านบอกว่าท่านสวดคาถาสรรเสริญคุณพระรัตนตรัยอยู่แล้ว ท่านก็ให้มามีหลายบท ส่วนใหญ่เป็นบทในเจ็ดตำนาน ท่านบอกว่าให้สวดทุกวัน ตั้งใจอธิษฐานขอ และถ้าวันไหนเป็นวันตรงกับวันเกิด เช่น เกิดวันอาทิตย์ เกิดวันจันทร์ให้ถวายน้ำสะอาดและผลไม้ทุกวันแล้วสวดตามนั้น พระบรมสารีริกธาตุจะเสด็จมาเอง ท่านบอกไว้ว่าถ้าคุณจะสร้างเจดีย์ที่ไหนก็ตามมาเอาได้ ท่านให้ไม่อั้น เราดูก็ไม่น่าจะอั้นหรอก รถสิบล้อไม่รู้จะขนหมดหรือเปล่า
              ท่านสร้างเจดีย์ที่วัดโพธิ์พันต้น ขนาดมโหฬาร ทำด้านล่างเป็นห้องสี่เหลี่ยมมโหฬารแล้วใส่กระจก คัดเลือกบรรจุไว้เป็นสี ๆ แล้วติดไว้ว่าสีนี้เป็นพระบรมสารีริกธาตุ ส่วนไหนสีนี้เป็นส่วนไหน ท่านรู้ละเอียดขนาดนั้น เราไปดูก็ถือว่าเป็นขวัญตามากแล้ว และที่ท่านให้มาก่อนหน้ามีพระบรมสารีริกธาตุหลาย ๆ สี แต่มีคนมาตื๊อเลยยกให้ไป เดี๋ยวไปกราบขอหลวงปู่ใหม่ ถ้าท่านไม่ตายไปซะก่อน แต่ว่าอันที่ใส่ในเซพเอาไว้ถึงเวลาท่านก็ไขและส่องไฟให้ดู มีลักษณะเป็นคู่แบบเดียวกับพระเขี้ยวแก้ว วัดหลินกวง ก็เลยมั่นใจว่าเป็นฟันกรามมากกว่า
      ถาม :  ในสมัยพุทธกาลมีพระคาถาที่เหมือนกับพระคาถาพระปัจเจกพุทธเจ้าหรือไม่ ?
      ตอบ:   ในสมัยนั้นไม่น่าจะมี เหตุที่ว่าพระคาถาต่าง ๆ แพร่หลายเกิดมาจากยุคหลังสมัยหลัง สมัยแรก ๆ จะมีพระวังคีสเถระองค์เดียวที่เก่งในทางผูกพระคาถาสรรเสริญพระพุทธเจ้า จนกระทั่งได้เป็นเอตทัคคะผู้เป็นเลิศในทางผูกบทสาธยายมนต์
              พระวังคีสเถระสมัยก่อนที่จะบวชท่านเป็นคณาจารย์ที่มีชื่อเสียงมาก ท่านมีมนต์วิเศษอยู่บทหนึ่งเรียกว่า ฉวสีสมนต์ คือมนต์เคาะกระโหลกชาวบ้าน ใครตายก็ตาม ถ้าท่านไปเคาะกระโหลกคนตาย หรือสัตว์ที่ตาย ท่านจะบอกได้ว่าไปเกิดที่ไหน เมื่อท่านเก่งก็มีลูกศิษย์ลูกหาเต็มไปหมด พอคนเขาล่ำลือว่าท่านสมณโคดมเก่งอย่างโน้นเก่งอย่างนี้ ชื่อเสียงเกียรติคุณเต็มสองหู ท่านก็ออกแสดงให้รู้ว่าท่านก็เก่ง ท่านก็เลยไปกราบพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าก็ตรัสถามถึงปัญหานี้ว่า "ดูก่อน วังคีสะ ท่านมีฉวสีสมนต์ สามารถบอกได้ใช่ไหมว่าบุคคลผู้ล่วงลับไปอยู่ภพใดภูมิใด" ท่านก็บอกว่า "ได้เจ้าข้า"
              พระพุทธเจ้าก็เลยให้หากระโหลกคนที่ตกนรกมาหนึ่งหัว เพราะท่านรู้อยู่แล้วว่าคนนี้ลงนรก ท่านก็ขอยืมกระโหลกมา คนนี้ไปเกิดเป็นเปรต คนนี้ไปเป็นอสุรกาย คนนี้ไปเป็นสัตว์เดรัจฉาน คนนี้ไปเป็นเทวดา คนนี้ไปเป็นพรหม และกระโหลกพระอรหันต์ก็เอามา วังคีสะพราหมณ์ตอนนั้นร่ายมนต์ของท่านแล้วก็เคาะ อันนี้ตกนรก พระพุทธเจ้าก็สาธุ "ถูก" อันนี้ไปเป็นเปรต อันนี้ไปเป็นอสุรกาย อันนี้ไปเป็นสัตว์เดรัจฉาน อันนี้ไปเป็นเทวดา อันนี้ไปเป็นพรหม พระพุทธเจ้าก็สาธุ "ถูก" พอถึงกระโหลกของพระอรหัสต์ เคาะแล้วก็เงียบ พระพุทธเจ้าก็ถาม "ดูก่อน วังคีสะ เหตุใดถึงไม่บอกว่า กระโหลกศีรษะนี้ไปที่ไหน" ท่านบอกเกินความรู้บอกไม่ถูก ท่านบอกว่า แต่ตถาคตบอกถูก พระพุทธองค์มีมนต์ที่จะบอกได้หรือพระเจ้าข้า ว่ากระโหลกศีรษะนี้ตายแล้วไปไหน พระพุทธองค์บอก "ได้" เขาเรียกว่า "พุทธมนต์" อยากได้ไหมล่ะ ? วังคีสะพราหมณ์อยากได้เพราะสิ้นความรู้ตัวเองแล้วก็อยากได้ ถ้าอยากได้มนต์นี้จะสอนเฉพาะพวกเดียวกัน เธอต้องบวช
              วังคีสะพราหมณ์ก็บอกกับเพื่อนว่า อย่างนั้นพวกท่านกลับไปก่อนก็แล้วกัน เดี๋ยวเราบวชศึกษามนต์นี้เสร็จแล้วค่อยไปหา พระพุทธเจ้าก็เลยสาธยายธรรมให้เห็นอาการ เกศา โลมา นขา ทันตา ตะโจ สาธยายไปสาธยายมา จนวังคีสะรู้แจ้งเห็นจริงขึ้นกลายเป็นพระอรหันต์ไปเลย ท่านก็แต่งกลอนเพลงกลอนคาถาขึ้นเพื่อสรรเสริญพระพุทธเจ้าโดยตรงว่า พระพุทธเจ้ามีความสามารถยิ่งใหญ่ อย่างนั้น อย่างนี้ กระทั่งที่มากด้วยทิฏฐิมานะขนาดไหนยังต้องยอมสยบ ยอมลง ถึงเวลาการเข้ามาในพระพุทธศาสนานี้มีความสุข ความเจริญ การสรรเสริญพระพุทธเจ้าดีอย่างไร พระธรรมดีอย่างไร พระสงฆ์ดีอย่างไร บรรดาคาถาที่ว่านี้ ในสมัยนั้นส่วนใหญ่ก็จะเป็นของพระวังคีสะเถระ ส่วนพระคาถาพระปัจเจกพระพุทธเจ้านี้มายุคเรานี้ต่างหาก
      ถาม :  ท่านมีความคิดเห็นอย่างไรกับการที่มีครูบาอาจารย์ หรือพระสงฆ์ที่เคารพนับถือหลาย ๆ ท่าน และการยึดถือพระสงฆ์และคำสอนรูปใดรูปหนึ่งเพียงจุดเดียว หรือเราควรศึกษาจากหลาย ๆ ท่าน และนำมาประมวลใช้เอง
      ตอบ:   ถ้าหากว่าพระสงฆ์องค์นั้นท่านสอนถูกต้องตามคำสอนของพระพุทธเจ้า ยึดคำสอนของท่านองค์เดียวก็พอ จะได้ไม่เนิ่นช้า คำว่าไม่เนิ่นช้า คือไม่เสียเวลาปฏิบัติ ซัดตรงไปเลย เข้าถึงพระนิพพานได้ยิ่งดี การที่เราจะศึกษาหลาย ๆ องค์ด้วยกันเพื่อเอามาประยุกต์ใช้ ไม่ต้องเสียเวลาไปศึกษาหรอก เปิดพระไตรปิฎกอ่านเอาก็ได้ครบ กี่องค์ก็ต้องสอนตามแบบพระพุทธเจ้าเท่านั้น และการที่เราแสวงหาครูอาจารย์ไปเรื่อย ๆ นั่นมีโทษเหมือนกัน จะมีโทษตรงจุดที่ว่า บางทีเรายังถือมงคลตื่นข่าวอยู่ ไปเจอท่านที่ยังไม่ดีจริงเข้า ถ้าท่านปฏิบัติตาม ท่านจะทำให้เราเสียเวลา ถ้าตายตอนนั้นเท่ากับเราจะไม่ได้ความดีอะไรเลย
      ถาม :  การยึดถือคุณความดีของพระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า พระธรรม และพระอริยสงฆ์ แล้วเกิดน้ำตาไหล ร้องไห้ด้วยความซาบซึ้งของคุณความดีของท่านทั้งหลาย อารมณ์นี้เป็นอารมณ์หมอง ?
      ตอบ:   คำว่า "ปีติ" ไม่ใช่อารมณ์หมอง เป็นกำลังของสมาธิที่เกิดจากการที่เราน้อมนึกถึงแต่สิ่งที่ดี ใกล้จะเป็นกำลังฌานแล้ว ถ้าก้าวถึงฌานเมื่อไหร่อาการนั้นจะหายไป ใกล้แล้วจวน ๆ จะขึ้นป. ๑ แล้ว
      ถาม :  วันที่ ๓๑ และวันที่ ๑ มกราคมของทุกปี มีความพิเศษอย่างไร แล้วเราร้องไชโยดีใจเพื่ออะไร และจริง ๆ แล้วควรทำความดีพิเศษอย่างอื่นหรือไม่ หรือว่าควรปฏิบัติอย่างไร ?
      ตอบ:   จริง ๆ แล้ว ๓๖๕ วัน ควรทำความดีให้ตลอด ไม่ต้องมาเร่งวันสองวันนี้หรอก ตอนบิณฑบาตปีใหม่จะสาหัสมาก นั่งมองอย่างเดียวก็อิ่มแล้ว ไม่มีปัญญาจะกินจริง ๆ แล้ว ๓๖๓ วันทำไมถึงไม่ใส่อย่างนั้นบ้าง ถ้าถามว่าร้องเพลงไชโยทำไม คงดีใจที่เได้เมาอีกแล้ว การทำความดีควรจะทำให้ต่อเนื่องอยู่ทุกวัน ทุกลมหายใจเข้า-ออกได้ยิ่งดี ไม่ใช่ไปเร่งทำความดีเฉพาะวันสำคัญเท่านั้น ถ้าทำลักษณะนั้นไม่พอกินไม่ว่า ไม่ทันกินด้วย ควรจะทำความดีให้ต่อเนื่องตลอดไป
              ส่วนในวันวาระที่สำคัญสำหรับปุถุชนทั่วไปอย่างนั้น เราเองก็เร่งทำความดีให้มากกว่าปกติซะหน่อย ไม่ถือว่าผิด เรียกว่าดีกับตัวด้วยกันทั้งสองฝ่าย แต่ประเภทที่ถึงเวลาทำความดีเช่น เข้าพรรษาอดเหล้า ๓ เดือน อีก ๙ เดือนกินเหล้า อย่างนี้น่าจะอดซะ ๙ เดือน แล้ว ๓ เดือนไปกินโทษยังน้อยกว่า
      ถาม :  เมื่อจิตใจมีอารมณ์สบาย มีความสุข เราควรดึงจิตของเราให้อยู่ในอารมณ์กรรมฐานหรือไม่ ? อารมณ์ใจในกรรมฐานที่เป็นอุเบกขากับอารมณ์จิตใจสบาย มีความสุข เราควรอยู่ในอารมณ์ใดดีกว่า
      ตอบ:   ถ้าอยู่ในอารมณ์อุเบกขารมณ์ได้จะดีที่สุด จิตที่ติดสุขเป็นจิตของกามาวจร ถ้าหากว่าติดทุกข์เป็นจิตของอบายภูมิ ต้องเป็นอุเบกขาโดยเฉพาะ สังขารุเปกขาญาณ คือ หยุดการปรุงการแต่งทั้่่งปวง ถึงจะเป็นจิตของพระนิพพาน
              ดังนั้นถ้าหากเราก้าวไปอยู่อุเบกขารมณ์ได้ อย่างน้อย ๆ ก็อยู่ในระดับของพรหม นอกนั้นถือว่าต่ำไป ดังนั้นหากว่าจิตมีปีติอะไรก็ดี มันจะมีแรงกระตุ้นให้เราทำความดียิ่ง ๆ ขึ้นไป อย่างน้อย ๆ การเกาะความดีก็ดีกว่าสิ่งที่ไม่ดี เป็นเรื่องดี แต่ถ้าจะให้ดียิ่งกว่านั้นก็รักษาอารมณ์ของอุเบกขา โดยเฉพาะสังขารุเปกขาญาณให้ได้ เพื่อก้าวเข้าสู่ความเป็นพระอริยเจ้าไปเลยจะดีกว่า
      ถาม :  ในวาระโอกาสขึ้นปีใหม่ คนส่วนมากเฉลิมฉลองในการนับตัวเลขถอยหลังเวลาเริ่มเข้าปีใหม่ แต่มีบุคคลอยู่บางกลุ่มไม่ได้ฉลองด้วยการดื่มสุราหรือสนุกสนานกับปีใหม่ แต่ได้ทำการสวดมนต์ในช่วงรอยต่อของระยะข้ามปี การกระทำอย่างนี้มีอานิสงส์พิเศษหรือเปล่า ?
      ตอบ:   มี คนเราถึงขนาดว่าทนอดตาหลับขับตานอนลุกขึ้นมาทำความดีกำลังใจของเขาต้องเข้มแข็งมาก พระพุทธเจ้าท่านตรัสเอาไว้ คนที่นอนไม่หลับ มี ๕ ประเภท
              ๑. ผู้หญิงผู้ครุ่นคิดถึงชาย
              ๒. ชายผู้ครุ่นคิดถึงหญิง
              ๓. คนร้ายที่ประสงค์ต่อทรัพย์
              ๔. พระราชาผู้ขยันออกปฏิบัติภารกิจ
              ๕. ภิกษุผู้เห็นภัยในวัฏฏะสงสาร ลุกขึ้นปฏิบัติธรรม
              ถ้าถึงขนาดอดตาหลับขับตานอนขนาดนั้นคงไม่หนีพระโยคาวจร คือผู้ที่ตั้งมั่นในการหลุดพ้นแน่นอน การที่ท่านตั้งใจจะทำขนาดนั้น โดยที่ยอมเสียสละความสุขส่วนตัวพักผ่อนหลับนอน เพื่อมาทำความดี อานิสงส์ก็ต้องมากเป็นพิเศษ ถ้าเปรียบกับพวกที่หลับหูหลับตาแหกปากฉลองไชโย สวัสดีปีใหม่ อย่างนั้นมันต่างกันยิ่งกว่าฟ้ากับเหวอีก
              เพราะฉะนั้นท่านใดที่ทำได้ขนาดนั้น ควรจะรีบโมทนาความดีของท่านเถอะ เรายังนอนหลับกันก้นโด่งอยู่เลย ท่านทำความดีไปถึงไหนแล้วก็ไม่รู้
      ถาม :  ทำอย่างไรเราจึงจะถอดจิตออกจากร่างได้อย่างเต็มตัว
      ตอบ:   เดินให้สิบล้อเหยียบ (หัวเราะ) จะถอดจิตออกจากร่างได้อย่างเต็มตัว เดินไปให้สิบล้อเหยียบได้แน่ ก็พยายามฝึกมโนมยิทธิหมวดอภิญญา โดยเฉพาะไม่ว่าจะเป็นอภิญญาที่ได้จากกสิณ ๑๐ก็ดี หรือว่าอภิญญาที่ได้มโนมยิทธิก็ดี แต่ว่ามโนมยิทธิจะเป็นตัวที่ถอดจิตออกไปได้ ถ้าหากว่าอภิญญาใหญ่ที่เกิดจากกสิณ ๑๐ เขาไปกันทั้งตัว เขาเอาร่างกายนี้ไปเลย ไม่ว่าจะโลกไหน จักรวาลไหนก็เอาร่างกายนี้ไป
              หลวงพ่อท่านบอกว่า ไม่ชอบ เพราะว่าเอาตัวไปมันเหนื่อย ไม่เหมือนมโนมยิทธิถอดจิตไป ตัวนอนอยู่ตัวมันยังได้พักผ่อน ท่านก็เลยนิยมมโนมยิทธิมากกว่า เพราะฉะนั้น ลักษณะที่เราว่าก็คือฝึกมโนมยิทธิโดยตรงนั่นแหละ โดยอาศัยพื้นฐานของกสิณโดยเฉพาะ อาโลกสิณ-กสิณแสงแสว่าง โอทาตกสิณ-กสิณสีขาว เตโชกสิณ-กสิณไฟ เหล่านี้พอได้ทิพยจักขุญาณและอาศัยกำลังฌานที่ส่งเราไปจุดที่เราเคยเห็น
      ถาม :  การแผ่เมตตามีอานิสงส์ต่าง ๆ มากมาย เช่น เป็นที่รักของเทวดา มนุษย์ ก่อนตายจิตไม่หลง อานิสงส์แบบนี้เพียงแต่แผ่เมตตาอย่างเดียว หรือต้องเจริญฌาน แต่ถ้าหากบุคคลสามารถทรงอารมณ์เป็นฌานของพรหมวิหาร ๔ เป็นปกติอย่างนี้ อานิสงส์ก็คงจะมีมากประมาณไม่ได้ใช่หรือไม่ ?
      ตอบ:   ถ้าหากว่าพรหมวิหาร ๔ ถึงที่สุด คือพระอรหันต์แน่นอน พรหมวิหาร ๔ เขาหวังเอา ๒ จุดเท่านั้นคือ พระอนาคามีกับพระอรหันต์ ที่ว่าต้องทรงฌานหรือไม่นั้น ถ้าตอนท้าย ๆ ใช่แน่ เพราะท่านบอกว่า อะสัมมุฬโห กาลัง กะโรติ ตายก็ไม่หลง ตายถ้าไม่ทรงฌานหลงแน่ ๆ คำว่า พรัหมะโลกูปะโค โหติ เกิดขึ้นพรหมโลก คนไม่ทรงฌานเกิดในพรหมโลกไม่ได้ ไปทำวัตรจำได้ไหมอานิสงส์ ๑๑ ประการ สุขังสุปะติ ตื่นก็มีความสุข หลับก็มีความสุข ไล่ไปจนกระทั่งต้องเกิดในพรหมโลก
      ถาม :  คือต้องทรงให้เป็นฌาน อานิสงส์จึงจะมากใช่ไหมครับ ?
      ตอบ:   ต้องทรงฌาน ถ้าหากว่าทรงไม่เป็นฌานอานิสงส์น้อยไปหน่อย เท่าที่เคยปล้ำกรรมฐาน ๔๐ กองนี้ พรหมวิหาร ๔ อรูปฌาน ๔ ยากเย็นแสนเข็ญที่สุด พรหมวิหาร ๔ ยากกว่าอรูปฌาน ๔ อีก เพราะเป็นอารมณ์ใจแท้ ๆ ของเรา แต่สำหรับคนอื่นที่ท่านเป็นปกติน่าจะว่าง่าย แต่อาตมาว่าหินจริง ๆ
              สำหรับมีดหมอแล้ว รักษาโรคต่าง ๆ ที่หาสาเหตุไม่ได้ ส่วนใหญ่โรคจากไสยศาสตร์ที่เขาเรียกว่า คุณผีคุณคน แต่ถ้าน้ำมันพรายรักษายากที่สุด มันหายไม่เด็ดขาด อาการมันหมดไป แต่ถ้ากินอาหารที่เป็นน้ำมันเมื่อไหร่มันจะกำเริบใหม่ แล้วใครเลี่ยงการไม่กินน้ำมันได้บ้าง ยิ่งน้ำมันสัตว์ โดยเฉพาะพวกน้ำมันหมู น้ำมันไก่ ยิ่งกำเริบง่าย น้ำมันพรายมันเป็นน้ำมันของผี ซึ่งมันก็คือคนนั่นเองแหละ
              หลวงพ่อท่านบอกว่า ท่านพยายามรักษาแล้วรักษาอีก รักษาไม่หาย แต่ว่ามีอยู่ครั้งหนึ่งท่านฝึกมโนมยิทธิเต็มกำลัง ประมาณปี ๒๕๐๘ ท่านบอกว่ามีโยมคนหนึ่งดิ้นปั้บ ๆ ๆ อยู่ จนกระทั่งเลิกฝึกแล้วไปดูตรงที่ ๆ เขานั่ง ตอนแรกคิดว่าเหงื่อ ปรากฎว่าไม่ใช่ แต่เป็นน้ำมัน หลวงพ่อก็แปลกใจให้เณรมาเช็ดมาล้าง เสร็จแล้วก็เลยสอบถามโยมว่ามันเกิดจากอะไร แกบอกว่าแกโดนน้ำมันพรายมา รักษาเท่าไหร่ก็ไม่หาย อาการเป็นอย่างที่ว่านี้ พอวันรุ่งขึ้นมาแกก็ดิ้นอีกแต่ไม่แรงขนาดนี้ น้ำมันก็น้อย พอฝึกอีกวันปรากฏว่าคราวนี้มีนิดเดียว และตั้งแต่นั้นมาหายขาดเลย
              อันนี้มันเกิดจากวาระเวลานี่มันพอดี หลวงพ่อท่านบอกว่า ท่านก็ไม่นึกว่าการฝึกมโนมยิทธิเต็มกำลังจะรักษาเรื่องของน้ำมันพรายได้ คงอยู่ในลักษณะที่นึกถึงภาพพระ ภาพพระอยู่ข้างใน ของไม่ดีมันก็อยู่ไม่ได้ มันโดนดันออกหมด
              ส่วนอีกรายหนึ่ง ป้าเจือ พี่สาวของแม่ทองดี แกโดนน้ำมันพรายมา ๓๐ กว่าปี หน้าดำปี๋ รักษาอย่างไรก็ไม่หาย แกมาเข้าพิธีบวงสรวงที่นี่ แล้วแกเอาเทียนที่พุทธาภิเษกไป แกก็ไปจุดแล้วก็ภาวนาของแก แกโดนถึงขนาดเมียน้อยฝากให้ อันนั้นที่แกทำเขาให้ผีคุมแกไว้ เพื่อไม่ให้ไปอาละวาดกับเมียน้อย แล้วควบคุมผัวไปด้วย ในลักษณะถึงเวลาต้องการอะไรก็จะได้ แกบอกว่าบางทีแกอยากมาทำบุญใจจะขาด แต่มันเบลอนึกอะไรไม่ออกไปเฉย ๆ ทำกันขนาดนั้น ป้าเจือแกเอาเทียนไปด้วยความที่ว่าถึงวาระถึงเวลาของแกก็แล้วแต่ เพราะโดนมาตั้ง ๓๐ กว่าปีแล้ว ในบรรดาพี่น้องทั้งหมดป้าเจือแกจะดำเป็นถ่าน เพราะไปโดนเข้าโดยที่แกไม่รู้ตัว แกเอาเทียนไปจุดแล้วก็นั่างภาวนา เราก็ไม่ได้สอนแต่แกทำของแกเอง ภาวนาไป อยู่ ๆ เหมือนเทียนระเบิดโป๊ะ แกตกใจสุดขีดจนเหงื่อท่วม
              ปรากฏว่าพอสังเกตดูมันไม่ใช่เงื่อแต่เป็นน้ำมันทั้งนั้น ชุดที่ใส่ต้องทิ้งไปเลยเพราะเหม็นจนทนไม่ได้ ตั้งแต่นั้นมาแกขาวผิดปกติ พอกลับไปไม่นานเขารู้ว่าหายแล้ว เขาก็ทำซ้ำใหม่อีก เจริญไหมล่ะ มันเอาจนได้แหละ
      ถาม :  ใช้อย่างไรครับหลวงพี่ ?
      ตอบ:   มีดหมอใช่ไหม มีดหมอหากว่าไล่ผี ให้ใช้คำว่า นะโมพุทธายะ เป็นคาถากำกับ ถ้าหากว่าอยู่กับตัว เราก็แค่นึกถึง ส่วนใหญ่ถ้าเป็นผีทั่ว ๆ ไป แค่เราเหยียบบันไดบ้านหรือเหยียบเท้าเข้าบ้านมันก็เผ่นแล้ว มันไม่อยู่หรอก ถ้าหากว่ามันยังอยู่แสดงว่าเป็นพวกฤทธิ์มาก ดื้อจริง ๆ เอามีดหมอแตะหัว แล้วว่าด้วยคาถานะโมพุทธายะ มันก็จะไป