ช่วงแรกของเล่ม "งานฉลองวัดหนองบัว"

สนทนากับพระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
เดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๔๖(ต่อ)
ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ

      ถาม:  ถ้าเกิดเราเช็คแล้วรู้ว่าลูกในท้องเราพิการ แล้วเราจะไปทำแท้ง
      ตอบ :  คุณไม่มีสิทธิ์
      ถาม :  แต่ถ้าเราปล่อยให้เขาเกิดมาเขายิ่งทุกข์ใหญ่ ?
      ตอบ :  ก็เพราะว่าเขาทำไว้
      ถาม :  แต่เราเป็นพ่อแม่ เราทนดูลูกเราไม่ได้นี่ครับ ?
      ตอบ :  ถ้าอย่างนั้นคุณก็รับเละไปคนเดียว เพราะเท่ากับฆ่าลูกตัวเอง ทุกชีวิตเกิดมาตามกรรมของเขา กัมมัง สัตเต วิภัชชติ กรรมย่อมเป็นเครื่องจำแนกสัตว์ เราไม่มีสิทธิ์ที่จะไปแก้ไขเปลี่ยนแปลงของเขา ถ้าคุณแก้ไขเมื่อไหร่ แปลว่าคุณต้องยอมรับอันนั้นไว้ ผลมันจะเกิดยังไงก็ต้องรับเละไปคนเดียว
      ถาม :  ผู้ที่ปล่อยเงินกู้ให้กับชาวบ้านโดยทั่วไป เช่น ร้อยละห้าร้อยละสองต่อเดือน มีเรื่องเล่าว่าบางคนที่เป็นายทุนเงินกู้ตายแล้วศพมีหนอนขึ้นบ้างก็ทำมาหากินไม่ค่อยเจริญ แต่บางคนก็ร่ำรวยแต่เป็นคนขี้เหนียว การปล่อยเงินกู้แบบนี้ผิดศีลข้อไหน ตายไปแล้วลงนรกมีสภาพแบบใด และควรทำตัวเป็นนายทุนเงินกู้หรือไม่ และถ้าปล่อยเงินกู้ควรให้กู้ร้อยละเท่าไหร่ ?
      ตอบ :  ปล่อยเงินกู้หรือ ? ไม่ควรจะเรียกอะไรเลย อย่างนั้นถึงเรียกได้ว่าทำเพื่อเขาจริง ๆ เอาเป็นว่าการกู้เงินมันเป็นการยินดีด้วยกันทั้งสองฝ่าย โดยเฉพาะคนกู้ไปกราบมือ กราบเท้าขอร้องเขาซะด้วยซ้ำไปกว่าเขาจะให้ ในเมื่อเป็นความยินยอมของตน โทษทางธรรมมันไม่มี เพราะว่าตกลงกันไว้ดิบดีแล้ว ยกเว้นว่าผู้ให้กู้นั้นไม่ตรงไปตรงมา อย่างเช่นตัวอย่างว่า กู้พันหนึ่งให้เขียนหนังสือเงินกู้ไว้หมื่นหนึ่ง หรือไม่ก็เจตนาดึงเกมส์เพื่อให้พ้นกำหนดเวลาชดใช้ แล้วก็ไปปรับไปยึดสิ่งที่เขาเอามาจำนองเอาไว้ ถ้าอย่างนั้นมีโทษแน่นอนเลย
      ถาม :  การที่คนเราไปหลงดาราเอาของไปให้ เอากับข้าวไปให้กิน เช็ดหน้าเช็ดตัวให้ดารา คนที่ให้ก็ให้ด้วยความหลงใหลความเป็นดารา ผลของการให้นี้มีอานิสงส์อย่างไร ?
      ตอบ :  การให้อานิสงส์มี คราวนี้การให้คุณอย่าลืมว่า ๑. เจตนาต้องบริสุทธิ์ ๒. วัตถุทานบริสุทธิ์ ๓. ผู้ให้บริสุทธิ์ ๔. ผู้รับบริสุทธิ์ ถ้าหากว่าให้ครบ ๔ ส่วนนี้อานิสงส์จะเต็ม ๑๐๐% นั่นน่ะของเขาเจตนาที่จะให้มันก็เริ่มไม่บริสุทธิ์แล้ว ใช่มั้ย ?
              อานิสงส์มันก็ลดไปตามส่วน แต่ว่าจะไม่มีเลยมันก็ไม่ได้ แต่เมื่อถามตรงจุดนี้แล้วก็จะเล่าต่อไปเลยว่า บรรดาผู้ที่เป็นดาราทั้งหลาย ถ้าหากว่าตายโดยไม่ได้ทำความดีอะไรไว้ ก็ลงอเวจีมหานรกหมด เพราะว่าสิ่งที่เขาทำมันเป็นมารยา พระพุทธเจ้าสอนให้คนหลุดพ้น แต่เขาไปทำให้คนยึดติด สังเกตุไหมว่า ตัวโกงบางคนเข้าตลาด แม่ค้าถอดรองเท่าขว้างเลย มันทำให้เขายึดติดขนาดนั้น
              ขณะเดียวกันดาราบางคนตายนี่ โอ้โห ชาวบ้านแห่ไปงานศพมืดฟ้ามัวดิน ทำให้คนไปยึดติดขนาดนั้น แทนที่จะทำให้เขาละโลกได้ ก็เลยกลายเป็นยึดมากเกินไป
              เพราะว่าสิ่งที่เขาทำมันไม่ใช่กิริยาปกติ มันเป็นมายาที่ตัวเองทำ แล้วคนก็ไปหลงยึดตามนั้น ก็เลยกลายเป็นว่าฝืนคำของพระพุทธเจ้าโดยไม่เจตนา แต่ถึงขนาดนั้นโทษมันก็ใหญ่ เพราะคนที่หลงไปยึดไปเกาะ มันต้องเกิดอีกทุกข์อีกนับภพนับชาติไม่ถ้วน
              ตัวอย่างในพระธรรมบทก็มีพระตาลปุตตคามินีเถระ ท่านเป็นนักแสดงที่มีชื่อเสียงมาก ในสมัยนั้นเรียกว่าอันดับหนึ่งเลย แล้วเขาก็มีความเชื่อสืบ ๆ ต่อกันมาว่า บุคคลที่เป็นนักแสดงสร้างความสุขให้กับคนอื่น ถ้าตายแล้วจะไปเกิดในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ซึ่งเป็นชั้นที่มีความสนุกสนานรื่นเริงมาก พอไปถึงเมืองสาวัตถีก็เลยเข้าไปกราบพระพุทธเจ้า เพื่อจะถามปัญหานี้ว่าจริงไหม ?
              พระพุทธเจ้าบอกว่า อย่าเลยมาณพ ปัญหานี้อย่าถามเลย แต่ท่านก็ฝืนถามถึง ๓ ครั้ง พอครั้งที่ ๓ พระพุทธเจ้าบอกว่าลงอวเจีมหานรก เพราะเหตุอย่างที่ว่ามา ท่านก็เลยนั่งร้องไห้ว่าจะทำอย่างไรดี เพราะท่านเชื่อจริง ๆ ว่าพระพุทธเจ้าเก่ง พระพุทธเจ้าก็บอกว่าให้บวชแล้วตั้งใจปฏิบัติเพื่อความหลุดพ้น ท่านก็เลยทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างแล้วไปบวช กลายเป็นพระอรหันต์ รอดไปได้ นี่หมายความว่าไม่ได้สร้างอะไรอย่างอื่นไว้เลยนะ ถ้าทำบุญอื่นแล้วจิตไปเกาะบุญก็อาจจะไม่ได้รับตามนั้น แต่ถ้าหากว่าไม่ได้ทำอะไรเลย เสร็จ ลงอเวจีแน่ ๆ
      ถาม :  ผู้กำกับ กับคนเขียนบทจะได้รับผลไหมครับ ?
      ตอบ :  มีส่วนด้วยกัน จะแบ่งห้าสิบ ๆ ก็ไม่ได้มันหลายส่วนเหลือเกิน
      ถาม :  การพนันท่านว่าเป็นอบายมุข ตกลงแล้วหวยรัฐบาลกับหวยใต้ดิน มีความแตกต่างกันหรือไม่ เพราะหวยรัฐบาลนั้นเงินทีเหลือจากรางวัลเขาเอาไปทำประโยชน์แก่สังคมส่วนรวม แต่หวยใต้ดินเข้ากระเป๋าตัวเอง ?
      ตอบ :  ถ้าหากว่าหวยรัฐบาลจริง ๆ แล้วโทษมันน้อยกว่า เพราะว่ามันถูกต้องตามกฎหมายอย่างหนึ่ง แล้วขณะเดียวกันถึงเวลารับรางวัลมันก็ตรงไปตรงมาไม่มีการคดโกงกันอย่างหนึ่ง ไม่ใช่ว่าประเภทถูกหวยใต้ดินทีหนึ่งจ่าย ๓๐% แต่ถึงเวลาที่เราผิดต้องจ่าย ๑๐๐% เต็มมันก็แย่ แต่สิ่งที่พระพุทธเจ้าท่านบอกว่าอบายมุขปากทางแห่งความเสื่อม ถ้าหากว่าเล่นอย่างมีสติ เช่น ซื้อหวยรัฐบาลเดือนหนึ่งซักคู่หนึ่ง เรามีเงินให้เสียได้หาความมันให้กับชีวิตมันก็โอเค
              แต่อย่าลืมว่าการที่เราฝืนคำพระพุทธเจ้ามันเหมือนกับเปิดช่องให้เขื่อนรั่ว ถึงแม้ว่ารูมันจะเล็กขนาดไหนก็ตาม ถ้าหากว่าแรงน้ำมันดันไปเรื่อย รูมันก็อาจจะกว้างขึ้น มันก็จะกลายเป็นไปหลงไปยึดไปคิดมัน งวดนี้ถูกเลขท้ายซักสองตัวดีอกดีใจ คราวหน้าหวังรางวัลใหญ่ก็ซื้อเพิ่มขึ้น ๆ เดี๋ยวตัวเองและคนรอบข้างมันจะเดือดร้อน ถ้าหากถามว่าอันไหนมีโทษหนักกว่ากัน หวยใต้ดินมีโทษหนักกว่า เจ๊งง่ายกว่า แต่ถามว่าอันไหนไม่มีโทษ ไม่มี มีโทษทั้งคู่ เล่นการพนัน มันเริ่มเดือดร้อนตั้งแต่จ่ายสตางค์ออกไปแล้ว ท่านบอกว่าการพนันผู้ชนะย่อมก่อเวร คนแพ้มันพยาบาท ผู้แพ้เสียดายทรัพย์ ย่อมทำให้ทรัพย์นั้นฉิบหาย เป็นผู้ที่ไม่มีใครเชื่อถือ ไม่มีใครอยากจะแต่งงานด้วย พระพุทธเจ้าบอกชัด
      ถาม :  บุคคลท่านหนึ่งเกิดแรงบันดาลใจเห็นวัดเป็นภาพนิมิต จึงลงมือสร้างวัดตามภาพนิมิตและตั้งใจว่าจะสร้างวัดนี้เพื่อพระพุทธศาสนา เพื่อทดแทนคุณแผ่นดิน และชีวิตคนเราทรัพย์สินเงินทองไม่มีความหมาย ตายไปแล้วก็เอาอะไรไปไม่ได้ ความตั้งใจอย่างนี้ตายไปแล้วจะถึงนิพพานหรือไม่ ?
      ตอบ :  ไม่ถึง อามิสบูชาจะเป็นส่วนของกามาวจรคือยังเกิดในภพที่เนื่องด้วยกามอยู่ ต้องปฏิบัติบูชาอย่างน้อยถึงจะไปพรหม ทำถูกต้องถึงไปนิพพาน การก่อสร้างถือว่าเป็นอามิสบูชาคือการบูชาด้วยสิ่งของ อานิสงส์มันใหญ่มหาศาล แต่ว่ามันยังเป็นอานิสงส์ของกามาวจรอยู่
      ถาม :  เมื่อหลายปีก่อนได้ไปร่วมทำบุญกับหลวงพ่อ พอเสร็จงานก็ได้มีการพูดคุยกัน บอกว่าเวลาตีสองให้ตั้งนาฬิกาปลุกมาทำกรรมฐานหรือมาเปิดเทป ตัวผมเองได้ฟังแล้วก็อยากจะทำตาม แต่ไม่มีโอกาสได้ทำ ทานบอกว่าตอนที่หลวงพ่อยังมีชีวิตอยู่ เวลาตีสองเป็นเวลาที่ท่านเจริญพระกรรมฐาน แต่ถ้าเราตั้งใจที่จะทำจริง ๆ การกระทำท่านี้ควรตั้งใจมากน้อยเพียงใด เพราะปกติคนเราหลับก็มักไม่ค่อยจะตื่น และถ้าเราทำเวลานี้จะมีผลพิเศษกว่าเวลาอื่นอย่างไร ?
      ตอบ :  ถ้าหากว่าเป็นตอนที่หลวงพ่อท่านอยู่ เวลาตีสองนี่มันเป็นเวลาที่ท่านตั้งใจแผ่เมตตาสงเคราะห์สรรพสัตว์ทั้งหลายทั้งปวง มันเหมือนกับสถานีโทรทัศน์ส่งคลื่นออก ถ้าเราปิดเครื่องอยู่มันจะไปได้อะไรเล่า มันต้องเปิดเครื่องรับ ถ้าปัจจุบันนี้หากว่าอยากจะทำถึงขนาดมีศรัทธาลุกขึ้น มาเจริญกรรมฐานตอนตีสองนี่ กำลังใจที่เข้มแข็งขนาดนั้น ยอมเสียสละความสุขส่วนตัวของตัวเองขึ้นมาเพื่อปฏิบัติในทางพ้นทุกข์ ก็ถือว่ากำลังใจของคุณเข้มแข็งเพียงพอ ถ้าทำถูกทางมีสิทธิ์หลุดพ้นได้
              พระพุทธเจ้าบอกว่าบุคคลที่นอนไม่หลับมี ๕ ประเภท ประเภทที่ ๑ หญิงผู้ครุ่นคิดถึงชาย ประเภทที่ ๒ ชายผู้ครุ่นคิดถึงหญิง ประเภทที่ ๓ โจรผู้ประสงค์ต่อทรัพย์ หลับแล้วมันจะไปได้อะไรล่ะ ? ประเภทที่ ๔ พระราชาผู้ขยันเสด็จออกประกอบพระราชภารกิจ ประเภทที่ ๕ ภิกษุผู้เห็นภัยในวัฏฏสสงสารลุกขึ้นเจริญภาวนาเพื่อความหลุดพ้น เพราะฉะนั้นก็เลือกเอาว่าจะทำมั้ย ?
      ถาม :  ถ้าเรามีความคิดว่าเรานั้นเกิดเป็นบุคคลในอดีต เราจะรู้ได้อย่างไร ว่าสิ่งที่เราคิดนั้นมันเป็นจริงหรือไม่ ? และเราควรไปหลงใหลกับอดีตชาติของเราหรือไม่ ?
      ตอบ :  ฝึกทิพจักขุญาณแล้วใช้ทิพจักขุญาณดูอดีตเรียกว่า อตีตังสญาณหรือว่าใช้ทิพจักขุญาณในการระลึกชาติเรียกว่า ปุพเพนิวาสานุสติญาณ จะสามารถตอบปัญหาข้อนี้ได้ชัดเจนที่สุด แต่ว่าการรู้ทุกอย่างท่านให้รู้เพื่อละ เพราะว่าอดีตทุกอย่างมันผ่านพ้นมาแล้ว ไม่มีชาติไหนที่เราไม่ทุกข์ ต่อให้ร่ำรวยล้นฟ้าก็มีความทุกข์อยู่ ถ้าหากว่ายิ่งลำบากยากจนก็ยิ่งทุกข์มาก ท่านให้เรารู้เพื่อที่จะได้รู้ว่าทุกชาติที่ผ่านมามันทุกข์ ปัจจุบันนี้ก็ทุกข์อยู่ ถ้าไม่หลุดพ้นก็จะทุกข์อีก เพราะฉะนั้นมันสมควรที่จะปฏิบัติเพื่อให้มันพ้นทุกข์หรือยัง
      ถาม :  เจ้าพ่อเจ้าแม่คือใคร ?
      ตอบ :  เจ้าพ่อเจ้าแม่คือใคร ? เอ้า ตอบกันตรงไปตรงมาอย่างที่เราคิดเลยนะ คือผู้ที่เป็นใหญ่ในสถานที่ใดสถานที่หนึ่ง ท่านทั้งหลายเหล่านั้น อาจจะเป็นพรหมก็ได้ เป็นเทวดาก็ได้ เป็นเปรตอสุรกายก็ได้ แต่ว่าส่วนใหญ่เท่าที่พบมาบรรดาเจ้าพ่อเจ้าแม่ทั้งหลาย ถ้าไม่ใช่กาลกัญจิกอสุรกายก็เป็นมหิทธิกาเปตร พวกนี้จะเป็นพวกที่มีความยึดมั่นถือมั่นในอัตตาตัวเองสูงมาก อยู่ในบริเวณไหนก็คิดว่าเขตนั้นเป็นของตัว ท่านไม่ชอบให้ใครล่วงล้ำเข้าไปโดยปราศจากความอ่อนน้อมถ่อมตน ถ้าหากว่าเราทำถูกท่านให้การสงเคราะห์ก็เป็นอันว่าอยู่ได้ ถ้าทำผิดเมื่อไหร่อาจจะเดือดร้อนเพราะว่าของท่านอยู่ในภพภูมิที่ต่ำ ท่านไม่กังวลที่จะเล่นงานเราเพื่อสิ่งที่ท่านคิดว่าดีแล้ว
      ถาม :  ถึงแม้ว่าในสถานที่นั้นจะตั้งพระพุทธรูปเอาไว้ก็ตาม ?
      ตอบ :  ตั้งเอาไว้เถอะ ถ้าหากว่าไม่ได้อาราธนาหรือว่าอัญเชิญทำพิธีอย่างถูกต้อง ท่านจะเจ๋งกว่า มหิทธิกาเปรตกับกาลกัญจิกอสุรกาย ในอดีตเคยเป็นคนเจริญสมาธิได้กำลังสูงมาก แต่ใช้อำนาจสมาธิไปในทางที่ผิด อย่างเช่นว่าใช้ทำร้ายคนอื่นเขาอย่างพวกพ่อมดหมอผีอะไรพวกนั้น พวกนี้พอตายแล้วลงนรก เศษกรรมจะทำให้เป็นมหิทธิกาเปรตหรือกาลกัญจิกอสุรกาย ด้วยที่เคยสร้างกำลังจากสมาธิมาทำให้เขามีฤทธิ์มีอำนาจสูงมาก เทวดาที่ศักดานุภาพน้อย ๆ ยังไม่กล้าปะทะเขาเลย
              เพราะฉะนั้นการที่เราเอาพระพุทธรูปไปตั้งอยู่เฉย ๆ ถ้าไม่ได้อาราธนาอัญเชิญอย่างถูกต้องตามวิธี เทวดาที่รักษาอยู่ถ้ามีอานุภาพน้อยต้องหลบให้เขา
      ถาม :  ปัจจุบันครูอาจารย์ต่าง ๆ มีความชื่นชมนักเรียนตั้งแต่อนุบาลจนถึงเด็กโต รวมทั้งพ่อแม่ผู้ปกครองเป็นจำนวนมากมีความยินดีที่ได้เห็นบุตรหลานเต้นหรือร้องเพลงได้ โดยคิดว่าการแสดงออกอย่างนี้เป็นของดีน่าชื่นชมในกิริยามารยาท บางทีเด็กบางคนทนไม่ได้เวลาได้ยินเสียงเพลง ต้องลุกขึ้นเต้นด้วยเหตุได้ยินเสียงเพลงไม่ได้ ในเมื่อสังคมเป็นอย่างนี้ก็น่าอนาถใจเป็นอย่างยิ่งที่เด็กเยาวชนหรือแม้กระทั่งผู้ใหญ่ ก็ยังให้ความสำคัญต่อดารานักร้องนักแสดงเป็นบุคคลอันมีค่าอย่างยิงของสังคม ผู้ปกครองหรือผู้ใหญ่ที่ได้ปลูกฝังแนวคิดแบบนี้มีโทษหรือไม่ ?
      ตอบ :  ถ้าหากว่า ถามว่ามีโทษหรือไม่ โทษมันมีทั้งปัจจุบันและอนาคต ปัจจุบันก็คือว่าถ้าลูกตัวเองก้าวไปสู่จุดที่ปรารถนาไม่ได้ตัวเองก็ทุกข์ไปกับลูกด้วย จิตใจที่ทุกข์อยู่นี่เขาเรียกว่าเป็นจิตใจที่เศร้าหมอง จิตเต สังกิลิฏเฐ ทุคคติ ปาฏิกังขา ถ้าจิตมันเศร้าหมองมีทุคติเป็นที่ไป ทุคติก็คือ นรก เปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉาน
      ถาม :  อย่างคนได้ยินเพลงทนไม่ไหวลุกขึ้นมาเต้นอย่างนี้ ?
      ตอบ :  ก็คุณถามแต่ผู้ปกครองนี่หว่า ไม่ได้ถามถึงตัวเขา (หัวเราะ) ของพระตรงไปตรงมา
      ถาม :  การแสดงแสงสีเสียงในวัดไทยโบราณ มีการประดับประดาและการแสดงต่อหน้าพระพุทธรูป โดยใช้แสงสีและเสียงเพลงมาประกอบ การแสดงก็ได้มีจุดมุ่งหมายให้เห็นถึงวัฒนธรรมความงามของวัตถุโบราณมากกว่าจะได้อธิบายถึงความดีของพระพุทธเจ้า อย่างนี้ได้บุญหรือได้บาป ?
      ตอบ :  ก็ดูด้วย ถ้าหากเขาทำด้วยเจตนาดีส่วนบุญมันมีอยู่แต่น้อยไปหน่อย คือมันน้อยกว่าการประกาศความดีของพระพุทธเจ้าโดยตรง แต่ว่าถ้าหากว่าของเขาทำในลักษณะที่เรียกว่าจิตหยาบไปนิดหนึ่ง อาจจะมีการปรามาสล่วงเกินพระรัตนตรัย อย่างเช่นว่าปีนเหนือพระพุทธรูปขึ้นไป เพื่อประดับไฟอะไรพวกนี้ ถ้าไม่มีการขอขมากันมีโทษแน่นอน
      ถาม :  นอกจากไม่ได้บุญแล้วก็ยังได้บาปกลับบ้าน ?
      ตอบ :  หาเรื่องใส่ตัว
      ถาม :  ศิลปิน ดารา นักร้อง นักแสดงหลายคน ได้กล่าวขอบคุณและได้คิดหวังว่าบรรดาบุพพการีและครูบาอาจารย์ต่าง ๆ ที่ตายไปแล้ว คงจะดีใจที่ตนเองได้ทำงานทางด้านศิลปะดนตรีและบันเทิง จริง ๆ แล้วคนที่ตายไปแล้วเขาดีใจหรือไม่ที่ลูกหลานเป็นดารานักร้อง ?
      ตอบ :  อันนี้ต้องถามคนตายไม่ใช่ถามอาตมา (หัวเราะ) ปัญหานี้บอกไม่ถูก ไปถามคนตายเขาดูแล้วกัน
      ถาม :  การเห็นพระพุทธรูปหรือพระเครื่องในลักษณะมองดูเผิน ๆ ว่าสวยดี รุ่นนี้นิยม อย่างนี้จัดเป็นพุทธานุสติไหม ?
      ตอบ :  เป็น ถ้าหากว่าตายตอนนั้นไปดีด้วย สมณานัญจ ทัสสนัง เอตัมมังคลมุตตมัง การได้เห็นสมณชีพราหมณ์ถือว่าเป็นอุดมมงคลอย่างยิ่ง และนี่เห็นพระพุทธรูปยอดของสมณะเลย
      ถาม :  การขัดขวางหรือเป็นอุปสรรคต่อการทำดีของบุคคลอื่นโดยไม่ตั้งใจ เช่น เขากำลังสวดมนต์อยู่แต่อีกห้องก็เปิดเพลงมารบกวนสมาธิ อย่างนี้ มีผลไหมครับ ?
      ตอบ :  ก็ถ้าหากว่าเกิดชาติใหม่อาจจะเป็นคนหูหนวก เพราะว่าขณะที่คนอื่นเขาทำความดีอยู่ไปส่งเสียงกลบเขาเข้า
      ถาม :  ถึงแม้จะไม่ตั้งใจ ?
      ตอบ :  มันก็หนวกแบบไม่ตั้งใจเหมือนกันแหละ เรื่องของความดีนี่คุณอนันต์โทษมหันต์ เหมือนกับลูกบอลข้างใส่ข้างฝา แรงเท่าไหร่มันก็เด้งกลับมาแรงเท่านั้น
      ถาม :  การออกกำลังกายโดยใช้เสียงเพลงดนตรีเป็นตัวประกอบ ทำให้สุขภาพแข็งแรงแต่มีใจไปยึดถือความไพเราะในจังหวะเสียงเพลง ระหว่างอารมณ์สุขในเพลงกับสุขภาพที่แข็งแรงจะเลือกอย่างไหนดี ?
      ตอบ :  ก็เลือกมันทั้งสองอย่างนั่นแหละ คือว่าในเรื่องของเสียงเพลงนี่ถ้านับในศีล ๘ มันจะเป็นศีลข้อที่ ๗ นัจจคีตวา ฯ คือว่ามันจะไปติดตรงจุดนั้น แต่ถ้าหากว่าเราทำโดยไม่ได้ยึดติดอาศัยมันเป็นจังหวะประกอบการออกกำลังอย่างเดียวไม่เป็นไร แต่ว่าถึงจะไปยึดติดมันก็ไม่ได้ผิดศีล เพราะว่าศ๊ลขาดแล้วมีโทษมันตั้งแต่ข้อที่ ๑ ถึงข้อที่ ๕
              เพราะถ้าเราไม่เบียดเบียนตนเองก็เบียดเบียนคนอื่นตั้งแต่ข้อที่ ๖ ขึ้นไป ถ้ามันบกพร่องลงไปส่วนของความเป็นธรรมะมันจะเศร้าหมอง อย่างเช่นว่าถ้าเราไปกินอาหารมื้อเย็นมันเสียเวลาประกอบการงาน มันเสียเวลาการปฏิบัติธรรม ขณะเดียวกันถ้าหากว่าร่างกายรับอาหารเข้าไปมัน ก็จะง่วงซึมทำให้ปฏิบัติได้ไม่ดี การดูหนังฟังเพลงอะไรก็เหมือนกัน มันทำให้จิตใจไปพะวักพะวงกังวล หรือหลงใหลตามตัวนั้น ตัวธรรมะมันไม่ก้าวหน้า
              เพราะฉะนั้นถ้าถามว่ามีโทษมากมั้ย ? โทษมันมีมันน้อยเพราะทำให้ส่วนธรรมะพร่องลง แต่ในสายตานักปฏิบัติจริง ๆ แล้วมันไม่น้อยหรอก เยอะมาก มันทำให้เสียเวลา แทนที่จะได้มรรคได้ผลเร็ว ๆ ก็กลายเป็น รอช้าไปอีกรอบหนึ่ง
      ถาม :  การทำกรรมฐาน ๔๐ กับอารมณ์ของมโนยิทธิ ถ้าหากมีความสามารถทำได้ การทำแบบทั้งวันควรตั้งอยู่ในอารมณ์ใด เคยได้ยินพระที่วัดท่าซุงบอกว่าถ้ากำลังฝึกมโนมยิทธิและหลังฝึกไม่ทิ้งอารมณ์นั้นและทรงอยู่ได้ ๗ วัน ๗ คืน แล้วจะเป็นพระอรหันต์ ?
      ตอบ :  อาจจะบ้าไปเลยก็ได้ มันต้องดูกำลังของเราด้วยว่าเพียงพอมั้ย ถ้ากำลังไม่พอแล้วฝืนมันจะเกิดอาการวิปลาส บางคนเขาเรียกกรรมฐานแตก แต่ถ้าหากว่ากำลังสมาธิของเราพอไม่แน่หรอก อาตมาเคยทรงอารมณ์ต่อเนื่องกันเกือบ ๒ เดือนเต็ม ๆ ไม่เห็นมันจะเป็นอรหันต์เลย มันขึ้นอยู่กับเราว่าตอนนั้น คิด พูด ทำ ได้ถูกต้องแค่ไหน ปัญญามีแค่ไหน กำลังสมาธิมีแค่ไหน ถ้ามันถูกทางมันก็โป๊ะเชะลงไปเลย ไม่อย่างนั้นมันเกิน มันไม่พอดี พอดีมันแค่ประตู คุณดันเดินมาข้าง ๆ ก็หัวปูดไปเท่านั้นเอง มันต้องทำพอดีด้วย ไม่ใช่ไปทุ่มเทมันอย่างเดียว ทุกอย่างมันต้องผ่อนสั้นผ่อนยาวเป็นมัชฌิมาปฏิปทา แล้วมัชฌิมาปฏิปทาของแต่ละคนก็ดันไม่เท่ากันอีก มันไม่มีมาตรฐาน ๕๐% มันขึ้นอยู่กับบารมีที่สร้างสมมา ขึ้นอยู่กับกำลังสมาธิที่สร้างสมมา และขึ้นอยู่กับกำลังกายของเรา บางคนนั่งกรรมฐาน ๗ วัน ๗ คืน เรื่องเล็ก เรานั่งครึ่งชั่วโมงประสาทจะกินแล้ว ดังนั้นสายกลางพอดีของแต่ละคนมันไม่เท่ากัน สายกลางของเรามันอาจจะได้แค่ ๑๐% ของคุณทักษิณใช่มั้ย พ่อเล่นเป็นหมื่นล้านเลยนี่
      ถาม :  พระโสดาบันเต้นหรือร้องเพลงหรือไม่ ?
      ตอบ :  ถ้าหากว่าเป็นพระโสดาบันเรื่องทั้งหลายเหล่านั้นท่านไม่เอาแล้ว มันเหมือนกับเด็กเล่นขายของ ไม่มีอารมณ์
      ถาม :  คนตายไปแล้วลงนรกหรือเปรต ถ้าเราจัดงานศพจัดสวดพระอภิธรรมให้ จะได้ขึ้นสวรรค์หรือไม่ครับ ?
      ตอบ :  ถ้าหากว่าเป็นเปรตจำพวกสุดท้ายที่เรียกว่าปรทัตตูปชีวีเปรต สามารถมาโมทนาได้มีโอกาสหลุดพ้นไปจากจุดนั้น ถ้าต่ำกว่านั้นลงไปยันนรกไม่มีรอดซักราย อยู่นั่นแหละจนกว่าจะพ้นกรรมขึ้นมา
      ถาม :  ที่เขาจัดสวดงานศพให้อย่างนี้ก็ ?
      ตอบ :  มันเผื่อเอาไว้ เพราะว่างานศพมันมีอยู่ประเภทหนึ่งที่เรียกว่าตายโหง บรรดาผู้ที่ตายคือไม่ได้หมดอายุขัยธรรมดา ตายด้วยอุบัติเหตุบ้างอะไรบ้างส่วนใหญ่จะไม่ถึงอายุขัย ท่านที่ยังไม่ถึงจุดสิ้นสุดของอายุเหล่านี้ ถึงเวลาแล้วท่านยังรอความดีความชั่วให้ผลอยู่จนกว่าจะหมดอายุความเป็นมนุษย์ ถ้าจัดงานในลักษณะทำบุญให้ไปท่านจะรับได้ทั้งหมด ถ้าอย่างนั้นทานจะไปดีเลย เพราะฉะนั้นถ้าหากว่าเป็นไอ้พวกลงยาวไปเลยนั้นจัดไปก็เสียเปล่า