สนทนากับพระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
เดือนพฤษภาคม ๒๕๔๖(ต่อ)
ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ

      ถาม:  .............................................?
      ตอบ :  ที่กล่าวถึงเรื่องนี้เพราะว่าเรื่องของยันต์เกราะเพชรนี่เท่ากับเป็นคู่ปรับของไสยศาสร์เขาโดยตรง ในเมื่อเป็นเป็นคู่ปรับของเขาโดยตรงคนอยากลองเยอะ เขาไม่ลองพวกโยมหรอก เขาลองคนทำเลย สงสารเขาเหมือนกัน เรื่องของยันต์เกราะเพชรเขาทำเท่าไหร่ เขาจะได้คืนไปเท่านั้น สะท้อนกลับหมด สมัยก่อนหลวงพี่สามารถ หลวงพี่สามารถรุ่นของพวกเรารู้กันหรือเปล่าก็ไม่รู้ไม่ใช่คุณสามารถหรอก หลวงพี่สามรถที่เขาสึกไปแล้วเป็นช่างสร้างปราสาททองคำนั่นแหละ สมัยนั้นท่านไปธุดงค์ทางเชียงใหม่แถวถ้ำตับเตา แล้วไปเจอพระเจ้าถิ่นเข้า เขาก็เห็นธุดงค์มาเองต้องแน่ ข้าก็ลองเสียหน่อย หลวงพี่สามารถท่านก็ไม่รู้เรื่องอะไรหรอก พอตกเย็นสรงน้ำเสร็จเรียบร้อยก็ครองผ้า ตั้งหน้าสวดมนต์ทำวัตรเจริญกรรมฐานไป พอรู่งเช้าพระองค์นั้นเขามาถึงเขาบอกท่าน พอทีเถอะ ๆ ผมไม่สู้แล้ว หลวงพี่สามารถก็ เอ๊ะ ! อะไร บ้าหรือเปล่า เขาจะตีกับใคร แกก็ไปบิณฑบาตตามปกติ พอกลับมาเขาก็วิ่งมาบอกอย่างนั้นอีก หลวงพี่สามารถแกก็ฉุกคิดขึ้นมา สงสัยว่าเขาทำอะไรเราแน่แล้ว ก็เลยถามว่าคุณทำอะไรผมหรือเปล่าถึงเป็นอย่างนี้ เขาบอกว่าใช่ ตอนกลางคืนผมตั้งใจทำท่าน อยากรู้ว่ามีดีแค่ไหน ปรากฏว่ามันยิ่งคืนมาหนักขึ้นทุกที ๆ เขารับไม่ไหวคือพวกนี้เขาจะมีวิธีแก้ของที่ส่งคืนเหมือนกัน แต่เรื่องของยันต์เกราะเพชรนี่มันคืนมากกว่าหลายเท่า ในเมื่อส่งคืนหลายเท่าเขารับไม่ไหว หลวงพี่สามารถก็บอกเขาว่า เอาอย่างนี้สิคุณกราบขอขมาพระรัตนตรัยแล้วก็จะหายแต่เขาไม่ทำ พอเขาไม่ทำก็เลยกลายเป็นว่าพอใกล้เพลแก้ผ้าวิ่งเลย ทำคนอื่นแค่ไหนก็โดนกลับไปหลายเท่ายิ่งหนักไปกว่าเดิม หลวงพี่สามารถบอกว่าผมเองก็สลดใจ แต่ไม่รู้จะช่วยเขาอย่างไร บอกให้ขอขมาพระรัตนตรัยก็ไม่ยอมขอก็เลยรับไปเต็ม ๆ ตอนนี้ไปสร้างวิหารที่น้ำน้อยจังหวัดสงขลา งวดก่อนลงไปแกกำลังไปคุมช่างอยู่ เดี๋ยววันที่ ๑๖ ลงไปไม่รู้จะเจอไหม
      ถาม :  อย่างนี้ผมฝึกสายไหนดี ?
      ตอบ :  ฝึกสายไหนดี ชอบอันไหนทำอันนั้น ไม่ต้องคิดเลย หรือไม่ก็หาคู่มือกรรมฐาน ๔๐ มาอ่าน ชอบอันไหนก็ลุยไปเลย สำคัญตรงทำจริง ๆ พวกเราส่วนใหญ่ที่ทำนี่ไม่จริง พอรู้สึกว่าอันโน้นน่าจะดีกว่าเราก็ไปทำอันโน้น อันนี้น่าจะดีกว่าเราไปทำอันนี้ เปลี่ยนไปเปลี่ยนมา เรื่องของกรรมฐานต้องทำให้ได้ผลไปอันหนึ่งก่อน พอได้ผลอันหนึ่งอันอื่นก็เหมือนกันนั่นแหละ กำลังใจมันเท่ากัน สำคัญตรงที่ว่ามันเปลี่ยนไปเปลี่ยนนิมิตเปลี่ยนวิธีกรรมนิดหน่อยเท่านั้นเอง ในเมื่อของเราเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาเหมือนการขุดบ่อแล้วไม่ได้น้ำ ขุดไปสักวาสองวาเขาบอกตรงโน้นดีกว่าเราขยับไปขุดตรงโน้น ตรงนี้ดีกว่าเราขยับไปขุดตรงนี้ ก็กลายเป็นคนขยันแต่ผลงานไม่มี ก็เลยพลอยท้อไปด้วย เพราะฉะนั้นชอบอันไหนลุยมันอันเดียวไปเลยของอาตมาสมัยปล้ำใหม่ ๆ ปฐมฌานอย่างเดียวล่อเสีย ๓ ปี มีใครอึดขนาดนี้บ้างไหม ? ที่ทำนานเพราะว่าใช่กำลังเกิน หยาบมากเกินไป ทำไปทำมาจะ ๓ ปีผ่านไป หมดอยากเซ็งแล้ว ได้ไม่ได้ช่างหัวมันเถอะ ป๊อกเดียวมันได้เลย แสดงว่าทำเกินก็ไม่ดี ทำขาดก็ไม่ดี ต้องพอดี ๆ ถึงได้ ตอนนั้นทำเกิน จริง ๆ ใจมันอยากได้มากเลยทุ่มเท เพราะรู้ว่าปฐมฌานนี่เราเป็นพระโสดสาบันได้สบาย ๆ เลย กำลังพอจะตัดกิเลสในระดับนั้น พยายามจะเอาให้ได้ เล่นเสีย ๓ ปี ทำจนกระทั่งหมดอารมณ์ เล่นทุ่มเทหัวไม่วางหางไม่เว้น เป็นคนอื่นเขาเลิกไปนานแล้ว คราวนี้วันนั้นเหนื่อยขึ้นมาได้ไม่ได้ช่างมัน เรามีหน้าที่ภาวนาเกิดอะไรขึ้นเรื่องของมันเท่านั้นแหละได้เลยอารมณ์ใจมันต้องการแค่ช่องนั้นเราไปยึดคอเสียเลยลิบ เพราะฉะนั้นตั้งตาทำไปเลยชอบอันไหนทำอันเดียวเอาให้ได้
      ถาม :  .....(ไม่ชัด).......
      ตอบ :  ไม่เป็นไรเพราะที่ไปส่วนใหญ่ก็ต้องการในลักษณะนั้นเราเองเราไม่ได้ทำร้ายเขา เราทำร้ายตัวเอง เหมือนกับขว้างลูกเทนนิสใส่ผนังแล้วมันก็เด้งไปโดนเขาเอง
              บอกแล้วว่าอิจฉาเด็กรุ่นหลัง คือเด็กรุ่นหลังนี่เขาทำบุญมาดีรุ่นแรก ๆ นี่เขารุ่นหักร้างถางพง กว่าจะปรับถนนขึ้นมาได้เหนื่อยแทบตาย ลุยป่าลุยเขาไปเรื่อย รุ่นนี้เขาชุปเปอร์ไฮเวย์ ๘ เลน คือบุญของเขาดี แต่ว่าต่างกันอยู่จุดหนึ่ง ยุคแรกเริ่มยุคเบิกนี่จะเห็นทุกข์มากแล้วจะไปนิพพานง่าย แต่รุ่นนี้ของเขามาเสวยบุญเขามาเติมที่ ส่วนใหญ่จะเป็นพวกฤทธ์พวกอภิญญาด้วย เขาจะไปติดอยู่แค่นั้น โอกาสเข้าถึงธรรมเขาน้อย ที่บอกอิจฉาเด็กก็ประเภทที่เรียกว่าบุญเขาดี เขามาเสวยบุญของเขาจริง ๆ แต่ว่าเขาก็จะติดอยู่แค่นั้นแหละ เราอิจฉาตรงเขาเสวยบุญเท่านั้นแหละ การนั่งสมาธิจริง ๆ จะเป็นพื้นฐานใหญ่สร้างกำลังให้เกิดขึ้น ในส่วนการเอาสติตามดูนั้นจะดูเวทนา คืออารมณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นกับใจของเรา อันนั้นจะเป็นส่วนของมหาสติปัฏฐานสูตร เขาดูเพื่อให้รู้ว่าอารมณ์ใจทั้งหลายเหล่านั้น รัก โลภ โกรธ หลง ทั้งหลายเหล่านั้นเป็นจริงหรือเปล่า หรือว่าเป็นของร่างกาย ราคะ โลภะ โทสะ โมหะ เป็นสมบัติของร่างกายหรือเป็นสมบัติของเรา ถ้าเป็นสมบัติของเรา ๆ คือจิตเราต้องสามารถควบคุมมันได้เราไม่ต้องการมันก็มา วันไหนอยากจะโกรธให้สุดขีดขึ้นมามันก็ดับไม่โผล่มาเสียนี่ในเมื่อเราไม่สามารถควบคุมมันได้ ก็สรุปได้ว่ามันไม่ใช่ของเรา เขาตามดูจนกระทั่งมันชัดเจน เห็นชัด ๆ เลย ว่าอารมณ์ใจต่าง ๆ เป็นสมบัติของร่างกายในเมื่อเป็นสมบัติของร่างกาย ก็เรื่องของมัน อยากมีก็มีไป เราอย่าไปร่วมมือกับมันก็แล้วกัน ก็จะอยู่ในลักษณะอย่างนี้แต่ว่าจริง ๆ พื้นฐานทั้งหมดเราทิ้งลมหายใจเข้า-ออกไม่ได้
      ถาม :  ...................................?
      ตอบ :  ทำความเคารพด้วย กาย วาจา ใจ อย่างแท้จริงขึ้น นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ ข้าพเจ้าขอนอบน้อมพระองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น ท่านน้อมไปทั้งกาย วาจา และใจ ไม่ใช่สักแต่ปากว่า สักแต่มือกราบ พุทธัง สะระนัง ตัจฉามิ คัจฉามิ ข้าพเจ้าขอยึดพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ ข้าพเจ้าขอยึดพระธรรมเป็นที่พึ่ง สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ ข้าพเจ้าขอยึดพระสงฆ์เป็นที่พึ่ง ท่านยึดจริง ๆ ยึดเหมือนคนตกเหวแล้วคว้าอะไรไว้ได้เป็นตายอย่างไรไม่ปล่อยแน่นอนถามว่าเป็นการเกาะหรือไม่เกาะเกาะเป็นการติดหรือไม่ติด แต่เป็นการเกาะสิ่งที่ดีติดสิ่งที่ดีต้องเกาะไว้ก่อนติดไว้ก่อนถ้าไม่เกาะไม่ติดแล้วจะเอาอะไรไปปล่อย พวกมาถึงก็สูญญตา อนัตตา ปล่อยแล้ววางแล้ว เอาอะไรไปปล่อยถามหน่อยสิ จะต้องมีที่เกาะถึงจะมีที่ปล่อย ฟังดูบ้าดี อาตมาไม่ได้สอนให้เกาะ ปัญญาขนาดนั้นถึงวาระท่านก็ปล่อยของท่าน เพียงแต่ว่าตอนปล่อยสำคัญว่าปล่อยได้ไหม ปล่อยทันไหม เอาขอบเขตแค่นั้น ถ้าในเรื่องวิจิกิจฉาท่านไม่ลังเลสงสัยจิตใจยึดมั่นต่อพระรัตนตรัยเต็มที่ถ้าหากในเรื่องสักกายทิฏฐิ ท่านรู้เสมอว่าจะตาย ถ้าหากในเรื่องสีลัพพตปรามาส พระโสดาบันรักศีลยิ่งกว่าชีวิต ตัวตายดีกว่าศีลขาด
      ถาม :  แล้วมีใครบ้าง?
      ตอบ :  มีเยอะ เอาแค่บรรดานักการเมืองก็พอ ทะเลาะกันอยู่ทุกวัน ตีกันอยู่ทุกวัน แย่งกันอยู่ทุกวัน เพราะเขาไม่คิดว่าเขาจะตาย เขาจะอยู่ค้ำฟ้า เขาจะอยู่ในตำแหน่งให้ได้ ต่อให้เขาเห็นความตายอยู่ตรงหน้าก็คิดว่าคนอื่นตาย ไม่ได้คิดว่าตัวเองจะตาย แหม! ไปเป็น ประธานงานศพโน้นงานศพนี้ ไปอยู่ทุกบ่อยไม่เคยนึกว่าตัวเองจะตายหรอกเขาคิดแต่ว่าคนอื่นตาย อย่างของพวกเรามิวิสัยของนักปฏิบัติอยู่ในเมื่อมีวิสัยปฏิบัติเพื่อมรรคเพื่อผลอยู่ โอกาสที่รู้ตัวว่าตัวเองจะตายมันเยอะ โดยเฉพาะ นักปฏิบัติที่ดีจริงเขาไม่ประมาทหรอกเพราะรู้ว่าลมหายใจเข้า-ออก ก็คือความตายนั่นเอง หายใจเข้า-ไม่หายใจออกก็ตายก็ตาย หายใจไม่ออก- ไม่หายใจเข้าก็ตาย ในเมื่อความตายมีอยู่ทุกลมหายใจ ต้องเร่งปฏิบัติให้มากเข้าไว้เมื่อถึงเวลาจะได้ไปให้ดีที่สุด
      ถาม :  ถ้าสมมติว่าเรามีอาชีพค้าขาย...(ไม่ชัด)...ความจริงเราต้องพูด...(ไม่ชัด)...เบี่ยงเบนไปบ้าง เราไม่มีเจตนา?
      ตอบ :  ไม่ต้องใช้คำว่า เบี่ยงเบน ต้องโกหก ไม่ต้องไปพูดถึงเจตนาหรือไม่เจตนา สำคัญว่าเราใด้ทำไหม ทีนี้ต้องมานั่งกลุ้มตูทำไปเยอะแล้ว ไม่ต้องไปกลุ้มหรอก อย่างน้อย ๒๔ ชั่วโมงคุณไม่ได้โกหกตลอด เวลาที่เรารักษาศีลบริสุทธิ์มีอยู่ เอาเต็มที่แค่เราทำได้ รักษาศีลเป็นเวลาให้ชินตั้งแต่ตื่นนอนจนถึงที่ทำงานเราจะไม่ยอมให้ศีลขาดออกจากที่ทำงานจนกระทั่งนอนลงไปจะไม่ยอมให้ศีลขาด ใน ๒๔ ชั่วโมง พยายามขาดทุนให้น้อยที่สุดคือ ทำให้ได้มากที่สุด
      ถาม :  สมมติว่าถ้าเกิดเราต้องโกหกบ้างเล็ก ๆ น้อย ๆ แล้วมากลุ้มใจ?
      ตอบ :  อันนั้นก็เตรียมตัวลงนรกสิจ๊ะ นักปฏิบัติที่ดีเขาไม่ไปสนใจเรื่องที่ผ่านมาแล้วแล้วก็ไม่สนใจเรื่องที่มาไม่ถึงคือไม่สนใจกับอดีตและอนาคตอดีตผ่านมาแล้วแก้ไขไม่ได้อนาคตยังไม่มาไม่ถึงทำอะไรไม่ได้เหมือนกัน ต้องทำปัจจุบันคือ ตอนนี้เดี๋ยวนี้ให้ได้ดีที่สุด ถ้าคุณมัวแต่ไปกังวลอยู่ ตอนนั้นตายก็เสร็จเพราะจิตเศร้าหมอง เพราะฉะนั้นตอนนี้ของเรา ขณะเวลานี้ ทุกสิกขาบทของเราสมบูรณ์พร้อม เราจะระมัดระวังรักษาให้ดียิ่ง ๆ ขึ้นไป พลาดเมื่อไรก็เริ่มต้นใหม่ เคยสอนคนว่าทำดียังต้องหน้าด้านเลยเปรียบว่าคนเดินมาแล้วหกล้มพร้อมกันคนหนึ่งลุกขึ้นไปเลยขณะที่อีกคนหนึ่งคร่ำครวญเราไม่น่าเลยล้มได้เดินมาตั้งไกลแล้ว เจ็บเหลือเกิน ปวดเหลือเกิน แล้วมันได้อะไร เสียเวลาใช่ไหมตายตอนนั้นก็ไม่ได้อะไรอีกแต่อีกคนหนึ่งย่ำไปไกลลิบแล้ว พลาดเมื่อไหร่ให้ตั้งกำลังใจใหม่ว่า ทันที ตอนนี้ เดี๋ยวนี้ ศีลทุกสิกขาบทของเราบริสุทธิ์ แล้วระวังรักษาต่อไป เสียเวลาไปคร่ำครวญอยู่กับมัน ถึงเวลาหงิกก็เรียบร้อย หัดหน้าด้านบ้างตอนทำความดี ในเรื่องอื่นด้านมาตั้งเยอะ
      ถาม :  แล้วอย่างในเวลาตื่น ยังยากที่จะประคองให้ ....(ไม่ชัด)....แล้วอย่างในขณะหลับ
      ตอบ :  ก็สภาพจิตมันต้องทำให้ตื่นและหลับมีความรู้สึกเสมอกัน เมื่อนั้นที่ภาษาพระว่า พุทโธ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน สติจะสมบูรณ์ทั้งตื่นและหลับ จะคอยระมัดระวังรักษาใจไม่ให้ไปยุ่งกับกิเลส อีก ถ้าทำถึงตอนนี้เริ่มมีที่อาศัยได้ ไม่ใช่ดีนะแค่ก้าวแรกเท่านั้น แล้วปัจจุบันของเรานั้นเอาตอนตื่นอย่าให้พลาดก่อนเราทำได้ต่อไปก็ขยับตอนหลับก็จะไม่ให้พลาดด้วย
      ถาม :  ถ้าไม่เจตนา ?
      ตอบ :  ไม่เจตนาก็โทษน้อย แต่ก็มีโทษ
      ถาม :  ที่บ้านจะฉีดแมลง แล้วมันมาตาย....(ไม่ชัด)....?
      ตอบ :  ก็เราเจตนากันไม่ได้เจตนาฆ่า ก็เท่ากับไม่ได้ทำ
      ถาม :  ฉีดคืนนี้ พรุ้งนี้แมลงสาบหงายเต็ม ?
      ตอบ :  อย่าไปเจตนาฆ่าเขาสิ ควรเป็นลักษณะกันมากกว่า เช่น พวกสารสกัดเปลือกส้ม พวกอะไรอย่างนี้ มันจะไม่ตายหรอก แต่มันจะไม่ชอบกลิ่นแล้วมันจะไม่มาอาตมาเคยฉีดใส่ไรมันร่วงกราวลงไปกองกับพื้นแล้วก็ไต่ขึ้นมาใหม่ ไม่ตายหรอก มันไม่ชอบกลิ่นมันหนีหมด เราอยากรู้ว่าที่เขาบอกว่ากันไม่ได้ฆ่านั้นจริงหรือเปล่าเป็นพระจะได้ใช้ได้แต่ว่าได้ยากันยุงพวกชนิดทาตัว เช่น กย ๑๕ อันนั้นไม่ได้ อันนั้นตาย ลองมากับมือไปฉีดโดนตัวมันหงิกเหมือนกัน
      ถาม :  เห็นเขาเขียนว่าป้องกันยุง แมลงสาป ฉีดไว้พรุ้งนี้หงายหมด ?
      ตอบ :  อันนั้นป้องกันดีมากเลย คือเจตนาของเราถ้ามันไม่ได้ฆ่า ผิดมันก็น้อย เพราะว่าต้องรู้ว่าสัตว์นั้นมีชีวิตอยู่ เรารู้ว่าสัตว์นั้นมีชีวิตอยู่ เราตั้งใจฆ่า เราลงมือฆ่า เราฆ่าสำเร็จ ถึงจะโทษผิดเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ถ้าขาดอันไหนอันหนึ่งไปโทษมันก็ลดลงไปตามส่วน
      ถาม :  พระพิฆเนศ ทำไมศีรษะถึงต้องเป็นช้าง ?
      ตอบ :  ต้องเป็นช้างเพราะเขาชอบแบบนั้น ตามประวัติท่านว่าพระพิฆเนศเป็นลูกของพระศิวะ ท่านก็ซนตามภาษาเด็ก เทวดาฮินดูยุ่งแย่กว่าคนอื่น ประวัติเขาว่าอย่างนั่นแหละ ทีนี้พระศิวะกำลังนั่งสมาธิอยู่แกวิ่งเล่นให้เจี๊ยวไปหมด กวนดึงโน่น ดึงนี่ไปเรื่อย พระอิศวรหลุดจากสมาธิขึ้นมาดันเผลอลืมตาที่สามของแก ก็เรียบร้อย เอ๊ะ! ไม่ใช่ อันนั้นมันกามเทพ แกยัวะขึ้นมาแกก็บอกว่า ไอ้ลูกหัวขาดเดี๋ยวก็ตีเสียหรอกหัวเลยขาดไปเลย อันนี้แสดงว่าขาดสติเผลอไปหน่อย ไม่รู้ว่าตัวเองว่าอะไรแล้วเป็นอย่างนั้นเสร็จแล้วพระมารดาก็มาโอดครวญว่าไปทำให้ลูกอย่างนั้นได้อย่างไร เทวดาเขาเป็นอมร เป็นผู้ไม่ตายใช่ไหม ทีนี้หัวขาดแล้วเดินเท่ง ๆ ไม่มีหัวมันดูน่าเกลียด พระศิวะก็เลยต้องให้พร เอาอย่างนี้แล้วกันต้องไปทางด้านทิศเหนือ เจอคนเจอสัตว์อะไรตายอยู่ก็เอาหัวมันมาเดี๋ยวจะต่อให้ บังเอิญไปเจอช้างตัวหนึ่ง แล้วดันเป็นช้างที่งาหักไปข้างหนึ่งด้วยก็เลยตัดหัวมา พระศิวะก็ต่อให้ประวัติเทวดาฮินดูยุ่งเป็นบ้าเลย บางทีกิเลสมากกว่าคนอีก เทวดาท่านสวยมากเต็มบุญเต็มบารมีของท่านนั่นแหละ แต่ว่าคนไปเชื่อเสียแล้วท่านมีรูปร่างหน้าตาอย่างนั้น พอถึงเวลามาปรากฏท่านก็ต้องแสดงรูปอย่างนั้น ไม่อย่างนั้นแล้วเราจะไม่รู้ว่าเป็นท่าน ฮินดูเขาเก่งนะเขาตั้งเทวดาได้ เขาจะบอกว่าเทวดาชื่อนั้นอย่างนั้นมีความสามารถใกล้เคียงกับที่เขาว่าเพื่อมารับหน้าที่นั้นเนื่องจากเขาบูชาเทวดากัน การบูชาเป็นเทวดาเป็นเทวดานุสติ ตรงกับคำสอนของพระพุทธเจ้า เทวดาเลยต้องเดือดร้อนหาคนมารับตำเหน่งนั้น ๆ เพียงแต่ว่าตามประวัติบางทีมันเละเทะไม่เป็นท่า ขนาดพระอินทร์ไปเป็นชู้เขา แต่จริง ๆ แล้วไม่ได้เป็นอย่างนั้นหรอก ถึงว่าฮินดูเขาเก่งเขาตั้งเทวดาได้ แล้วอีกอย่างจะว่ายึดเทวดาเป็นอนุสติก็ยึดผิด ๆ คือใช้การร้องขออย่างเดียว จริง ๆ แล้วเขาให้ดูเทวดามีความดีอะไรบ้างอย่างเช่นมี หิริ-รู้จักละอายแก่การละอายชั่ว มีโอตัปปะ-กลัวผลของความบาป จะให้ผล มีศีล ๕ บริสุทธิ์เป็นอย่างน้อยถ้าทรงฌานทรงสมาบัติได้ ก็ยิ่งเป็นเทวดาชั้นดีขึ้นไปเรื่อย จนกระทั่งกลายเป็นเทวดาที่เป็นพระอริยเจ้า แล้วให้เลียนแบบปฎิปทานั้น ทำตามนั้นเพื่อที่จะได้เป็นความดีอยู่ก็อย่างที่ว่าเกาะวัตถุมงคลดีกว่าเกาะวัตถุอัปมงคล ใช่ไหมในเมื่อเป็นนั้นท่านก็เลยต้องสงเคราะห์เขาตั้งคนที่เหมาะสมขึ้นมารับตำเเหน่งนั้น ๆ ไป ปัจจุบัน พระศิวะ พระอิศวร ท่านเป็นพระอินทร์ รับเละอยู่คนเดียว ก็เขาบอกว่าเป็นราชาของเทวดาทั้งปวง แล้วจะใครอีก
      ถาม :  แล้วปกติอย่างเทวดานี่มีคุณความดีที่จะเห็นพระนิพพานได้หรือไม่?
      ตอบ :  ถ้าหากว่าท่านไม่ใช่พระอริยเจ้าไม่ได้เห็นมีโอกาสเดียวก็คือท่านที่เป็นพระอริยเจ้าที่มีบารมีสูง อย่างเช่นว่า เป็นพระอรหันต์อะไรอย่างนี้ประเภทชวนกันไปแล้วก็พออาศัยได้ ไม่อย่างนั้นต่อให้เห็นอยู่ก็ไม่มีสิทธิ์เข้าไปเพราะมันไม่ใช่เขตของตน
      ถาม :  แล้วอย่างที่จะแก้ปฏิฆะ?
      ตอบปฏิฆะจริง ๆ ถ้าเราระวังใจตัวเดียวก็สบายมากแล้ว การจะใช้พรหมวิหารจะต้องบวกปัญญาคือคิดให้เป็นด้วยเห็นแล้วไม่ชอบใจเป็นเพราะอะไรได้ยินแล้วไม่ชอบใจเป็นเพราะอะไร ได้กลิ่นแล้วไม่ชอบใจเป็นเพราะอะไร ได้รสแล้วไม่ชอบใจเป็นเพราะอะไร สัมผัสแล้วไม่ชอบใจเป็นเพราะอะไร ไม่ใช่ใช้พรหมวิหาร ๔ เฉย ๆ ต้องคิดให้เป็น เพื่อปลดอารมณ์นั้นออกจากใจด้วย คนอื่นทำให้เราโกรธสิ่งที่เขาให้เราโกรธนั้นมันจริงไหมสมมติเขาด่าเราเป็นไอ้เหี้ยไอ้สัตว์เราเป็นอย่างนั้นหรือเปล่า ถ้าไม่เป็นก็เห็นต้องไปโกรธเขาคนไม่รู้ความจริงเป็นอย่างไร โง่ขนาดนั้นไปโกรธเขาทำไม แต่ถ้าเราเป็นอย่างนั้นจริง ๆ คนอื่นเขาอุตสาห์เมตตาเอากระจกมาให้ส่องเพื่อให้รู้สภาพที่แท้จริงของเราเป็นอย่างไร เราจะโกรธครูของเราทำไม น่าจะขอบใจเขามากกว่า จะต้องใช้ปัญญาประกอบไปด้วย แต่อับดับแรกคือ จริง ๆ กั้นมันให้หยุดทันทีไว้ก่อน สติกับปัญญาต้องเร็วขนาดปิดประตูให้ทัน ไม่อย่างนั้นตาเห็นปุ๊บใจไปคิดว่าชอบหรือไม่ชอบก็เรียบร้อยแล้ว เพราะว่าชอบเป็นอิฏฐารมณ์ไม่ชอบเป็นอนิฏฐารมณ์ เจ๊งทั้งคู่ปฏิฆะไม่ใช้ตัวเมตตาอย่างเดียว ต้องมีปัญญาประกอบเยอะมาก แล้วอีกอย่างการตัดปฏิฆะเป็นเรื่องของพระอนาคามีท่าน กำลังขนาดเลยพระสกิทาคามีขึ้นไปแล้วนั่นปัญญาท่านเยอะมากท่านเห็นตั้งแต่แรกเมื่อเห็นตั้งแต่แรกก็ไม่คิดต่อ ไม่ปรุงแต่งต่อ ก็ไม่มีอะไรกระทบ นี่ปากกาท่านมองปั๊บมันก็คือปากกา ประกอบตัวธาตุ ๔ ดิน น้ำ ไฟ ลม ก็กองอยู่ตรงนั้นแหละ มันก็เป็นปากกาของมัน ทำอะไรไม่ได้ แต่หากเรามาคิดต่อมันเขียนได้นี่หว่า วันนั้นคนนั้นทำไม่ดีกับเรานี่หว่า เขียนจดหมายไปด่าแม่มันหน่อย ปรุงแต่งไปทางโทสะใช่ไหม คนนั้นสวยดีเขียนไปจีบเขาหน่อย อ้าว! ราคะอีกแล้ว ร้านนั้นรวยเขียนไปเรียกค่าไถ่มันหน่อย อ้าว ! โลภอีกแล้ว บรรลัยเลย ปากกาอันเดียวแท้ ๆ ท่านปัญญาถึงขนาดนั้นแล้ว ท่านหยุดความคิดทัน หยุดตัวจิตสังขารที่ปรุงแต่งทันเมื่อหยุดมันทันที ก็กองอยู่ตรงนั้นแหละ ทำอันตรายเราไม่ได้เพราะปัญญาท่านเห็นทันทีเลยว่าถ้าคิดต่อแล้วจะโทษอย่างไร ท่านก็จะหยุดมันลงตรงนั้น สบาย ตามทันไหม ถ้าไม่ทันบอกนะ
      ถาม :  บางทีอ่านหนังสือเกิดอารมณ์ไม่พอใจไม่อยากอ่านตรงนี้อยากไปอ่านข้างหลังก่อน?
      ตอบ :  ก็เอาสิ
      ถาม :  ไม่รู้จะทำอย่างไร อารมณ์หงุดหงิดตัวเอง อยู่ ๆ อ่านก็อ้าว ?
      ตอบ :  แย่พอกันนั่นแหละ ไม่เป็นไรหรอกในเมื่อมันอยากอ่านข้างหลังก่อนเราก็ให้มันอ่านบางอย่างถ้าตามไม่ทันอนุญาตให้ยกมือประท้วงได้บางทีไปพูดถึงเรื่องที่สูงเกินเอื้อมประท้วงได้จะได้บอกใหม่เพื่อลดกำลังลงให้ต่ำหน่อยเผื่อจะได้ตะกายทัน บางคนท่านถาม ๆ เป็น ถามดีมากเป็นเรื่องของการปฏิบัติระดับสูง ๆ ด้วย มีอยู่เที่ยวหนึ่งไปกราบหลวงปู่อ่ำ หลวงปู่เจ้าคุณพระราชกวี ที่วัดโสมนัส สนทนาธรรมกับท่าน ท่านเมตตาเราก็กราบเรียนหลวงปู่ครับช่วยพูดเรื่องสังโยชน์ให้ผมฟังหน่อยครับ ท่านบอกว่า ฌานโลกีย์อย่างคุณถ้าผมพูดไปมันก็ผิด หลวงปู่ก็ลองดูสิครับ เอาแค่หลวงปู่เข้าใจแล้วกัน ช่วยเมตตาสงเคราะห์ แล้วท่านก็ว่าไปเรื่อย เราเองก็ครับ ๆ อย่างนั้นเราก็ใช่ครับ อย่างนี้คนละครึ่งประโยค คนฟังมึนตายเลยคือ ท่านขยับมาครึ่งหนึ่งเราเข้าใจ เราพูดไปครึ่งหนึ่งท่านก็เข้าใจ ต่างคนต่างพูดคนละครึ่ง แล้วเป็นครึ่งที่คนอื่นเขาต่อไม่ติดเสียด้วยสิ ถึงได้บอกว่าถ้าอันไหนตามไม่ทันให้บอก