สนทนากับพระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
เดือนพฤษภาคม ๒๕๔๖(ต่อ)
ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ

      ถาม:  ในหนังสือหลวงพ่อฤๅษีกล่าวว่า "คณะที่ไปนิพพานประมาณหนึ่งแสนเจ็ดหมื่นคน" ณ วันนี้เหลือกี่คนคะ ?
      ตอบ :  เหลือกี่คน ? โฮ้โฮ...! เหลือเป็นแสนเลย หนึ่งแสนเจ็ดหมื่นห้าพันสามร้อยคน หมายถึงว่าไปนิพพานชาตินี้ ส่วนที่เหลืออีกระมาณเจ็ดแสนจะไปตอนพระศรีอาริยเมตตรัยขึ้นไปโปรดพุทธมารดา รวม ๆ แล้ว แปดแสนกว่าเกือบเก้าแสน ไม่มีของเราบ้างก็ให้รู้ไปสิวะ...!
      ถาม :  ถ้าเรามั่นใจในทานศีลมาก แต่ภาวนามีเล็กน้อย ถ้าตายอยากไปพระนิพพานอย่างนี้ ต้องทรงอารมณ์พระโสดาบันหรือเปล่าเจ้าคะ ?
      ตอบ :  ไปได้จ้ะ เรื่องของการภาวนาจะใช้คำว่าเล็กน้อยไม่ได้ เพราะว่าการภาวนา ส่วนใหญ่คือการใช้ปัญญา ภาวนา แปลว่า "ทำให้เจริญ" แต่ส่วนใหญ่เราจะเน้นตรงสมาธิ การที่จะทำให้เจริญจริง ๆ ก็คือ การที่เรารู้จักใช้ปัญญา อย่าลืมว่าพระโสดาบันจริง ๆ น่ะ เขาไม่ได้เป็นพระโสดาบันกันไปตลอดนะ ส่วนใหญ่ก่อนตายเห็นสภาพของร่างกายไม่ไหวจริง ๆ ก็เป็นอรหันต์กันไปเยอะต่อเยอะแล้ว
              คราวนี้ของเราเองเรามีทานศีลเป็นปกติ ตัวภาวนาของให้เกาะนิพพานเป็นปกติ เราตั้งใจว่า "ทุกอย่างที่เราทำเพื่อเป็นพุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชา ถ้าหากว่าตายเมื่อไร เราปรารถนาที่เดียว คือพระนิพพาน" ไม่ต้องมากเลย แค่นี้แหละ
              คราวนี้ก่อนตายนี่สำคัญ...! สำคัญตรงก่อนตาย ก่อนตายถ้าหากว่าเราเป็นพระโสดาบันอยู่ไหม ช่วงนั้นจะไปรักใครก็ไม่ไหวแล้ว คนจะตายอยู่ จะไปโกรธใครก็ไม่ไหว แรงจะโกรธก็ไม่มี จะไปหลงใครก็คงจะไม่ไหว ถ้าอบรมมาดีต้องเห็นว่าร่างกายเป็นโทษ ก็แค่เพิ่มความคิดไปนิดเดียวแค่นั้น ว่าถ้าอย่างนั้นเราไปพระนิพพานดีกว่า เป็นอันว่าจบเลย เพราะฉะนั้น...ส่วนใหญ่แล้ว พระโสดาบัน ท่านจะไม่รอหรอก ถึงเวลากระโดดข้ามขั้นเลยมากกว่า
      ถาม :  ..............................
      ตอบ :  อันนั้นคือว่า คนที่เขาฉลาดและปัญญาถึง แต่ว่ามีอีกจำนวนหนึ่งทีไปเพลินติดอยู่กับความสุขตรงจุดนั้น การเป็นพระโสดาบันนี่ อธิบายไม่ได้ว่าท่านมีความสุขแค่ไหน ? ในอรรถกถาท่านเปรียบเทียบเอาไว้ว่า "พระเจ้าจักรพรรดิที่ปราบได้ในทวีปทั้ง ๔ รู้ว่าตนเป็นผู้ที่เลิศที่สุด ไม่มีใครเป็นศัตรู มีความสุขขนาดไหน ? ไม่ได้เศษ ๑ ส่วน ๑๖ ของพระโสดาบัน" เพราะว่าพระเจ้าจักรพรรดิยังมีสิทธิ์ลงนรกได้ แต่ว่าพระโสดาบันไม่มีสิทธิ์แล้ว อบายภูมิทั้ง ๔ ปิดสนิท คนที่มั่นใจว่าตัวเองรอดพ้นอบายภูมิแน่แล้ว จะมีความสุขขนาดไหน ? ถ้าเป็นเรานี่กระโดดโลดเต้นยังน้อยไป เพียงแต่ว่าอารมณ์ใจของท่านเป็นอารมณ์ใจพระอริยเจ้า การแสดงออกเลยเป็นไปตามสมควร แต่ว่าความสุขในใจของท่านน่ะ มากมายมหาศาลเหลือเกิน คราวนี้จะมีอยู่จำนวนหนึ่งที่ท่านไปเพลินอยู่กับความสุขอยู่ตรงจุดนั้น เลยก้าวหน้าไมได้
              มีอยู่ช่วงหนึ่งที่หลวงพ่อท่านกราบเรียนถามพระท่าน พระท่านบอกว่า "พระอริยเจ้าที่เป็นพระอรหันต์มี ๗ องค์ เป็นสกิทาคามีเท่าไร เป็นอนาคามีเท่าไร แต่ว่าที่เป็นพระโสดาบันยังมีอยู่เท่าเดิม" และที่ไม่ขยับเขยื้อนเพราะว่ายังสุขอยู่แค่นั้น ติดสุขอยู่ กำลังใจสุขสบายเพลินอยู่อย่างนั้น เพราะท่านบอกว่า "พระโสดาบันมีปัญญาเล็กน้อย" ใช่ไหม อันนี้เล็กน้อยของท่าน ไม่ใช่เล็กน้อยของเรา ของเราถ้าหาว่าก้าวถึงตรงจุดนั้นแล้ว ความสุขที่เกิดขึ้น บางครั้งกลายเป็นสิ่งที่เราเพลินเพลินกับมันได้ คนที่โดนไฟเผาอยู่ตลอดเวลา อยู่ ๆ ไฟดับ อธิบายไม่ถูกหรอกว่าสุขแค่ไหน ไฟที่ว่าก็คือ รัก โลภ โกรธ หลง
      ถาม :  ความรู้สึกที่สบาย แต่ต้องทุกข์กับการดำเนินชีวิต ทำให้เราสามารถถอยอารมณ์ลงมาจากพระโสดาบันไหมเจ้าคะ ?
      ตอบ :  ไม่ได้ พระโสดาบันมีแต่ก้าวขึ้น ไม่มีถอยลง ถ้าหากว่าถอยลงเป็นแค่ฌานโลกีย์เท่านั้น ฌานโลกีย์ถ้าหากว่าได้ฌานสี่ คนหลงว่าตัวเองเป็นพระอรหันต์มาเยอะแล้ว เพราะว่ากดรัก โลภ โกรธ หลง เงียบสนิทเลย แต่เงียบนี่เงียบเฉย ๆ ไม่ได้หมายความว่ามันตาย เผลอเมื่อไรมันก็โผล่ใหม่
              คราวนี้อารมณ์ของพระโสดาบันท่านรู้สุขรู้ทุกข์เหมือนกับเรา เพียงแต่ว่าท่านไม่ได้ติดในสุข และก็ไม่ได้กังวลในทุกข์มากมายเหมือนอย่างกับพวกเรานะ สุขทุกข์จริง ๆ สำหรับพระอริยเจ้า ท่านมีไว้รับรู้ รับรู้แล้ววาง เพราะว่าสุขท่านก็ไม่เกาะ ทุกข์ท่านก็ไม่เกาะ จะสุขจะทุกข์ถือว่าเป็นนธรรมดา การเกิดมามีร่างกายนี้ต้องเจอกับความสุขความทุกข์เช่นนี้เสมอ ท่านจะมีสติรู้ตัวอยู่ตลอดว่าเราจะต้องตาย ถ้าตายเมื่อไรเราจะไปนิพพาน อันนี้สำหรับกล่าวถึงพระโสดาบันนะ ถ้าหากว่าสูงไปกว่านั้น ความรู้ของท่านก็จะสูงยิ่ง ๆ ขึ้นไป
      ถาม :  บางท่านกล่าวว่า "หลวงพ่อหลาย ๆ องค์มาสอนในสมาธิ" แต่ลูกนี่ไม่เคยได้รับการสอนเลย แสดงว่าลูกบุญน้อยไปหรือเปล่าคะ ?
      ตอบ :  ไม่ใช่ เพราะว่าการปฏิบัติไม่ได้หมายความว่าจะต้องเหมอืนกัน วิสัยของแต่ละคนมอียู่ ๔ ประเภท
              ๑. สุขวิปัสสโก ปฏิบัติง่าย ๆ บรรลุง่าย ๆ ไม่ต้องมีอะไรโลดโผน
              ๒. เตวิชโช จะต้องมีอะไรทีเป็นเครื่องยืนยันให้รู้ได้นิดหน่อยถึงจะพอใจ
              ๓. ฉฬภิญโญ ประเภทชน ประเภทล้น ไม่ค่อยพอใจอะไรง่าย ๆ
              ๔. ปฏิสัมภิทัปปัตโต อันนี้รู้ไม่ครบไม่ยอมเลิก
              เลยกลายเป็นว่า วิสัยของเรามาอย่างไร ถ้าหากว่าไม่เหมือนเขาไม่จำเป็นจะต้องมีอย่างเขา แต่ว่านักปฏิบัติจริง ๆ ถ้าหากว่ามีครูบาอาจารย์ที่ไม่มีตัวตนมาสอนในสมาธิ โอกาสก้าวหน้าจะเร็วมาก แต่ว่าจะต้องมีปัญญาเพียงพอ เพราะว่าบางอย่างเป็นการทดสอบกันลองใจกัน ลองกันชนิดเอาตายเลย อยู่ ๆ ประเภทเทวดาหรือพรหม เราเห็นชัด ๆ ว่าเป็นพระอริยเจ้าแน่นอน ขาวสว่างสดใสเดินมาถึงก็กราบกันก้นโด่งเลย กราบเสร็จบ่นให้ได้ยินอีก แหม...ชื่นใจเหลือเกิน ได้มากราบพระปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ เชื่อมันสิ...! เราได้ตายประไร เชื่อไม่ได้...! เพราะของพวกนี้เป็นการลองกัน เคยฟังปฏิปทาทานผู้เฒ่าไหมล่ะ ? เออ...! ที่มีเทวดามาทดสอบหลวงพ่อน่ะ มาถึงก็โยนดาบให้เล่มหนึ่ง ตัวเองถือไว้เล่มหนึ่ง บอกว่า "แน่จริงลุกมาฟันกัน" หลวงพ่อบอกว่า "ไม่เอาหรอก อยากจะฆ่า อยากจะฟันอย่างก็เชิญเถอะ ไม่สู้ใครแล้วล่ะ" แกก็วางดาบลง กราบ ๆ เออ...! อยู่ ๆ เรามาเจอพระอรหันต์เข้าซะแล้ว เชื่อมันก็บ้าสิ หลวงพ่อท่านบอกว่า "ยังไม่ได้เป็นเป็นพระโสดาบันเลย" นั่นแหละ...เขาลองกันขนาดนั้น เพราะฉะนั้น...ถ้าหาว่ามีครูบาอาจารย์ที่ประเภทอย่างนั้นมาสอน สติสัมปชัญญะและปัญญาเราต้องดีมาก ถ้าดีไม่พอ อาจจะโดนทดสอบเมื่อไรก็ได้ ไม่ต้องไปอยาก ถ้าทำถึงได้เอง
      ถาม :  บางท่านกล่าวว่า "หลวงพ่อฤๅษีมาบอกว่าให้ทำอย่างโน้น ให้ทำอย่างนั้น" ในการอ้างชื่อหลวงพ่อ อย่างนี้ เราจำเป็นต้องทำตามเขาไหมคะ ?
      ตอบ :  พิจารณาดูก่อน ถ้าหากว่าตรงกับสิ่งที่หลวงพ่อท่านเคยสอนทำตามได้ แต่ถ้าหากว่าไม่ตรง ไม่จำเป็นต้องทำตาม เพราะว่าสิ่งทั้งหลายเหล่านั้น อาจจะเป็นอุปาทานของเขาก็ได้ แล้วขณะเดียวกัน อาจจะเป็นการทดสอบเราก็ได้ กระทั่งพระพุทธเจ้ายังบอกเลยว่า "อย่าเชื่อแม้สมณะนี้เป็นครูของเรา" คราวนี้ไม่ใช่สมณะด้วย เพื่อนเราเองยิ่งหนักเข้าไปใหญ่
      ถาม :  การที่เขากล่าวอ้างหลวงพ่อฤๅษีนี่ เขาบาปไหมเจ้าคะ ?
      ตอบ :  ถ้าหากว่าเป็นจริง ไม่มีอะไรบาปกรรมนี่ เป็นสิ่งที่ดีเสียด้วยซ้ำไป เพราะว่าเจตนาสงเคราะห์ แต่ถ้าหากว่าการกล่าวอ้างเป็นไปโดยที่หลงผิดหรือว่าเจตนากล่างอ้างเพื่อจะสร้างผลประโยชน์ หรือชื่อเสียงให้กับตัวเองอันนี้ผิดแน่นอนร้อยเปอร์เซ็นต์เลย
      ถาม :  ในกรณีที่เราฝากเพื่อนไปทำบุญ แล้วเราให้ญาติพี่น้องเราโมทนาในผลบุญทั้งหมด แต่บังเอิญเพื่อนยังไม่ได้ทำบุญให้เรา ?
      ตอบ :  เราได้ตั้งแต่คิดจะทำแล้วจ้ะ ไม่ต้องถึงขนาดทำหรอก แค่คิดก็ได้แล้ว
      ถาม :  ตัวเพื่อนที่เรารออีกสักสองสามเดือนเขาถึงทำ ?
      ตอบ :  ไม่เป็นไรจ้ะ แต่ว่ามีอยู่อย่างหนี่ง อย่าเผลอตายเสียก่อนแล้วกัน ตายเมื่อไร เดี๋ยวรับเละอยู่คนเดียว แต่ตัวเราอาจจะได้อะไรช้าหน่อย แต่แหม...ช้าหน่อยนี่ลำบากนาน พลาดรถไปเที่ยวหนึ่งโอกาสแก้ตัวเหลือน้อยลงเลย
      ถาม :  ..................................
      ตอบ :  ในชีวิตนะ ถ้าหากว่าหาพระไว้บูชานะ ภาคเหนือเอาครูบาศรีวิชัย ภาคอีสานเอาหลวงปู่มั่น ภาคใต้เอาหลวงปู่ทวด ภาคกลางเอาหลวงพ่อโต วัดระฆัง ได้ครบพอแล้ว
      ถาม :  ........................
      ตอบ :  คือว่าเรื่องของหลวงพ่อน่ะ คนเขากล่าวอ้างกันเยอะ พวกบอกว่าเป็นบ้านใกล้เรือนเคียงกันก็ไม่น้อย แต่ขอให้ทราบว่า ตำบลสาลี อำเภอบางปลาม้า เป็นพี่น้องข้างแม่ของหลวงพ่อเก้าคน ที่ดินแทบจะไม่มีของคนอื่นเลย แล้วมันไปอ้างเป็นญาติบ้านใกล้เรือนเคียงอีท่าไหนล่ะ ทั้งตำบลที่ดินแทบจะเป็นของเขาหมด (หัวเราะ) ไม่ทราบว่าที่ดินเขาแบ่งสันปันส่วนให้ลูกให้หลานอย่างไรนะ แต่ว่าหลวงพ่อท่านเคยได้มาส่วนหนึ่ง แล้วท่านไม่ได้ใช้อะไร ก็มีญาติมาขอหลวงพ่อในลักษณะที่ว่า ในเมื่อหลวงพ่อไม่ได้ใช้ เขาขอไปลงทุน ถือว่าหลวงพ่อเป็นหุ้น ถ้าหากว่าได้ปันผลมาอย่างไรจะแบ่งให้ แล้วเขาก็แบ่งมาให้ตลอด ตรงไปตรงมาดี ถึงเวลาก็ส่งบัญชี จนกระทั่งหลวงพ่อใกล้มรณภาพสัก ๒ ปี ท่านบอกเฮ้ย...! เงินส่วนตัวข้าเยอะเกินไปแล้วว่ะ ถามว่า "มันเหลือเยอะหรือครับ ?" ไอ้เหลือน่ะ ไม่เหลือหรอก เพราะว่าลงไปในเงินสงฆ์หมดแล้ว ท่านแบบัญชีมาให้ดู โอ้โฮ...! เป็นร้อยล้านเลย ทั้งที่โยมถวายด้วยและทั้งที่เขาไปลงทุนแล้วเขาเอามาถวายท่านด้วย ท่านบอกว่า "คนอื่นเป็นหนี้สงฆ์ สำหรับข้าแล้ว สงฆ์เป็นหนี้ข้า" (หัวเราะ) เพราะท่านเอาเงินส่วนตัวท่านทำหมด
              แต่ว่าเจออยู่ครั้งหนึ่ง มีโยมสองคนมาจากภาคใต้ บอกว่า "เป็นญาติหลวงพ่อ" แล้วเขาก็โชว์บัตรประชาชนให้ดูนามสกุล "สังข์สุวรรณ" เหมือนกัน เราก็เออ... น่าจะญาติจริง ๆ ก็โทรไปกราบเรียนหลวงพ่อ "หลวงพ่อครับ เขาขออนุญาตมาพบหลวงพ่อก่อนเวลา" หลวงพ่อบอกว่า "ให้รอตอนรับแขก" เราก็บอกให้รอ แกรอไม่ได้ แกไปถึงประมาณสิบโมง สองคนนั่งรออยู่ประมาณครี่งชั่วโมงแล้วก็ไป พอหลวงพ่อออกมาฉันเพล ก็เข้าไปกราบเรียนท่าน บอกว่า "เขาบอกว่าเป็นญาติหลวงพ่อครับนามสกุลเดียวกันด้วย ผมดูบัตรประชาชนแล้ว" หลวงพ่อบอกว่า "ไอ้ญาติพวกนี้นะ ข้าก็ไม่รู้ว่าญาติข้างไหน ? ตอนข้าไม่มีชื่อเสียง ตกระกำลำบาก มันไม่เคยมาหรอก แต่พอข้ามีชื่อเสียงเมื่อไร ? มันมา ๆ มันไม่ได้หวังอะไรหรอก มันหวังจะมาพึ่งข้า"
      ถาม :  ...........................
      ตอบ :  เรื่องพระหลวงปู่ปาน ท่านสร้างไว้แปดร้อยแปดสิบปีบ บรรจุในเจดีย์สี่ร้อยสี่สิบปีบ แล้วเอาไว้แจกโยมสี่ร้อยสี่สิบปีบ แล้วท่านกันไว้ต่างหากสี่พันองค์ สั่งหลวงพ่อไว้ก่อนมรณภาพว่า "ถ้าข้าตาย ข้าจะมีหนี้อยู่สี่พันบาท แกเอาพระนี่ให้โยมเขาเช่าองค์ละบาท จะได้เงินมาใช้หนี้พอดี" ที่ท่านแจก แจกหมดไม่เหลือจริง ๆ สี่ร้อยสี่สิบปีบนั่นแหละ ใครบอกว่า มีเยอะแยะไม่ใช่ทั้งนั้นแหละ แล้วสี่พันองค์นี่ พอถึงเวลาสิ้นหลวงปู่แล้ว ทายกเขาแบบัญชีออกมา มีหนี้อยู่สี่พันจริง ๆ หลวงพ่อเลยบอกว่า "หลวงพ่อปานสั่งเอาไว้ว่า พระนี่ให้จำหน่ายองค์ละบาท แต่ฉันขอได้ไหม ?" ทายกถามว่า "จะขออย่างไร ?" ฉันขอว่า "ถ้าหากว่าโยมเขาอยากได้ ให้เขาทำบุญตามอัธยาศัยแล้วกัน อย่าไปกำหนดราคาเลย ถ้าไม่พอฉันจะเทศน์ใช้หนี้ให้" เพราะตอนนั้นบาทหนึ่งเยอะนะ ทายกก็บอกว่า "ถ้าหากว่าท่านรับก็ตกลง" ตกลงหลวงพ่อรับว่า "สี่พันนี้หลวงพ่อจะใช้หนี้เอง" แล้วเอาพระนั้นให้เขาทำบุญ ประกาศว่า "แล้วแต่จะทำบุญ เพราะจะเอาเงินไปใช้หนี้ให้หลวงพ่อ" ปรากฎว่าได้มาหลายหมื่น ท่านบอกว่า "มีคนทำบุญ ๕ บาทอยู่รายหนี่ง แล้วก็ ๓ บาทอยู่สองราย นอกนั้นให้เกินทั้งนั้น" ไม่อย่างนั้นก็ได้แค่สี่พัน เพราะฉะนั้น...ที่บอกว่าหลวงพ่อหิ้วพระไปกี่ปี๊บน่ะ ไม่มีเหลือหรอก ขนาดที่หลวงปู่ปานท่านกันเอาไว้สี่พันองค์ ท่านยังปล่อยซะหมด คราวนี้อยากได้จริง ๆ เหลืออยู่อย่างเดียว คือรอเจดีย์พัง เจดีย์ที่อยู่เยื้อง ๆ หลังโบสถ์
      ถาม :  มีเท่าไรครับ ?
      ตอบ :  สี่ร้อยสี่สิบปี๊บ เท่ากับที่ออกในท้องตลาดปัจจุบันนี้ ถ้าออกมานี่ ท้องตลาดคงหมดราคาไปครี่งหนึ่งเลย (หัวเราะ) เคยไปดูแล้วอเนจอนาถใจมาก ปี ๒๕๒๗ ทางพระครูอุไร ที่เป็นลูกศิษย์หลวงพ่อ หลวงพ่อเคยเป็นอาจารย์คู่สวดให้ท่าน ท่านนิมนต์หลวงพ่อไป หลวงพ่อท่านก็ไป ไปเสร็จมีคนมาทำบุญกันมาก เราเดินดูทั่ว ๆ วัด ขยะเยอะเหลือเกิน ช่วงนั้นเป็นงานประจำปีพอดี ที่ว่างสักตารางนิ้วหนึ่งก็หายาก ที่จะเดินยังไม่มีเลย มีแต่ร้านค้าตั้งเต็มวัดไปหมด เขาปล่อยให้เช่าที่เพื่อค้าขายจริง ๆ แล้วขยะไปหมกไว้ข้างโบสถ์เป็นคันรถเลย ไม่มีที่จะทิ้งขยะ แล้วแทนที่จะขนไปทิ้งนอกวัด ไม่หรอก มันมักง่ายทิ้งไว้ข้างโบสถ์ สุมโบสถ์ไว้เลย หลวงพ่อไปโยมเขาทำบุญได้สองแสนกว่าบาท หลวงพ่อบอกว่า "ให้เอาเงินสองแสนห้าหมื่นนี่เข้ามูลนิธิของโรงเรียนไว้ ถึงเวลาจะได้ช่วยเรื่องการศึกษาของเด็ก และที่เหลือยกให้วัด" ปรากฏว่าหลังจากนั้น มีการยักย้ายถ่ายเทไปทำอย่างอื่นแทน หลวงพ่อท่านเลยบอกว่า "ถ้าหากว่าไม่ทำตามคำสั่ง ไม่เคารพกันอย่างนี้ ก็ไม่คบอีก" หลังจากนั้นพอมานิมนต์หลวงพ่อท่านก็ไม่ไป ท่านบอกว่า "วัดนั้นจริง ๆ แค่บารมีหลวงปู่ปานอย่างเดียว ประเภทกินไม่ไหวใช้ไม่หมดแล้ว ถ้าหากว่ารู้จักทำให้ถูกนะ" แล้วอีกอย่างหนี่งแม่สะตือกับแม่ตะเคียน ๒ ต้นนั้นน่ะ อยากได้อะไรก็บอกเขาสิ แต่ปรากฏว่าแกเล่นไปตั้งร้านก๋วยเตี๋ยวเอาไว้รอบต้นสะตือนั่นน่ะ ถึงเวลาน้ำก๋วยเตี๋ยวเหลือติดก้นชาม ก็ราดไปที่โคนต้นนั่นแหละ เทวดาเขารักความสะอาดขนาดไหน ? แล้วใครจะไปชอบใจล่ะ เห็นแม่สะตือกับแม่ตะเคียนบอกว่า "ถ้าเขาเคารพฉันซะหน่อย จะเอาเงินเท่าไร ฉันหาให้ได้"
              คือวัดครูบาอาจารย์สายนี้นะ ที่ไปดู ๆ มา มีวัดของหลวงปู่สุ่น วัดบางปลาหมอ ทางสายวัดปากน้ำไปบูรณะให้ งามมากเลย วิหารพระนอนก็สร้างใหม่ เพราะว่าทางวัดปากน้ำถือว่าเป็นปรมาจารย์ของหลวงพ่อสดมาอีกคราวหนี่ง หลวงพ่อสดได้ศึกษาวิชาจากหลวงปู่สุ่นมา และหลังจากนั้นก็มาปฏิบัติจนกระทั่งได้วิชาธรรมกายได้ เขาถือว่าเป็นวัดครูบาอาจารย์ เขาไปบูรณะให้ ส่วนวัดอื่น ๆ ที่ไปดู ก็ทรุดโทรมดูไม่ได้เลย ไม่ว่าจะของหลวงพ่อสังข์ วัดน้ำเต้า หรือกระทั่งวัดบางนมโคเอง และที่แน่ ๆ ของหลวงพ่อเนียม วัดน้อย ถ้าพระครูองอาจท่านไม่ไปทำให้ก็โทรมเหมือนกัน
      ถาม :  ผมเคยเจอหลวงปู่บุดดา ท่านเล่าทองขนาดนี้ ๆ ตั้งเยอะแยะ อยู่ในกรมทหารอันดับแรก หลวงพ่อองค์หนึ่งที่กงไกรลาศ วัดศรีชุมใต้ฐานของพระประธานวัดศรีชุมมีแต่ทองเต็มไปหมดเลย แสดงว่าสุโขทัยนี่มีทองมาก
      ตอบ :  ที่ไหน ๆ ก็มี เพระว่าโบราณส่วนใหญ่เขานิยมเก็บทองมากกว่า พอถึงเวลาศึกเสือเหนือใต้มาก็ฝังเอาไว้ ที่ฝังเอาไว้ก็ต้องฝังในจุดที่จำได้ง่าย เลยมีการประเภทฝากพระประธานไว้บ้าง อยู่ในจุดที่ค้นหาได้ง่ายบ้าง ผูกเป็นปริศนาบ้าง พอตัวเองตายไปเลยไม่มีใครรู้เลย
      ถาม :  .................................
      ตอบ :  เรื่องสร้างเมรุนี่ก็แปลกนะ "โยมโต๋ว" แฟนป้ากิมกี่ที่วัดนั่นน่ะ ความคิดแกยอดจริง ๆ แกสร้างเมรุลอยถอดประกอบได้ ถึงเวลาใคจะยืมก็ถอดเป็นชิ้น ๆ ไปตั้งที่ไหนก็ได้ พอโยมโต้วสร้างเสร็จก็เผาตัวเองเป็นคนแรก แปลกจริง ๆ หลวงปู่ท่านก็อาจจะแบบเดียวกัน ตั้งร้อยกว่าแล้วไม่ใช่หรือ ? ในเมื่อร้อยกว่าแล้ว เกิดสร้างเสร็จขึ้นมาหลวงปู่ไปเลย ๑๒๗ ใช่ไหม ? เอ๊ะ...! หลวงปู่ละไมร้อยเท่าไรจำไม่ได้ วันก่อนเพิ่งจะเจอกัน ไปหล่อพระมาด้วยกันที่หนองคาย อะไร ๆ ท่านให้เราจัดการเสียหมด ท่านแค่เป็นประธานจับสายหล่อพระเท่านั้นเอง (หัวเราะ) ความจริงท่านแข็งแรงออกอย่างนั้น เดินเหินเหมือนกับคนหนุ่ม ๆ เลย แต่ว่าสังเกตได้อย่างว่าท่านสูง ถ้าหากว่าอ้วนสักหน่อย โอ้โฮ...ใหญ่โต
      ถาม :  .............................
      ตอบ :  พระพุทธเจ้าของเราท่านเป็นพระวิชชาสามนะจ๊ะ ในพุทธประวัติบอวก่า "ปฐมยามบรรลุ "ปุพเพนิวาสนุสติญาณ" ระลึกชาติย้อนหลังได้ไม่จำกัด ยามที่สองบรรลุ "จุตูปปาตญาณ" รู้ว่าคนและสัตว์ก่อนเกิดมาจากไหน ตายแล้วจะไปไหน ยามสุดท้ายท่านบรรลุ "อาสวักขยญาณ" ทำจิตให้ผ่องใสหมดสิ้นจากกิเลสได้ บอกเอาไว้ชัดอย่างนี้ แล้วไม่ใช่วิชชาสามหรือ เพราะฉะนั้น...คุณจะไปเข้าใจว่าผู้ที่ลาพุทธภูมิแล้ว จะเป็นปฏิสัมภิทาญาณเสมอไปก็ไม่แน่นะ
      ถาม :  .........................
      ตอบ :  หลวงพ่อเคยตอบ ท่านบอกว่า "วิชชาสามของช้าง มากกว่าปฏิสัมภิทาญาณของมดอยู่แล้ว" ถ้าสาวกก็เหมือนอย่างกับมดแดงแรงน้อย จะเปรียบอะไรกับช้างได้ (หัวเราะ) อีกองค์หนี่งก็พระอนุรุทธ พระอนุรุทธเป็นพระวิชชาสาม แต่ว่าทิพจักขุญาณของท่านเหนือกว่าอัครสาวกอีกนะ ไม่ใช่ปกติสาวกทั่วไป อัครสาวกอย่างพระโมคคัลลานะ พระสารีบุตรยังสู้ท่านไม่ได้เลย เพราะของท่านทำมาทางด้านนั้นโดยตรง