ถาม :  เรามาถามเรื่องของคนอื่นก็เลยทำให้เก็บไปคิด กำลังใจมันตกอะไรอย่างนี้มั้ง ?
      ตอบ :  ไม่ต้องไปตกหรอก ของพรรค์นี้มันเป็นกรรมใครกรรมมัน คนอื่นทำเราไม่ได้รับแทนหรอก ของเราตั้งหน้าตั้งตาทำความดีของเราต่อไป สิ่งที่ไม่ดีที่เคยทำมาก็ลืมมันให้หมดไม่ต้องไปนึกถึง พระพุทธเจ้าท่านก็บอกแล้วว่าอย่าไปตามระลึกถึงของเก่า ตั้งหน้าตั้งตานึกถึงความดีในปัจจุบันนี้ทำมันเรื่อยไป
      ถาม :  ลูกหลานอยู่ไกลขอธรรมะ ?
      ตอบ :  ให้ข้อเดียวจ้ะ ว่าตั้งหน้าทำความดีอย่าประมาท พอแล้วไม่ต้องเอาอะไรมากมาย ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์อยู่หัวข้อเดียวเท่านั้นน่ะ (หัวเราะ) ไปเปิดตำราอ่านได้ ทั้งหมดรวม ๆ แล้วมันเหลือนิดเดียว ศรัทธาหนึ่ง ถ้าไม่ศรัทธานี่มันไม่คิดทำความดีใช่ไหม.... อันที่สองก็สติ สตินี่แก่นธรรมแท้ ๆ เลย ตามล่าหาแก่นธรรมน่ะให้มันไปหาเอาเถอะถ้ามันยังไม่มีสติ อันดับสามก็คืออย่าประมาท สตินี่ควบคุมปัญญา ปัญญาควบคุมสติ แล้ว ๒ อย่างสรุป รวมกันได้ว่าทุกอย่างจงทำโดยไม่ประมาท อย่าคิดว่าเป็นความดีเล็กน้อยแล้วไม่ทำ
              ความชั่วแม้แต่เพียงเล็กน้อยก็ส่งผลให้เกิดทุกข์เกิดโทษ ขณะเดียวกันความดีแม้เพียงเล็กน้อยก็สามารถส่งให้เราไปสู่สุคติได้ จริง ๆ แล้วเหลืออยู่นิดเดียว สิ่งที่ทำตอนแรก ๆ มันเหมือนกับเหวี่ยงแหทีหนึ่งเอาปลาทั้งทะเล แต่พอทำไปทำมามันจะรวบ ๆ เข้า จนในที่สุดเหลืออยู่นิดเดียวบอกว่ากายนี้ไม่ใช่ของเรา เออ ไม่เถียง พอแล้ว เพียงแต่ว่าอย่าให้มันเถียงได้อีกแล้วกัน ต้องคอยระวังเอาไว้เสมอ
              หลวงพ่อท่านบอกอารมณ์สุดท้ายของท่านก่อนมรณภาพเพียง ๒ วัน บังเอิญว่าอยู่ใกล้ก็เลยได้ยิน ท่านบอกว่าไม่ต้องคิดอะไรมากหรอก เอากำลังใจเกาะพระนิพพานไว้ที่เดียวแหละ ทำอะไร ๆ ก็ไม่ต้องไปใส่ใจมันมายมาย เอากำลังใจเกาะนิพพานไว้ที่เดียว อะไรเกิดขึ้นกับเราก็ช่างมัน การเกิดแบบนี้จะไม่มีสำหรับเราอีก ตายเมื่อไหร่ขอไปพระนิพพานแห่งเดียว ท่านบอกไว้สั้นแค่นี้เอง
      ถาม :  มีดหมอของหลวงพ่อชนิดของเรากับอย่างของหลวงพ่อเดิมที่ท่านบอกว่าต้องใช้ตะปูโลงศพ ต่างกันอย่างไรครับ ?
      ตอบ :  สมัยหลังเขาเลิกทำกันแล้ว ตามตำรามหาศาตราคม วัตถุมันหายาก ต้องเอาเหล็กยอดเจดีย์อย่างนี้... สมัยนี้ไปรื้อเจดีย์เจ้าของเขาไล่เอาเท่านั้นแหละ รวมกว่าจะได้แต่ละอย่างมันนาน แต่ว่าคนสมัยก่อนกำลังใจเขาสูงจะทำให้ได้ของดีจริง ๆ เอาอุตสาห์ไปขวนขวายหามา ได้ของครบแล้วไม่ได้หมายความว่าจะทำได้เลย ได้ของครบแล้วต้องรอวันดี รอช่างที่มีฝีมืออีก จะต้องนุ่งขาวห่มขาวก่อนงานก็ต้องภาวนาไป ๗ วัน แล้วคอยมานั่งหลอมนั่งตีกัน
              ของสมัยก่อนทำยาก คนเขาทุ่มเทกำลังใจให้จริง ๆ ส่วนใหญ่ทำชิ้นเดียวเพื่อเป็นของคู่ตัวสมัยหลัง ๆ นี้มีคนจำนวนมากต่อมากด้วยกัน หลวงปู่หลวงพ่อแต่ละองค์ไม่ใช่ลูกศิษย์จะน้อย ๆ ใช่ไหม ? อย่างต่ำ ๆ คงหลายร้อยหลายพันคน ถ้าขืนไปทำวิธีนั้นก็ตายกันพอดี ต้องใช้วิธีเหมาโหลเอา
              เอาที่เขาผลิตออกมาแต่ว่ามาทำตามกรรมวิธี มันสำคัญอยู่ตรงที่ว่าพระหรือว่าพรหมหรือว่าเทวดาท่านจะสงเคราะห์มั้ย ถ้าท่านจะสงเคราะห์ของนั้นทำมาจากอะไรก็มีอานุภาพทั้งนั้น แต่ถ้าท่านไม่สงเคราะห์ต้องใช้กำลังตัวเองอย่างที่ขุนแผนทำ ใช้กำลังฌานสมาบัติของตัวเอง ใช้คาถาอภิญญาของตัวเองเข้าไปมันก็ต้องหาวัตถุที่มันเป็นสื่อได้ง่าย
              อย่างประเภทเหล็กขนันผีพรายตายทั้งกลมอะไรอย่างนี้ เอาทั้งทีให้มันสุด ๆ ไปเลย อย่างนั้นถ้าคุมไม่อยู่เจ้าของมีอันตรายด้วย มีดหมอสมัยก่อนสมกับคำว่า มีดหมอจริง ๆ เพราะว่าท่านใช้รักษาโรค มาถึงยุคหลวงพ่อเดิม ท่านทำเป็นหลายขนาดให้ติดตัวไว้ เพราะว่าของท่านมีทั้งประเภทติดตัวเป็นมหาอำนาจ ป้องกันภัย รักษาโรคได้สารพัดสารเพ มีหลายขนาดตั้งแต่เล็ก ๆ ติดกระเป๋าหรือไม่ก็ขนาดประเภท ๕ นิ้ว ๗ นิ้ว กำลังใช้งานหรือประเภทให้สุด ๙ นิ้วไปเลยก็มี
              สมัยก่อนพวกเสือปล้นหนังเหนียวมันเยอะ แต่ว่าจะกลัวมีดหมอหลวงพ่อเดิม มีดหมอหลวงพ่อเดิมจิ้มเข้าไปเมื่อไหร่เหนียวไม่เหนียวก็ไม่เหลือ กลายเป็นว่าพอมายุคหลัง ๆ นี่เป็นของนิยมทั่วไปเป็นสาธารณะ แต่ว่าสมัยก่อนนี่ทำก็ทำเล่มเดียว
              อย่างของหลวงปู่ปานท่านใช้รักษาโรคก็อีโต้ดี ๆ นี่เองเคยเห็นมั้ยอีโต้ธรรมดาแต่มันไม่ธรรมดาตรงคนใช้ (หัวเราะ) พอปลุกเสกอะไรตามวิธีกรรมแล้วเทวดาท่านรักษาด้วยและบุคคลที่ทรงความดีอย่างหลวงปู่ปานกำลังท่านสูง บารมีท่านสูง เพราะฉะนั้นถือว่าคนที่ได้ของดีแสนดีไปแต่ถ้าใช้ไม่เป็นก็เท่านั้นแหละ ภาษาของแสงชัยเขาบอก “ กระบี่ดีแต่คนบัดซบ” (หัวเราะ) ใช้งานไม่เป็น
      ถาม :  อย่างนี้คนโบราณก็แพ้คนยุคใหม่สิครับ....(ฟังไม่ชัด)....
      ตอบ :  จะรียกว่าว่าแพ้มันก็แพ้ แต่คนรุ่นใหม่จริงหนึ่งต่อหนึ่งสู้ท่านไม่ได้เพราะของท่านมันเป็นพื้นฐานที่ฝึกมาด้วยตัวจริง ๆ ของคนรุ่นใหม่มันอาศัยอย่างกับประเภทพกปืนไปแต่โบราณเล่นสร้างปืนขึ้นเอง ใครจะมีความรู้มากกว่ากัน มีดหมอเขาใช้เป็นหมอจริง ๆ
      ถาม :  ของแต่ละอย่างก็ขึ้นอยู่กับเทวดาที่รักษา ?
      ตอบขึ้นอยู่กับเทวดารักษาและขึ้นอยู่กับความตั้งใจของคนทำ อย่างเช่นว่าถ้าท่านบอกว่าทำมาอย่างนี้ ๆ แล้วจะมีอานุภาพอย่างนี้ จะมีตามนั้นจริง ๆ
      ถาม :  ถ้าท่านจะปลุกเสกพระทีหนึ่งเป็นร้อยเป็นพันองค์ เทวดาแต่ละองค์มีอานุภาพไม่เหมือนกันก็ไม่เหมือนสิครับ ?
      ตอบสิ่งที่เขากำหนดมาว่าให้ทำอย่างไร เทวดาท่านอยู่ในความเป็นทิพย์ท่านแค่คิดว่าจะให้เป็นอย่างไรก็เป็นอย่างนั้นแล้ว แล้วอีกอย่างหนึ่งของถ้าจะให้มีอานุภาพลักษณะนั้นเทวดาที่จะมารักษาต้องมีพื้นฐานหรือว่ามีความชอบทางด้านนั้นเหมือนกัน
              อย่างเช่นว่าประเภทหนังเหนียวอยู่ยงคงกระพันเอาไว้ตีกันโดยเฉพาะ ก็ต้องเล่นกับท้าวจาตุมหาราชไปเลย บริวารของท่านเยอะ พวกประเภทที่เรียกว่าก่อนหน้านี้เคยมีนิสัยทางด้านนี้มาก่อน ถึงได้ลาท่านปู่พระอินทร์ ถ้าหากว่าท่านสั่งงานก็ต้องคัดเลือกเฉพาะเอาคนประเภทนี้มามันก็จะเหมือน ๆ กัน
      ถาม :  .....( เสียงไม่ชัด).........
      ตอบ :  ลองทำข้าวเปลือกพิรอดดูมั้ย ? ข้าวเปลือกพิรอดใช้ในทางแคล้วคลาดโดยเฉพาะ
      ถาม :  ที่เขาบอกว่าข้าวเปลือกที่ .........(ไม่ชัด)..................
      ตอบ :  กินข้าวแล้วเจอข้าวเปลือก เจอปุ๊บให้กลั้นใจหยิบภาวนาคาถาคำแรกว่า “อะ” พลิกดูให้เรียบร้อย ไม่มีร่องรอยแตกหักล่ะโอเค ล้างสะอาดเก็บขึ้นได้เลย พอเจอเม็ดที่สองก็ “สัง” ค่อยเก็บไปเรื่อยถ้าแตกใช้ไม่ได้ต้องเลิก เริ่มต้นนับคำนั้นใหม่ ถ้า “อะ” แล้วแตกก็ขึ้น “อะ” ใหม่ ถ้า “สัง” แล้วแตกก็ขึ้น “สัง” ใหม่ ไล่ไปเรื่อยจนกว่าจะครบ ๙ เม็ด เขาเรียกว่า “ข้าวเปลือกพิรอด”
              มันรอดตรงที่ว่าอันดับแรกอยู่กับต้นไม่โดนนกกาเอาไปกิน อันดับที่สองเขาเก็บเกี่ยวมาไม่ตกหล่นไปไหน หลังจากที่เอามาสีเอามาย่ำอะไรแล้วก็ยังไม่ตกหล่นสูญหายไปไหน ขนสู่ยุ้งไม่หายไปไหน เอาไปสีก็ยังไม่มีอันตรายขนาดเอามาหุงเป็นข้าวแล้วก็ยังไม่เป็นอะไรอีก เขาถือเคล็ดตรงนี้ด้วย แต่คาถา ๙ ตัว คือ อะ สัง วิ สุ โล ปุ สะ พุ ภะ นั้นเป็นหัวใจอิติปิโสทั้งบท อะ คือ อระหัง , สัง ก็ สัมมาสัมพุทธโธ , วิ ก็ วิชาจรณะสัมปันโน , สุ ก็ สุคโต , โล ก็ โลกะวิทู , อะ ก็ อะนุตะโร , ปุ ก็ ปุริสะทัมมะสาระถิ , สะ ก็ สัตถาเทวะมะนุสานัง, พุ ก็ พุทโธ , ภะ ก็ ภควาติ ลองทำดู