สนทนากับพระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
เดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๔๖(ต่อ)
ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ

      ถาม:  ไซอิ๋วมีจริงไหมคะ ?
      ตอบ :  ไซอิ๋ว เหตุการณ์มีจริง ๆ เพราะว่าพระถังซำจั๋ง ท่ายังอาราธนาพระไตรปิฎกกลับไปเมืองจีนได้จริง ๆ ถ้าหากว่าไม่ใช่พระถังซำจั๋ง คิดว่ากว่าจะทำสำเร็จคงอีกนานมาก เพราะว่าสมัยนั้นเมืองจีนแตกเป็นประเทศเล็กประเทศน้อยเต็มไปหมด ใครดูมังกรคู่สู้สิบทิศบ้างไหม ? สารพัดเผ่าพันธุ์เลย คราวนี้พอถังไทจงฮ่องเต้ ท่านรวบรวมแผ่นดินเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันหมด มีใบผ่านใบเดียวก็เท่ากับผ่านได้ตลอดเขตไปยังอินเดียเลย ถ้าหากว่าไม่ได้ใบผ่านใบนั้น ก็เดี้ยงเหมือนกัน
              ความจริงท่านชื่อ “เฮี่ยนจัง” ต่าเขาเรียกว่า “ถังซำจั๋ง” แปลว่า พระไตรปิฎกแห่งเมืองถัง คือท่านไปอัญเชิญพระไตรปิฎกจากอินเดียมา เลยเสียเวลาเรียนอยู่ตั้งหลายปี เพื่อจะได้แปลภาษามคธเป็นภาษาจีน พอแปลได้แล้ว ก็หอบกลับบ้านเกลับเมืองมารอนแรมกว่าจะกลับถึงก็ตั้งหลายปี คราวนี้พระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้ ท่านก็เลื่อมใสมากสร้างอารามม้าขาว วัดม้าขาว ถวายเป็นวัดในพระพุทธศาสนา อยู่พื้นที่นครลั่วหยาง ลั่วหยางนี่ แต้จิ๋วเรียกว่า “ลกเอี๋ยง”
      ถาม :  ต้องเดินทางผ่านทะเลทรายไหมคะ ?
      ตอบ :  ก็ต้องผ่าน ทะเลทรายที่ผ่านคือ ทะเลทรายโกบีกับพวกทัคมาลิกันนั่นแหละ ทะเลพวกนี้จะอยู่ในมณฑลซินเกียง ซึ่งจะเป็นทางผ่านออกไปทางด้านเนปาลลงอินเดีย หรือไม่ก็ผ่านไปทางเปอร์เซีย เป็นเส้นทางสายไหมเก่า ที่เขาขนไหมไปขายทางด้านตะวันออกกลาง จนกระทั่งไปถึงยุโรป เป็นเส้นทางเก่าแก่ที่มีอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าลำบากสาหัสสากรรจ์น้อยคนที่ผ่านไปได้
              สมัยก่อนไหมราคายิ่งกว่าทองอีก ทะเลทรายโกบี แต้จิ๋วเรียกว่า “คอเปียะ” เฉพาะมณฑิลซินเกียง มณฑลเดียวใหญ่กว่าประเทศไทยสัก ๑๐ เท่าได้ มณฑลนี้นอกจากมีทะเลทรายแล้ว ยังมีพวกอิสลามเยอะ พวกเผ่าอุยกูร์นับถือศาสนาอิสลามกันหมด แต่มีตรุษจีนอยู่ปีหนึ่ง ไปขอดูที่ตำหนักพระยายม ว่าหมูเห็นเป็ดไก่ที่เจี๋ยนไปมีอยู่เท่าไหร่ ? ปรากฏว่านอกจากจะเจอจำนวนมหาศาลแล้ว ยังเจอวัวเยอะแยะไปหมด เจอแพะเยอะแยะไปหมด ก็สงสัยว่าทำไมมีวัวมีแพะด้วย ? ปรากฏว่าไปเจอจีนที่ซินเกียงเข้า อิสลามไม่กินหมู เขาเล่นวัวกับแพะ...!
      ถาม :  วัดท่าขนุนจัดทำบุญสงกรานต์ถึงวันที่เท่าไหร่คะ ?
      ตอบ :  มีทุกวันเลย ช่วงเช้าจะเป็นเทศน์เช้า เจริญพุทธมนต์ แล้วก็ทำบุญใส่บาตร คราวนี้ตอนเช้าเหมือนกันทุกวัน วันที่ ๑๓ บ่ายโมงจะมีสะเดาะเคราะห์รอบเดียววันเดียว เพราะกรรมการเขาจะเอาวันอื่นไว้ทำงานอื่น วันที่ ๑๔ หลังจากทำบุญเช้าแล้ว ก็จะเริ่มก่อพระทรายไปจนถึง ๕ โมงเย็น เพราะเขาแข่งกันให้เวลานานหน่อย วันที่ ๑๕ หลังทำบุญเช้า ก็จะมีการละเล่นต่าง ๆ เกี่ยวกับประเพณีโบราณ บ่าย ๓ โมงก็จะเริ่มสรงน้ำ พอสรงน้ำพระเณรเสร็จเรียบร้อย คราวนี้ก็จะเป็นสรงน้ำผู้สูงอายุ
              กระโถนพระฤๅษีนี่ เป็นไม้กาฝากประเภทหนึ่ง ถ้าไม่เกาะไม้อื่นโตไม่ได้ เพราะต้องอาศัยกินน้ำเลี้ยงเขา คราวนี้เป็นไม้แค่ไม่กี่ประเภท แทนที่จะกลิ่นหอม ดอกกลับเหม็นพอดอกเหม็นสิ่งที่จะไปผสมเกสรก็จะเป็นพวกแมลงหวี่แมลงวันแทน ที่เขาเรียกว่า “กระโถนพระฤๅษี” เพราะเหม็น และหน้าตาทรงคล้าย ๆ กับกระโถน บางคนเรียกว่า “บัวผุด” เพราะว่าจะมีแต่ดอกโผล่พ้นดินขึ้นมา แล้วแตกออกเป็นกลีบบ้านเราอย่างเก่งก็โตสักศอกหนึ่ง แต่ต่างประเทศเขามีโตเป็นวาเลย คนละพันธุ์กัน แต่ตระกูลเดียวกัน บัวผุดหรือกระโถนพระฤๅษี
      ถาม :  ที่เคยออกข่าว ?
      ตอบ :  นั่นเป็นพวกอุตพิด แต่เป็นอุตพิดขนาดยักษ์ที่สุด ดอกสูง ๒-๓ เมตร อุตพิดบ้านเรานี่ แค่ดอกเล็ก ๆ ก็แย่แล้ว ดอกใหญ่หน่อย กลิ่นเหมือนกับสัตว์เน่าอยู่ใกล้ ๆ สมัยก่อนที่ไปสร้างเกาพระฤๅษีใหม่ ๆ แบบดอกใหญ่เยอะมาก ต้องขุดทิ้งไปเรื่อย ๆ เพราะว่าช่วงที่เริ่มมีแสง คือแสงอ่อน ๆ เกสรจะเริ่มบาน ต้องรีบหาให้เจอก่อนเกสรจะบาน ไม่อย่างนั้นเหม็นอย่าบอกใครเลย ขุดทิ้งจนสูญพันธุ์เลย ถ้าไม่ขุดแล้วเดี๋ยว ๆ เผลอ ๆ ดอกบานก็กลิ่นตลบไปหมด
              วันก่อนบิณฑบาตกลับมา พอเข้าครัวแล้วได้กลิ่น บอกแม่ชีไปหาดูหน่อยสิ ว่ามีดอกอุตพิดขึ้นไหม เพราะฝนตกหลายวันแล้ว ปรากฏว่ามุดหาไป มุดหามาเจอลูกหมาตายแทน (หัวเราะ) เจ้าไพศาลต้องเอาขึ้นรถมอเตอร์ไซค์ไปทิ้ง มอเตอร์ไซค์ไพศาลนี่สารพัดประโยชน์จริง ๆ เช้า ๆ ขนกับข้าวตอนพระบิณฑบาต ถึงเวลาคนจะไปไหนก็เป็นรถพ่วงชั่วคราว เพราะเป็นซาเล้ง ถึงเวลาก็ขนขยะ ขนกระทั่งหมาตาย (หัวเราะ)
              ตอนที่ไปธุดงค์ป่าไปอยู่ดงผักหวานพอดี เวลาเดินป่าหลาย ๆ วันนี่ เวลาเจออะไรที่กินได้ รู้สึกดีใจ คราวนี้ผักหวานลูกมันน่ากิน เป็นพวง ๆ อย่างกับองุ่น เม็ดโต ๆ พอแกะออกมา ข้างในขาวอย่างกับเม็ดบัว แล้วลองชิมดู โอ้โฮ...รสชาติสุดยอดเลย ว่าแล้วก็จัดแจงเบิ้ลไปเสียหอบเบ้อเร่อเลย หลวงตาโม เขาบอกว่า “อาจารย์กินไม่ได้ พวกนี้ถ้าสุกกินได้ ดิบกินแล้วตาย” เขาบอกว่า “เหมือนอย่างกับมันสำปะหลัง ถ้าดิบ ๆ จะเป็นไซยาไนด์ใช่ไหม ?” เราก็...เออ...! ตายก็ช่างหัวมันเถอะ กูอิ่มไว้ก่อนว่ะ...! ก็ว่าไปเรื่อย ๆ พอฉันเสร็จเรียบร้อย ลิ้นชาไม่รู้สึกเลย แสดงว่าเป็นพิษจริง ๆ ว่าแล้วคนใกล้ตายก็เดินเอ้อระเหยลอยชายต่อไป...! ไม่ล้มเสียที ก็เลยไปเรื่อย ๆ เล่นเอาแกเดินบ่นกระปอดกระแปดไปครึ่งวันว่า “เราไปด้วยกันแล้วไม่ฟังแก” (หัวเราะ)
      ถาม :  แล้วท่านกินด้วยหรือเปล่าคะ ?
      ตอบ :  แกกล้ากินที่ไหนเล่า รายนั้นน่ะ เซฟที่สุดเลย อะไรก็ตามแกปลอดภัยไว้ก่อน เจอสัตว์อะไรหนีไว้ก่อน มีอยู่เที่ยวหนึ่ง กำลังข้ามเขาองหลุอยู่ ช่วงนั้นเป็นป่าดิบ ดงดิบทึบถึงขนาดที่เรียกว่า “ไม้ไผ่ไม่ผลัดใบ ปกติไม้ไผ่หน้าแล้งใบจะร่วงหมด” นั่นไม้ไผ่ไม่ผลัดใบ คิดดูเอาก็แล้วกันว่าดุเดือดขนาดไหน ? ทากนี้เป็นฝูง ๆ เลย ก็ไป จ๊าก...! เอาเข้ากับควายป่าทั้งฝูง ควายป่ามันตื่น โครม ๆ มา ลองไปขวางมันดูสิ มันเหยียบกระจายเท่านั้น อาจารย์โมกลับหลังหันได้ ก็วิ่งตูดแป้นเลย “อาจารย์หนีเร็ว...!” เราก็ โอ๊ย...! แค่นี้เองไม่ต้องไปหนีหรอก พอแกเห็นเราไม่หนีเข้าจริง ๆ แกถึงจะสู้ ไม่อย่างนั้นแกหนีไว้ก่อน เชื่อไหม ? แกตวาดทีเดียว ควายทั้งฝูงกลายเป็นตุ๊กตาไปหมดเลย มันยืนแข็งทื่อทำอะไรไม่ถูก แล้วแกก็ผลักหลังเรา รีบไป ๆ มีฝีมือขนาดนั้น แต่แกเซฟที่สุดเลย เจออะไรแกวิ่งไว้ก่อนทั้งนั้น ลักษณะนั้นเหมือนคาถาสาปของหลวงพ่อ พวกตวาดป่าหิมพานต์อย่างนั้น
      ถาม :  ตวาดเป็นภาษากะเหรี่ยงหรือคะ ?
      ตอบ :  “เฮ้ย” เท่านั้นแหละ ของเราเองไม่มีความรู้สึก อาจจะเป็นเพราะเราภาวนาอารมณ์ทรงตัว แต่คิดว่า “ถ้าหากว่าเป็นสิ่งมีชีวิตบริเวณนั้นคงเสร็จหมด ถ้าแกไปไม่พ้นรัศมี มันก็ยืนอยู่ตรงนั้นแหละ ไม่ต้องไปไหนหรอก” เก่งขนาดนั้น แต่ไม่เอาอะไรกับใครหรอก กูหนีไว้ก่อน
              อีกครั้งหนึ่งแกเดินป่าจนช่ำขนาดนั้น ก็เซ่อได้เหมือนกัน เดินจะไปชนตูดกระทิงเข้าวิ่งแน่บเหมือนกัน คราวนี้เราเดินตามแก ป่าพอมันทึบมาก ๆ ก็ต้องเดินตามลำห้วยแห้ง แกเลี้ยวโค้งไปก่อน พอถึงเวลาเราเดินไล่ ๆ พอเราเลี้ยวโค้ง แกก็วิ่งหน้าเริดเหมือนเดิม “อาจารย์หนีเร็ว...!” (หัวเราะ) เราก็หนีอะไรวะ ? คือบริเวณนั้นตามริมห้วยมีก้อนหิน ก้อนเท่าบ้านเท่าตึกเต็มไปหมดใช่ไหม ? ปรากฏว่ากระทิงหันตูดให้ แล้วมันก้มกินน้ำอยู่ ก็คงเห็นเป็นก้อนหินเหมือนกัน แล้วลมตีไปทางโน้น มันไม่ได้กลิ่น คราวนี้พอเราแกเดินเข้าไปใกล้ กระทิงก็เหลียวมาดู ก็เห็นเข้าเต็ม ๆ เผ่นแน่บเลย เราเห็นก็ โธ่...! กระทิง คือแกเคยโดนมันไล่ขวิดมา แล้วแกกลัว ของเรากลัวอะไรไม่เป็น ไม่เป็นไรเดี๋ยวข้านำหน้าเอง แล้วก็เดิน
              อีกครั้งหนึ่งฤๅษีบุญทรงเขาตามมา ตอนแรกกระทิงก็หันมามองตาเขียวปั้ด พอเห็นคนที่สองก็ชะงัก พอเห็นคนที่สาม คราวนี้มันกระโจนพรึบเดียวแหละ โอ้โฮ...!ไม่น่าเชื่อเลย ตัวใหญ่อย่างกับช้างจริง ๆ กระทิงในป่าใหญ่บอกไม่ถูก สูงเลยหัวเรา ตัวเท่าบ้านเท่าตึกขนาดนั้น กระโจนสามทีขึ้นยอดเขาหายไปเลย ไม่น่าเชื่อจะแข็งแรงขนาดนั้น ยอดเขามันกระโจนสามช่วงเท่านั้น ลับยอดไปเลย อย่างกับเหาะดี ๆ นี่เอง ถ้าจะดูสัตว์ให้สวย ไปดูในป่าเก้งเคยเดินตามมาที ๒-๓ กิโล สีอย่างกับจีวร จริง ๆ เก้งในป่าสีสดอย่างนี้ คือมันอยู่อย่างมีความสุขอย่างนั้น พวกที่โดนขังอยู่มันเหงาก็เลยซีด ยกเว้นพวกเก้งหม้อ พวกเก้งหม้อ บางครั้งเรียก “เก้งดำ” นั่นจะสีน้ำตาลปนดำ แต่ถ้าเก้งทั่ว ๆ ไปสีสดอย่างนี้จริง ๆ ที่มันเดินตามมาเรื่อย คงคิดว่าพวกเดียวกันนั่นแหละ (หัวเราะ) มันเดินตามมาเรื่อย เวลาเข้าป่า ถ้าหากว่าป่าช่วงรอบนอก ไม่เท่าไหร่นัก แต่พอลึกเข้าไป ๆ แรก ๆ สัตว์มันเจอนี่ มันหนีไว้ก่อน แต่พอเดินลึกเข้าไป ๆ พอเจอแล้วมันละล้าละลังว่าจะไปดีไม่ไปดี เสร็จแล้วพอลึกเข้าไปจริง ๆ มันไม่กลัวคนเลย ของเราพอไปปักกลดอยู่ เสียงพรึบ ๆ มาอย่างกับเสียงเฮลิคอปเตอร์มาสักฝูง โอ้โฮ..! นกเงือก ๒๐-๓๐ ตัว เสร็จแล้วพอมันเห็นเราปักกลดอยู่ แห่กันพรึบลงบนยอด พอเห็นปักกลดอยู่ มีตัวหนึ่งกระโดดลงมากิ่งล่าง แห่กันพรึบลงบนยอด พอมันมองพอใจเสร็จ ก็กระโดดไป อีกตัวก็กระโดดะโงกเอียงคอมมองต่อ มองจนครบมันถึงจะไป มันอยากรู้ว่าอะไร ? บางทีเจอวัวป่าเป็นฝูงเลย เราเดินเข้าไปก็ยื่นมือให้ดม คือพวกสัตว์ป่านี่ ถ้าเขาต้องการพิสูจน์ทราบนี่ให้เขาพิสูจน์เสียโดยดี แล้วจะไม่มีอันตราย เราก็ยื่นมือให้ดม เพื่อที่จะให้รู้ว่าไม่มีอันตราย ตัวแรกดมเสร็จก็ไป ตัวต่อไปก็ดม ตกลงฝูงนั้น ๒๐-๓๐ ตัว ดมครบทุกตัวถึงจะไป สัตว์ในป่าจริง ๆ แล้วน่ารักมากเลย แต่ว่าบางตัวเป็นสัตว์ที่เคยโดนคนทำร้ายมาก่อน น่าสงสาร เคยเจอค่างอยู่ฝูงหนึ่ง พอมันเห็น โอ้โฮ...! มันหนีสุดชีวิตเลย มันทิ้งตัวลงจากยอดไม้สูง ๓๐-๔๐ เมตรได้ เพื่อไปเกาะกิ่งล่าง จะได้หนีเรา ปรากฏว่ากิ่งล่างที่มันคว้าหักติดมือมันไป นึกภาพเอาก็แล้วกันเสียงดังแอ๊ก แล้วก็หมุน ๆ อยู่พักหนึ่ง ลุกได้ก็วิ่งต่อ น่าสงสาร บางตอนสัตว์ก็ชุมจนเรานึกไม่ถึง เคยผ่านลำห้วยมองลงไป โอ้โฮ…! ปลากระสูบตัวยาวเป็นเมตร ๆ เลย ลักษณะเหมือนจรวด คือจะอ้วน ๆ แหลม ๆ อย่างนั้น เต็มไปทั้งลำห้วยเลย เป็นร้อยเป็นพัน เราก็มานั่งมอง ถ้าหากว่าดักข่ายเสียหน่อยนี่ คงจะต้องเอาสิบล้อมาขน ปรากฏว่าเคยมีคนลองดักแล้ว ขนาดใช้เชือกไนล่อนเอาไม่อยู่ พอมันตื่นพร้อม ๆ กัน มันดันพรวดเดียวข่ายมันเอาไปเกลี้ยงเลย ปลากระสูบเป็นปลาล่าเนื้อ ที่มันเยอะนี่ มันดาหน้าเต็มลำห้วย อะไรโผล่เข้ามา มันก็พุ่งงับเลย หน้าใครหน้ามัน ที่ถ้ำนางแอ่น มีนางแอ่นเป็นหมื่นเป็นแสน กะไม่ถูกว่าเท่าไหร่ ? เคยไปนอนดูมัน พอตีห้าครึ่งมันเริ่มบิน แปดโมงเช้ายังไม่หมดเลย
              คราวนี้มันเยอะขนาดนั้น ก็เบียดกันบ้าง ชนผนังถ้ำแล้วมันงง หล่นลงไป ปลากกระสูบฮุบอย่างกับปลาอื่นฮุบแมลงเม่า ปุ๊บปั๊บ ๆ ลูกนกเวลาตกจากรัง ก็ฮุบเงียบหายเหมือนกัน กระสูบจริง ๆ เป็นปลาล่าเนื้อกินสัตว์ แต่ว่ากินแต่สัตว์เล็ก ๆ สัตว์บางอย่างมันเยอะจนนึกไม่ถึง สัตว์บางอย่างก็น้อย แล้วก็ไปเจอของประหลาดอยู่อย่างหนึ่ง คือว่าตอนนั้นเป็นช่วงที่เดินจากทุ่งใหญ่กำลังจะขึ้นอุ้มผาง หรือว่าเดินจากอุ้มผางกำลังลงห้วยขาแข้งก็ไม่รู้ ตอนประมาณสักห้าโมงเย็น แล้วกก็ปักกลด เช็ดเนื้อเช็ดตัวเสร็จเรียบร้อย เข้ากลดกำลังจะสวดมนต์ เสียงเหมือนนกใหญ่บินมา บินพรึบ ๆ อย่างนี้ เสียงบินชัดมากเลย แล้วมันบินล้อมกลดอยู่ ใบไม้ลู่ตามลักษณะการบินมันเลย มันบินเร็วมาก แต่ไม่เห็นตัว เราก็เฮ้ย...! อะไรวะ ? ชักจะไม่เข้าท่าแล้วสว่าง ๆ อยู่แท้ ๆ เราเห็นมันบินใบไม้ลู่ตามแรงบินของมัน แต่ไม่เห็นตัว มันวนอยู่รอบกลด ก็เลยอธิษฐานภาพพระครอบกลดไว้ มันก็เลยเตลิดไปอีกทิศหนึ่ง แล้วเสียงเก้งร้องตกใจทางนั้น พวกเก้งนี่ ถ้าเวลาตกใจจะร้องเหมือนหมาเห่า แต่ว่าเห่าทีเดียว ถ้าหากว่าตกใจก็จะเห่าเป็นช่วง ๆ อย่างนั้นแหละ เรามานึก ๆ ดูจะเป็น “กาสัก” อย่างที่เขาว่าหรือเปล่าไม่รู้ ?
              “กาสัก” เป็นนกที่ไม่มีใครเห็นตัว มีฤทธิ์ของมันเอง ถ้าขนมันหลุดจากตัว เราจะเห็นเฉพาะขนเส้นนั้น ถ้าหากว่าสิ่งมีชีวิตไปแตะถูกขนเส้นนั้น เขาก็จะไม่เห็นด้วย เพราะฉะนั้น...ถ้าใครมีขนกาสักอยู่กับตัว เขาเชื่อว่าหายตัวได้ คราวนี้เรื่องอย่างนี้ เขาเล่าต่อ ๆ กันมา เราก็ไม่นึกว่าจะมี แต่พอไปเจอเข้าอย่างนั้น ก็ต้องคิดว่าน่าจะมีจริง ๆ ก็เห็น ๆ อยู่คาตาทั้ง ๓ องค์ ว่ามันบินจนกระทั่งใบไม้ลู่ตามแนวบินของมันเลย บินวนรอบกลด ๓ กลด แต่มองไม่เห็นตัวมัน
      ถาม :  ตัวขนาดไหนคะ ?
      ตอบ :  ก็คงประมาณเหยี่ยวใหญ่ ๆ เลยแหละ
      ถาม :  แสดงว่าก็คงกินคนไม่ได้ ?
      ตอบ :  ถ้ามาหลาย ๆ ตัวก็น่าคิด อยู่ในป่าเขาไม่คิดถึงหรอก เขามอบกายถวายชีวิต ตั้งแต่ก่อนจะเข้าป่าแล้ว ถ้าไปคิดอย่างนั้นก็เรียบร้อย ก็แบบเดียวกับที่พอเดินมาจะทะลุป่าห้วยขาแข้ง แล้วพิทักษ์ป่าเขามาเจอ เขามีทั้ง HK ทั้งลูกซอง ๕ นัดเยอะแยะไปหมด เขาถามว่า “เมื่อคืนอาจารย์พักที่ไหนครับ ?” เราก็ชี้ไปโน่น ตรงนั้นน่ะบ้านช้าง คือเวลาอยู่ในป่าที่ปลอดภัย ช้างสร้างบ้านทำที่นอนมันเองเหมือนกัน โอ้โฮ...! ทำสะอาดมากเลย ในบริเวณนั้นมันจะดึงไม้เล็ก ๆ ออกหมด จะเป็นหมู่ไม้ใหญ่ร่มรื่นมากเลยล่ะ ชินที่ทึบเลย แล้วมันก็จะถอนหญ้ามากองรวม ๆ กันกว้างสักประมาณ ๒-๒.๕ เมตร หนาเป็นศอกเลย แล้วก็ของใครของมันทำคนละวง ๆ แล้วก็นอน ตอนแรกเราคิดว่าช้างมันยืนหลับ จริง ๆ แล้วที่ปลดภัยช้างมันนอนเหมือนกัน คราวนี้พอเราไปถึงก็สบาย มันทำไว้แล้ว นอน (หัวเราะ)
              ก็บอกพระลูกศิษย์ที่ไปด้วย บอกว่า “ต้นนี้พอจะปีนได้ คือไม่ใหญ่ ถ้าต้นไม้ใหญ่เกินโอบจะปีนไม่ได้ ต้นนี้พอจะปีนได้ คุณขึ้นนะ ถ้าช้างมา แล้วอย่าลืมเอาน้ำขึ้นไปด้วยนะ เดี๋ยวอดน้ำตายห่า ถ้ามันร้อน อยู่หลายวันนะ” เขาก็บอกว่า “อาจารย์ครับ เรามอบกายถวายชีวิตแล้วนี่ครับ” เราก็บอกว่า “ใช่” แต่ถ้าหากคุณเป็นอะไรไป พ่อแม่คุณเฉ่งผมตายห่าเลย เพราะเสือกมากับผม (หัวเราะ) แล้วก็สอนเขาว่า “ถึงเวลาแล้วให้หนีนะ ส่วนตัวเราเอง ก็นอนสบายใจเฉิบอยู่นั่น” พวกพิทักษ์ป่าเขาบอกว่า “อาจารย์อยู่ได้อย่างไรครับ ? พวกผมปืนพร้อมมือ ยังไม่กล้าเลยนะ” คิดคนละอย่างกัน ของเขามันกลัว ของเรามันเฉย ๆ นี่ ก็ไปเรื่อย บางปีก็ช้างเยอะ สองปีที่แล้วควายป่าเยอะผิดปกติ เยอะขนาดมาปนฝูงกับควายบ้าน แล้วมันไม่ยอมกลับ มันมาหาแฟน พวกพิทักษ์ป่าต้องออกมาไล่ต้อน โดนมันไล่ขวิดบ้าง พยายามหลอกล่อไล่มันให้เข้าป่าให้ได้ ของเราก็หวิดไป
              ตอนนั้นท่านเค ท่านจันทร์ไปด้วย ท่านจันทร์เดี๋ยวนี้ชวนธุดงค์ ไม่มีเลยล่ะ “ไม่ธุดงค์” ตอบคำเดียว “ไม่ธุดงค์” ท่านจันทร์เขามาจากพม่า แหม..อยากมาเมืองไทยมีอะไรตื่นเต้น เลยพาแกไปธุดงค์ หลังจากนั้นแล้ว ตาจันทร์ไม่มีคำว่าธุดงค์อยู่ในหัวเลย กลัว คือพวกทางพม่าเขารักษาสุขภาพ เขาเซฟตัวเองมาก ขนาดฝนตกพวกเราออกบิณฑบาต ๒๐ กว่ารูป เปียกเป็นลูกหมาตกน้ำ พระพม่าเขาไม่ออกบิณฑบาตกันหรอก เขารักษาสุขภาพตัวเอง
              คราวนี้ของเราพอเดินขึ้นชายตลิ่งห้วยขาแข้ง ตลิ่งมันจะเป็นทรายหมด เดินขึ้นชายตลิ่งก็ จ๊าก...! เข้าให้ เราก็ เอ๊ะ..! ช้างหรือเปล่า ? ตัวมันใหญ่จัด ควายป่าใหญ่กว่ากระทิงอีกนะ กระทิงนี่ก็ขนาดช้างแล้ว คราวนี้มันซุกหัวอยู่ข้างในพวกกอหญ้า พวกกอพงกอแขมที่สูงท่วมหัว ๒-๓ เท่า มันกำลังกินอยู่ เราก็เห็นแต่บั้นท้ายมัน ก็นึกว่าช้าง คราวนี้ท่านเคเดินตามมา ตอนนี้เรียนมหาอยู่ที่วัดปากน้ำ ท่านจันทร์ก็เดินตามมา เหยียบก้อนหินพลิกแกรก มันเหลียวกลับมา โอ้โฮ...! เขามันยาวประเภทสุดช่วงแขนเราได้มั้ง ดูท่างานนี้กูจะรอดไหมหว่า ? พอดีท่านเคเดินตามมาอีกคน ท่านเคอ้วนหน่อย พอเดินขึ้นมาอีกคน ตลิ่งรับน้ำหนักไม่ไหว พังครืนลงไป เจ้านั้น โอ้โฮ...! มันใหญ่ขนาดเหยียบตลิ่งพัง มันต้องใหญ่กว่ากูแน่ ๆ มันก็เลยวิ่ง (หัวเราะ) พอควายป่ามันวิ่ง เราเองตอนแรกเห็นแต่ควาย พอควายวิ่ง กวางตามมาอีก ๕-๖ ตัว พวกนี้จะหากินอยู่ด้วยกัน ถ้าหากว่าใครเห็นศัตรูก่อนวิ่ง อีกฝ่ายจะได้ตามด้วย จริง ๆ แล้วป่าที่จะธุดงค์ได้ยังมีอีกเยอะ แต่ว่าอันตรายไป ชนิดไปตายเลยบางทีเดินสิบกว่าวันไม่ทะลุ เขาบอกว่าไปทางด้านนี้แล้วจะมีหมู่บ้านอยู่ เดินสิบกว่าวันไม่ถึง มีอะไรก็ต้องกินอย่างนั้น ถ้าไม่มีก็อดเอา พอลำบากเขาก็เลยไม่กล้าไปกัน
      ถาม :  เคยเจอเสือบางไหมคะ ?
      ตอบ :  เคยไปนอนขวางไม่ให้มันลงกินน้ำอยู่คืนหนึ่ง สนุกดี เล่นเอาท่านโมเช่ประสาทกลับไปเลย ตอนนั้นเป็นหน้าแล้ง ช่วงนั้นเป็นป่ารอยต่อทุ่งใหญ่กับอุ้มผาง เหลือน้ำอยู่แอ่งเดียว เป็นก้นห้วยกว้างสัก ๒ เมตรเท่านั้นเอง แล้วก็มีรอยสัตว์เดินลงกินประจำลื่นเลย หลวงพ่อท่านก็สอนนักสอนหนาว่า “เข้าป่าอย่านอนขวางทางด่าน” เราเองก็อยากรู้ว่าเป็นเพราะอะไร ? ก็จัดแจงกางกลดเลย ปรากฏว่าพอสัก ๓-๔ ทุ่ม เสือออกมาจะกินน้ำ เสียงมันฮึ่ม ๆ แบบว่ามันได้กลิ่นคน เราก็นอนตามสบายใจเฉิบ อยากกินก็ไปกินสิ กูไม่ได้ห้ามนี่หว่า คราวนี้มันไม่กล้าไป เรานอนขวางทาง มันก็วนไปวนมา พอมันงุ่นง่านขึ้นมามันก็ไปตะกุยต้นไม้เสียงแกรก ๆ หงุดหงิด แล้วมันก็ร้องกันต่อ เล่นเอาท่านโมนอนไม่ติดเลย ลุกขึ้นมาก่อไฟ แล้วเอาไม้ไผ่โยนเข้าไปเยอะ ๆ ระเบิดปุ้งปั้ง ๆ ให้เสียงดังจะได้ตกใจ เสือไม่ตกใจ มันก็วนอยู่อย่างนั้น ตกลงว่าเราเองอยากจะรู้ว่าขางทางป่าไม่ดีอย่างไร ? เลยทำให้เสือมันอดน้ำไปคืนหนึ่ง สงสารมันเหมือนกัน ตอนเช้าไปดูสักประมาณช่วงหน้าอกของเรา มันคงยืดตัวขึ้นไปนะ มันตะกุยเสียลายพร้อยเลย อย่างกับเราซอยส้มตำอย่างนั้น ถ้าหากว่ามันตะกุยเราเล่น คงจะมันน่าดูเหมือนกัน บางทีนอน ๆ อยู่ งูก็มานอนด้วย คืองูตัวมันเย็น มันเป็นสัตว์เลือดเย็น ถึงเวลามันจะหาที่อุ่น ๆ นอน ตื่นมา โอ้โฮ...! หนักเป็นบ้าเลย คลำดูตัวอย่างกับขวดเบียร์ขึ้นมานอนขดอยู่บนอกเรา