ถาม :  ตอนนี้ไม่มีกำเริบแล้วเหรอ กระดูก ?
      ตอบ :  เห็นเขาบอกว่าอย่าโดนซ้ำ ถ้าโดนซ้ำคราวนี้อาจตายได้ เพราะว่าคอมันหักซะทีหนึ่งแล้วนี่ ยังดีที่มันยังไม่เบียดประสาทขาด ถ้าเบียดประสาทขาดก็เรียบร้อย เขาบอกว่าถ้าเบียดประสาทหายใจก็เท่งทึงเสียตั้งแต่แรกแล้ว มันไปเบียดประสาททรงตัว
      ถาม :  ทำไมตั้งหลายวันกว่ามันจะออกอาการ ?
      ตอบ :  ไม่รู้ เรามันอึดผิดมนุษย์มะนาหรือเปล่าก็ไม่รู้ หรือมันทำงานไป ก้ม ๆ เงย ๆ จนกระทั่งมันเบียดเข้าพอดี วันที่ ๙ เมษา ไปออกอาการวันที่ ๑๔ ถ้านับหัวนับท้ายชนกันก็ ๖ วัน โดน ๖ วันอยู่โรงพยาบาล ๖ วัน ไปรักษาตัว ๖ วัน ลงด้วย ๖ หมดเลย ก็ขนาดเจอท่านปู่นายบัญชี ท่านก็บอกว่าอีก ๖ วันหาย จริง ๆ ด้วย วันที่ ๖ พอดีเป๊ะเลย เราก็สบายใจ อยากเป็นอะไรก็เป็น
              ตอนนั้นอาการแย่มากมองดูแค่นี้มองไม่ออกหรอกว่าใครเป็นใคร ใช้จำเสียงเอา กินยาปรับความดันเสียหูอื้อตาลาย ทุกคนเขาบอกว่าน้ำในช่องหูมันเสียระดับของมัน ความจริงคนละเรื่องเลย แล้วเห็นเราแตกมันเอ็กซเรย์แต่หัว ถ้าลงมาคอนิดเดียวก็เห็นแล้ว กรรมมันบังล่อเสียจนกระทั่ง ๑๘ วันเต็ม ๆ
      ถาม :  .........(ไม่มีเสียง)...........
      ตอบ :  การถวายอติเรกต่อในหลวงฟังดูเหมือนกับ........ยังไง ? ติดอ่างท่านจะใช้ อติเรก วัสสะสะตัง ชีวะตุ อติเรก วัสสะสะตัง ชีวะตุ ทีฆายุโกโหตุ อโรโคโหตุ ทีฆายุโกโหตุ อโรโคโหตุ เพราะว่าตอนสมัยรัชกาลที่ ๔ รัชกาลที่ ๔ ท่านเก่งบาลี ท่านชอบลองพระ พอถึงเวลาเลิกงาน ท่านขอพรเล่นเอาพระอึ้งเลย ก็เริ่มเลย อติเรก วัสสะสะสตัง ชีวะตุ ทีฆายุโกโหตุ อโรโคโหตุ ขอให้อายุยืนเป็นร้อยปี ควาวนี้มันต่อไม่ได้ มันก็ต้องซ้ำ เทศน์ของเก่า อติเรก วัสสะสะตัง วีวะตุ ทีฆายุโกโหตุ อโรโคโหตุ ขอให้เป็นผู้มีอายุยืนปราศจากโรคภัย มันต้องซ้ำเพราะว่าไปต่อไม่ได้ ฟังเหมือนยังกับติดอ่าง เขาลองกันขนาดนั้น
              เรื่องสนุก ๆ สมัยนั้นเยอะ อ่าน ๆ ดู รัชกาลที่ ๔ กับเจ้าคุณธรรมกิตติ ก็งัดข้อกันประจำ เพราะต่างคนต่างเก่ง สมัยก่อนเขาสอบบาลี เขาสอบปากเปล่าหน้าพระที่นั่ง พระเข้าไป ก็ อาสเน นิสินโน อันว่านั่งเหนืออาสนะ เจ้าคุณธรรมกิตติเขาบอกผ่านไม่ได้ นั่งเหนืออาสนะ ตูดต้องลอยเหนือพื้น (หัวเราะ) พระเขาก็แปลใหม่ อาสเน นิสินโน อันว่านั่งในอาสนะ รัชกาลที่ ๔ ตรวจ ผ่านไม่ได้ นั่งในอาสนะมันต้องฉีกผ้ามุดเข้าไป ( หัวเรา) ตกลงใครซวย คนแปลซวย นักปราชญ์เขาขัดคอกัน
      ถาม :  แล้วนั่งบนอาสนะ ?
      ตอบ :  สมัยนั้นเขานึกไม่ทันแปลปากเปล่า แปลปากเปล่านี่ สมเด็จพระสังฆราชสา ปุสเทโว ท่านแปลปากเปล่า ๙ ประโยค ท่านอยากจะใช้ชีวิตทางโลก ท่านก็สึก รัชกาลที่ ๔ สั่งจับขัง จับขังคุกเลย เอาผ้าไตรวางไว้หน้าประตู ถ้าออกมาก็ต้องบวช ถ้าอยากสึกอยู่ในคุกต่อไป ท่านเลยต้องออกมาบวช พอบวชเสร็จท่านก็.. เราสึกมาระยะหนึ่ง ความรู้มันจะแน่นหรือเปล่าไม่รู้เข้าแปลใหม่ แปลได้ ๙ ประโยคอีก เขาเลยเรียกมหาสา ๑๘ ประโยค
              ตอนหลังก็เลยเป็นสมเด็จพระสังฆราชสา ปุสเทโว มีองค์เดียวในประวัติศาสตร์ ๑๘ ประโยค เก่งขนาดนั้นนะ รัชกาลที่ ๔ ท่านเสียดาย สึกไปจะได้ประโยชน์อะไรกับทางโลกนักหนา เอาทางธรรมดีกว่า จนท่านได้เป็นพระสังฆราช
              เรื่องรัชกาลที่ ๔ ท่านเยอะ โดยเฉพาะงัดข้อกับสมเด็จวัดระฆัง หลวงพ่อโตวัดระฆังต่างคนต่างเป็นนักปราชญ์ใช่มั้ย ? ถึงเวลาท่านสร้างวังสระปทุม ที่ปัจจุบันเป็นวัด สระปทุมวนาราม มี หลวงพ่อพระเสริม พระพุทธรูปที่ได้จากลาว สร้างขึ้นมาสนมกำนัลก็เพลิดเพลินจำเริญใจ พายเรือเที่ยวในสระบัว สมเด็จพระพุฒาจารย์แจวเรือเข้าไปรับบาตร
              รัชกาลที่ ๔ ท่านก็ประเภทว่าภูมิใจสร้างวังได้สวย ก็ .....เป็นไงขรัวโต งามมากมั้ย ? สมเด็จพุฒาจารย์โตท่านบอก งามมากมหาบพิตร งามประดุจราชรถ โห! รัชกาลที่ ๔ โกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยงเลย ต่างคนต่างรู้กัน เพราะมันมีบาลีอยู่บทหนึ่งว่า เอตถะ ปัสสะถิมัง โลกัง จิตตัง ราชะรถูปมัง แปลความว่า สูเจ้าทั้งหลาย จงมาดูโลกนี้ที่งามประดุจราชรถ ซึ่งคนเขลาทั้งหลายหมกอยู่ แต่ผู้รู้หาข้องไม่ (หัวเราะ) ท่านบอกงามมากมหาบพิตร งามประดุจราชรถ รัชกาลที่ ๔ โกรธไฟแลบเลย แต่ท่านเป็นบัณฑิตท่านรู้ว่าโดนลองของ พอถึงเวลาท่านเลิกโกรธ ก็นิมนต์เข้ามาใหม่ ลองกันหนัก ๆ อย่างนี้
              บางทีโกรธขึ้นมาท่านสั่งถอดออกจากตำแหน่งเลย ยึดพัดยึดอะไรเกลี้ยงเลย ท่านก็เดินฉับ ๆ ของท่านกลับ สังฆการี วิ่งมานิมนต์บอกว่า ทรงหายกริ้วแล้วเอาพัดมาถวายคืน ท่านบอกไม่ได้ อันนี้เจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดินพระราชทานให้เท่านั้นไม่ใช่คุณ อาตมาไม่รับ รัชกาลที่ ๔ ท่านนิมนต์เข้าวังไปรับพัดเสียผ้าไตรซะอีกชุดหนึ่ง (หัวเราะ) เปล่าเขาเล่นกันนะ แล้วเสร็จแล้วองค์อื่นทำตามไม่ได้
              เจ้าคุณธรรมกิตติเลียนแบบทีหนึ่งโดนเลย เกือบจะสั่งเฆี่ยนไปแล้ว ทั้ง ๆ ที่เป็นพระ ก็ตอนที่เจ้าจอมประสูติเจ้าฟ้า ท่านเองพอดีเป็นวันทรงศีล วันพระ สมเด็จวัดระฆังท่านก็เทศน์ไปเรื่อย ไปเรื่อยท่านก็อยากรู้เต็มทีว่าลูกผู้หญิงลูกผู้ชาย ผุดลุกผุดนั่ง จะไปดูหน้าก็ไม่ได้ดูสักที เทศน์ไม่รู้จบน่ะ จนกระทั่งท่านทำใจ เอาล่ะเดี๋ยวฟังเทศน์จบแล้วค่อยไปดูก็ได้ ใจเย็นลงตั้งใจฟังเทศน์ ท่านก็เอวังด้วยประการละฉะนี้ แหม! เจ็บใจมากวันพระหน้านิมนต์ใหม่ ตั้งใจเต็มที่เลยทรงผ้าไปเพื่อเตรียมฟังเทศน์โดยเฉพาะ ท่านขึ้นธรรมาสน์เสร็จ ใด ๆ มหาบพิตรรู้ดีอยู่แล้ว เอวังก็มีด้วยประการละฉะนี้ รัชกาลที่ ๔ ท่านก็อะไร ? วันพระที่แล้วนี่อยากจะไปดูหน้าลูกไม่ได้ดูสักที วันพระนี่ตั้งใจฟังเทศน์จบเอาง่าย ๆ ตอนที่ไม่อยากฟังเทศน์ซะยาวเลย ท่านบอกว่าการฟังเทศน์เพื่อชำระจิตใจให้มันบริสุทธิ์ ให้มันเยือกเย็น มหาบพิตรใจร้อนอยู่ก็ต้องเทศน์ให้มันเย็นให้ได้ถึงจะเลิก แต่วันนี้ดีอยู่แล้วจะไปเทศน์ทำไม (หัวเราะ)
              เจ้าคุณธรรมกิตติเลียนแบบมั่ง ขึ้นธรรมาสน์ถึงใด ๆ มหาบพิตรก็รู้อยู่แล้ว เกือบโดนจับเฆี่ยน ท่านบอกท่านยกให้ขรัวโตองค์เดียว ท่านรู้ว่าสมเด็จวัดระฆังท่านเป็นพระดีขนาดไหน สิ่งต่าง ๆ ที่ท่านให้มาเป็นข้อคิดเป็นอะไรล้วนแล้วแต่เป็นประโยชน์ทั้งสิ้น ทุกอย่างเป็นปริศนาธรรมแล้วก็เป็นเรื่องที่ว่าเจตนาที่จะสงเคราะห์ท่านโดยเฉพาะ ท่านรับได้ โกรธแค่ไหนท่านก็รับได้ แต่องค์อื่นอย่ามาเลียบแบบ เลียนแบบแล้วจะจับสั่งเฆี่ยนทั้งที่เป็นพระ (หัวเราะ)
      ถาม :  หมายถึงท่านไม่นับถือองค์ไหนเลยหรือ ?
      ตอบ :  ไม่ใช่ว่าไม่นับถือ นับถืออยู่ แต่ว่า ... ลักษณะอย่างนี้ยกให้องค์เดียว จนกระทั่งคนเขาลือกันว่าขรัวโตเป็นปาปมุติ ปาปมุติหมายถึงผู้พ้นจากบาปทั้งปวงแล้ว หมายถึงพระอรหันต์เท่านั้น ทำอะไรก็ไม่ผิด ขนาดสั่งเนรเทศออกจากแผ่นดินนี่
              สมเด็จพระพุฒาจารย์ท่านนอนเขลงอยู่ในโบสถ์ไม่ไปไหนหรอก สังฆการีไปถึงก็บอกนิมนต์ไปได้เลยครับเพราะว่าไม่ให้อยู่ในแผ่นดินแล้ว ท่านบอกว่านี่ไม่ใช่แผ่นดิน นี่เป็นเขตสงฆ์ เขาเรียกว่า เขตสีมา มันเป็นเขตของสงฆ์ ไม่ใช่เป็นเขตของพระเจ้าแผ่นดินท่านเพราะฉะนั้นท่านอยู่ของท่านได้ จนกระทั่งต้องยอมยกโทษให้ ก็จริงของท่าน พระราชทานให้เป็นพุทธาวาสไปแล้วใช่มั้ย ? มันไม่ใช่เขตในรับผิดชอบของท่านแล้ว ไม่ใช่เขตการปกครองของท่านแล้ว เป็นเขตของวัด เขตของพระนอนตีพุงสบาย ไล่ไม่ไปหรอก คนดีซะอย่าง
              สมัยเก่า ๆ ลองไปอ่านดู ที่เลวก็ไม่มีที่ติเลย บทลงโทษพระโทษอะไรนี่ว่าทำไมเขาลงโทษกันรุนแรงถึงขนาด บางทีถึงกับจับเฆี่ยนคือที่ผิดจริง ๆ ปราชิกก็มี รัชกาลที่ ๔ น่ะท่านมีเจ้าฟ้าอยู่องค์โต คือพระองค์เจ้ายอดยิ่งเยาวลักษณ์ โดนถอดออกเพราะว่าไปท้องกับวัดไหนจำไม่ได้ เขาเล่นปีนตึกหากัน ตอนแรก ๆ หมอตรวจก็บอกว่าเป็นโรคท้องมาน ท้องมานนี่ท้องมันจะโตไปเรื่อย ๆ ลักษณะคล้ายกับอาหารไม่ย่อยหรืออะไรอย่างนั้น มานไปมานมาคลอด กลายเป็นว่าท้องกุมาร ก็เลยโดนถอดจากยศ โดนลงโทษ
              รุ่นนั้น รู้สึกท่านจะเป็นพี่สาวใหญ่ของกรมพระยาวชิรญาณวโรรส สมเด็จพระสังฆราชสมัยรัชกาลที่ ๕ แล้วก็มี ยิ่งเยาวลักษณ์ พักตร์พิมลพรรณ เกษมสันต์โสภาค มนุสสนาคมานพ บรรจบเบญจมา พระองค์เจ้ามนุสสนาคมานพ ก็คือกรมพระยาวชิรญาณวโรรส เป็นสมเด็จพระสังฆราชสมัยรัชกาลที่ ๕ จนกระทั่งถึงที่ ๖ เล่นเอาพี่สาวใหญ่เลย โดนจับถอดยศ กลายเป็นหม่อมยิ่งเฉย ๆ
              เรื่องโบราณ ๆ ต้องมีของโบราณ ๆ อยู่บ้าง ไม่เช่นนั้นจำยาก ถ้าไม่มีของโบราณอยู่บ้างจำไม่ค่อยได้ ชื่อสมัยนั้นเขาเพราะนะ คล้อง ๆ กันหมด ยิ่งเยาวลักษณ์ พักตร์พิมลพรรณ เกษมสันต์โสภาค มนุสสาคมานพ บรรจบเบญจมา ของรัชกาลที่ ๕ ก็มี จันทราสรัสวาร เยาวมาล์นฤมล ยุคลทิฆัมพร นภาจรจำรัสศรี มาลินีนภดารา นิภานภดล เขาเรียกพวกเจ้าฟ้า อยู่บนฟ้าหมด นิภาก็ฟ้า นิภานภดล แปลว่าสว่างถึงฟ้าเลย จันทราสรัสวาร พระจันทร์ก็อยู่บนฟ้า
              ของรัชกาลที่ ๕ ท่านก็มีจุฬาลงกรณ์ จันทรมณฑล จาตุรณรัศมี ภานุรังษีสว่างวงศ์ เคยได้ยินมั้ย ? ลูกแม่เดียวกันก็จะชื่อคล้อง ๆ กัน จุฬาลงกรณ์ จันทรมณฑล จาตุรณรัศมี ภานุรังษีสว่างวงศ์ แล้ว รัชกาลที่ ๖ ก็ มหาวชิราวุธ จุฑาธุชธราดิลก ประชาธิปกศักดิเดชน์ ๓ องค์ ๒ รัชกาล แต่สมเด็จย่าของเรา ๒ องค์ ๒ รัชกาล (หัวเราะ) ถึงว่าสมเด็จย่านี่นับแล้วจะเป็นผู้หญิงที่มีบุญมากที่สุด จากสามัญชนมีลูกเป็นพระเจ้าแผ่นดินสองพระองค์ สมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรีนั้นท่านพูดง่าย ๆ ก็คือเชื้อพระวงศ์ แต่ว่าสมเด็จย่านี่เป็นสามัญชน จากนางสาวสังวาลย์ ตะละภัฏ ขึ้นไปเป็นสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี แล้วสมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรีท่านมากกว่า อันนี้มี ๒ องค์เป็นทั้งคู่
              เรื่องของการสืบสันติวงศ์นี่ขึ้นอยู่กับบุญบารมีเหมือนกัน พอสิ้นรัชกาลที่ ๗ ไม่ใช่คิวของในหลวง รัชกาลที่ ๘ ที่ ๙ เลย เพราะว่าตอนนั้น เขาเรียกว่าสายตรงไล่ตามอาวุโสลงมา อาวุโสสูงสุดก็คือเจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนารถ กรมหลวงพิษณุโลก ประชานารถ ท่านทิวงคตเสียก่อนมาลูกชายใครล่ะ ? พระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์แม่เป็นแหม่ม เลยไม่ได้ตัดไป ถัดมาก็ต้อง กรมขุนเพชรบูรณ์อินทราชัย กรมหลวงนครราชสีมา ทิวงคตหมด แล้วก็สมเด็จเจ้าฟ้ายุคคลทิฆัมพร กรมหลวงลพบุรีราเมศวร์ ท่านก็ทิวงตคต ต้องใช้คำว่าทิวงคต ทิวงคตลูกคือใครล่ะ ? ชายใหญ่ ชายกลาง ชายเล็ก ชายใหญ่ก็พระองค์เจ้าภานุพันธ์ยุคคล พระองค์เจ้าเฉลิมพลทิฆัมพรนี่ชายกลาง พระองค์เจ้าอนุสรณ์มงคลการนี่ชายเล็ก นี่สายตรงนะท่านมีสิทธิ์เป็นก่อนนะ แต่ ๓ องค์นี่ไม่ล่ะ มันเล่นปฎิวัติขนาดถอดพระเจ้าแผ่นดิน ถ้าเป็นก็แย่สิ ท่านก็สละสิทธิ์
              พอสละสิทธิ์มา พระองค์เจ้าวรานนทวัชนี่ท่านประพฤติองค์เป็นเพลย์บอยเลย ใครก็ไม่ศรัทธาอยู่แล้ว เลยหลุดไปอีกองค์ แล้วก็มาถึงกรมหลวงสงขลานครินทร์ ท่านเองทิวงคตก็เหลือลูก จริง ๆ แล้วลูกของท่านนี่จากสามัญชนนี่เป็นหม่อมเจ้าเท่านั้น ทำความดีเลื่อนขึ้นมาเป็นพระวรวงศ์เธอพระองค์เจ้า ไม่ใช่พระเจ้าวรวงศ์เธอ เป็นแค่วรวงศ์เธอพระองค์เจ้า เลยขอสมเด็จย่าไป ก็ให้พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอานันทมหิดลไป พอรัชกาชที่ ๘ ไปต้องพระแสงปืนสวรรคต มาถาม ไม่ต้องแล้ว คนเก่าปฎิเสธหมด คราวที่แล้วให้ออก คราวนี้ฆ่าเลย ต้องมาถึงสมเด็จย่าอีก
              สมเด็จย่าถึงได้บอกว่าเอาลูกฉันไปฆ่าคนหนึ่งแล้ว ยังจะเอาอีกเหรอ แต่ว่าเพื่อประเทศชาติท่านก็สละให้ คิดดูว่าจากที่ไม่มีอยู่ในคิวสืบสันตติวงศ์ ยังไง ๆ ก็มาไม่ถึง เป็นได้ เป็นซะ ๕๐ กว่าปีด้วยเรื่องของบุญเรื่องของบารมี ถึงได้บอกว่าแข่งเรือแข่งพายแข่งได้ แข่งบุญวาสนาแข่งไม่ได้ เรื่องของในรั้วในวังต้องใกล้ ๆ หน่อย ไม่งั้นจำยากไล่ลำดับยาก ใกล้รั้วใกล้วัง บางทีผ่าน ๆ บอกว่า ตรงนี้ ยังงี้ โยมเขาก็ถามว่ารู้ได้ไง บอกว่าเคยแก้ผ้าวิ่งอยู่แถวนี้ เขาคิดว่าเด็ก ๆ เราอยู่แถวนี้ (หัวเราะ) มันก็จริง ๆ เด็ก ๆ เราอยู่แถวนั้นแต่เด็ก ตอนไหนเราไม่บอก
              สิ้นรัชกาลที่ ๑ คนเขาบอกว่า มันยังอยู่หน้าศึกหน้าสงคราม รัชกาลที่ ๒ ท่านอ่อน ท่านไม่เก่ง คือท่านไปถนัดเรื่องของ ศีลปะต่าง ๆ แทน คนก็โหยหาเลยว่าจะมีใครมาเก่งแบบนี้อีกหนอ มีรัชกาลที่ ๕ สิ้นรัชกาลที่ ๕ นี่ จีน พราหมณ์ แขก ร้องไห้กันระงมเลย ขนาดคนจีนเขาร้องไห้กันทั้งสำเพ็ง บอกว่าจะหาฮ้องเต้ดี ๆ อย่างงี้ได้ที่ไหน พอองค์ใหม่ขึ้นมาอาจจะไม่ให้อยู่
              พอสิ้นรัชกาลที่ ๕ ก็มีรัชกาลที่ ๙ เพราะฉะนั้นมันเป็นช่วงเป็นจังหวะ องค์อื่น ๆ ไม่ใช่ว่าไม่สำคัญนะ เหมาะสมตามวาระตามเวลาทั้งหมด แต่ว่า วาระนั้น เวลานั้นเรื่องเด่น ๆ อย่างอื่นมันไม่มี อย่างรัชกาลที่ ๓ ท่านเหนื่อย ๓ รัชกาลเลย เพราะว่า ท่านทำงานแทนพ่อหมดถึงขนาดพ่อมีเวลาไปนั่งแกะสลักประตูวัด รัชกาลที่ ๒ เขาถือว่าฝีมือช่างนี่เยี่ยมยุทธเลย แกะสลักประตูวัด....วัดสุทัศน์หรือเปล่า ? ที่ท่านแกะสลักเสร็จท่านโยนเครื่องมือทิ้งน้ำไปเลย เพราะไม่มีใครเลียนแบบได้อีกแล้ว แล้วมารัชกาลของท่านเองท่านก็ต้องเหนื่อยต่อ เพราะช่วงนั้นพวกอังกฤษเริ่มยึดครองด้านตะวันออกไกลอีก
              แล้วท่านต้องเหนื่อยแทนรัชกาลทที่ ๔ อีกหาเงินให้เข้าท้องพระคลังหลวงเพื่อให้น้องรัชกาลที่ ๔ จะได้ไม่ต้องลำบากเพราะว่าน้องบวชพระอยู่ ทำมาหากินไม่เป็น ใคร ๆ ก็บอกตอนแรกว่ารัชกาลที่ ๓ แย่งสมบัติน้อง แต่ความจริงไม่ใช่ ถ้าท่านไม่รับรัชกาลที่ ๔ ขึ้นมาอาจตาย เพราะรัชกาลที่ ๔ ท่านอ่อน ใจของท่านเรียกว่าอ่อนโยนไม่เข้มแข็ง ไม่เป็นที่เชื่อถือของบรรดาเสวกามาตย์ทั้งหมดในช่วงนั้น
              ถ้าหากว่ารัชกาลที่ ๔ ขึ้น เหล่าพวกขุนพลศึกแม่ทัพต่าง ๆ ที่จะคิดแทนทำแทนเจ้านายตัวเองมีก็อยากจะต้องการให้กรมหมื่นเจษฏาบดินทร์ขึ้นครองราชย์ อาจปฎิวัติรัฐประหารแล้ว รัชกาลที่ ๔ ท่านจะรอดมั้ยล่ะ ? เพราะว่าท่านเองท่านทำงานแทนพ่อมาตลอด คนเขาเห็นฝีมือ เขาเชื่อถือยกท่านขึ้นเป็น ท่านเป็นพระมหากษัตริย์องค์เดียวของราชวงศ์จักรีเถลิงถวัลย์ราชสมบัติโดยไม่ได้สวมมหาพิชัยมงกุฏ พอพราหมณ์ทั้งหมดยกมหาพิชัยมงกุฏถวาย ท่านวางไว้ข้างพระองค์บอกว่าเก็บไว้ให้น้องเขา แล้วคนจะเอาจะทำอย่างนั้นทำไม ?ท่านได้แต่รักษาสมบัติไว้แทนน้องเท่านั้นเอง แล้วท่านได้ช่วยหาเงินเข้าพระคลังหลวงอย่างชนิดที่เรียกว่าเหลือเฟือเลย บอกว่าขอไว้แค่สามหมื่นชั่งเศษ ๆ เอาไว้บำรุงวัดที่ท่านช่วยสร้างไว้ ๓๐ ๔๐ วัดที่เหลือนั้นยกให้หมดเลย ท่านเหนื่อยแทน รัชกาลที่ ๔ ตอนนั้นท่านเป็นสมเด็จเจ้าฟ้าอยู่ ก็เข้ามาถวายบังคมความยินดีตามแบบคราวนี้มันอาจมีบรรดาเจ้าใหญ่นายโตเคลื่อนไหวรุนแรงพึงพับไป ท่านก็ตกใจจนตัวสั่น รัชกาลที่ ๓ บอกไม่ต้องกลัว ถ้าท่านยังอยู่ไม่มีใครทำอะไรได้ รัชกาลที่ ๔ ท่านไปบวชเป็นพระ คล้าย ๆ กับว่าหนี ราชภัย
              สมัยก่อนไปบวชนี่ถือว่าพ้นจากโทษทั้งปวงแล้ว เป็นคนของพระศาสนาไป คราวนี้ที่ท่านตั้งธรรมยุติขึ้นมา อันดับแรกก็คือว่า ต้องการจะเห็นสงฆ์ที่เคร่งครัดในพระธรรมวินัยแบบพระมอญขึ้นมาบ้าง อันดับที่สองก็คือว่าถ้ามีคนเขานับถือตามเป็นจำนวนมาก ก็มีกำลังพอที่จะต่อรองกับรัชกาลที่ ๓ ท่านได้ มีเพาเวอร์ของตัวเองบ้าง นั่นเป็นส่วนลึก ๆ อยู่ในใจ เพราะฉะนั้นองค์เดียวเหนื่อย ๓ รัชกาล แต่ว่าคนไม่ค่อยเห็นความดีท่านหรอก
              ปัจจุบันนี้ยังเหนื่อยต่อเป็นพระสยามเทวาธิราชอยู่ รัชกาลที่ ๓ (หัวเราะ) เพราะฉะนั้นไม่ใช่เหนื่อยแค่ ๓ รัชกาลนะ สอง สาม สี่ ห้า หก เจ็ด แปด เก้า ๘ รัชกาลแล้ว