ถาม :  การไม่ทำวจีทุจริตในการปฏิบัติธรรม แล้วไม่พูดกับใครเลยแม้แต่คำเดียว เป็นเวลา ๗ วัน ๗ คืนโดยตั้งใจ กับการระวังคำพูด อย่างไหนน่าจะเหมาะสมในการปฏิบัติ ?
      ตอบ :  ระมัดระวังคำพูดเหมาะสมกว่า อันนี้ต้องหลวงปู่บุดดา คนไปถามจุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล มหาศีลนี่อุกฤษฎ์หน่อย ลักษณะที่ว่า ถ้าจะไม่โกหก ก็คืออย่าพูดเลย เขาก็เลยมีการอธิษฐานไม่พูดกัน คนก็ไปถามหลวงปู่บุดดาว่า “หลวงปู่เจ้าขา ทำแบบนี้ดีไหมคะ ?” หลวงปู่บอกว่า “คนไม่พูดมันคิดไหมเล่า” ตกลงมันคิดมากกว่าแกอีก ดีไม่ดีมันด่าในใจ มากกว่าให้มันด่าออกมาดัง ๆ อีก
              เพราะฉะนั้น...การที่เราระมัดระวังคำพูด มีสติอยู่ พูดแต่สิ่งที่ไม่เพ้อเจ้อ ไม่ส่อเสียด ไม่หยาบคาย ไม่โกหก ย่อมดีกว่าที่จะไปอุดปากตัวเองเอาไว้ เดี๋ยวอกจะระเบิดตาย
      ถาม :  ท่านกล่าวว่า “บุตรมี ๓ ประเภท คือบุตรที่ต่ำกว่าบิดามารดา บุตรที่เสมอด้วยบิดามารดา บุตรที่เหนือกว่าบิดามารดา” ตรงนี้เอามาตรฐานอะไรเป็นเครื่องวัด ?
      ตอบ :  การปฏิบัติของลูก ถ้าหากว่าลูกมี ทาน ศีล ภาวนา น้อยกว่าหรือไม่เอาความดีเลย ก็ถือว่าเป็น “อวชาตบุตร” คือต่ำกว่าบิดามารดา ถ้าหากว่ามีความดีใน ทาน ศีล ภาวนา เสมอใกล้เคียงกับบิดามารดา เขาเรียกว่า “อนุชาติบุตร” ถ้าทำได้ดีกว่า พิเศษกว่า เขาเรียกว่า “อภิชาตบุตร”
      ถาม :  แล้วเรื่องรวยจนไม่เกี่ยว ?
      ตอบ :  รวยจนไม่เกี่ยว ถ้าหากว่าฐานะจน แต่ประเภทอยู่ในศีล กินในธรรม จนแต่โลกียทรัพย์ โลกุตรทรัพย์เขารวยกว่าคุณเยอะเลย
      ถาม :  ได้ชมละครตอนที่พระเอกตาย แล้วมีอารมณ์ความรักของนางเอกมาก ความรักของหนุ่มสาวในปัจจุบันก็เช่นเดียวกัน ได้เอา แนวคิดมาจากละคร และภาพยนตร์จำนวนมาก โดยถือความรักระหว่างชายหญิงเป็นเรื่องสูงสุดของชีวิต ถ้าจิตก่อนตายนึกถึงสามีภรรยา หรือน้อยใจตัดพ้อต่อว่า หรือฆ่าตัวตายบูชาความรัก ตายแล้วลงนรก หรือเป็นเปรตครับ ?
      ตอบ :  เอาเป็นว่า ถ้าหากว่าจิตเศร้าหมอง ลงอบายภูมิ ไม่จำเป็นต้องเป็นนรกหรือเปรต อสุรกายก็เป็นได้ สัตว์เดรัจฉานก็เป็นได้ ขึ้นอยู่กับความหนักเบาของใจตอนนั้น หนักมากก็ลงลึกมากหน่อย (หัวเราะ)
      ถาม :  มีความรักไม่ได้ขึ้นสวรรค์ ?
      ตอบ :  มีความรักโอกาสที่จะขึ้นสวรรค์ ก็ต้องรักแบบพม่า ชวนกันเข้าวัด หนังพม่านี่ทุกเรื่องเลย พระเอกจีบนางเอกต้องพาไปวัด (หัวเราะ) ถ้าหากว่าไม่พานางเอกไปไหว้พระ จีบไม่สำเร็จหรอก
      ถาม :  เมื่อก่อนบุคคลหนึ่ง มีความเลวและสร้างความชั่วหลายอย่าง ต่อมาบุคคลท่านนั้นได้เป็นผู้มีบารมีในศาสนา การผูกใจเจ็บคนเลวคนเดิม และยังผูกใจเจ็บกับคน ๆ เดิม
      ตอบ :  ความคิดของเราในความเป็นจริง ต้องเอาที่ความจริงที่ว่า ตอนนี้ท่านเป็นอะไร ขนาดนางขุชชุตรานางหลังค่อม นั่นแค่ขอให้เพื่อนที่เป็นภิกษุณีอรหันต์ส่งตะกร้าของใช้มาให้ เพื่อนท่านเป็นพระอรหันต์ปฏิสัมภิทาญาณมองปั๊บยาวตลอดไปเลย ถ้าไม่ส่งให้เธอจะโกรธ ถ้าเธอโกรธเราที่เป็นพระอรหันต์ เธอจะลงอเวจีมหานรก แต่ถ้าเราส่งให้เท่ากับเธอใช้พระอรหันต์ โทษของการใช้พระอรหันต์เธอจะเป็นทาสเขา ๕๐๐ ชาติ ตกลงว่าการเกิดเป็นทาสหรือคนใช้เขา ๕๐๐ ชาติ อย่างไรเสียก็ยังเบากว่า ท่านก็เลยหยิบส่งให้ ไม่อย่างนั้นลงอเวจีมหานรก
              เพราะฉะนั้นถ้าโกรธคนที่เป็นเสือ สาง ช้าง ม้า สมัยก่อนเคยปล้นเคยฆ่าพ่อแม่ของเราเอาไว้ แต่ปัจจุบันท่านเป็นพระอรหันต์ไปแล้ว อย่างนี้ปัจจุบันอย่าไปโกรธท่านเข้าเชียวนะ มันคนละวาระคนละเวลากันไปแล้ว
      ถาม :  ระหว่างการกินเหล้าหนึ่งนาที กับการเป็นนักร้องหนึ่งนาที อย่างไหนจะตกนรกมากกว่า ?
      ตอบ :  กินเหล้าลงมากกว่าแน่นอน เป็นนักร้องหนึ่งนาทีมีโอกาสที่จะทำความชั่วน้อยหน่อย กินเหล้าหนึ่งนาทีนี่อาจจะประเภท “กร่าง” แล้วไปทำความชั่วหนักกว่านั้น
      ถาม :  ท่านกล่าวว่า ให้บุคคลที่ควรให้ ให้ของหมา หมามันยังกระดิกหาง เราควรตั้งอารมณ์อย่างไหนดีระหว่างเมตตากับทุกคนกับให้เฉพาะคนที่รู้คุณค่าของการให้ ?
      ตอบ :  ให้ทุกคน ให้ทุกคนเป็นอัปปมัญญา พรหมวิหารกำลังใจมันกว้างกว่าเยอะ ถ้าหากว่าให้เฉพาะคนนี่มันเป็นส่วนตัว ส่วนตัวนี่กำลังใจมันต่ำไปหน่อย ไม่ว่าจะคน จะสัตว์ ถ้าเรารู้ว่าเขาต้องการ เราสามารถให้ได้ให้ไปเลย ให้แล้วก็วางอุเบกขาตามไป ก็คือว่าไม่ต้องไปสนใจว่าเขาจะไปทำอะไร เขาหลอกลวงเราหรือเปล่า รู้อย่างเดียวว่าเขาต้องการ เราได้ให้เราให้แล้ว เป็นการตัดความโลภของเราก็พอแล้ว
      ถาม :  ทางการแพทย์กล่าวว่า ปัสสาวะเป็นของเสียที่กรองออกจากร่างกายโดยไตแล้วขับออกมา ในทางพุทธศาสนาท่านบอกว่า ฉันยาดองน้ำมูตรเน่า อันนี้ข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร ?
      ตอบ :  ข้อเท็จจริงก็คือว่า ร่างกายของเราไม่ใช่ว่าจะทำหน้าที่ได้สมบูรณ์ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ มีบางวาระบางเวลาที่มันขลุกขลักเหมือนกัน การที่เราฉันน้ำปัสสาวะตัวเองกลับเข้าไปใหม่นี่เท่ากับเปิดโอกาสให้ร่างกายทบทวนการทำงานอีกทีหนึ่ง ในเมื่อเป็นการทบทวนการทำงานอีกทีหนึ่ง ของบางอย่างยังมีประโยชน์อยู่ แต่คราวที่แล้วปล่อยทิ้งไป มันก็ดึงเอาไปใช้ ในเมื่อบังเอิญว่าเป็นของที่มีประโยชน์ที่เหมาะสมกับภาวะร่างกายในตอนนั้น โรคบางอย่างก็หายได้
      ถาม :  บนสวรรค์เขาบรรเลงดนตรีไทยหรือเปล่า ถึงเวลางานบุญเขาก็มักจะบรรเลงดนตรีไทย ถ้าก่อนตายเขาบรรเลงดนตรีไทยให้ฟัง ตายแล้วจะไปไหน ?
      ตอบ :  ต้องดูว่าใจเกาะอะไร ถ้าเกาะว่า เออ! ก่อนหน้านี้เราไปทำบุญที่วัด แล้วได้ยินเสียงดนตรียอย่างนี้ไปดีแน่ แต่ถ้างานนั้นของเราได้ยินเสียงดนตรีไทยไปงานเขาแต่กูตีเขากระจายเลย ก็เละเหมือนกัน ถามว่าบนสวรรค์เขาบรรเลงดนตรีไทยหรือเปล่า ก็มีดนตรีไทยเหมือนกัน ความเป็นทิพย์ความวิจิตรตระการของเสียงประมาณเป็นคำพูดคนไม่ถูก แต่อยากจะบอกว่าดนตรีไทยใกล้เคียงกับดนตรีในความเป็นทิพย์มาก อาจจะเป็นเพราะว่าคนสมัยก่อนมีอารมณ์จิตเยือกเย็น สมาธิดี ได้ทิพจักขุญาณก็มี ก็เลยไปลอกแบบทางดนตรีมาจากข้างบนก็ได้ แต่ว่าถึงจะเก่งขนาดไหนก็ตามมันไม่ได้หนึ่งในล้านของจริงเขา
      ถาม :  คนบางกลุ่มไม่เชื่อว่าวิญญาณมีจริง คิดว่าเรื่องของความคิดเกิดจากรอยหยักของสมอง เพราะว่าวิทยาศาสตร์พิสูจน์ไม่ได้ พระคุณเจ้าเคยกล่าวว่า ผู้ที่มีชื่อเสียงต่าง ๆ ล้วนเป็นผู้ที่มีพุทธานุสติมาก่อน ชาตินี้จึงได้รับผลของความดีจากพุทธานุสติ แต่ด้วยเหตุใดคนต่าง ๆ เขาได้หลงลืม หรือไม่เชื่อว่าขันธ์ ๕ มีจริง แต่กลับคิดว่าเป็นเรื่องของร่างกายคน ?
      ตอบโตเทยยพราหมณ์ เป็นพระโพธิสัตว์ นิตยะโพธิสัตว์มีคติแน่นอนแล้ว คือพระพุทธเจ้าพยากรณ์ว่าจะไปตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าเมื่อไหร่ บัดนี้อยู่ในอเวจีนรก คนที่เคยทำความดีมาก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะดีไปตลอด พระพุทธเจ้าท่านแบ่งคนเป็น ๔ ประเภท คือ
              ประเภทที่ ๑ โชติ โชติ ปรายโน สว่างมาแล้วสว่างไป ณ เบื้องหน้า
              ประเภทที่ ๒ โชติ ตะโม ปรายโน สว่างมาแล้วมืดไป ณ เบื้องหน้า
              ประเภทที่ ๓ ตะดม โชติ ปรายโน มืดมาแล้วสว่างไป ณ เบื้องหน้า
              ประเภทที่ ๔ ตะโม ตะโม ปรายโน มืดมาแล้วมืดไป ณ เบื้องหน้า
              บุคคลที่พระพุทธเจ้าสรรเสริญก็คือ บุคคลที่สว่างมาแล้วสว่างไป มืดมาแล้วสว่างไป เพราะฉะนั้นคนเรานี่เคยสว่างมาอาจจะมืดไปก็ได้ ก็เลยทำให้ไม่ได้คิดที่จะทำดีตามแบบเดิมของตัว ไปทำในสิ่งที่ตรงกันข้ามเสีย แย่ไหม ถ้าเป็นอย่างนั้น คราวนี้เราอย่าเพิ่งตัดสิน เขาอาจจะเป็นต้นตรง กลางคด ปลายอาจจะตรงก็ได้
      ถาม :  เรื่องของการสร้างศาลพระภูมิ เราสามารถทำเองได้หรือไม่ หรือจำเป็นต้องมีผู้รู้และพิธีการเฉพาะ กับเรื่องธรรมทั้งหลายมีใจเป็นประธาน สำเร็จได้ด้วยใจ อันนี้ใช้ด้วยกันได้หรือไม่ ?
      ตอบ :  เกือบจะใช้ด้วยกันได้ เรื่องของศาลพระภูมิ ถ้าเราตั้งด้วยตัวเองท่านจะพอใจที่สุด เพราะที่เราตั้งศาลก็คือการยอมรับนับถือท่าน ไม่ต้องไปเชิญใครหรอก ตั้งเองก็ได้ แต่ว่าถามผู้รู้สักนิดหนึ่งว่า การที่เราจะเซ่นไหว้ บวงสรวง ใช้อะไรบ้างถึงจะถูกต้อง แล้วก็จัดการตามนั้น
              ส่วนเรื่องที่เรียกว่า ธรรมทั้งหลายมีใจเป็นหัวหน้า มันใช่ แต่มีข้อแม้นิดหนึ่งอย่าลืมว่าแม้แต่เทวดาจริตนิสัยท่านก็เหมือนกับคน คือแตกต่างกันไป สารพัดสารเพ ที่ท่านไม่ถือสาปล่อยวางไว้ได้เลยก็มี ที่ท่านถือน้อยก็มี ที่ท่านถือมากก็มี ไปเจอที่ท่านถือมาก ๆ แล้วเราทำไม่ถูก ท่านก็ไม่สงเคราะห์ เราก็แย่สิ
      ถาม :  อย่างที่หลวงพ่อท่านบอกว่าของที่จะใช้ ท่านก็บอกว่าอย่างนั้นใช้ได้
      ตอบ :  เอาตามนั้นเลย
      ถาม :  หากเขาว่ากันว่า ละครนี้ ภาพยนตร์นี้ เป็นละครที่มีความหมายสะท้อนและตีแผ่ปัญหาสังคมให้เห็นว่าในสังคมเป็นแบบนี้ เช่น สังคมมีกระเทย สังคมมีคนเลว สังคมมีแม่ทิ้งลูก สังคมที่พ่อแม่ไม่เข้าใจลูก อยากกราบเรียนถามว่า ละครที่ใช้เวลาประมาณ ๒ เดือน ต่อ ๑ เรื่อง ตีแผ่ปัญหาสังคม ตีแผ่แล้วได้อะไรบ้าง ?
      ตอบ :  ได้เงิน เพราะอย่างน้อย ๆ ขายโฆษณาได้ อาตมายังไม่รู้เลยมันแผ่ไปทำอะไร ? ช่วยกันประจาน บอกแล้วว่าต้องดูเจตนา สร้างละครเจตนาที่จะสร้างคุณธรรมให้เกิดขึ้นในสังคมแทบไม่มีเลย เจตนาของเขาอันดับแรกก็คือ ก็ Make money ให้ได้ จำให้แม่น ๆ เลยว่าเจตนาเป็นอย่างไร แต่ถ้าเจตนาที่จะให้เห็นความไม่ดีในสังคม จะต้องมีข้อเปรียบเทียบด้วยว่า แล้วที่ดีทำกันอย่างไร แต่ปัจจุบันทีทำกันอยู่นี่เหมือนกับซ้ำเติมด้วยการประจานว่าสังคมไม่ดี แล้วขณะเดียวกันบางทีเราก็ที่งมาก พระเอกนางเอกทำมาหากินอะไรกันว่ะ รวยฉิบหายเลย วัน ๆ ไม่ต้องทำอะไรกันหรอก แย่งผัวแย่งเมียกัน แต่ละคนขี่รถแพง ๆ อยู่บ้านหรู ๆ กันทั้งนั้น แล้วความชั่วแต่ละอย่างทีทำนี่มันก็เว่อร์จังเลย พระเอกก็โง่มาตลอดกว่าจะรู้ทันเสียทีสรุปแล้วซ้ำเติมสังคมหรือว่าตีแผ่สังคมเพื่อประโยชน์ก็ไม่รู้
              ดังนั้นถ้าจะเอาว่ามีบุญมีกุศลก็ต้องดูเจตนา ถ้าหากว่าเจตนาไม่มี โอกาสที่จะได้บุญกุศลก็ยาก เนื่องจากว่านักแสดงเป็นมายาการ ยิ่งทำให้คนหลงติดมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งเป็นประโยชน์แก่เขามากเท่านั้น คือว่ามีแฟนเยอะ ค่าตัวก็สูงขึ้น อะไรก็สูงขึ้น พระพุทธเจ้าท่านสอนให้ละโลก แต่เจ้าพวกนี้มันทำให้ติดในโลก โทษมันหนัก ถ้าไม่ได้ทำบุญอื่นใดมาเลยจะลงนรก
      ถาม :  เจตนาดี ตีแผ่ก็ไม่ได้หรือครับ ?
      ตอบ :  ก็ต้องดูว่าแผ่เป็นไหม ? ถ้าแผ่โดยเจตนาจะแก้ไขสังคมจริง ๆ ต้องทำอีกอย่างหนึ่ง แต่อย่างที่ทำอยู่ในปัจจุบันแทบจะไม่มีประโยชน์อะไรเลย
      ถาม :  สมมุติว่าเราภาวนาบทใดบทหนึ่ง แล้วรู้สึกว่าเราฝืน กับอารมณ์อีกอย่างที่รู้สึกสบายกว่า ปลอดโปร่ง แต่ไม่มีคำภาวนา อันนี้จะเลือกเอาอันไหนดี ?
      ตอบ :  เลือกเอาอันที่สบายสำหรับเรา เพราะว่าการภาวนาจุดมุ่งหมายแรกก็คือ เพื่อให้จิตของเราสงบสบาย พอจิตสงบสบายแล้วอาศัยจิตที่นิ่งสงบสบายนั้นถอยออกมาเพื่อพิจารณาธรรม ถ้ามัวจะไปต้านไปฝืนไปอะไรมันอยู่ จิตที่มัวแต่ไปหวั่นไหวอยู่มันจะไม่มีความนิ่ง โอกาสจะใช้ปัญญามันไม่มี เลือกอันที่สบายสำหรับเรา
      ถาม :  การที่มีบ้านหรือสำนักเข้าทรงเชิญวิญญาณมาประทับร่าง แล้วก็รำหรือทำเสียงเด็ก สูบบุหรี่เยอะ ๆ หรือทำเสียงดุ แล้วให้คนที่ไปดูรับขันธ์ เขามาโดยให้ทำพานรับขันธ์และบูชาเอาไว้ที่บ้าน อยากจะเรียนถามว่า ข้อที่ ๑ วิญญาณพวกนี้เป็นพวกไหน ? ข้อที่ ๒ เขาบอกว่าร่างการแข็งแรงดีขึ้นเมื่อรับขันธ์แล้ว ข้อที่ ๓ ผมจะไล่วิญญาณนี้เองได้หรือไม่ ?
      ตอบ :  ข้อที่ ๑ เป็นพวกไหน ต้องไปสัมผัสดูด้วยตนเองถึงจะบอกได้ เพราะว่าเยอะมาก แต่ว่าเท่าที่เคยสัมผัสส่วนใหญ่แล้วจะเป็นพวกมหิทธิกาเปรต กับกาลกัญจิกอสุรกาย พวกนี้ชอบตั้งตัวเป็นเจ้าพ่อเจ้าแม่มารับประทาน โอกาสที่จะเป็นเทวดา เป็นพรหม หรือพระ น้อยเปอร์เซ็นต์เต็มที โอกาสจะมีสัก ๑ เปอร์เซ็นต์ ก็แสนจะยาก
              ข้อที่ ๒ คนบางคน โดยเฉพาะว่ามีกรรมบางอย่างที่เนื่องกันมา ทำให้เขาสงเคราะห์กันได้ สิ่งที่ไม่ดีสำหรับเขามันก็เลยกลายเป็นดีขึ้น เพราะว่าพวกนี้เขาก็มีอำนาจอยู่ในระดับหนึ่ง โดยเฉพาะพวกนี้เขาจะไม่สนใจเรื่องกฎของกรรม ที่ไม่สนใจเรื่องกฎของกรรมเพราะว่าจิตใจมันมืดมัวอยู่กับความชั่วความผิดของตัวเองเป็นปกติอยู่แล้ว มันก็ใช้อำนาจที่ตัวเองพอจะมีอยู่ ฝืนกฎของกรรมด้วยการช่วยให้คนบางคนดีขึ้นในบางเรื่องที่ไม่เกินกำลังของมัน
              ข้อที่ ๓ สบายมาก ถ้ามีความมั่นใจก็ลอยน้ำทิ้งไปเลย ไม่ต้องไปกลัวมันหรอก หรือถ้าหมั่นไส้มาก ๆ ก็ลอยคลองน้ำเน่าไปเลย
      ถาม :  ผีไม่ด่า คนจะด่าหรือเปล่า ?
      ตอบ :  ผีมันด่าก็ทำเป็นไม่ได้ยิน คนจะด่าก็อย่าไปฟังสิ แต่เดี๋ยวนี้ถ้าลอยในกรุงเทพฯ ระวังหน่อยนะ เขาปรับเป็นหมื่นไม่ใช่หรือ ?
      ถาม :  พระนางวิสาขา ท่านชื่อว่าเป็นเบญจกัลยาณี คืองาม ๕ อย่าง นี่คือเป็นความงามแบบหญิง แล้วฝ่ายชานนอกจากลักษณะมหาบุรุษ ยังมีอย่างอื่นให้เปรียบเทียบที่รองลงมาในลักษณะของผู้ชายบ้างหรือไม่ ? เช่น ถ้าเป็นผู้ชายอย่าร้องไห้ทำนองนี้ ?
      ตอบ :  มันคนละเรื่องกัน ลักษณะมหาบุรุษ ๓๒ ประการ อนุพยัญชนะ ๘๐ ประการ แต่ละอย่างเกิดขึ้นจากการทำบุญแต่ละอย่างไม่เหมือนกัน เพราะฉะนั้นกว่าคุณจะมีครบก็แปลว่าทำบุญกันอย่างน้อย ๆ ก็ ๑๐๐ กว่าอย่าง ส่วนเบญจกัลยาณีนี่เกิดจากว่าของตัวเองได้มีโอกาสซ่อมพระพุทธรูปเก่า สร้างพระพุทธรูปใหม่ อะไรที่ว่ามันคนละอย่างกัน เบญจกัลยาณีนี่แค่ ๕ อย่างนะ บุคคลที่จะเป็นพุทธมารดานี่จะมีเบญจกัลยาณี แล้วยังมีอิตถีลักษณะที่เป็นปลีกย่อยไปอีก ๖๔ ประการ หนักเข้าไปอีก เพราะฉะนั้นที่สวยกว่าเบญจกัลยาณียังมีอยู่
      ถาม :  ................................ ?
      ตอบ :  พระพุทธเจ้าท่านรู้จริง สิ่งที่ท่านรู้จริงมาจนปัจจุบันนี้ วิทยาศาสตร์ยังตามไม่ค่อยทันเลย ท่านบรรยายการเกิดของมนุษย์ตั้งแต่ระยะแรกที่เป็น กลละ ท่านบอกว่าเป็นจุดเล็ก ๆ เหมือนกับหยดน้ำที่สลัดจากปลายขนจามรี จารมีเป็นสัตว์ที่ขนละเอียดสวยงามมาก เส้นขนมันละเอียดกว่าเส้นผมเราอีก เอาปลายขนของมันมาจุ่มน้ำมัน มันเหลือนิดเดียว นั่นก็คือไข่ของแม่และก็สเปิร์มของพ่อที่ปฏิสนธิ แล้วท่านก็ค่อย ๆ บรรยายว่าเป็นปัญจสาขาอย่างไร
              ตอนแรกก็เกิดลูกตาขึ้นมาก่อน จนกระทั่งถึงบททศมาสคือครบ ๑๐ เดือน แล้วก็คลอดออกมา พวกวิทยาศาสตร์กว่าจะตามทันผ่าศพไปแล้วกี่ศพก็ไม่รู้ จริง ๆ แล้วพระพุทธศาสนายิ่งกว่าวิทยาศาสตร์คือท้าพิสูจน์ได้ทุกรูปแบบ แต่การท้าพิสูจน์หลักการปฏิบัตินี่ต้องลำบากลำบนในการที่สร้างทิพจักขุญาณให้เกิด สร้างอภิญญาให้เกิด คนเราส่วนใหญ่แล้วมันท้อถอยตั้งแต่แรก บุคคลที่จะสร้างบารมีมาขนาดนั้นก็น้อย ท่านบอกว่า กุลบุตรผู้มีศรัทธาตั้งใจเจริญสมาธิภาวนาสักแสนคนจะทรงฌานได้สักคนก็แสนยาก บุคคลที่ทรงฌานได้เป็นแสนคนจะได้ฌานสี่สักคนก็แสนยาก บุคคลที่ทรงฌานสี่สักแสนคนจะได้ทิพยจักขุญาณสักคนก็แสนยาก เจอไปสามแสนแล้ว
      ถาม :  คนจีนเขาบอกว่าปีนี้ดวงไม่ดี ชง ชงนี่ห้ามไปไหน อันนี้เชื่อได้มากน้อยแค่ไหนครับ ?
      ตอบ :  เชื่อถือได้หน่อยหนึ่ง ก็เมื่อกี้ที่คุณพงษ์เนตรเขาถาม ธรรมทั้งหลายมีใจเป็นหัวหน้า ถ้าใจดีมั่นใจเสียอย่าง ลุยไปเถอะ ถ้ามันชงมันไม่ดีก็ฝ่ายโน้นเองไม่เกี่ยวกับเราหรอก เพียงแต่เรามั่นใจขนาดนั้น
      ถาม :  อย่างนั้นคนที่เขาไปเปลี่ยนชื่อใหม่ บอกว่าชื่อไม่ดี อย่างงั้นผลก็ไม่ถึง ๑๐ เปอร์เซ็นต์ ?
      ตอบ :  ก็เท่าที่อยู่มา ๕๐ ปีแล้ว เพิ่งเห็นชื่อมีอิทธิพลอยู่รายเดียวเท่านั้น อันนี้ต้องกล่าวถึงหลวงปู่ครูบาธรรมชัย มีโยมคนหนึ่งเป็นวัยรุ่นผอมกะหร่อง ผอมชนิดมีแต่หนังหุ้มกระดูก หลวงปู่ครูบาธรรมชัยท่านรักษาโรค เมื่อรักษาโรคคนไปถึงไปจับสายสิญจน์ปุ๊บ ท่านก็บอกได้ว่าป่วยเป็นโรคอะไร เป็นมากี่วัน กี่เดือน กี่ปี ต้องรักษาด้วยยาอะไร พออีหนูคนนั้นจับปุ๊บ หลวงปู่ลืมตายิ้ม ไม่ต้องรักษาหรอกลูก เปลี่ยนชื่อเสียก็หาย ถามว่าทำไม ท่านบอกว่าชื่อไปซ้ำกับบรรพบุรุษ โอ้โห! ผีตายมาหลายสิบปีแล้ว ชื่อลูกหลานไปซ้ำหน่อยเดียวมันแกล้งเสียปางตาย มันหวงชื่อ มีอยู่รายเดียวเท่านั้นแหละ นอกนั้นยังไม่เคยเห็นเลยว่าใครที่ชื่อมีอิทธิพลสักที ไม่อย่างนั้นประเภทที่เรียกว่าทฤษฎี มันมาทีหลัง ในเมื่อมาทีหลัง ถ้าทุกสิ่งไม่ดีจริงอย่างเขาว่า บรรพบุรุษเราตายหมดแล้ว ไม่สืบทอดมาถึงเราหอรก นี่อุตส่าห์สืบทอดมาตั้งทฤษฎีได้
      ถาม :  อี๊ที่เสียไป พอดีที่บ้านเขาพระที่บูชาที่บ้านเขาปิดทอง แต่ว่ามันไม่เรียบร้อย สามารถนำไปล้างออกได้หรือเปล่า ?
      ตอบ :  ทำใหม่ให้ดีกว่าเดิมก็ได้ ถ้าหากว่าทำแล้วไม่ดีกว่าเดิมอย่าไปแตะต้อง เขาตั้งใจปิดคือเขาถวายเป็นพุทธบูชา
      ถาม :  ตอนนั้นเขาจะปิดแก้บนนะครับ
      ตอบ :  ก็นั่นแหละ จะแก้บน แก้อะไร ปิดพระ ก็คือถวายเป็นพุทธบูชา นั่นแหละ มีวิธีหนึ่งก็คือว่าเอาไปให้ช่างปิดให้เจ๋งไปเลย ถ้าเป็นพระหน้าตักสัก ๙ นิ้ว ก็อาจจะราคาสัก ๓,๐๐๐ บาท
      ถาม :  พระประมาณ ๕ นิ้วครับ
      ตอบ :  ๕ นิ้ว ๘๐๐-๙๐๐ บาทก็น่าจะอยู่
      ถาม :  ถ้าเป็นพระสงฆ์องค์เล็ก ๆ สัก ๓ นิ้วล่ะครับ ?
      ตอบ :  ยิ่งลดไปอีกตามส่วน
      ถาม :  แต่ถ้าหากเนื้อท่านไม่ได้เป็นโลหะล่ะครับ ?
      ตอบ :  ไม่จำเป็น เนื้ออะไรก็ได้ปิดได้ทั้งนั้น รู้จักช่างสมัยนี้น้อยไป ไม่ต้องไปลงรักแบบสมัยก่อน สมัยนี้เล่นสีทาเลย
      ถาม :  คนจีนที่บอกว่าคนตายนี่ต้องทำบุญ ๔๙ วัน ทำไมถึงไม่เป็น ๕๐ วัน
      ตอบ :  ก็มันชอบเลขนั้น เขาถือมงคลเลขนั้น เขาถือ ๗๗ แล้วก็ ๔๙