ถาม:  การจะคืนของเดิม ควรจะทำอย่างไรครับ ?
      ตอบ :  ก็บอกแล้วเอาศีลเป็นฐาน แล้วก็เร่งสมาธิของเรา โดยเฉพาะเมื่อได้แล้วให้รักษาอารมณ์ให้ต่อเนื่องไว้ มีการจับภาพพระหรือภาพพระนิพพานเป็นปกติ
      ถาม :  ช่วงหลังนี้ศีลแหว่งไปตลอดเลยครับ ?
      ตอบ :  แน่นอนอยู่แล้วแหละ ถ้าหากว่าเราไปปล่อยทิ้งเมื่อไร กระแสโลกจะครอบเราเต็มที่ คราวนี้ก็ไม่ยากหรอกก็บอกกับเขาก็ได้ บอกกับเพื่อนฝูงก็ได้ว่าตั้งแต่นี้เป็นต้นไปไม่เอาแล้วนะ หรือไม่ก็ประเภทที่เรียกว่าพยายาม ละ ลดมันลงไปเรื่อย ๆ
      ถาม :  ช่วงที่แจ่มชัดนี่ไม่แตะเลย เป็นปี ๆ เลยครับ ?
      ตอบ :  เอาให้ได้อย่างนั้น เรื่องของความดีเรารู้แล้วเป็นอย่างไร ก็ไม่จำเป็นต้องไปเกรงใจความชั่ว รู้จักคำว่าปริวาสไหม ? พระติดคุก ปริวาส การอยู่จำกัดเขต จะเป็นพระที่ทำศีลข้อใหญ่ขาด ศีลจะมีข้อใหญ่สุด ๆ ๔ ข้อ เรียกว่า ปาราชิก ใครโดนขาดความเป็นพระไปเลย รองลงมาเรียกว่าสังฆาทิเสส คืออาบัติที่ขึ้นต้นด้วยสงฆ์ลงท้ายด้วยสงฆ์ หมายความว่าต้องมาสารภาพท่ามกลางสงฆ์ พอชดเชยความผิดเสร็จแล้วให้สงฆ์ ๒๐ รูปสวดคืนความเป็นพระให้ ในระหว่างนั้นขาดความเป็นพระชั่วคราว มีอยู่ ๑๓ ข้อ พระที่โดนอาบัติสังฆาทิเสสจะโดนลงโทษจำกัดเขตอยู่ เรียกว่าอยู่ปริวาส คราวนี้การลงโทษาจำกัดเขตต ถ้าโดนอาบัติอย่างเช่น ภิกษุจับต้องกายหญิงด้วยจิตกำหนัดต้องอาบัติสังฆาทิเสส เกิดไปจับเข้าโดยจิตคิดระหว่างเพศจริง ๆ ใช่ไหม ก็เท่ากับโดนอาบัติข้อนี้ ขาดความเป็นพระชั่วคราว ก็ต้องสารภาพในท่ามกลางสงฆ์ โดนแล้วสารภาพเลยปรับ ๖ วัน ๖ คืน พออยู่ครบแล้วก็ออกมาขอให้สงฆ์อย่างน้อย ๒๐ รูป สวดคืนความเป็นพระให้ถึงกลับเป็นพระอีกทีหนึ่ง ถ้าหากว่าปิดไว้นานเท่าไร ต้องโดนเท่านั้น บวกอีก ๖ วัน ๖ คืน ปิดไว้ ๓ เดือน ก็โดน ๓ เดือน กับ ๖ วัน ๖ คืน ปิดไว้ ๑ ปี ก็โดน ๑ ปี กับ ๖ วัน ๖ คืน และที่สำคัญที่สุดถ้าอ้างว่าจำไม่ได้ เขาปรับตั้งแต่วันแรกที่บวชจนถึงวันนั้น ถ้าอย่างอาตมาสารภาพตอนนี้ก็โดนไป ๑๗ ปีกว่า ๆ เกือบ ๑๘ ปี คราวนี้ท่านไปเพื่อศึกษารูปแบบเขาก็ได้ แต่ละวันที่เขามีการเก็บมานับรัตติเฉทกันต้องไปสารภาพว่า ข้าพเจ้าโดนอาบัติสังฆาทิเสสข้อไหน ณ บัดนี้เก็บไปได้กี่วันกี่คืนแล้ว ไม่อย่างนั้นจะไปร่วมกิน ร่วมนอน ร่วมสังฆกรรมกับคนอื่นเขาไม่ได้ ก็เลยกลายเป็นว่าถ้าเราไม่โดนจริง ๆ แล้วไปอยู่ปริวาสก็คือโกหกเขาอยู่ทุกวัน หลวงพ่อท่านถึงไม่ชอบให้ลูกศิษย์ของท่านไปอยู่ปริวาส แต่ถ้าเราไปดูเพื่อศึกษารูปแบบได้
              ถ้าสมมติต่อไปในกาลข้างหน้าเป็นครูบาอาจารย์เขา ลูกศิษย์โดนอาบัติจะได้แก้ไขให้ลูกศิษย์ได้ แต่ของท่านสันต์นี่เขาไม่มั่นใจเพราะว่าใหม่ ๆ บวชเข้าไปศีลพระไม่ครบ อดีตภรรยาโทรมาก็ประเภท สวัสดีจ้ะ เหมือนอย่างกับเกี้ยวผู้หญิง ข้อต่อไปก็คือภิกษุเกี้ยวหญิงด้วยจิตกำหนัดต้องสังฆาทิเสส โดนอีก ท่านไม่มั่นใจก็เลยไปอยู่ปริวาส
              คราวนี้ปริวาสที่ไปอยู่ปัจจุบันนี้จะเละเสียเกิน ๙๐ เปอร์เซ็นต์ เป็นการจัดเพื่อหาเงิน จัดเพื่อเอาชื่อเสียงกัน แต่ว่ามีอยู่หลายวัดที่จัดเพื่อสงเคราะห์ เพื่อสหธรรมิกที่โดนอาบัติจริง ๆ วัดเหล่านี้จะโหดมาก ทำตามระเบียบทุกอย่าง ทุกอย่างที่ท่านสันต์โดนอยู่นี่ คุยกันไม่ได้เลย คุยกันเมื่อไหร่คุณไปเดินจงกรมรอบวัด ๒๐ รอบ โอ้โห! รอบวัดนะ ไม่ใช่รอบโบสถ์ รอบตัวอาคาร ถ้าวัดพื้นที่เป็นร้อยไร่ก็ตายพอดี คุยกันไม่ได้ตั้งแต่ตื่นนอนตีสาม ต้องสวดมนต์ทำวัตร ภาวนา พอได้อรุณก็บิณฑบาต แล้วก็เดินจงกรมภาวนาต่อ สิบโมงครึ่งแล้วค่อยฉันวันละมื้อเดียว หลังสิบโมงครึ่งพอฉันเสร็จเรียบร้อยแล้วก็เข้าที่ ภาวนาเดินจงกรม ไม่มีคำว่านอนจนกว่าจะทำวัตรเย็นนตอนสี่ทุ่มเสร็จ
      ถาม :  วัดท่าซุง....(ไม่ชัด).............. ?
      ตอบ :  ไม่ใช่ เขตนั้นจริง ๆ เป็นเขตธุดงค์ ที่วัดท่าซุงยังไม่เคยจัดปริวาส เพราะหลวงพ่อไม่ได้สนับสนุนตั้งแต่แรก แต่ว่าพระลูกศิษย์ส่วนใหญ่ก็พูดไปเรื่อยแหละ ไปดูงานที่วัดโน้นวัดนี้ ระยะหลังปริวาสนี่เป็นการปั่นเพื่อสร้างราคาให้ญาติโยมสนใจที่จะทำบุญ ก็เลยเป็นลักษณะที่เรียกว่าโฆษณาจนคนเข้าใจผิดไป ถ้าทำบุญกับพระอยู่ปริวาสจะได้บุญมาก จะไปได้มากอะไรกับแมวล่ะ พระศีลขาดไปแล้ว ศีลไม่ครบไม่ใช่พระแล้วด้วย แล้วบอกว่าได้บุญมาก ชาวบ้านก็ไม่รู้ไปทำบุญกันยกใหญ่ ถึงเวลาจองซุ้มกันอุตลุด ซุ้มนี้พระของฉัน ฉันส่งข้าวส่งน้ำเอง แย่งกันแทบจะตีกันตาย แล้วอีกประเภทที่เรียกว่าจัดเพื่อผลประโยชน์แอบแฝงก็มีตั้งใจจะขายของ พวกอัฐบริขารพระบ้าง เทปบ้าง หนังสือบ้างก็มี ตั้งใจที่จะจัดเพื่อหาคู่ก็มี เหลือเชื่อไหม
              มีอยู่วัดหนึ่งที่สุโขทัยโดนทางมหาเถรสมาคมสั่งปิด ห้ามจัดปริวาสโดยเด็ดขาดเพราะที่นั่นถึงเวลาแล้วบรรดาสาว ๆ สาวแก่ แม่หม้าย จะไปจองซุ้ม ถึงเวลาพระรูปนี้ของฉัน พระรูปนี้ของเธอ ถึงเวลาก็ส่งข้าวส่งน้ำกัน ระหว่างนั้นก็ไม่รู้พูดคุยอะไรกัน ถ้าหากว่าตกลงกันได้ วันออกปริวาสพระก็สึก เพื่อพระก็ผูกข้อมือชยันโตให้เลย ง่ายดีไหม อันนั้นโดนอาบัติซ้อนอาบัติเข้าไปอีกเพราะว่าไปตกปากรับคำจะแต่ง แสดงว่าต้องพูดจาเกี้ยวหญิงอยู่แล้วใช่ไหม โดนอีกแทนที่จะหลุดก็กลายเป็นอาบัติหนักเพิ่มไปอีก เขาเรียกว่า ปุนัปปุนังโดนแล้วโดนอีก คราวนี้ทำอย่างนั้นก็เลยทำให้เสียมาก พอทำให้เสียมากทางมหาเถรสมาคมทราบข่าวก็สั่งปิดไปเลย ในปัจจุบันก็ยังมีอีกมาในลักษณะเป็นนักบวชต้องไปปริวาสวัดโน้นวัดนั้น ไปเรื่อยเปื่อยจนกว่าจะเข้าพรรษาถึงจะกลับวัด เขาเรียกว่า ล่าปริวาส คำว่าล่าปริวาสนี่ไปเพื่อประโยชน์โดยตรง เพราะว่าหลายวัดเวลาไปเขาก็ถวายค่ารถกลับ หลายวัดถึงแม้ไม่มีค่ารถกลับก็มีหนังสือที่ระลึก มีย่าม มีกระเป๋าให้ หลายวัดที่มีชื่อเสียงญาติโยมชอบไปทำบุญ ตอนบิณฑบาตก็ใส่เงินเยอะ การไปเพื่อเรื่องอย่างนี้โดยเฉพาะ ก็เลยกลายเป็นเรื่องสนุกสนานหานรกใส่ตัวมากขึ้นเรื่อย ๆ แต่ถ้าหากเจอวัดอย่างเช่น วัดหนองตากยาหรือวัดชากพง ที่จังหวัดระยอง หรือวัดชากสมอนั่นแหละ วัดเหล่านี้จะเข้มงวดมาก คุณไม่มีสิทธิ์พูดเลย ไปก็ติดคุกดี ๆ นี่เอง คุยกับเพื่อนพระให้ได้ยินแม้แต่คำเดียว ซวยเลย บางวัดไปจัดกันเป็นกลุ่มส่องพระองค์นี้อย่างนั้น องค์นี้อย่างนี้ วัดนี้ใครส่องเมื่อไรโดนเมื่อนั้น เพราะถ้าเจอวัดที่เข้มงวดอย่างนั้นท่านทำเพื่อสงเคราะห์ เพื่อสหธรรมิกจริง ๆ เดี๋ยวอาจารย์สมพงษ์ต้องกลายเป็นคนละคนเลย อ้วน ๆ นี่กกลายเป็นผอมกระหร่อง เจอฉันวันละมื้อเดียว แถมห้ามนอนจนกว่าจะสี่ทุ่ม
      ถาม :  .........(ไม่ชัด)................. ?
      ตอบ :  อันนั้นไม่เป็นไร แต่ถ้าหากว่าเขาเรียกว่าอาจารย์กรรม คือพระพี่เลี้ยงเจอเข้าก็โดนลงโทษเหมือนกัน อาจจะต้องขัดส้วมสัก ๒๐ ห้อง วัดที่ท่านเข้มงวดท่านลงโทษจริง ๆ แล้วบางทีพระไปอยู่ปริวาสทีละ ๔๐๐-๕๐๐ รูป คิดดูว่าโต๊ะกินข้าวต้องใช้กี่ตัว นั่นแหละคุณไปจัดโต๊ะเสีย ๓ วัน อย่างนี้โดนเข้าไปกี่ทีก็เข็ด ปริวาสอย่างไม่มี ๆ นี่พระต้องเป็น ๑๐๐ รูป ที่ไปเพื่อจะแก้ตัวเองก็มี ที่ไปเพื่อศึกษารูปแบบก็มี ที่ไปปฏิบัติเพื่อไปฟื้นกำลังตัวเองอย่างอาจารย์สมพงษ์ก็มี แล้วที่ไปเพื่อประโยชน์อย่างที่เล่ามาก็มี รายการสุดท้ายนี่เยอะที่สุด ๘๙ เปอร์เซ็นต์ ศีลพระ ๒๒๗ ข้อ ข้อที่แบ่งออกเป็นอาบัติคือ การทำให้ศีลขาดมีอยู่ ๗-๘ อย่างด้วยกัน มีปาราชิก ขาดความเป็นพระ ๔ ข้อ สังฆาทิเสส ขาดความเป็นพระชั่วคราว ๑๓ ข้อ รวมแล้ว ๑๗ ข้อนี้อย่าโดนเลย โดนแล้วแก้ไม่ได้กับโดนแล้วแก้ได้ยาก หลังจากนั้นจะมีอาบัติรองลงไปอย่างปาราชิก ฆ่ามนุษย์ให้ตายต้องปาราชิก ถ้าไม่ตายท่านปรับถุลลัจจัย ถุลลัจจัยนี้เป็นอาบัติรอง แสดงคืนได้ คือประจานตัวเองท่ามกลางหมู่สงฆ์แล้วก็จะไปปาจิตตีย์ ปาจิตตีย์ก็คือจิตเป็นบาป จิตชั่ว จะมีผลทั้งหมด ๙๒ สิกขาบท แล้วนิสสัคคิยปาจิตตีย์ ๓๐ รวมแล้ว ๑๒๒ สิกขาบท แล้วก็จะไปปาฏิเทสนียะมี ๔ ข้อ ปาฏิเทสนียะนี่ส่วนใหญ่เป็นเรื่องผู้หญิงยุ่งกับพระ ถ้าหากว่าประเภททำเมื่อไรโดนเมื่อนั้น ไม่ปรับผู้หญิงแต่ปรับพระ เพราะว่าพระไม่ไปห้ามปรามเขา
              ส่วนใหญ่สมัยนั้นเป็นพระภิกษุณี แล้วก็ไปทุกกฏก็คือความชั่วต่ำทราม อะไรอย่างนี้ ทุกกฏนี่ส่วนใหญ่จะเป็นในลักษณะของเสขิยวัตร คือระเบียบปฏิบัติของพระ และก็พวกอภิสมาจาร ศีลที่มานอกปาฏิโมกข์ และก็ทุพภาษิต ทุพภาษิต แปลว่าวาจาชั่ว พระประเภทปากไม่ดี พูดคำหยาบ พูดส่อเสียด พูดโกหก อะไรพวกนี้ ฟังดูแล้วกลุ้มไหม ศีลพระเยอะเหลือเกิน จำอะไรกันไหว จริง ๆ ศีลอยู่ที่ใจ ถ้ารักษาใจได้ สติ สมาธิ สมบูรณ์พร้อม ขยับตัวก็รู้แล้วว่าศีลจะขาดหรือไม่ขาด รักษาใจอย่างเดียวก็พอ ตั้งแต่บวชจนป่านนี้ยังไม่เคยเข้าไปปริวาสเลย ยกเว้นว่าไปแล้วตรงกับงานวัดเขา เราก็ไม่เข้าไปในเขตนั้น พระที่มีศีลบริสุทธิ์เข้าไปในเขตปริวาส พระที่อยู่ในเขตปริวาสจะต้องมาสารภาพผิด กระผมชื่อนั้น ฉายานั้น บวชมากี่พรรษา โดนอาบัติสังฆาทิเสสข้อไหน ขณะนี้ได้ทำคืนไปแล้วกี่วันกี่คืน เหลืออีกกี่วันกี่คืน ให้เราเข้าไปแล้วเจอสัก ๑๐ รูป ก็แย่แล้ว สมัยหลัง ๆ เขาเลยใช้วิธีกั้นเขตผูกเชือก ติดป้ายประกาศไว้เลย เขตปริวาสห้ามภิกษุอื่นเข้าไป ท่านที่บกพร่องท่านต้องมาสารภาพ เป็นการบังคับให้ประจานตัวเองจะได้เข็ด
              เรื่องของการปฏิบัติสำคัญตรงเอาจริง ทำจริงจังและสม่ำเสมอ ต้องให้ดูคติประจำใจของเสด็จในกรมหลวงชุมพร ท่านว่า กยิราเจ กยิราเถนํ ทำอะไร ทำให้จริง พระพุทธเจ้าท่านก็บอกไว้ว่า ยถา วาที ตถา การี พูดอะไร ให้ทำอย่างนั้น ถ้าเราทำอย่างที่เราพูดได้ทุกอย่างคำพูดจะศักดิ์สิทธิ์ ไม่ใช่ประเภทสั่งลูกศิษย์ให้ทำอย่างนั้น ทำอย่างนี้ แต่อาจารย์ไม่ทำ เอ็งต้องทำอย่างนั้น ต้องรักษาศีลให้ได้ แต่ของอาจารย์ศีลขาดสะบั้นก็บรรลัยสิ ท่านถึงได้บอก ยถา วาที ตถา การี พูดอะไร ให้ทำอย่างนั้น
      ถาม :  ...........(ไม่ชัด).............. ?
      ตอบ :  ทำไปเถอะ โยมคิดว่าอาตมาเชื่อนักหรือ ตามพิสูจน์หลวงพ่ออยู่ ๑๑ ปีเต็ม ๆ ถึงยอมให้บวช บวชแล้ว ๓-๔ พรรษากว่าจะเชื่อหลวงพ่อจนหมดหัวใจได้ แต่ว่าปัจจุบันนี้เชื่อหลวงพ่อในลักษณะที่ว่า หลวงพ่อบอกอะไร อยมทำตามนั้นโดยไม่ลังเล แต่ขอเวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าสิ่งที่ทำจะเป็นไปตามที่ท่านพูดไหม ฟังดูแปลก ๆ ไหม แล้วคิดดูว่าคนเชื่อยากขนาดนี้ ตอนนี้เชื่อแล้ว แต่เชื่อแล้วก็ยังรอพิสูจน์อยู่ เชื่อถึงขนาดว่า มีอยู่วันหนี่งเดินจงกรมอยู่บนหลังคาอาคารรับแขกใหม่ เป็นอาคาร ๓ ชั้น แล้วมีดาดฟ้า ข้างบนนั้นมันสบายดี ถ้าหากว่าหลวงพี่บัญชา ตอนนั้นท่านยังไม่สึก ไม่ปล่อยหมาขึ้นไปนี่มันเงียบสนิทเลย เราก็ไปเดินจงกรมอยู่บนนั้น เดินไปเดินมาเหนื่อยก็หยุดพัก มองไปข้างล่าง เฮ้ย! มันสูง แล้วความรู้สึกบอกนี่ถ้าหากวพ่อสั่งให้เอ็งกระโดดลงไป เอ็งจะกระโดดไหม ใจมันตอบเดี๋ยวนั้นเลยว่ากระโดด ไม่มีการลังเลเลย ถามว่ากระโดดทำไม ? ถ้าหลวงพ่อสั่งต้องมีเหตุผล อย่างไรพ่อก็ไม่ฆ่าลูกอยู่แล้ว ท่านต้องมีเหตุผลของท่าน ท่านถึงสั่ง ถ้าท่านสั่งเราจะกระโดด แล้วความรู้สึกต่อไปว่า แล้วถ้าสั่งยิ่งกว่านั้นล่ะ ก็ตอบตัวเองว่าต่อให้ท่านชี้ไปข้างหน้าแล้วเห็นไฟนรกลุกท่วมฟ้าอยู่ แต่ท่านบอกว่าทางนิพพานให้ไปทางนั้นนะลูก ก็จะลุยไป ถามว่าอย่างนี้เชื่อไหม ? เชื่อ แต่ขอเวลาพิสูจน์คือบุกผ่านไปก่อนว่ามีนิพพานอยู่ตรงนั้นจริงไหม ? กำลังใจอย่างนี้มันบวม ๆ ไหม มันฟังเหมือนอย่างกับเชื่อใช่ไหม เชื่อจริง ๆ เชื่อหมดหัวใจเลย แต่เชื่อในลักษณะขอพิสูจน์ แต่ว่า ๑๑ ปีที่ผ่านมานั้นไม่เชื่อ พยายามจะจับผิดให้ได้ บางทีก็นั่งคุยกับลูกศิษย์ หัวเราะ ๆ นี่ผมจับผิดครูบาอาจารย์ ผมจับผิดพระพุทธเจ้ามารวมระยะเวลาแล้ว ๒๙ ปีนี้เข้าไปแล้ว ผมยังจับผิดท่านไม่ได้เลย คือเราตั้งใจจะดูว่าสิ่งที่หลวงพ่อสอนมีอะไรบกพร่องบ้างในเรื่องของธรรมะ สิ่งที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้เทศน์ไว้ในพระไตรปิฎกมีอะไรผิดพลาดบ้าง ไม่ต้องเสียเวลาเลยคุณ อาตมาพิสูจน์ตั้งแต่ต้นจนถึงบัดนี้ปีที่ ๒๙ ยังไม่เจอที่ผิดเลย ไม่รู้เหมือนกันว่าต่อไปจะเจอไหม บอกได้คำเดียวว่าฝันไปเถอะ
              เพราะฉะนั้นที่ท่านว่ามานี่ถ้าเป็นเรื่องของธรรมะมั่นใจได้เลย คุณเองคุณทำมโนมยิทธิตอนแรก คุณก็ไม่เชื่อเลยว่าจะเป็นไปได้ใช่ไหม ? แต่ตอนนี้คุณเชื่อมั่นแล้ว ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ว่าเป็นไปได้แน่ ถึงขนาดต้องตัดทิ้งไปเพราะยิ่งรู้มากก็ยิ่งลำบาก ตอนนี้เรามาขอความรู้ของเราคืน แล้วฟื้นกำลังขึ้นมา ฟื้นขึ้นมาแล้วก็ทดสอบเอง ได้แน่นอน คนเคยได้แล้วไม่ยากหรอก เพียงแต่ว่าต้องต้านกระแสหน่อยหนึ่ง เพราะว่าเราคล้อยตามกระแสโลกมากเกินไป ตอนนี้เหนื่อยหน่อยแต่ได้แน่นอน คือต้องทวนกระแสเป็นปกติอยู่แล้ว พวกปฏิบัติพูดง่าย ๆ ว่าถ้าคนรอบข้างยังไม่ว่าเราบ้ายังเอาดีได้ยาก คนรอบข้างชมว่าเราบ้าเมื่อไรก็แปลว่าเริ่มจะเอาดีได้แล้ว ความบ้าในความรู้สึกของเราต้องบ้าให้ได้ ถ้าเขาไม่ชมว่าบ้านี่ไม่ไหวหรอก คราวนี้ถ้าจะเอาจริง ๆ ยกกำลัง ๔ กำลัง ๕ ไปเลย บ้าเท่าเดิมไม่ได้แล้ว บ้าเท่าเดิมกิเลสมันรู้ทันแล้ว มันกันแล้ว เราต้องบ้าให้หนักกว่าเดิม
      ถาม :  อภิญญาเป็นของไม่ยากใช่ไหมครับ ?
      ตอบ :  ไม่ยาก ทำให้พอดีแล้วจะได้ ทำเกินไม่ได้หรอก อาตมาทำเกินอยู่ตั้งหลายปี ปฐมฌานอย่างเดียวปล้ำอยู่ ๓ ปี อันนี้ทำเกิน
      ถาม :  กองเดิม กองไหนที่เราชินและรู้สึกชอบครับ ?
      ตอบ :  พูดง่าย ๆ ว่าชอบกองไหนมากที่สุดก็ลุยกองนั้นไปเลย หลังจากนั้นค่อยขยับไปกองอื่น เมื่อขยับไปกองอื่นแล้วก็ทวนของเดิมให้แน่นเต็มที่ก่อนแล้วก็ขยับไป ถ้าได้ ๒ กอง ทวน ๒ กองก่อนแล้วค่อยขึ้นกอง ๓ ทวนไปอย่างนี้เรื่อย ๆ ทุกวันมันไม่ไปไหนหรอก ได้มโนแจ่มใสถึงขนาดรู้ได้ทุกเรื่อง รู้ได้ทุกเวลา คนรอบข้างคิดอะไรรู้ แต่มารมันเก่งขนาดไหน เลาะตาตุ่มเสียร่วงเลย ทำให้ตัวเองรู้สึกว่าเข้าสังคมกับคนอื่นได้ยาก ไปอธิษฐานตัดทิ้งเสีย พอตัดทิ้งไม่ปฏิบัติก็เรียบร้อย กำลังของกิเลสก็ท่วมหัวเลย คราวนี้เห็นไหมว่ามารมันเก่งแค่ไหน ทุกอย่างรอบข้างของเราไม่ว่าจะคน สัตว์ วัตถุธาตุ สิ่งของ คนที่เรารักที่สุดด้วย มันสามารถใช้เป็นเครื่องมือเล่นเราได้หมด ถ้าขาดสติสัมปชัญญะเมื่อไร เสร็จมันเมื่อนั้น
      ถาม :  .........(ไม่ชัด)........ ?
      ตอบ :  ถ้าทำอย่างนั้น ชอบใจลูกศิษย์หลวงปู่จ้อย อยู่นครปฐม สมัยผมเด็ก ๆ ที่พระปฐมเจดีย์เวลามีงานเขาให้นักโทษปีนไปประดับไฟ ถ้าคนไหนปีนไปประดับไฟพระปฐมเจดีย์ลงมาเขาลดโทษให้ หลวงปู่จ้อยท่านกินสาโทเป็นปกติ ไปไหนก็แบกไปเป็นไห ถึงเวลาโดนสังฆการีไปสอบสวน ปรากฏว่าไม่ใช่สาโท ท่านเทมาเป็นน้ำชา เลี้ยงเขาเสียดิบดี พอกินเสร็จแล้วถามว่า พระคุณท่านมามีธุระอะไรครับ ? บอกว่ามาตามอธิกรณ์ที่เขาแจ้งไปว่าท่านดื่มสุราอยู่ทุกวัน แล้วถามว่าโทษขนาดไหนครับ ? เขาบอกว่าถ้าท่านทำโดนจับสึกแน่นอน หลวงปู่จ้อยบอกว่าถ้าจับผมสึก ๒ ท่านก็ต้องสึกด้วย ถามว่าทำไม ? ท่านก็เพิ่งฉันสุราลงไป พอยกแก้วขึ้นมาดมกลิ่นสุรามันคลุ้งเลย เมื่อกี้ที่ดื่มแน่นอนเลยว่าน้ำชา พระทั้ง ๒ รูปก็เลยกราบลาก้นโด่งแล้วไปเลย รู้แล้วว่าหลวงปู่จ้อยท่านเป็นพระอภิญญา ท่านต้องการปิดจริยาตัวเอง ไม่ให้คนรู้จะได้ไม่ไปกวนท่าน ที่เห็นท่านแบกไหสาโทท่านจะนึกให้เป็นน้ำเปล่าเมื่อไรก็เป็นได้เมื่อนั้น ถึงเวลาก็ดื่มลงไปชาวบ้านคิดว่าท่านดื่มเหล้า เสร็จแล้วมีลูกศิษย์คนหนึ่งตื๊อให้ท่านสอนวิชาอย่างนี้ให้ ท่านรำคาญจึงหนีขึ้นไปบนพระปฐมเจดีย์ ตรงนั้นจะเป็นลานกว้าง เราอยู่ข้างล่างเห็นเป็นตรงนั้นนิดเดียว แต่จริง ๆ แล้วตั้งวงตะกร้อได้สบายเลยใหญ่ขนาดนั้น
              พระปฐมเจดีย์ด้านข้างจะเป็นบันไดเล็ก ๆ ขึ้นไปจนถึงคอระฆัง ลูกศิษย์คนนั้นก็ปีนตามขึ้นไป เป็นตายก็ต้องขอเรียนวิชาให้ได้ หลวงปู่จ้อยบอกว่าถ้ามึงจะขอเรียนวิชากับกู มึงต้องใจกล้าพอ เขาบอกกล้าแบบไหนครับ ? มึงกระโดดลงไปสิ เขาก็กระโดดลงไปเลย โอ้โห! เป็นเราฝ่อตายเลย มองลงไปนี่คนตัวเท่ามด เขากระโดดลงไปนั่งจุ้มปุ๊กอยู่ข้างล่างไม่เห็นเป็นอะไร อันนั้นถ้าหลวงปู่ท่านไม่ช่วยกระดูกออกนอกเนื้อเกิดเป็นเต่าไปเลย ท่านก็เลยต้องสอนให้ ดูเอาก็แล้วกันว่าคนที่เขาไม่มีวิจิกิจฉาในครูบาอาจารย์นั้นเขาทำกันอย่างไร ตอนนั้นความรู้สึกมันเหลือเกินจริง ๆ รักหวงผ้าเหลืองมาก ประเภทหลวงพ่อสั่งให้เป็นก็เป็น สั่งให้ตายก็ตาย พร้อมที่จะทำทุกอย่าง และที่รักที่หวงผ้าเหลืองมากเพราะว่าพรรษานั้นพระอาวุโสท่านสึกไปหลายรูป หลวงตาสวัสดิ์ พระมหาแสวง หลวงพี่ชัยศรี หลวงพี่พรสรรค์ หลวงพี่เกรียงไกร สึกกันไปเป็นแถบ โดยเฉพาะหลวงพี่ชัยศรีนี่ทำเอาขวัญเสียไปเยอะเลย เพราะว่าใคร ๆ ก็หมายมั่นปั้นมือว่าท่านจะเป็นองค์แทนหลวงพ่อ ปัจจุบันนี้ไม่ทราบว่าท่านยังทำหน้าที่อาจารย์ใหญ่ โรงเรียนสุธรรมยานเถระวทิยาอยู่หรือเปล่าก็ไม่รู้ ได้ยินว่าเข้าไปทำหน้าที่อยู่พักหนึ่ง ขนาดนั้นท่านยังสึก เราเองกลางคืนนอนกอดจีวร หวงมาก ใครอย่ามาดึงของกูไปเชียวนะ คือตอนนั้นสึกพระนี่เขาจะดึงสังฆาฏิออก ใครอย่ามาเอาไปเชียวนะ กำลังใจตอนนั้นยึดมาก เหตุที่มั่นใจขนาดนั้นเพราะว่า หลวงพ่อขนมจีนท่านสงเคราะห์ให้รู้เรื่องอารมณ์พระอริยเจ้า พอท่านสงเคราะห์ให้รู้แล้วก็มั่นใจว่าถ้าทำจริงต้องได้แน่ แล้วหลวงพ่อขนมจีนก็เป็นเรื่องที่หลวงพ่อท่านบอกเราเอง และเราเองก็บังเอิญมีบุญได้ไปพบท่านเข้า ในเมื่อหลวงพ่อท่านสามารถบอกเราได้ ให้รู้ว่าหลวงพ่อขนมจีนเป็นอะไร คนที่รู้ว่าคนอื่นเป็นอะไร ตัวเองต้องเป็นอย่างนั้นได้ก่อน เราก็ยิ่งมั่นใจครูบาอาจารย์ของเราเข้าไปใหญ่ จากวันนั้นจนถึงวันนี้ไม่เคยลังเลสังสัยเลย ท่านให้ทำอะไรลุยอย่างเดียว หนีไปนอนที่ป่าหลังจากงาน ๑๐๐ วันหลวงพ่อเรียบร้อยแล้ว นอนได้ ๒ วัน วันที่สามพอดีทุกทีเลย ตั้งใจหนีทีไร หนีได้แค่ ๒ วัน ไม่เคยได้เกินเลย งวดนี้ก็เหมือนกันที่ตั้งใจหนีเผ่นไปได้ ๒ วัน วันที่สามก็โดนให้ไปทองผาภูมิเลย วันที่สามท่านก็มาสั่งงาน กะเกณฑ์ให้ทำนั่นทำนี่ ตรงนั้นตรงนี้ เราก็ไปประเภทที่ว่าปักหลักขึงเชือก ตรงนี้ศาลา ตรงนี้กุฏิ ตรงนี้ห้องน้ำ อะไรให้ยุ่งไปหมด อย่างกับเด็กเล่นขายของ พื้นที่เปล่า ๆ ปักหลักขึงเชือกกัน ยังนั่งหัวเราะตัวเองจนถึงวันนี้เลยดูเหมือนเด็กเล่นจริง ๆ แต่ทำท่าไหนไม่รู้ปีเดียวก็เสร็จหมด
              ระหว่างที่ทำตอนนั้นท่านแสงชัยที่เป็นน้องชาย ตอนนี้บวชเป็นพระแล้ว ตอนนั้นท่านยังไม่ได้บวช ท่านก็พยายามเตือน หลวงพี่ครับระวังอุปาทานนะครับ ถ้าอุปาทานเมื่อไรเป็นหนี้หัวโตเลยนะ แต่ของเรานี่เราเจอสภาพย่างนั้น เหตุการณ์อย่างนั้น ในช่วงกำลังใจอย่างนั้น เจอบ่อยจนมั่นใจแล้ว ไมใช่อุปาทาน เพราะฉะนั้นนน้องเตือนก็รับฟังแต่ก็ทำไปเรื่อย งานก็เสร็จอย่างที่ท่านว่าจริง ๆ ท่านบอกว่าต้องทำเมื่อนั้น ต้องทำเมื่อนี้ ถึงเวลาลงมือไปถ้าหากว่าเงินสะดุดลงมาให้ไปหาใคร ให้ไปอย่างไร ไปตามท่านแล้วก็ได้ทุกที ก็ต้องเชื่อ ท่านบอกว่าวันไหนเงินจะมามันก็มาวันนั้น ก็ต้องเชื่อ แล้วก็มานั่งบ่นอยู่นี่ ๑๐ ปี เจอไป ๗ วัด ทารุณเป็นบ้าเลย เรื่องงานของพระศาสนาถือว่าสำคัญ สำคัญตรงที่ว่าถึงเวลาเราที่เป็นเฟืองจักรเล็ก ๆ ในพุทธอาณาจักร ก็จะต้องเคลื่อนไปตามเฟืองใหญ่คือ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วก็เฟืองรอง ๆ ลงมาก็คือครูบาอาจารย์ของเรา ก็ต้องเคลื่อนไปตามนั้น เราขัดไม่ได้ ขัดเมื่อไรหยุดเมื่อไร งานเสีย เพราะฉะนั้นถึงแม้เหนื่อยก็เอาเถอะ ถ้าเหนื่อยแล้วตายไปพระนิพพานได้ก็ถือว่าคุ้ม
              ตอนที่ช่วงอารมณ์ใจมันรับรู้อารมณ์พระอริยเจ้าได้ใหม่ ๆ ตามที่หลวงปู่ขนมจีนท่านสงเคราะห์ให้เรารู้นั้น ตอนนั้นถึงขนาดว่าต่อให้กูลำบากเลือดตากระเด็นไปสัก ๑๒๐ ปี ตายแล้วได้พระโสดาบันก็สุดจะคุ้ม ไม่เอาเยอะหรอกเอาแค่พระโสดาบันยึดหัวหาดให้ได้ก่อน ถ้าขึ้นบกได้จะไปเมื่อไรก็ไปได้ ไม่ใช่ลอยคออยู่ในน้ำ จมน้ำตายเมื่อไรไม่รู้ มักน้อย...เอาแค่พระโสดาบันไว้ก่อน แล้วรู้ไหมว่าที่ปล้ำปฐมฌานอยู่ ๓ ปี นั้น ปล้ำเพราะจะเป็นพระโสดาบัน เห็นเป็นวิธีที่ง่ายที่สุด กำลังของปฐมฌานตัดกิเลสเป็นพระโสดาบันได้ ทำเอาเป็นเอาตายเลย อย่างไรก็ต้องเอาให้ได้ปฐมฌาน กลายเป็นทำเกิน อยากเกินไปก็เลยไม่ได้สักที จริง ๆ แล้วก็ง่ายดีเจอหน้าก็รู้ว่าเขาจะทำอะไร วันก่อนเสียท่าโยมไปหน่อย เผลอ โยมมาถึงไม่ได้ถามว่ากี่คน ก็ส่งของให้เขาไปเลย ความจริงต้องแกล้งถามเสียก่อน บางทีเผลอไปมันก็หลุดเพราะรู้ว่าเขาต้องการแค่นั้น เราก็ให้แค่นั้น แต่จริง ๆ โดยลีลาของพระแล้ว หลวงพ่อท่านย้ำนักย้ำหนา พระพุทธเจ้าตรัสรู้ว่าถึงรู้ก็ทำเป็นไม่รู้ ต้องแกล้งโง่เข้าไว้ มาระยะหลัง ๆ มีเด็ก ๆ อยู่คณะหนึ่งเขาโวยวายอยู่เรื่อย ๆ หลวงพ่ออย่าพูดอะไรที่เป็นไสยศาสตร์ คือเวลาเขาคิดอะไรแล้วเราบอกได้ แต่ว่าเด็กรุ่นนี้เราจำเป็นที่จะต้องดึงกำลังใจเขา ทำให้เขารู้ว่าเรื่องอย่างนี้มีจริง เป็นไปได้จริง ถึงเวลาแล้วประเภทตีก็ไม่ไปไล่ก็ไม่หนี ถ้าถึงตอนนั้นแล้วอย่างไรก็ได้เพราะเขามาเอง แล้วคราวนี้ยังต้องชักจูงเขาให้มาอีก
              เรื่องอะไรก็ตามถ้าต้องการความสำเร็จ บทนี้อย่าลืม สัมปฏิจฉามิ ถ้าต้องการให้เป็นอย่างใจเราใช้บทนี้ ภาวนาไปล่วงหน้าก่อนสักครึ่งชั่วโมง แล้วก็ทำใจให้เป็นกลางหรือให้ใจสงบ นิ่ง ๆ แล้วจะเห็นช่องทางเอง โดยเฉพาะปัญหาที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน ทำใจเฉย ๆ สบาย ๆ ไม่ต้องไปกังวล อย่าไปยินดี อย่าไปยินร้าย มันจะเห็นช่องทางแล้วจะได้คำตอบมาเอง ง่ายจะตาย