ถาม:  เรื่องของการลังเลสงสัย ถ้าเราตั้งใจปฏิบัติไม่ถือว่าลังเล ถ้าลังเลมันไม่ทำหรอก เพียงแต่ว่ามันยังมีอยู่ตรงจุดที่ว่าทำแล้ว มันจะเป็นอย่างนั้นไหมหนอ ตัวนี้ถือว่าเป็นเบาแล้ว ถ้าคนลังเลจริง ๆ มันไม่ทำเลย
      ถาม :  วันที่ ๑๗ นี้บวชเยอะหรือครับ ?
      ตอบ :  ก็แล้วแต่ ตอนนี้สมัครเท่าไหร่ก็รับเท่านั้น ของเราบวชให้ง่ายมาก แต่ว่าอยู่ยากมาก ยากตรงที่ว่าผิดแล้วไล่เลย พรรษาที่ผ่านมาว่าไปเสีย ๕ รูป โดยเฉพาะอาจารย์อู อาจารย์อูบวชมานานแล้ว รองจากเจ้าอาวาสกับเลขาแล้วแกอาวุโสที่สุด อาตมาไล่ไปเรียบร้อยแล้ว ทั้ง ๆ ที่แกเคยอยู่กับอาตมาตั้งแต่เป็นเณร ตัวท่านเองอยู่ในลักษณะที่ว่ากลายเป็นตัวอย่างที่ไม่ดีให้กับรุ่นน้อง จะอยู่ในจุดที่ว่าถ้าวันไหนเซ็ง ๆ ขึ้นมาก็ไม่บิณฑบาต เบื่อขึ้นมาก็ไม่ทำกรรมฐาน สวดมนต์ทำวัตร ของวัดเป็นงานส่วนรวมต้องมาทำด้วยกัน เขาอาจจะคิดผิดว่าเป็นเรื่องซ้ำ ๆ ซาก ๆ ทำมั่งไม่ทำมั่งก็ได้ แต่ความจริงไม่ใช่
              อะไรที่เราต้องทำซ้ำ ๆ ซาก ๆ อยู่ทุกวันนอกจากจะทดสอบขันติ-ความอดทน สัจจะ-ความตั้งใจของเราแล้ว ยังอยู่ตรงจุดที่ว่าเราาทำอยู่ทุกวันเราสามารถทำของวันนี้ให้ดีกว่าวันที่แล้วได้ไหม วันนี้เราทำให้ดีกว่าเมื่อวานได้หรือเปล่า หมั่นสำรวจอย่างนี้แล้วทำให้มันดีขึ้นทุกวัน ไม่ใช่ทุกวันก็ซังกะตายทำไปเหมือนกัน แล้วท่านก็ประเภทที่ว่าพอรุ่นน้องถามก็ดันไปบอกเขาเสียอีกว่า ถ้าเราไม่กินเราไม่ต้องบิณฑบาตก็ได้ ก็บรรลัยล่ะสิ แล้ววัตรปฏิบัติที่พระพุทธเจ้าท่านจัดเป็นอริยประเพณีมามันไปอยู่ที่ไหน อย่าลืมว่าพุทธกิจ ๕ ประการคือ
              ปุพพัณ เหปิณฑปาตัญจะ                เช้าขึ้นมาบิณฑบาต
              สายัณเหธัมมเทสนัง                          บ่ายก็เทศน์โปรดชาวบ้าน
              ปโทเสภิกขุโอวาทัง                           พอค่ำลงให้โอวาทพระภิกษุ สามเณร
              อัฑฒรัตเตเทวปัญหานัง                    พอกลางคืน ครึ่งคืนไปแล้วก็แก้ปัญหาให้เทวดา พรหม
              ปัจจูเสวตเตกาเล ภัพพาภัพเพวิโลกนัง        พอเวลาใกล้รุ่งตรวจอุปนิสัยสัตว์โลกเพื่อจะได้รู้ว่าใครจะเสด็จไปโปรดผู้ใด

              สรุปแล้วพระพุทธเจ้าบรรทมอย่างเก่งคืนหนึ่งคงไม่เกิน ๓-๔ ชั่วโมง เพราะเวลาเหลือนิดเดียว แล้วพระพุทธเจ้าท่านบิณฑบาตตลอดชีวิต จัดเป็นอริยประเพณี คือ ระเบียบปฏิบัติที่พ่อใหญ่ท่านทำเป็นตัวอย่างเอาไว้
              หลวงตาปรีชา เคยถามว่า อาจารย์ครับ อาจารย์อยากได้อะไรคนเขาก็ให้อยู่แล้ว แล้วทำไมถึงทำตัวเหมือนคนเจียมตัว ไอ้โน่นก็ไม่เอา ไอ้นี่ก็ไม่เอา บอกว่าหลวงตาครับเราเป็นขอทาน พ่อใหญ่สอนให้เราขอเขากิน คนที่ขอคนอื่นเขาถ้าขอไม่บันยะบันยังคนให้ก็ไม่อยากจะให้ ท่านบอกว่าพระภิกษุสงฆ์ต้องทำตัวเหมือนกับผึ้ง เมื่อถึงเวลานำน้ำหวานไปจากดอกไม้ก็ไม่ทำให้กลีบดอกไม้ต้องชอกช้ำ
              เพราะฉะนั้นเขาจะสงเคราะห์อะไร ให้สงเคราะห์ด้วยความเต็มใจ ไม่ใช่เที่ยวไปไล่ขอเขา หลวงพ่อสอนผมมาว่า ถ้าหากว่าไม่จำเป็นอย่าขอใคร ถึงจำเป็นก็ไม่ควรขอ เราปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้าไป ถ้าชาวบ้านเขาไม่สงเคราะห์เราก็ยอมอดตายไปเลย
              คราวนี้เป็นอย่างไร ถึงเวลาไปบอกเขา ถ้าไม่กินบิณฑ์ก็ได้ ไม่บิณฑ์ก็ได้ก็บรรลัยสิจ๊ะ เพราะฉะนั้นที่วัดบวชง่ายมาก ใครจะไปบวชถ้าหากว่คุณไปโดยถูกกติกา คือไปถึงแสดงตนสามารถกล่าวคำขานนาคได้ เขียนใบขอบรรพชาอุปสมบทมีผู้เซ็นต์รับรองเรียบร้อยบวชได้ทุกคน แต่ว่าบวชแล้วจะอยู่ได้ไหมอีกเรื่องหนึ่ง อาจารย์สมพงษ์ เขาใจอ่อนเขาไม่ค่อยไล่ใครหรอก ๕ รูป อาตมาจัดการรวด
      ถาม :  บวชง่าย ตกนรกง่ายมากเลย
      ตอบ :  บวชง่ายที่นั่นแล้วขณะเดียวกันอยู่ยาก ชุดสุดท้ายที่ไล่ไปมีอยู่ท่านหนึงเขามีพี่ชายก็เป็นลูกศิษย์ อาตมามาก่อน พี่ชายก็บอกว่าเขาโทรคุยกับเพื่อนเขา บอกว่าเจ้าอาวาสเขาบอกว่า ภาคทัณฑ์ไม่ใช่หรือ ไอ้เพื่อนบอกว่าใช่ครับ เจ้าอาวาสบอกภาคทัณฑ์ แต่อาจารย์เจ้าอาวาสไล่ไปเรียบร้อยแล้ว (เจริญไหมล่ะ ดุไปหน่อย) ถ้าอะไรเราทำแล้วมัวแต่ไปเห็นแก่หน้าค่าชื่อ มัวแต่ไปอคติอยู่มันยุ่ง
      ถาม :  ...............................
      ตอบ :  การทำบุญไม่มีมากไม่มีน้อย สำคัญตรงกำลังใจสละออก ถ้าคนเขามี ๑๐๐ บาท เขาทำ ๒๐ บาท ก็ ๒๐ เปอร์เซ็นต์ แต่คนมี ๑,๐๐๐ ล้านบาท ทำมา ๑ ล้านบาท เป็นเท่าไหร่ เพราะฉะนั้นมันไม่ใช่มากไม่ใช่น้อย สำคัญตรงกำลังใจสละออก การทำบุญที่พระพุทธเจ้าท่านสรรเสริญก็คือ ทำแล้วตัวเองและคนรอบข้างไม่เดือดร้อน
              เพราะฉะนั้นทุกอย่างต้องโลกไม่ช้ำธรรมไม่เสีย มันถึงจะเป็นทางสายกลาง การทำบุญ ถ้าทำแต่น้อยและทำบ่อย ๆ กำลังใจมันจะเคยชินในการสละออก อานิสงส์จะมากกว่า ๆ เพราะได้ทำบ่อย ขณะเดียวกันคนที่มี ๑๐๐ ควัก ๕๐ โห!คิดมากเลยที่เหลือพอใช้ไหมวะ
              เรื่องเงินต้องหลวงปู่บุดดา หลวงปู่ท่านเป็นพระธรรมยุต พระธรรมยุตเขาไม่จับเงิน แต่หลวงปู่บุดดาจับเงินหน้าตาเฉย เพราะว่าหลวงปู่ไปวัดท่าซุง ลูกศิษย์สายวัดท่าซุงนี่มันเคยชินในการถึงเวลาแล้วถวายเงิน เอาไปแล้วก็กอง ๆ ตรงหน้าหลวงปู่เยอะแยะไปหมด คนทนไม่ได้เอาถุงก๊อบแก๊บมาใบหนึ่งวางไว้แล้วก็กวาดเงินใส่ถุง คนต่อไปก็ใส่ถุง ๆ ถึงเวลาหลวงปู่จะกลับลูกศิษย์ก็จัดแจงผูกปากถุง แล้วก็หลวงปู่ครับ หลวงปู่ท่านก็แหวกย่ามเสียกว้างเลยกลัวถุงเงินถูกมือ พอลูกศิษย์หย่อนลงไป หลวงพ่อถาม อ๋อ! กลัวเงินใช่ไหม ไม่ใช้เหรอ แล้วก็ดึงมาเลย หลวงปู่บุดดาตะครุบสองมือเลย บอกจับแล้วครับ เออ! มันต้องอย่างนั้นสิ มันก็แค่ธาตุ ๔ ดิน น้ำ ลม ไฟ แค่นั้น ถ้ายังให้มันเป็นอันตรายกับใจตัวเองได้อย่าเอาเลย เดี๋ยวผมใช้แทนเอง
              ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาหลวงปู่บุดดาจับเงินตลอด หลวงปู่บุดดานี่เป็นเรื่องอัศจรรย์มากคือจะเรียกว่า ท่านเป็นปาปมุตก็ได้ คำว่า ปาปมุต คือผู้พ้นจากบาปโดยสิ้นเชิง ในสมัยก่อนตามพระวินัยท่านบัญญัติไว้ว่า บุคคลที่เป็นพระอรหันต์แล้วถ้าทำอะไรคนจะตำหนิได้ นี่เขาให้สวดประกาศว่าท่านเป็นพระอรหันต์ แล้วเรียกว่า สติวินัย คือประกาศว่าท่านเป็นพระอรหันต์แล้ว เริ่องอาบัติเล็ก ๆ น้อย ๆ คนจะได้ไม่ไปกล่าวโทษท่าน หลวงปู่บุดดาท่านเป็นพระธรรมยุต ผู้หญิงอยากจะนวดท่านก็ให้เขานวด เขาถวายเงินมาท่านก็จับเงิน ไม่มีพระธรรมยุตองค์ไหนกล้าว่าสักคำ มีแต่เห็นด้วย
              เพราะว่าตั้งแต่ต้นจนปลายหลวงปู่ท่านปฏิบัติบริสุทธิ์จริง ๆ บริสุทธิ์ชนิดที่ไม่มีใครกล้าตำหนิ หรือไม่มีใครระแวงสงสัยท่านแม้แต่นิดเดียว อัศจรรย์ไหม ปกติพระธรรมยุตใครจับเงินนี่กัดตายเลย อันนี้ไม่ได้ตำหนิท่านนะ เพียงแต่ท่านอยากให้เราดีตามท่าน แต่ท่านเอาความหวังดีมาขายผิดที่ อาตมาไม่ค่อยจะดีด้วยหรอก
              สมัยไปอยู่กับหลวงปู่มหาอำพัน ที่วัดเทพศิริรนทร์ ถึงเวลาโยมมาถวายเงิน เราอยู่วัดเทพศิรินทร์นี่ ท่านเป็นวัดธรรมยุต เราก็ต้องรักษาระเบียบให้ท่านใช่ไหม พอโยมถวายเงินก็บอกว่า เอาวางไว้นั่นนะจ๊ะโยม เดี๋ยวลูกศิษย์มาจะให้ลูกศิษย์เขาหยิบเอง โยมก็เขียนใบปวารณาแล้วเอาสตางค์ทับไว้ พอโยมหันหลังพ้นรั้วอาตมาก็คว้าเลย หลวงปู่ยิ้มแต้เลย คือท่านรู้ว่าต่อหน้าเรารักษาหน้าของท่าน ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวคนจะว่าท่านด้วย
              หลวงพี่มนตรี เป็นพระที่อยู่กับหลวงปู่บุดดา พระธรรยุตไปไหนเขาต้องเอาเด็กวัดหรือเณรไปด้วย เพื่อให้เป็นคนจับสตางค์แทน หลวงพี่มนตรีก็ชวนลูกศิษย์ที่เป็นคนอีสานไปอีสานด้วยกัน ลูกศิษย์ก็ถือกระเป๋าท่าน ถึงเวลาก็จ่ายค่ารถ คราวนี้นั่งรถมันแปลกว่าเขาพยายามจับพระให้นั่งอยู่หลังคนขับ ส่วนฆราวาสนั่งตรงไหนก็ได้ ลุกศิษย์ก็ไปนั่งเบาะหลัง เพราะรถ ๒ ประตู ลูกศิษย์มันเห็นถึงบ้านมัน ๆ ก็กระโดดลงเลย หลวงพี่มนตรีไม่เคยไป ไม่รู้นี่หว่าว่าถึงบ้านมันแล้ว หันมาอีกทีลูกศิษย์หายแล้ว ตัวเองไม่มีสตางค์สักสลึงหนึ่งจะกลับอย่างไร ท่านบอกคุณเอ๋ย! กว่าผมจะบิณฑบาตตั๋วรถขากลับมาได้นี่อายเขาแทบตายเลย มีแต่คนคิดว่าผมไปต้มเขา เป็นอย่างไรผลความลำบากของการเป็นพระธรรมยุต ไปไหนต้องหาลูกศิษย์ไปคนหนึ่ง
              สิกขาบทที่ ๘ แห่งโกสิยวรรค นิสสัคคิยปาจิตตีย์ การกล่าวไว้ว่า ภิกษุรับเงินและทองหรือสิ่งของที่ใช้แทนเงินทองต้องอาบัติ นิสสัคคิยปาจิตตีย์ หมายความว่า ศีลขาดแล้วต้องสละของนั้นทิ้งก่อนถึงจะต่อศีล หมายความว่าแสดงอาบัติคืนได้ สิกขาบทที่ ๙ ท่านบอกว่าภิกษุรับเองก็ดี ให้ผู้อื่นรับแทนก็ดี ซึ่งเงินและทองหรือสิ่งของที่ใช้แทนเงินทองต้องนิสสัคคิยปาจิตตีย์ ตกลงหยิบเองหรือให้ลูกศิษย์หยิบโดนเท่ากัน อาตมาหยิบเองดีกว่า สะดวกกว่าเยอะเลย เพราะฉะนั้นอาตมาหน้าด้านอยู่หน่อย ๆ ถึงเวลาก็นับเองรับเองสบายใจดี
      ถาม :  ไม่ดีเพราะว่าคนเห็นแล้วเกิดเขานึกไม่ดีแล้วปรามาส เขาก็ตกนรกแทน
      ตอบ :  ไม่เป็นไร ให้มันตกไป
      ถาม :  อ้าว เวรกรรม
      ตอบ :  เขาเรียกว่า สวรรค์มีทางเจ้าไม่ไป นรกไร้ประตูกกลับตะกายมา สมควรลง
      ถาม :  ไม่รับแบ่งครึ่งหรือครับ ?
      ตอบ :  พยายามช่วยเขาอยู่ แต่คราวนี้ตรงนี้มันต้องใช้คำว่าจำเป็น ไม่อย่างนั้นใครจะมาเช็คยอดลงบัญชีให้เราทันล่ะ มันก็ต้องลงเอง
      ถาม :  ขอคำอธิษฐานแบบฉลาด ๆ สักข้อหนึ่งได้ไหมครับ ?
      ตอบ :  อธิษฐานว่าขอให้เข้าถึงพระนิพพานในชาติปัจจุบันนี้ ฉลาดที่สุดเลย
      ถาม :  ต้องใช้บุญเก่าเราก่อนไหมครับ เป็นตัวตั้งเวลาอธิษฐาน
      ตอบ :  ถ้าหากว่าเรามีความต้องการไปนิพพาน แสดงว่าบุญเก่าทำมาพอแล้ว ก็อยู่ที่ว่าจะทำอย่างไรให้มันไปได้เท่านั้น
              ลืมใส่แว่น ขอโทษที เลยหนุ่มไปชั่วคราวแบบเดียวกับหลวงปู่น้อย หลวงปู่น้อย วัดบ้านปง อายุ ๙๙ ปี ตอนนั้นก็ไปกราบท่าน ปรากฎว่าลูกศิษย์บอกว่าหลวงปู่อยู่ในห้องนั้นแหละ (อาจารย์ไปผ่อเต๊อะ) เขาว่าอย่างงั้น ลูกศิษย์เขาเป็นคนเหนือบอกว่าอาจารย์ไปดูเถอะ เราเปิดห้องเข้าไปไม่มี เปิดดูห้องน้ำไม่มี ก็เลยเปิดประตูหลังออกไปก็ไม่มี ไปเดินหาข้างหลังประตูพักหนึ่ง เห็นลักษณะเหมือนหอระฆังหรือหอกลอง มีบันไดประมาณ ๑๐ กว่าถึง ๒๐ ขั้น ก็เลยเดินขึ้นไปข้งบนเพื่อจะได้ชะโงกดูให้ทั่ว ปรากฎว่าหลวงปู่นอนหลับอยู่ข้างบน กราบท่านแค่นั้นตั้งใจว่าจะไม่กวน ปรากฎว่าพอกราบท่านก็ลืมตาขึ้นมา เออ ๆ มาจากไหนล่ะ บอกว่ามาจากกาญจนบุรีครับ ท่านบอกว่าดี ๆ เดี๋ยวลงไปข้างล่างด้วยกัน ท่านก็ลงมา พอลงมาปรากฎว่าถึงตรงประตูหลังนั้นมันจะยกพื้นอยู่ประมาณฝ่ามือหนึ่ง ท่านบอกว่าช่วยอุ้มหน่อย ก็เลยต้องอุ้มท่านเข้าห้องไป คนแก่อายุ ๙๙ ปี เดินไม่ถนัดถึงเวลาต่อหน้าคนก็ต้องช่วยอุ้มหน่อย แต่ลับหลังคน บันไดยี่สิบกว่าขั้นขึ้นไปได้อย่างไรก็ไม่รู้ (เป็นเสียอย่างนั้น)
      ถาม :  ห้ามทำให้คนเห็นหรือครับ ?
      ตอบ :  ห้ามไม่ให้คนเห็น แต่พระด้วยกันไม่เป็นไร พระด้วยกันเขาถือเป็นอุปสัมบัน ท่านปรับแต่ว่า อวดอุตริมนุสธรรม ต่ออนุสัมบัน ถ้ามีจริงต้องอาบัติปาจิตตีย์ ถ้าไม่มีจริงก็ขาดความเป็นพระไปเลย ก็ต้องปาราชิกไปเลย เพราะว่าคนเราส่วนใหญ่จะไปติดอยู่ตรงนั้น เมื่อไปติดอยู่ตรงฤทธิ์ตรงเดช ศรัทธาที่แท้จริงต่อพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ จะไม่มี
              เมื่อศรัทธาต่อพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ไม่มี ความเป็นพระอริยเจ้าขั้นแรก กติกาบอกว่าต้องเคารพพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์จากใจจริง แต่อันนั้นจะไม่ใช่จากใจจริง แต่ว่าไปเลื่อมใสเพราะเรื่องฤทธิ์ของเดช ก็เลยทำให้เขาเข้าไม่ถึงความเป็นพระอริยเจ้า พระพุทธเจ้าท่านถึงได้ห้ามพระสาวกแสดงฤทธิ์ คราวนี้เข้าใจหรือยังจ๊ะ ยังสงสัยห้ามทำไม ถ้าเขาไม่ได้ศรัทธาจากใจจริง เขาจะเข้าถึงความเป็นพระอริยเจ้าไม่ได้
      ถาม :  อาจารย์ครับ บางทีกิเลสมันขี้เกียจมากจนเราไม่อยากทำ
      ตอบ :  จ๊ะ ทำไปเถอะ อาตมายืนยันกับคุณได้เลยว่า กิเลสกับความดีหน้าตาเหมือนกันเปี๊ยบเลย เพียงแต่ว่าถ้าก้าวสุดท้ายความดีดึงเราขึ้นข้างบน แต่กิเลสมันดึงเราลงข้างล่าง อาตมาเคยรบกับมันมาจนประเภทสะใจมากเลย พอเห็นหน้าตามันเหมือนความดีนี่ตกใจเลย ตกใจตรงที่ว่า เฮ้ย! ถ้าหากว่าคนปัญญาไม่เข้าถึงก็เสร็จมันล่ะสิ มันหน้าตาเหมือนกันจริง ๆ อยู่วัดท่าซุงได้เงินทองได้ข้าวได้ของมา เราไปถวายหลวงพ่อเอาอานิสงส์ใส่ตัวไว้ก่อน โยมเขาถวายเงินมาเอาไปถวายสังฆทาน สังฆทานวัดท่าซุงเขาแบ่งเป็นชุดละ ๑๐๐ บาท ชุดละ ๕๐๐ บาท ชุดละ ๑,๐๐๐ บาท ชุดละ ๒,๐๐๐ บาท ตามแต่ปัจจัยมากน้อยไม่เหมือนที่นี่ใช่ไหม เพราะที่นี่ของเราฟรีสไตล์ ใครอยากได้พระองค์เล็ก องค์ใหญ่ไปยกเอา
              คราวนี้โยมเขาถวายมา ๓๐๐ บาท ความจริงพอสังฆทานชุดละ ๑๐๐ บาท ได้ ๓ ชุด ถวายชุดละ ๕๐๐ บาท ให้มันสะใจดีก็รอไว้พักหนึ่ง แทนที่จะได้ ๕๐๐ บาท เปล่าหรอกมาอีกทีกลายเป็น ๗-๘๐๐ บาท เก็บเอาไว้ถวายชุดละ ๑,๐๐๐ บาท ดีกว่ามันจะได้อยู่แล้ว
              วันนั้นบังเอิญไม่รู้มันเกิดอะไรโดนใจนึกขึ้นมาได้นี่เหงื่อแตกเลย ถ้าตายห่าเสียก่อนบาทเดียวก็ไม่ได้ทำ มันหลอกเราได้ขนาดนั้นนะ เหลือเชื่อไหม นี่ตัวอย่างคร่าว ๆ ของกิเลสที่มันหลอกเรา มาร แปลว่า ผู้ฆ่า หรือผู้ขวางเราจากความดี เขาไม่ใช่ศัตรู แต่เขาเป็นครูที่ขยันออกข้อสอบจริง ๆ เผลอเมื่อไหร่โดนเมื่อนั้น ออกได้ทุกวินาที ข้อสอบหลัก ๆ ก็แค่รัก โลภ โกรธ หลง ๔ ข้อแค่นั้นแหละ แต่มันสามารถแตกข้อย่อยได้เป็นแสนเป็นล้านเลย ข้อที่เราเคยทำได้แล้วมันไม่เคยโผล่มาใหม่เลยเสียเวลา มันก็หาข้อใหม่มาอีก มันก็อยู่แค่ ๔ หัวข้อเท่านั้นแหละ เผลอเมื่อไหร่โดน ๆ จนกว่าสติกับสัมปชัญญะจะสมบูรณ์
              แต่ว่าแรก ๆ ก็พลาดให้มันอยู่ตลอด หลังจากพยายามสู้จนเริ่มชนะ ตอนแพ้ชนะก้ำกึ่งกันนี่จะมันมาก หนังละครอะไรไม่อยากดูหรอก คอยลุ้นว่าคะแนนแต้มต่อไปมันจะได้หรือเราจะได้ หลังจากนั้นก็พยายามต่อไปมันก็จะชนะมากกว่าแพ้ แล้วท้ายสุดมันก็จะไม่แพ้อีก อย่างที่พวกเราทุกคนต้องการ
              ดังนั้นว่ามารไม่ใช่ศัตรูแต่เป็นครูที่ดีที่สุดของเรา เขามีหน้าที่ขวางมีหน้าที่กันเราจากความดี เขาก็กันไปขวางไป เรามีหน้าที่หนีเขาให้พ้น เราก็หนีของเราไป ต่างคนต่างทำหน้าที่ตัวเองให้ดีที่สุดเท่านั้นแหละ ไม่ต้องไปโกรธไปแค้นไปเคืองเขา เสียเวลา โกรธเขาเมื่อไหร่เสร็จมัน เอาตัวโกรธมาให้แล้ว
      ถาม :  เวลาถวายสังฆทานพระพุทธรูป แบบว่าที่เรายกมาถวายแต่ละรูปมีความหมายต่างกันอย่างไร ?
      ตอบ :  จริง ๆ มันอยู่ที่เรา ชอบพระพุทธเจ้าองค์เดียวกันนั่นแหละ กิเลสคนทำมันต่างกัน เขาชอบแบบนั้น เขาสร้างแบบนี้ขึ้นมา เรื่องของแบบต่าง ๆ ปางต่าง ๆ ขึ้นอยู่กับความชอบของคนทำทีหลัง พระพุทธเจ้าน่าจะองค์เดียว
      ถาม :  ถวายสังฆทานกับถวายปัจจัย คือถ้าเราไม่ถวายสังฆทานจะถวายปัจจัยเฉย ๆ
      ตอบ :  สิ่งที่เราถวาย ถ้าเขาจัดมาครบปัจจัย ๔ มันอยู่ในนั้นแล้ว อาหาร ที่อยู่ เครื่องนุ่งห่ม ถ้าผ้าไตรจีวรมีอยู่ ยารักษาโรคมีอยู่ ที่อยู่อาศัยอยู่วัดอยู่แล้ว คือถ้าไม่ได้ไปดิ้นรนคิดจะทำอะไรมากนัก ไม่มีสตางค์ก็อยู่ได้
              คราวนี้ส่วนใหญ่ปัจจัยที่ให้มา พอให้มาแล้วไปเกิดโทษตรงที่ว่าไปเห็นว่าเป็นของเรา เมื่อไปเห็นว่าเป็นของเราก็มีการสะสมกัน ประเภทไม่จับเงิน ๆ ดีนักแล ถึงเวลาตะเกียบเขี่ยกว่าจะนับครบล่อไปครึ่งคืน เพราะมือจับไม่ได้นี่ เป็นอย่างนั้นจริง ๆ เจอมาแล้ว ไม่ได้ว่าอะไรท่านหรอก พูดไปตามความจริง
              คราวนี้เมื่อว่าไม่สามารถจะป้องกันตัวเองได้จากความโลภ อันนั้นพอถึงเวลามีเงินมันจะมีทางไป มีเงินเมื่อไหร่ผู้หญิงจะมาแปลกมากเลย เหมือนกับมันจ้องอยู่อย่างนั้น หลวงพ่อถึงได้เตือนไว้นักหนาบอกว่า เงินปีนี้อย่าให้ถึงปีหน้า มีเท่าไหร่ถล่มมันให้หมด แล้วเป็นหนี้เอาไว้พอถึงเวลาพอได้เงินมาปุ๊บมันจะได้รู้สึกว่าไม่ใช่ของเรา ต้องเอาไปใช้เขา ทางพระ สตรีกับสตางค์มันอันตรายทั้งคู่ มีสตางค์เมื่อไหร่ สตรีจะมา ในกรุงเทพฯ ปัจจุบันเขามีขบวนการเมียพระ ไม่ได้พูดเล่นนะเรื่องจริง ขบวนการเมียพระเขาจะดูว่าพระองค์ไหนมีแววว่าจะใหญ่ขึ้นไป จะเป็นคุณมหาจะได้เป็นพระครู จะได้เป็นเจ้าคุณ เอาลูกสาวไปไว้ใกล้ ๆ แมวกับปลาย่างอยู่ใกล้กันเมื่อไหร่ เผลอเมื่อไหร่ ปลามันก็กินแมว ไม่ใช่แมวกินปลา พอมีสัมพันธ์กันมีอะไรกันไปก็ต้องอุดด้วยเงิน เพื่อไม่ให้เขาไปปูดให้ตัวเองเดือดร้อน ขบวนการนี้แหละสอยเงินจากพระปีหนึ่งเป็นพัน ๆ ล้าน
              แล้วท่านที่อยู่ในเมื่อล่วงละเมิดอาบัติหนักก็ไม่ใช่พระอยู่แล้ว ไปเป็นผ้าเหลืองห่มตอยังดีกว่า ถ้าตราบใดที่ยังไม่เปิดเผยขึ้นมาก็ยังหน้าด้านอยู่ต่อไป บางทีเปิดเผยขึ้นมามันยังเถียงอีก จับไมได้คาหนังคาเขาไม่ยอมรับหรอก เป็นเรื่องอันตราย อาจมาบอกว่ามีแต่หนี้มันได้ยินมันก็เผ่นแล้วไม่มีสตางค์ เปิดบัญชีให้เมื่อไหร่มันก็ท่วมหัวเมื่อนั้น
      ถาม :  อย่างนั้นเราไม่ควรถวายปัจจัย
      ตอบ :  ถวายไปเถอะ ถ้าถวายพระอย่างหลวงพ่อคูณ เคยเก็บสักบาทสักสตางค์ที่ไหน มีเท่าไหร่กูก็ทำบุญหมด ก็ไม่เอาไว้ดอกลูกเอ๋ยหลานเอ๋ย กูยังอยากเกิดมาสร้างบุญอีกเยอะ ๆ นั่นพุทธภูมิแท้เลย
      ถาม :  อานิสงส์ต่างกันไหมครับ การถวายปัจจัยกับถวายสังฆทาน
      ตอบ :  ถ้าหากว่าสังฆทาน หมายความเอาพระพุทธเจ้าเป็นประธานโดยมีพระสงฆ์ตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบันเป็นที่สุด เป็นของคู่ควรแก่สงฆ์ทั้งสังฆมณฑล ถ้าหากว่าถวายเฉพาะเจาะจงเขาเรียกว่า ปาฏิบุคลิกทาน ใคร ๆ ในปัจจุบันนี้ก็คงอยากถวายกับหลวงพ่อคูณ อยากถวายกับหลวงตาบัว อยากถวายกับหลวงพ่ออุตตมะ พระหนุ่มเณรน้อยอดตายกันหมด ศาสนาจะตั้งอยู่ไม่ได้ แต่ว่าสังฆทานเมื่อหมายเอาพระพุทธเจ้าเป็นประธาน พร้อมกับพระภิกษุสงฆ์ตั้งแต่อดีตทั้งหมดจนถึงปัจจุบันนี่ พระหนุ่มเณรน้อยที่ไหนก็มีส่วนในสิ่งนั้น สามารถแบ่งกันกินแบ่งกันใช้ได้ ในเมื่อมีกินมีใช้สามารถดำรงขันธ์ก็อยู่ได้ การปฏิบัติกิจในศาสนา การศึกษาธรรมะ การสั่งสอนชาวบ้าน ก็สามารถที่จะปฏิบัติสืบเนื่องได้ ศาสนาก็ตั้งมั่นอยู่ได้
              ฉะนั้นสังฆทานอานิสงส์จะสูงกว่ามาก เพราะว่าเป็นอานิสงส์การสืบทอดพระศาสนาอยู่ในตัว ท่านบอกว่ามากกว่าปกฏิบุคลิกทานเป็นแสนเท่า พระพุทธเจ้าท่านบอกว่าถวายทานกับท่านร้อยครั้งไม่เท่ากับถวายสังฆทานครั้งหนึ่ง ทำไปเถอะ ถ้าหากว่าพระท่านไม่รู้ว่าจะจัดการมันอย่างไร โทษก็จะเกิดกับท่านเอง ถึงได้บอกว่าให้ลือกเนื้อนาบุญ หว่านนาที่ดอนมันก็แห้งตายหมด หว่านนาน้ำลุ่มมันก็ท่วมตายหมด มันก็เหลืออย่างเดียวว่า หานาที่พอเหมาะพอดี ถึงเวลาดอกผลก็งอกเงยขึ้นมาเอง
      ถาม :  เพราะเราเป็นฆราวาสก็ไม่เข้าใจว่าเวลาเราถวายสังฆทาน เราก็ไม่เข้าใจว่าพระน้อยเณรน้อยมีใช่ไหม เราก็ถวายปัจจัยแยกต่างหาก
      ตอบ :  อย่างของอาตมา ถ้าหากว่าในสายตานักวิชาการมันไม่เป็นสังฆทาน เพราะเรารับอยู่คนเดียว แต่จริง ๆ มันเป็นสังฆทานเพราะเราเป็นตัวแทนสงฆ์รับไป ไม่ได้กินคนเดียวใช้คนเดียว เอาไปไล่แจกเขา แรก ๆ ไปอยู่ทองผาภูมิใหม่ ๆ วัดอื่นเขางงมากเขาไม่เคยเห็นพระทำบุญ ถึงเวลาเอาไปถวายเขา เขางง มาระยะหลัง ๆ หายงงแล้ว รอเมื่อไหร่เราจะกลับ กินคนเดียวใช้คนเดียวก็ไม่ดี ถ้ามีโอกาสกระจายได้วัดเท่าไหร่ก็ดีเท่านั้น
      ถาม :  เรานับหน้าตักอย่างเดียวเลยใช่ไหมครับ อานิสงส์มาก
      ตอบ :  แปดศอกขึ้นไปอานิสงส์ชำระหนี้สงฆ์ ถ้าหากว่าขนาดท่านบอกว่าสร้างพระพุทธรูปเล็กเท่าใบหญ้าคาหรือโตเท่าภูเขาก็ดี ท่านบอกว่าไม่ว่าจะเกิดกี่ชาติจะไม่ออกนอกเขตพระพุทธศาสนา พุทธานุสสติถ้าใจยึดมั่นจริง ๆ จะเกิดในเขตพระพุทธศาสนาตลอด แต่คราวนี้ว่าพุทธานุสสติในระดับที่ถึงขนาดตั้งใจสร้างพระจะต้องพุทธานุสสติแน่นมากแล้ว