ถาม :  อาการตัวลอยมันเป็นเพียงอาการเฉย ๆ หรือว่า
      ตอบ :  มันลอยไปจริง ๆ อาตมากล้ายืนยัน เพราะตัวเองเกือบจะโดนพัดลมฟันตายมาแล้ว ภาวนาไป ๆ มันรู้สึกมีอะไรวับ ๆ อยู่ข้างเอว ก็เลยลืมตาขึ้นมาดู พัดลมเพดานมันยาวลงมาประมาณ ๒ ศอก ไอ้เราลอยขึ้นมามันวับ ๆ อยู่ข้างเอว พอลืมตาเห็นตกใจสมาธิหลุด หล่นดังพลั่ก ตั้งแต่นั้นมาเป็นบทเรียน ว่าถ้าภาวนานี่ต้องปิดพัดลมก่อนอันตรายมาก
      ถาม :  ถ้าโดน เป็นอะไรรึเปล่า ?
      ตอบ :  ถ้าหากว่าโดนกำลังฌานมันน่าจะคุ้มได้นะ แต่เราเองอย่าไปเสี่ยงกันได้ก็กันไว้ก่อน
      ถาม :  แต่ฟังเหมือนกับยังได้ยินเสียงภายนอก ?
      ตอบ :  ตัวนั้นมันเป็นแค่อุปจารสมาธิ เท่านั้น มันได้ยินเป็นปกติอยู่แล้ว แต่เรากำลังเพลินก็ไม่ได้สนใจ พอมันรู้สึกบึบ ๆ อยู่ข้างเอวเลยลืมตาดู (หัวเราะ) ลอยจริง ๆ มีหลายทีมันลอยในลักษณะว่าพุ่งขึ้นไป เราก็กลัวไง มันเลยไปแปะติดกับเพดานอย่างกับจิ้งจก นอนภาวนา มันลอยไป มันแปะติดอยู่ คราวนี้มันแปะแรงไปจมูกมันบี้หายใจไม่ออก เฮ้ย ! กูจะหายใจได้มั้ยวะนี่ ? (หัวเราะ) สนุกดี บางทีมันหมุนไปรอบ ๆ ห้อง เราปิดประตู ปิดหน้าต่างหมด มันไปไหนไม่ได้มันก็หมุนเลาะข้างฝาไปเรื่อย คือเรารู้สึกเบื่อหรือรำคาญมันก็กลับที่เดิมเป๊ะเลย
      ถาม :  เหมือนกับเรานอนปกติ ?
      ตอบ :  เหมือนทุกอย่างเลย อยู่ท่าไหนมันลงท่านั้น ลงที่เดิมเป๊ะไม่มีพลาดเลย อย่างกับมันจำได้
      ถาม :  แต่ถ้าเกิดไม่ใช่ที่เดิมนี่แสดงว่าเรานอนดิ้นใช่ไหม ?
      ตอบ :  มิสิทธิ์เหมือนกัน แต่ว่าลอยไปข้างนอก ประเภทไม่ได้ปิดประตูไม่ได้ปิดหน้าต่าง ถ้าลอยไปข้างนอกก็รักษาสมาธิให้ดี ถ้าสมาธิคลายมันจะหล่น คราวนี้ต้องเดินกลับ หลวงพ่อท่านเล่าให้ฟังว่ามีพระวัดบางนมโคองค์หนึ่งลอยไปกลางทุ่ง ๒ กม. ลืมตาขึ้นมาตกใจเลยหล่นพลั่ก เดินกลับ ๒ กม.กว่า นี่เดินแย่เหมือนกันนะ
      ถาม :  หลวงพี่เล่านี่ประเภทลอยแต่ภายในออกหรือเปล่า ?
      ตอบ :  กายในลอยออกไปอย่างเดียวก็มี พวกนั้นจะอยู่ในลักษณะว่าถอดมโนมยิทธิเต็มกำลัง ลักษณะนั้นถึงเวลาไปได้ไกลก็กลับ เพราะว่าไม่รู้ว่าจะไปยังไงต่อ บางทีมันเผลอหลุดออกไปไม่ทันได้ภาวนา ไม่ทันได้พิจารณา มันออกไปมืดตื๋อเลย เปะปะ ๆ ไปพักหนึ่งไปไหนไม่ถูกก็กลับ
      ถาม :  อยู่คนเดียวนี่มันก็โล่งดี แต่เวลาออกไปฝึก เวลาเดินไปตามห้างนี่ ไหลทุกทีครับ ?
      ตอบ :  นั่นสติเราตามไม่ทัน สติเราไม่ทันมัน เราปล่อยให้ตัวกิเลสมันกำเริบขึ้นมาก่อน ถ้าตัวกิเลสมันกำเริบขึ้นมาก่อน สติเราไปยับยั้งมันนี่ไม่ทันแล้วกำลังเขาเหนือกว่าเรา เขาคล่องกว่าเยอะ ในเมื่อเขาคล่องกว่าเยอะ ถ้าเวลาไหลตามมันไปก็เป็นอันว่าเสร็จ กว่าจะรู้ตัวบางทีไปเป็นชั่วโมง เป็นชั่วโมงนี่ถือว่าเร็วแล้วนะ บางคน ๓-๔ วัน กว่าจะรู้ตัว มันจูงจมูกไปถึงไหนแล้วก็ไม่รู้
      ถาม :  มันไหลแล้วเราตามยากหรือ ?
      ตอบ :  คือ กำลังมันเหนือกว่าเราอยู่แล้ว ความชำนาญในทางไม่ดีมันมากกว่าอยู่แล้ว ถ้าหากเปิดโอกาสให้มันนี่เป็นอันว่าเราเสร็จมัน บางคนก็พังเป็นเดือนเลย
              ถ้าหากว่าเราถนัดตามห้างก็เอาตามห้าง อาตมาเองถนัดตามป้ายรถเมล์ เห็นหน้าคนที่รอรถเมล์น่ะ โอ้โห !มันทุกข์สาหัสทุกคนเลย หน้านิ่วคิ้วขมวดดูนาฬิกาแล้วดูนาฬิกาอีก ชะโงกแล้วชะโงกอีก เมื่อไหร่รถคันที่ตัวเองจะมา จนกระทั่งบางทีเขาไปตั้งข้อสังเกตว่า รอคันไหนคันนั้นมันจะไม่มา (หัวเราะ) หน้าตาไม่มีใครมีความสุขเลย ไปนั่งดูได้
              คราวนี้มันอยู่ที่เราชอบแบบไหน ชอบพิจารณาทุกข์หรือชอบแบบพิจารณาความเป็นจริงของร่างกาย เลือก ๆ เอาว่าแล้วแต่เราถนัด ของอาตมานี่ถนัดป้ายรถเมล์ ชอบมากเลย
      ถาม :  ร้อน ๆ นะครับ ?
      ตอบ :  ดูแล้วสงสาร ยิ่งถ้าขึ้นรถเมล์ไปด้วย แสงชัยเคยไปร้องไห้บนรถเมล์มาแล้ว ขึ้นไปถึง พอเห็นเขา โอ้โห ! โลกนี้ทำไมมันทุกข์ขนาดนี้ แต่คราวนี้มันอายเขาพยายามกลั้นไว้ ถนัดที่ไหนก็ที่นั้นแหละสนามรบของเรา รบกับกิเลส รบในเมืองถ้าชนะแล้วชนะเลย รบในป่านี่สงบลงไม่แน่ว่าจะชนะเขา ออกมาอาจจะแพ้ก็ได้
      ถาม :  หมายถึงว่า เหมือนเปรียบกับอารมณ์ ๒ อย่าง มันจะเห็นชัดเจนเลย มันอยู่ที่ว่า การ...(ฟังไม่ชัด)... เนี่ย ออกตัวไหลเป็นก้อนอยู่ในประสาท แต่คิดว่าไหลแล้วเนี่ย ตอนเย็นอาบน้ำท่าเดินออกไปเลย ไปถึงโดนซัดตูมเลย....(ฟังไม่ชัด)...
      ตอบ :  ระวังไว้ให้ดี แต่ว่าอย่างว่าแหละโอกาสพลาดมันเยอะ พระนี่ขนาดมีศีลเป็นเครื่องคุ้มยังพลาดแล้วพลาดอีก เพราะฉะนั้นชีวิตฆราวาสนี่ กิเลสโอกาสที่มันจะกินเรามีมากกว่านะ ต้องระวังให้ดี เผลอเมื่อไหร่ อย่าคิดว่ามันจะเลี้ยงเรา มันกลัวเราหนี มันตีตายใส่โซ่เลย (หัวเราะ)
      ถาม :  ตอนเป็นฆราวาสในการทำงาน ทำงานในการเป็นพระกับทำงานเป็นฆราวาสนี่ ได้สัมผัสที่ต้องเจอกับผู้คนต่าง ...?
      ตอบ :  เหมือนกัน แต่ว่าทำงาน ตัวอารมณ์กระทบ คือ ตัวปฎิฆะกับโทสะ มันจะมีมากกว่า เหตุที่มีมากกว่า เพราะว่าในความเป็นพระนี่คนเขารู้อยู่แล้วว่าเราอยู่ในฐานะอันสูงเขาก็ไม่พยายามที่จะขัดคอขัดใจเรา
              เพราะฉะนั้นถ้าหากว่าเป็นฆราวาส ตัวปฎิฆะที่จะก่อให้เกิดโทสะจะมีเยอะกว่า แต่ถ้าของพระมันกลายเป็นว่ามีศีลเป็นกรอบกำหนดอยู่ มันจะกระทบกับตัวราคะมากกว่า จากคนที่เราไม่เคยสนใจเขาเลยอาจจะไปแอบมองเขาเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ มันต่างกันคนละจุด แต่ถ้าอยู่ในลักษณะของการสู้กับมันคล้าย ๆ กัน เพียงแต่ว่าจุดที่จะโดนมันมาคนละจุดกัน แต่ว่าบางคนนี่วิสัยเดิมของเขามาจากพื้นฐานของโทสะถึงบวชเป็นพระแล้วก็จะมีเรื่องของโทสะมากวนอยู่เรื่อย
      ถาม :  เรื่องของโทสะจะเข้ามากวนอยู่เรื่อยใช่มั้ย ?
      ตอบ :  ใช่ ถ้าวิสัยเดิมของเขามาจากโทสะมันก็จะมีเรื่องของโทสะมากวนอยู่ตลอดเวลา เพราะรู้ว่าจุดอ่อนเราอยู่ตรงนั้น แล้วอีกอย่างจะตัดตัวไหน ตัวนั้นมักจะมาลอง ยิ่งตัดยิ่งเยอะ

      ถาม :  อย่างพระที่อื่นเข้าป่าแล้วภาวนา แล้วก็บรรลุ แต่ว่าทำไมสายเราอย่างหลวงพ่อนี่ไม่เคยพาเราไปบ้าง ?
      ตอบ :  ใครว่าไม่บรรลุ บรรลุ ก็ไปภาวนาสิไม่มีใครห้ามแต่อาจจะ ๕๐ ปี แต่ขณะเดียวกันว่าเราสู้กับงานอาจจะเหลือแค่ ๒๐-๓๐ ปี การที่เรากระทบกระทั่งกับคนรอบข้าง ถ้าเราเป็นผู้ที่ตั้งใจลดละเลิกทั้งหลายจริง ๆ มันก็จะมีเครื่องทดสอบอยู่ตลอดเวลา เราจะรู้ระดับกำลังใจของเรา เราก็จะสามารถที่จะแก้ไขไปได้ตลอด มีการพิจารณาทบทวนอยู่เสมอ ๆ
              ไอ้ตรงนี้เรายังสู้ไม่ได้นี่หว่า คราวหน้าต้องระวังให้มากกว่านี้ อะไรทำนองนี้ เป็นต้น แต่ถ้าเราไปภาวนาในป่า ตัวกระทบอย่างนี้ไม่มี บางทีกิเลสของมันอาจจะโดนกดไว้เฉย ๆ มันไม่ได้ตาย พอเราออกมากระทบปังเดียวเท่านั้นเอง ไอ้ ๔๐- ๕๐ ปี ที่เสียเวลาภาวนาเป็นอันว่าหมดเกลี้ยงเลย
      ถาม :  แต่ก็เหมือนเดิมนี่ทำ ๓ ครั้ง
      ตอบ :  ตอนนั้นถ้าพิจารณาสักหน่อยจะชัดมากเลย นั่นแหละมโนมยิทธิเต็มกำลัง (หัวเราะ) คือมันจะเผลอ ๆ ตอนที่ใจของเรามันไม่ได้นึกอยากไปแต่ความตั้งใจเดิมของเรามันเคยมีอยู่แล้วว่า ถ้ามันไปได้พอถึงเวลามันลงตัวโป๊ะมันก็ไปเลย
      ถาม :  ผมก็ภาวนา นะ มะ พะ ธะ เหมือนกันครับ ?
      ตอบ :  แต่คราวนี้ของเรานี่มันไม่ได้ภาวนาพิจารณาให้มันมั่นคง โดยเฉพาะตัวพิจารณา พอขาดการพิจารณามันไม่ชัดเจนไม่สว่าง บางทีมันมืดตื้อเหมือนอย่างกับงมถ้ำ คลำไปคลำมาไปไหนไม่ถูกกลับดีกว่า
      ถาม :  มันเหมือนกับมันพุ่งไม่สิ้นสุดน่ะ ผมก็ เอ๊ะ!จะไปไหนหว่า แต่ความรู้สึกจับได้ว่าหลวงพ่อท่านมาด้วย จะรู้สึกเลยว่าหลวงพ่อท่านมาก็แค่นั้นเอง
      ตอบ :  คราวหน้าก็ไม่ต้องกลัวสิ ตั้งใจว่าพระอยู่ที่ไหนเราไปตรงนั้นน่ะ (หัวเราะ)
      ถาม :  กลัวแบบตื่นเต้นน่ะครับนึกอะไรไม่ทัน
      ตอบ :  คราวนี้เข้าใจแล้วยังว่าคำว่า ไม่กลัว ๆ เราไม่กลัวแต่ปาก พอออกไปอย่างนั้นจริง ๆ มันเสียว ๆ ใช่มั้ย ? นั่นแหละตัวกลับเลยล่ะ เพื่อนเขาเคยไปวัดท่าซุงรึยัง ?
      ถาม :  ยังครับ
      ตอบ :  ไปซะหน่อย แล้วก็ไปเดินซะ เดินวนให้รอบวัด ถ้าปัญญามีพอมันจะเลิกสงสัยในพระรัตนตรัยไปตลอดชีวิตเลย
      ถาม :  เดินรอบวัดนี่นะครับ ?
      ตอบ :  นั่นแหละจะได้รู้ไว้ วัดท่าซุงปี ๒๕๒๘ นะ ๒๕๒๘ หลวงพ่อก่อสร้างไปประมาณ ๓๐๐ ล้านบาท แต่ว่าเขาตีราคามูลค่าสิ่งของให้ราว ๆ ๔,๐๐๐ ล้านบาท เหตุที่เขาตีราคาขนาดนั้นเพราะว่า อย่างศาลา ๒ ไร่ นี่เขาตีราคา ๑๒๐ ล้านบาท หลวงพ่อท่านก็เลยสร้างไม่ไหว ท่านลงทุนทำเองทั้งหมด แค่ ๗ ล้านกว่าบาทก็อยู่แล้ว เพราะฉะนั้นราคามาตรฐานของเขากับราคาแท้จริงที่หลวงพ่อทำมันเลยต่างกันมาก
              คราวนี้เราลองคิดดูว่า ๔,๐๐๐ ล้านบาทนี่ ถ้ามันเป็นงบประมาณของกระทรวงหนึ่งมันก็กระจ้อยเลย ใช่ไหม ? แต่ว่าหลวงตาแก่บ้านนอกองค์หนึ่งสามารถสร้างศรัทธาญาติโยมได้ถึงขนาดนั้น เดินดูมัน เข้าไปถ้ามันไม่หลงตายซะก่อน สักชั่วโมงกว่า ๒ ชั่วโมง มันคงทั่ว ถึงเวลานั้นมันจะได้เลิกสงสัยว่า สังโฆอัปมาโณ เป็นยังไง ? คุณของพระสงฆ์เป็นยังไง ถ้าปัญญามันมีมันจะคิดออกไปเอง ตอนเหนื่อยลิ้นห้อยมันจะรู้เอง
      ถาม :  น้ำฝาดเป็นยังไงคะ คำว่าผ้าย้อมน้ำฝาด
      ตอบ :  น้ำฝาดนี่มันมาจากภาษาบาลีว่า กาสาวะ แปลว่า น้ำฝาด คือ น้ำต้มจากเปลือกไม้ หรือว่าน้ำต้มจากเเก่นไม้
      ถาม :  แล้วส่วนใหญ่สมัยก่อนนี่เอาผ้าจีวรพระย้อมมาจากน้ำต้มมาจากแก่นอะไร ?
      ตอบ :  ส่วนใหญ่เป็นไม้ขนุนหรือไม่ก็อย่างเหง้าไม้อย่างขมิ้น แต่ว่ามีอยู่องค์หนึ่งคือ พระอัญญาโกณฑัญญะ ท่านไปอยู่ที่ฉัตทันตสระ หาแก่นขนุนมาต้มทำย้อมจีวรไม่ได้ ท่านก็เลยใช้ดินลูกรังเอามาต้มทำย้อมจีวรผ้าเลยแดงแจ๋ผิดชาวบ้านเขา ถึงเวลาที่ท่านเข้ามากราบพระพุทธเจ้า บรรดาพระใหม่ ๆ ไม่รู้จักนี่ไง... ดูหลวงตาองค์นั้นสิน่ากลัวจังเลย ผอมมีแต่เอ็นสะพรั่งไปทั้งตัว นุ่งห่มจีวรสีอย่างกับเลือด พระพุทธเจ้าได้ยินต้องเรียกประชุมเลย บอกนี่เธอไม่รู้จักหรือ ? พระอรหันต์องค์แรกในพระพุทธศาสนานะ ถ้าไม่นับพระพุทธเจ้า โดนนินทาซะเต็มเปาเลย ของท่านท่านไปอยู่ในป่าสบายใจท่านน่ะ อยู่กับช้างเป็นร้อย ๆ เชือก
      ถาม :  อธิษฐานยังไงถึงจะมีพระอรหันต์องค์แรก ?
      ตอบ :  สมัยก่อนท่านกับพระสุพัททะ เป็นพี่น้องกันแบ่งที่นากันทำ ถึงเวลาต่างคนต่างทำในที่ของตัวเอง ของท่านจะไถนาท่านก็ทำบุญ จะหว่านข้าวท่านก็ทำบุญ ข้าวตั้งท้องท่านก็ทำบุญ เกี่ยวข้าวท่านก็ทำบุญ นวดข้าวก็ทำบุญ ข้าวขึ้นยุ้งท่านก็ทำบุญ
      ตอบ :  ส่วนท่านสุภัททะนี้ท่านเล่นไปเอาข้าวขึ้นยุ้ง แล้วท่านก็ทำบุญทีเดียว ของท่าน ๆ เริ่มแรกเอาก่อนเลยก็เลยกลายเป็นพระอรหันต์องค์แรก ส่วนท่านสุภัททะเป็นองค์สุดท้าย เพราะฉะนั้นทำไว้เยอะดีกว่า
      ถาม :  นั่นอันนั้นเป็นชาติแรกที่ท่านเริ่มพระพุทธศานาหรือครับหรือว่าไม่ใช่ ?
      ตอบ :  ไม่ทราบเหมือนกัน แต่ว่าผลกุศลที่ทำให้ท่านบรรลุเป็นองค์แรกนั้นเกิดจากตรงจุดนี้อย่างที่ท่านทำนี่มันน่าจะบรรลุได้ทุกจังหวะเลย (หัวเราะ) เพราะท่านทำบุญตลอด พระสุภัททะที่ท่านเป็นองค์สุดท้าย พระพุทธเจ้าพอได้ยินว่ามาท่านก็เลยบอกให้เข้ามา เพราะว่าเป็นองค์สุดท้ายที่ต้องสงเคราะห์ เทศน์สงเคราะห์เสร็จก็เป็นปัจฉิมโอวาทเลยใช่ไหม ?
              อามันตะยามิโวภิกขเว ปฎิเวทยามิโวภิกขเว ขะยะวะยะธัมมาสังขารา อัปมาเทนะสัมปาเทถะ แปลว่าเอาประโยคสุดท้ายแล้วกันนะ จงยังความไม่ประมาทให้ถึงพร้อม ชีวิตนี้ห้ามประมาทในทุกรูปแบบ โดยเฉพาะถ้าประมาทในการทำความดี มันจะลงอบายภูมิมากกว่า