ถาม:  เข้าพม่านี่ เขาบังคับต้องแลกเงินใช้เท่าไหร่คะ ?
      ตอบ :  ๓๐๐ ดอลล่าร์ใช้ไม่หมดไม่ว่า แต่ห้ามเอาคืน แล้วได้ไม่กี่สตางค์หรอก เพราะว่าพม่าเขากำหนดอัตราเงินตามใจเขา ๑ ดอลล่าร์ ได้ประมาณ ๕-๖ จั๊ตเท่านั้น ขณะที่เราแลกในตลาดมืด ๑ ดอลล่าร์ ได้ตั้งพันกว่า
      ถาม :  ....................................
      ตอบ :  ถ้าหากว่ามีผล เขื่อนปากมูลคงไม่ประท้วงกันหรอก ดูต่างประเทศทำมากี่เขื่อนๆ อย่างของอเมริกา ปัจจุบันเขาศึกษาเสร็จเรียบร้อย สรุปว่าทุบเขื่อนทิ้งดีที่สุด
      ถาม :  ทุบเขื่อนทิ้งเพื่อที่จะได้ประโยชน์ทางอื่น ๆ ?
      ตอบ :  คือปัจจุบันของเขา พวกปลาแซลมอลของเขา ที่เคยว่ายทวนน้ำขึ้นไปเป็นแสนเป็นล้าน เพื่อที่จะไปวางไข่ในธรรมชาติ ลดลงประมาณ ๘ ใน ๑๐ คงลดง ๑ ใน ๕ คราวนี้เขาเลยใช้วิธีว่า ปล่อยพวกพันธุ์ปลาที่ตัดต่อยีนลงไปในธรรมชาติ เพื่อที่จะไปทดแทนส่วนนี้ แต่จะกลายเป็นว่า ถ้าหากว่าไปผสมกับปลาในธรรมชาติ ก็อาจจะบรรลัยกันยกใหญ่ พวกที่เขาศึกษาเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม สรุปว่า ทุบเขื่อนทิ้งดีที่สุด
      ถาม :  แต่เขาก็ไม่ได้ทุบนี่คะ ?
      ตอบ :  เขาทุบไปหลายเขื่อนแล้ว เขื่อนที่กั้นแม่น้ำโคโลราโด ทุบทิ้งไปแล้ว
      ถาม :  แล้วเขาเอาพลังงานไฟฟ้ามาจากไหนคะ ?
      ตอบ :  เดี๋ยวนี้พลังงานนิวเคลียร์เยอะแยะ ดู ๆ มีหลายแห่งที่เขาใช้พลังงานธรรมชาติ อย่างเช่น พลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานลมอย่างนี้ แต่ว่าบ้านเราพลังงานแสงอาทิตย์ก็ไม่แน่นอน เพราะว่าบ้านเราอยู่ในเขตมรสุม แล้วพลังงานลมนี่ จะต้องประมาณ ๖ กิโลเมตร / วินาที ถึงจะใช้ผลิตไฟฟ้าได้แล้วต้องสม่ำเสมอด้วย ไม่ใช่มาประเภท ๖ กิโลเมตร / วินาที แล้วก็หายไปเลย
      ถาม :  เมืองไทยก็ต้องใช้พลังงานนิวเคลียร์อย่างเดียวสิคะ ถ้าไม่สร้างเขื่อน?
      ตอบ :  อันตรายมาก..!
      ถาม :  พลังงานแสงอาทิตย์ดีกว่า ?
      ตอบ :  ถ้าพลังงานแสงอาทิตย์ พอถึงเวลาครึ้มฟ้าครึ้มฝนสักอาทิตย์หนึ่งล่ะไม่ต้องทำมาหากินกันพอดี ตอนแรกว่าจะทำให้วัดพุทธบริษัท พลังงานแสงอาทิตย์ ปรากฏว่า...ถ้าลงทุน ๑-๑.๒ ล้าน พลังงานที่ได้จะประมาณ ๗๐ วัตต์ ตกลง ๗๐ วัตต์ ทำมาหากินอะไรไม่ได้เลย เปิดไฟ ๒ ดวงก็จะหมดแล้ว แล้วจะเป็นอยู่ในลักษณะที่เรียกว่า เหมือนกับบังคับว่าต้องอยู่ในที่ ๆ มีไฟฟ้า เพราะว่า...ถ้าหากว่าพลังงานส่วนนี้ของเราจ่ายออกมา ก็คล้าย ๆ กับเป็นการทดแทนไฟฟ้าที่เขาส่งมาตามปกติได้
              แต่คราวนี้ลองมานึกดูว่า ถ้าหากว่าเราต่อไฟฟ้าเข้าไปตามปกติแล้ว ยังมาทำพลังงานแสงอาทิตย์ จ่ายเป็นล้าน ๆ เพื่อที่จะมาทดแทนหน่อยเดียว อีกกี่ชาติกว่าจะคุ้ม ? ทำไปก็เสียสติชัด ๆ เลย ตกลงว่าวัดพุทธบริษัทก็ใช้เทียนต่อไป (หัวเราะ) ความจริงมีเครื่องปั่นไฟให้เขาอยู่แล้ว แต่ท่านกอล์ฟขี้เกียจติดเครื่อง มาตอนหลังพอแบตหมด ต้องแบกแบตลงไปชาร์จในตัวเมืองหลาย ๆ ที เขาก็เลยชักขยัน คราวนี้ติดวันละครึ่งชั่วโมง คือแบตเตอรี่ถ้าไม่ได้ใช้ติดเครื่องนาน ๆ นอกจากเครื่องจะสตาร์ทยากแล้ว แบตยังจะหมดด้วย ต้องใช้บ่อย ๆ เพราะว่าเวลาใช้ ไฟจะหมุนเวียน ที่เขาเรียกว่า “recharge” ประเภทย้อนอัดเข้าไปในแบตด้วย คราวนี้พอไม่ได้อัดลำพังของมันอย่างเดียว เก็บเอาไว้ไม่ได้นาน เดี๋ยวก็หมด ยิ่งถ้าแบตเก่า ๆ ยิ่งหมดเร็ว
      ถาม :  ....................................
      ตอบ :  “อยู่คนเดียวเปลี่ยวกาย แสนสบายแต่ไม่สนุก ถ้าอยู่สองครองทุกข์ ถึงสนุกก็ไม่สบาย” โบราณเขาว่า “อันว่าธรรมดานาไร่ จักไม่รับไถก็ใช่ที่ ฉันใดชาดานารี ควรมีสามีไว้แนบกาย” (หัวเราะ) คนเขียนต้องเป็นผู้ชายแน่เลย ยุให้ผู้หญิงมีแฟน ในมหาสติปัฏฐานสูตร ท่านว่า “เอกายโน อยํ ภิกฺขเว” หนทางนี้แล ภิกษุทั้งหลาย “มคฺโค สตฺตานํ วิสุทธิยา” เป็นทางนำสัตว์ทั้งหลาย ไปสู่ความบริสุทธิ์ หนทางของคน ๆ เดียวนะ เอากายโน “โสกปริเทวานํ สมติกฺกมาย ทุกฺขโทมนสฺสานํ อตฺถงฺคมาย” ธรรมทั้งหลายก็เจริญ “จตฺตาโร สติปฏฺฐานา” ทางนี้เรียกว่า สติปัฏฐานทั้ง ๔ ก็จะมี กาย เวทนา จิต ธรรม ๔ อย่างด้วยกัน ขอยืนยันนะว่า “ต้องคนเดียว...!” สองคนไปไม่รอดหรอก ถ่วงกันไปก็ถ่วงกันมา แต่มารเขาเก่ง เพราะว่า...เขารู้ว่าเรามีจุดอ่อนตรงไหน ? แล้วเขาจะจี้ตรงจุดอ่อนตรงนั้น เดี๋ยวก็พาให้เราไปสนใจอีกคนหนึ่งจนได้
              เมื่อสัก ๒-๓ ปีที่ผ่านมา มีเด็กอยู่ ๒ คนปฏิบัติดีมากเลย เขาฝึกสมาธิหมุน รู้จักสมาธิหมุนไหม ? สมาธิหมุนของสายพระอาจารย์รัตน์ รตนญาโณ ของสำนักสงฆ์รัตนประทีปที่แม่ฮ่องสอน เขาฝึก เราก็พยายามที่จะกำกับ และคอยตักเตือนอยู่ เรียกหลวงพ่อทั้งที ก็ช่วยมันหน่อย แต่ปรากฏว่า...พอฝึกไป ๆ ถึงระดับหนึ่งถ้าเป็นทางพระเรียกว่า “ทิฏฐิวิปลาส” คือเห็นผิด...! เขาบอกว่า “คนเราเป็นอรหันต์โดยไม่ต้องบวชก็เป็นได้ ไม่จำเป็นจะต้องตาย” หมายถึงตัวเขาเองนะ แล้วตอนนั้นอย่าไปเถียงเขานะ เพราะว่ากำลังใจตอนนั้นของเขาเหมือนกับพระอรหันต์จริง ๆ เนื่องจากว่า...การทรงฌาน ๔ เต็มกำลัง จะกดรัก โลภ โกรธ หลง ให้เงียบสนิทไปเลย เหมือนอย่างกับว่าไม่มีอยู่เลย สติปัญญาทุกอย่างจะชัดเจนแจ่มใสมาก เขาก็เลยหลงผิด คิดว่าตัวเองเป็นพระอรหันต์ ก็เนื่องจากการดลใจของมาร เขาก็คิดว่า ถึงวารที่เขาจะต้องไปกู้โลก ตอนี้มารวางยาไว้ทั่วโลก จะต้องเป็นหน้าที่ที่เขาไปกู้โลก มันกู้ไปกู้มาได้ลูกมา ๒ คน นั่นน่ะ...เข้าใจคิดว่าตัวเองเป็นพระอรหันต์แล้ว อันนี้ไม่ใช่แต่เขานะ
              สมัยพุทธกาลก็มีอยู่ พระพุทธเจ้าบอกว่า “ภิกษุอวดอุตริมนุสธรรม” คือธรรมที่ไม่มีจริงในตน ปรับอาบัติปาราชิก คือขาดความเป็นพระไปเลย มีพระองค์หนึ่ง ท่านพยากรณ์ตัวเองว่า “เป็นพระอรหันต์” คราวนี้พอกำลังใจตกปุ๊บ...! กิเลสกำเริบใหม่ ก็รู้ว่าตัวเองได้แค่ฌานโลกีย์เท่านั้น ไม่ใช่พระอรหันต์ที่แท้จริง เกิดเดือดเนื้อร้อนใจ เข้าไปกราบทูลถามพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าตรัสว่า “เธอเอ่ยโดยเข้าใจผิด หรือว่า เอ่ยโดยคิดว่าเป็น หรือว่า เอ่ยโดยเจตนาที่จะอวดอ้างตัวเองว่ามีคุณวิเศษ” พระองค์นั้นท่านก็บอกว่า “ท่านเอ่ยโดยเข้าใจผิด คิดว่าตัวเองเป็น ไม่ได้มีเจตนาจะอวดอ้างคุณวิเศษ” พระพุทธเจ้าก็ตรัสว่า “ถ้าอย่างนั้น เธอไม่โดนอาบัติปาราชิก” ปาราชิกนี่ ขาดความเป็นพระเลยนะ บวชใหม่ก็ไม่เป็นพระ ห่มเหลืองอยู่ก็ไม่ใช่พระ
              เพราะฉะนั้น...ไม่ใช่เรื่องแปลก คราวนี้พูดย้อนหลังอีกทีว่า “เขาปฏิบัติได้ขนาดนั้น ยังเสียท่าเอาง่าย ๆ เลย แล้วอย่างพวกเราทำได้ขนาดนั้นไหม ?” ถ้าไม่ได้ มารขี่คออยู่แล้ว เขาขวางใครมาก ๆ ก็แปลว่า คนนั้นใกล้ความดี ถ้าประเภทห่างความดี เขาไม่ขวางให้เสียเวลาหรอก รายนั้นทิฏฐิวิปลาสไปหน่อยเดียว ห้ามแล้วไม่ฟัง ในเมื่อห้ามแล้วไม่ฟัง เราก็ต้องปล่อย ไม่เป็นไรหรอก เดี๋ยวเลี้ยงลูกเบื่อ ก็กลับมาใหม่ ช่วงวันมาฆบูชาที่ผ่านมา ทำบุญ ๘๐ ปีให้กับโยมแม่ ก็มีการบวชพระด้วย คราวนี้คนทีท่องได้แล้วขี้เกียจรอ ก็บวชไปก่อนชุดหนึ่ง แล้วก็ชุดของคุณชาญวิทย์อีกชุดหนึ่ง รวมแล้ว ๒ รอบ ๑๐ องค์ ตอนนี้เหลือครึ่งเดียว ครึ่งเดียวไม่รู้เลยว่า ที่เอาจริงอยู่จะเป็นอย่างไร ?
              อย่างหลวงพี่ชาติ อาตมาเรียก “หลวงพี่” พวกเราต้องเรียก “หลวงตา” ที่อาตมาเรียกหลวงพี่ เพราะว่าอายุใกล้เคียงกัน แล้วอีกอย่าง เขาเป็นพี่เขยด้วย ที่วัดเรียกหลวงตาหมดแล้ว แก่ขนาดนั้น แกตั้งใจว่า ถ้าแกบวช ก็จะอยู่ยาวเลย ปรากฏว่าสารพัดโรคระดมขึ้นมาพร้อม ๆ กัน ถึงขนาดไอเป็นเลือด ต้องเข้าโรงพยาบาล นี่แหละฝีมือเขา อันนี้เขาเรียกว่า "ขันธมาร" เอาร่างกายมาขวาง อยู่บ้านดี ๆ ไม่เป็นไรหรอก ทำให้มีคนเข้าใจผิดไปเยอะเลย ไม่ต้องใครหรอก บิ๊กเหลืองนั่นแหละ เสือเหลืองของเรา ตอนเมาเหล้าหัวทิ่มพื้นนอนตากน้ำค้างทั้งคืน ไม่เป็นอะไรหรอก พอเลิกกินเหล้า หันมาปฏิบัติธรรม ป่วยโน่นป่วยนี่อยู่เรื่อย เอาขนาดนั้น คนปัญญาไม่ถึง จะเข้าใจผิดไปเลยว่า เพราะว่ามาทำอย่างนี้แหละ ถึงเป็น แล้วก็จะเป๋ยาวออกไปเลยจะเป็นอย่างนั้น
              เพราะฉะนั้น...สติสัมปชัญญะต้องดี ความตั้งใจต้องมั่นคง ตอนนี้ดีขึ้นมาหน่อยหนึ่ง บอกเขาว่า "มี ๒ อย่าง ถ้าคุณคิดว่าตายเป็นตาย เดี๋ยวก็หาย เพราะเรารู้ทัน หรือว่าคุณสึกไป เดี๋ยวก็หาย เลือกเอา" ตอนนี้ เขายังอยู่ ยังไม่รู้ว่าจะเจออะไรเข้าไปอีก? ประเภทกำลังใจแรง ๆ อย่างนี้ โดนหนักทุกราย อย่าไปหวังว่า เขาจะปรานี แต่จำไว้ว่า "เขายิ่งตีหนัก เท่าไหร่? แปลว่า กำลังใจของเรา ยิ่งใกล้ความดีเท่านั้น" ถ้าเราไม่ ใกล้ความดี ไม่ตีให้เสียเวลาหรอก ก็หลอกให้เราหลงเพลินไปเรื่อย ๆ
              เพราะฉะนั้น...เรื่องทางโลก คือเรื่องทางโลก เราทำไปเถอะ แต่ขณะเดียว กัน... เรื่องทางธรรม ทิ้งไม่ได้..! การรักษากำลังใจในแต่ละวันสำคัญที่สุด โดยเฉพาะตอนเช้ามืด เช้ามืดร่างกายได้รับการพักผ่อนมาเต็มที่แล้ว จะมาอ้างว่าเหนื่อย ว่าง่วง ไม่ได้ทั้งนั้น ในเมื่อได้รับการพักผ่อนมาเต็มที่แล้ว ก็ถึงเวลาที่จะกอบโกยความดีใส่ตัว พยายามภาวนาให้กำลังใจขึ้นให้สูงที่สุดเท่าที่เราทำได้ ถ้ากำลังใจตอนเช้ามืดทรงตัวได้ เร็วแค่ไหน ? ดีแค่ไหน ? จะอาศัยไปได้ทั้งวัน ถ้ายิ่งทรงฌานได้ ยิ่งสบายเลย วันนั้นนิวรณ์กินแทบไม่ได้ทั้งวัน ยกเว้นว่าไปเผลอให้ฌานหลุด ถ้าทรงฌานได้ รู้ลมหายใจเข้า-ออกอัตโนมัติอยู่ จะทำอะไรก็รู้ มีสติรู้อยู่ตลอด นิวรณ์จะกินเราไม่ได้ อย่าเผลอหลุด หลุดเมื่อไหร่ ? แหม...มันมาฟ้าถล่มดินทลาย ไป กั้นไว้เสียนาน
              ส่วนใหญ่จะมีประสบการณ์อุบาทว์นี้ทั้งนั้นแหละ ประเภทจิต ตกบ้าง กำลังใจตกบ้าง สมาธิตกบ้าง ตัวเดียวกัน แต่อาตมาขอยืนยันว่า "กำลังใจกับ กำลังสมาธิ เป็นคนละเรื่องกัน " กำลังสมาธิ ขึ้นกับ ร่างกาย ถ้าหากว่าร่างกายหิวมาก ๆ เหนื่อยมาก ๆ เจ็บไข้ได้ป่วย มันไม่เอา กับเรา พังเลย เราต้องทำให้ถึงระดับที่กำลังใจทรงตัว ถึงสมาธิตก กำลังใจ ก็ทรงตัวอยู่อย่างนั้น ถ้าประเภทนี้จะฟื้นตัวเร็ว เหมือนกับนักมวยซ้อมไว้ดี โดนหมัดเด็ดคู่ต่อสู้ ร่วงไปกองกับพื้น ก็ลุกก่อนโดนนับ ๑๐ ต้องซ้อม ให้ดี ถ้ากำลังใจทรงตัวได้ระดับหนึ่ง ก็พออาศัยได้ แต่ถ้ายัง ประเภท สมาธิตกเมื่อไหร่ ? กำลังใจตกด้วย หมดเกลี้ยงไปด้วยกัน รีบ ๆ ทำให้มาก เข้าไว้ ยังห่างไกลมาก เผลอเมื่อไหร่ ? ก็โดนอีก
              สมัยฝึกใหม่ ๆ โอ๊ย..วันหนึ่งร่วงแล้วร่วงอีกเป็นร้อย ๆ ครั้ง ประเภทมวยคางเปราะ โดนสะกิด นิดสะกิดหน่อย ลงท่าเดียว แต่ว่าอาศัยความบ้า..! ทำไมคนอื่นเขาทำได้ แล้วเราจะทำไม่ได้ ตั้งหน้าตั้งตาหน้าด้านสู้กับมัน หกล้มหกลุกไปเรื่อย เรื่องจะให้เราถอยหลังไม่มี แน่จริงเอาข้าให้ตายไปเลยสิ ไป ๆ มา ๆ กำลังใจ ก็เริ่มทรงตัว พอทรงตัว คราวนี้ประมาท คิดว่าดี เผลอหน่อยเดียว สอย ร่วงเลย ถึงขนาดเคยทรงฌาน ทั้งกลางวันกลางคืนต่อเนื่องกัน เป็นเวลา ๒-๓ เดือน เราก็คิดว่า โอ๊ย..กำลังใจขนาดนี้ สบายมาก ที่ไหนได้ เผลอ นิดเดียว สอยร่วงไม่เป็นท่าเลย คุณจะได้สมาบัติเท่าไหร่ ก็สอยเสียจน หมดเกลี้ยง
      ถาม :  ...................................
      ตอบ :  ทำไป ๆ สักระยะหนึ่งมันก็เริ่มค่อย ๆ หมดลง หมดลงก็คือกำลัง มันตก มันไม่ทรงตัว คราวนี้จะต้องหาอุบาย หาวิธีการ หาอะไรก็ได้ หนี เข้าห้องน้ำสักพัก ใหญ่ ๆ ก็ได้ ไปนั่งภาวนาต่อ มันเหมือนกับจุดเทียน ขึ้นมาต้นหนึ่ง ตอนเช้าแสงสว่างมาถึงตรงนี้ ตอนนี้กลางวันมันอยู่นี่ถึง ไหมล่ะ ? ไม่ถึงหรอก หมดทะล่อทะแล่เป็นนกปีกหัก แล้วมุดเข้าส้วมไปนั่ง ภาวนานานหน่อย ท้องผูกโว้ย ก็ว่าไปเรื่อย หลอกชาวบ้านเขาก็ได้ พอ อารมณ์ใจมันทรงตัวมันก็เหมือนกับเราจุดเทียนขึ้นอีกต้นหนึ่ง แสงมันก็ต่อ มาถึงนี่ใช่ไหม ? คราวนี้พอถึงเวลา อ้าว ! หมดอีกแล้ว
              ถ้าหากยิ่งเจอกับพวกประเภทแรงกดดันมาก ๆ เจ้านายก็อัด ลูกน้องก็ว่า อะไรอย่างนี้ มันจะพังเร็ว ก็รีบ ๆ ไปย้ำ ตอนเย็นเสียอีกรอบ ถึงได้บอกว่าให้ทำให้ต่อ เนื่อง ติดตามกันอยู่อย่าพลาด พลาดเมื่อไหร่ หลุดเมื่อไหร่ มันตีตาย จริง ๆ และถ้ามันโดดขี่คอเราได้เมื่อไหร่ มันก็ใส่บังเหียนจมูกเลยแหละ คราวนี้เราก็จงเป็นทาสมันต่อไปเถอะ
              ฉะนั้นการปฏิบัติต้องเอาชีวิตเข้าแลก ประเภทตายเป็นตาย ตายตอนนี้เราทำความดีอยู่ มันต้องไปดีแน่ อยู่แล้ว พอถึงเวลาจะนอนทำ อย่างไร เหนื่อยมาทั้งวันแล้ว ให้ไปนั่งภาวนา มันก็จะหลับท่าเดียว นอนหงายโครมลงไปเลย คิดว่านอนลงแล้วก็เหมือน กับคนตาย มันจะฟื้นขึ้นมาตื่นกลับขึ้นมาได้เห็นตะวันขึ้นหรือเปล่า ก็ช่างหัวมันเถอะ ถ้ามันตายคืนนี้เราก็ขอไปพระนิพพาน ทำกำลังใจง่าย ๆ อย่างนี้ แล้วก็จับภาวนา ถ้าหากว่าได้มโนมยิทธิส่งใจไปกราบพระบนพระ ก็ช่างหัวมันเถอะ ถ้ามันตายคืนนี้เราก็ขอไปพระนิพพาน ทำกำลังใจง่าย ๆ อย่างนี้ แล้วก็จับภาวนา ถ้าหากว่าได้มโนมยิทธิส่งใจไปกราบพระบนพระ นิพพาน หลับไปทั้งอย่างนั้นแหละถ้าหากว่าไม่ได้มโนมยิทธิก็ตั้งใจนึก ถึงพระพุทธรูปองค์ใดองค์หนึ่งสักองค์ที่เรารักเราชอบ นั่นคือองค์สมเด็จ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าไม่อยู่ที่ไหนนอกจากพระนิพพาน เราเห็นท่าน เราอยู่กับท่าน ก็คืออยู่บนพระนิพพาน แล้วก็ภาวนาให้หลับไปเลย คิดว่าถ้าตายขอไปอยู่กับพระพุทธเจ้าก็แล้วกัน ใช้วิธีง่าย ๆ ตอนเช้าจ้ำ ให้เยอะไว้ ตอนเย็นเหนื่อยแล้วผ่อน ๆ ลงบ้างก็ได้ ถ้ากำลังใจ ทรงตัว นิวรณ์ ๕ ไม่ได้รับประทาน มันก็จะอยู่สุขอยู่เย็นทั้งวัน ขอให้ รักษาให้อยู่รักษาให้ได้ มีใครกล้ารับรองได้ว่าได้ว่าตัวเองทรงฌานได้บ้างเอา แค่ปฐมฌานก็ยังดี พอไหวไหม เอาไม่มากเอาแค่นั้นแหละ
              การที่เราทรงแค่ปฐมฌานไว้ได้ปุ๊บ กำลังของฌานจะกด รัก โลภ โกรธ หลง ๔ ตัว ดับลงชั่วคราว ๔ ตัวนี้เป็นไฟ เขาเรียก โลภัคคิ ไฟคือความโลภ โทสัคคิ ไฟคือความโกรธ ราคัคคิ ไฟคือราคะ โมหัคคิ ไฟคือความหลง ไฟ ๔ กองนี้เผาเราอยู่ตลอดเวลา ทันทีที่กำลังใจก้าวเข้าถึงปฐมฌาน ไฟ ๔ กอง จะโดนกำลังของปฐมฌานกดดับลงชั่วคราว มันจะสุขเยือกเย็นอย่างที่ บอกไม่ถูก คนโดนไฟเผาอยู่ อยู่ ๆ มันดับรู้สึกอย่างไรมันอธิบายเป็นคำ พูดไม่ได้หรอก ต้องเจอเอง
              คราวนี้ถ้ามีปัญญาเสียหน่อยมันจะนึกออกว่า เออหนอ ขนาดแค่ปฐมฌานเท่านั้นยังมีความสุขขนาดนี้ คนที่เขาทรง ฌาน ๒ ได้จะขนาดไหน ฌาน ๓ จะขนาดไหน ฌาน ๔ ได้รู้สึกเหมือนกับ เป็นพระอรหันต์เลย มันจะขนาดไหน และขนาดฌานโลกีย์ ยังขนาดนี้ แล้วคนที่ได้เป็นพระโสดาบันพ้นจากอบายภูมิแน่ ๆ แล้วท่านจะมีความ สุขขนาดไหน พระสกิทาคามีที่เหนือพระโสดาบันจะมีความสุขขนาด ไหน พระอนาคามีจะขนาดไหน พระอรหันต์จะขนาดไหน แล้วพระ พุทธเจ้าที่เป็นจอมอรหันต์ ที่เป็นศาสดาของเราท่านจะขนาดไหน
              ถ้ากำลังใจมองเห็นตรงจุดนี้ ความเคารพใน พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ก็จะเต็มอยู่ในหัวใจ ประเภทตีก็ไม่ไป ไล่ก็ไม่หนีแล้ว เห็นชัดแล้วว่า คุณพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นอย่างไร ถ้าเราเห็นชัด กำลังความเป็นพระอริยเจ้าอยู่ใกล้แค่มือเอื้อม เพราะกติกาของคนเป็นพระโสดาบัน คือ เคารพ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ จริง ๆ ไม่ล่วงเกินทั้งกาย วาจา ใจ ทั้งต่อหน้าและลับหลัง คราวนี้เราเห็นขนาดนี้แล้วมันเคารพสุดจิตสุดใจ จริง ๆ รักษาศีลให้บริสุทธิ์ คิดว่าเราตายแล้วเราไปนิพพาน ตอนนั้นมัน อธิบายเป็นคำพูดไม่ได้หรอก ต้องรู้เอง กราบพระต้องกราบด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจ สมัยก่อนสักแต่แปะ ๆ ให้ครบ ๓ ครั้ง กราบที่อย่างกับ ลิงล้างก้นแผล็บเดียวเสร็จ ตอนนี้กราบจริง ๆ กราบด้วยกาย คือ ร่างกาย น้อมลงไป ด้วยวาจา คือ อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ ภควา พุทธัง ภควันตัง อภิวาเทมิ ข้าพเจ้าขอนอบน้อมต่อองค์สมเด็จพระสัมมา สัมพุทธเจ้า ผู้เป็นอรหันต์ไกลจากกิเลส ตรัสรู้โดยชอบ เคารพพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เคารพจริง ๆ ไม่ได้เคารพแต่ปาก พอกราบแล้ว กาย วาจา ใจ มันไปพร้อมกันหมด