อาตมาเองก็อะไรล่ะ จะเรียกว่าไม่สบายมากก็ไม่ได้เพราะว่าเป็นอยู่คนเดียว เป็นอยู่คนเดียวต้องเรียกว่าไม่สบายน้อย ถ้าไม่สบายมากมันต้องเป็นหลายคน ตอนแรกก็ระแวงอยู่ ปรากฏว่าหมอวุฒิลงความเห็นเหมือนกับที่อาตมาระแวงเลย เขาบอกว่าเป็นมะเร็ง แหม...โชคดีได้ยินแทบจะไชโย นาน ๆ จะได้โรคดี ๆ มาซักทีหนึ่งนะ ถ้าเป็นโรคอื่นมันตายช้า เป็นมะเร็วมันตายเร็ว

            ตอนแรก...สาเหตุของการป่วยมันมาจากการไปธุดงค์ในป่าแล้วไม่ทราบว่าไปติดเชื้อไวรัสมาจากไหน แล้วไวรัสตัวนี้มันทำให้เป็นหูด หูดมันขึ้นมาสิบกว่าเม็ด อาตมาเองก็เฉย ๆ บังเอิญว่าหมอไพบูลย์ ร้อยเอกนายแพทย์ไพบูลย์ นี่กลับจากติมอร์มาเป็นพันตรีไปแล้ว

            น้องชายคนนี้เขาไปบวชกับอาตมาแล้วสึกไป พอเห็นว่าป่วยอย่างนั้นท่านก็เลยหายามาให้ทา ท่านบอกว่าทาบาง ๆ เช้า – เย็น นะครับ ไอ้เราก็ทาไปเรื่อย ๆ ยาหมดหูดมันหายไปหมดเหลืออยู่เม็ดเดียว แล้วก็ไอ้เม็ดนี้เป็นตัวแม่มันมั๊ง มันไม่ยอมหาย มันก็ค่อย ๆ โตขึ้นมาใหม่ โตขึ้น ๆ จนรำคาญเต็มที ลูกสาว ๒ คน ลูกปลา-จริยา จำเริญรัตนไชย กับลูกกาญจน์-กิ่งกาญจน์ ภานุมาศ เขาเป็นเภสัชกรอยู่โรงพยาบาลพหลพลพยุหเสนาที่กาญจนบุรี ก็หายาทาหูดมาให้ มีทั้งประเภทผสมเอง ทั้งประเภทซื้อเขามา ปรากฏว่ามันได้ผลแค่ครึ่งเดียว คือ ทาไป ๆ ข้างบนมันหลุดหมดข้างล่างมันไม่ยอมไปไหน มันดื้อ ในเมื่อมันดื้อก็ไปเจอคุณหมอประจำตัว พันเอกนายแพทย์นพพร กลั่นสุภา เป็นรองผู้อำนวยการโรงพยาบาลค่ายสุรสีห์ ท่านก็เมตตาพาไปเจาะออกให้ ปรากฏว่าเจาะไปเจาะมา

            หมอบอกว่ามันกินถึงประสาทขาแล้วครับ ข้างบนเห็นมันหน่อยเดียว ข้างล่างมันลึกและก็ใหญ่มาก ผมไม่กล้าทำต่อกลัวว่าจะเดินไม่ได้ เลยต้องปล่อยมัน ปรากฏว่าแผลมันไม่ยอมหาย ๒-๓ เดือนมันก็ไม่หายน้ำเหลืองมันไหลเยิ้มอยู่อย่างนั้นตลอดเวลา แล้วมันปวดลึก ๆ อยู่ข้างใน อาตมาก็แปลกใจ เดา ๆ เองด้วยความรู้ว่ามันเป็นมะเร็ง ปรากฏว่าคุณหมอวุฒิเนี่ยนะ คุณหมอวุฒินี่ท่านเป็นหมอความ จบกฎหมายมาแต่ด้ันไปเรียนแพทย์แผนโบราณก็เลยเป็นหมอยาไปด้วย คุณหมอวุฒิลงความเห็นเหมือนกับอาตมาเลยว่า เป็นมะเร็ง ก็รับประทานยาหมอวุฒิด้วยและก็ของหมอต้าด้วย ท่านต้าเขาก็เป็นหมอยา เขาก็จัดยาไปให้ พออาตมาก็ทั้งกินทั้งอาบทั้งพอกตัวเลยล่ะ ก็...อาตมาก็ตามแบบครูบาอาจารย์ของท่านน่ะ รักษาหายก็หายไม่หายก็ช่างมันใช่ไหม เรื่องของมันไม่ใช่เรื่องของเรา ก็ว่ากันไปเรื่อย

            บังเอิญว่าไปทางฝั่งพม่าไปตรวจงานมาเดือนหนึ่ง ครูบาน้อยท่านฉันเจ ฉันอาหารมังสวิรัต อาตมากลัวว่าชาวบ้านจะต้องลำบากทำอาหารเป็น ๒ ชุด ก็เลยฉันเจตามเขาไปด้วย ฉันไปฉันมาประมาณ ๓ อาทิตย์ ไอ้แผลที่มันดื้อไม่ยอมหายมันหายเอาเฉย ๆ อาตมามานั่งวิเคราะห์ดูว่ามันอาจจะเกิดจากฤทธิ์ยานะ ยาหลายหมอเหลือเกินที่ว่ามานี่ รวม ๆ กันเข้าไปตีเจ้ามะเร็งมันก็เซแซ่ด ๆๆ เต็มทีแล้วใช่ไหม เรายังดันให้มันอดซะอีก มันก็เลยเฉาตายไปเอง ตอนนี้ยังไม่แน่ใจในอาการเพราะมันยังปวดลึก ๆ อยู่ข้างใน ก็ยังมีความดีใจอยู่หน่อย ๆ ว่ามันอาจจะกำเริบใหม่ ถ้ามันไม่ยอมกำเริบนี่นั่งร้องไห้เลย มันทำให้ตายช้าไปนิดหนึ่งก็เลยไม่แน่ใจว่ามันเป็นเพราะอะไร แต่เท่าที่ทราบมา มะเร็งมันชอบเนื้อสัตว์มาก ถ้าไปบำรุงมันโดยเฉพาะพวกเนื้อ พวกนม พวกเนย พวกไข่ล่ะก็ มันจะเจริญเติบโตดีมาก

            อาตมาบังเอิญไม่อยากรบกวนโยมมากเขาถวายอย่างไรก็ฉันอย่างนั้นก็เลยกลายเป็นฉันเจไปประมาณ ๓-๔ อาทิตย์ อยู่ ๆ มันเฉาตายไปเอง ไอ้เราก็ทำงานของเราเรื่อย ๆ ไป วันนั้นไปโกยดินที่ท่าน้ำ ไม่ใช่ดินสิ ทรายด้วย เพราะว่าทางด้านโน้นเขาขนทรายขึ้นมาทางเรือ ลำหนึ่งค่าขน ๑๖,๐๐๐ นะ ค่าเรือ ๑๖,๐๐๐ จากมะละแหม่งมาถึงหนองบัว ปรากฏว่าชาวบ้านเขาขนแล้วก็หกอยู่แถว ๆ นั้นน่ะเป็นตัน ๆ เลย อาตมาก็ไปขุดบันไดออกมา บันได้มี ๔๓ ขั้น โดนทรายถมหายไปเหลือ ๒๐ กว่าขั้น ขุดไปขุดมามันแช่น้ำอยู่ ไม่ทราบเหมือนกันว่าไอ้ตรงนั้นมันเป็นปากน้ำกร่อยน่ะ มันใกล้ทะเล อ่าวเมาะตะมะแค่ ๓๐ ไมล์ ไม่ทราบเหมือนกันว่าแช่น้ำทะเลเข้าไปด้วยหรืออย่างไร ในที่สุดแผลมันก็ตกสะเก็ดลอกไปเฉย ๆ เราไม่สนใจมัน ๆ ดันหายไปเอง

            อาตมามีลูกสาวอยู่ ๔-๕ คน ลูกคนนี้ตั้งแต่ตัวเล็ก ๆ เป็นโรคลิ้นหัวใจรั่ว ไม่มีใครคิดว่าจะรอดหรอก มีแต่หนังหุ้มกระดูก ก็เลยพาไปวัดท่าซุง ไปฝึกกรรมฐานไปอะไรกัน ฝึกไปฝึกมาอีท่าไหนก็ไม่รู้หายเอาดื้อ ๆ ตอนนี้น้ำหนัก ๕๐ กว่า (หัวเราะ) ก็ไอ้ตัวเบานิดเดียวอุ้มมือเดียวไปได้เลย คราวนี้อ้วนบึ้กเลย

            เรื่องของกรรมฐานทำให้จิตใจของเราสบายหายเครียด ถ้ามันหายเครียดได้สารพัดโรคมันก็หายไปด้วยเมื่อมาพูดถึงเรื่องของร่างกาย พระพุทธเจ้ากระทั่งหลวงพ่อของเราท่านสอนเอาไว้ว่าร่างกายนี้ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา ขอให้ทุกคนใช้ปัญญาพิจารณาให้ดี ๆ ต้องทำใจให้ถูกต้อง เพราะว่าร่างกายนี้ไม่ใช่ของเรา เป็นดิน น้ำ ลม ไฟ เป็นสมบัติที่เรายืมโลกมาใช้ก็จริง แต่อย่าลืมว่ารูปแบบของการเป็นลูกหนี้ เป็นผู้ยืมที่ดี คือ ถึงเวลาแล้วต้องส่งของคืนเขาในสภาพที่ดีที่สุดที่จะพึงทำได้ เพราะฉะนั้นร่างกายเรานี้ยืมโลกมาใช้

            ถึงเวลามันเป็นอะไรเราก็รักษามันให้ดี แต่ถ้าหากว่ารักษาหาย ก็แปลว่าหาย ถ้าไม่หายมันจะตายก็ช่างมัน ให้ทำใจอย่างนั้น ไม่ใช่ประเภทที่ว่า ไม่รักษงไม่รักษามันแล้ว หายก็หาย ไม่หายก็ช่างมัน ถ้าอย่างนั้นมันเกินไป มันแรงไป เดี๋ยวธรรมมันจะเสีย การปฏิบัติที่ดีหลวงพ่อท่านสอนเสมอว่า อย่าให้โลกช้ำแล้วก็อย่าให้ธรรมเสีย สุดโต่งไปข้างใดข้างหนึ่งถือเป็นอัตตกิลมมถานุโยค คือเกินพอดี แต่ขณะเดียวกันถ้าย่อหย่อนเกินไปก็เป็นกามสุขัลลิกานุโยค คือ ย่อหย่อนจนเกินพอดีติดสบายไปมากเกินไป พวกเราทุกคนรู้ธรรมะเป็นอย่างไรก็รู้ เพราะว่า ส่วนใหญ่ศึกษาจากหลวงพ่อมาแล้ว ขณะเดียวกันก็อาจจะปฏิบัติไปได้แล้วในระดับหนึ่ง ๆ

           แต่บางทีมันยังเข้าไม่ถึงจุดจริง ก็ทำให้ลำบาก คือตีความผิด อย่าลืมว่าการปฏิบัติเราทำกำลังใจได้แค่ไหนมันก็จะได้อยู่แค่นั้น ถ้าตีความธรรมะที่สูงกว่านั้นขึ้นไปอาจจะผิดก็ได้ ถ้าหากได้สังเกตด้วยตัวเองจะเห็นว่าถ้าเราอ่านหนังสือของหลวงพ่อเมื่ออ่านไป ๆ มีความเข้าใจ ประทับใจ เมื่อย้อนกลับมาอ่านใหม่ เอ๊ะ ตรงนี้ก็ดีทำไมคราวที่แล้วเราผ่านไปเฉย ๆ ความจริงไม่ได้ผ่าน อ่านเจอเหมือนกัน แต่บังเอิญว่ากำลังใจมันยังไม่ถึงตรงนั้นมันก็ยังไม่เอ๊ะ ไม่อ๋อ แต่พอมาอ่านใหม่แล้ว เอ๊ะ ทำไมเราผ่านไปได้ ถ้ากำลังใจของเราถึงตรงไหนมันก็จะเข้าอย่างนั้น ที่เหนือไปกว่านั้นถ้าเราเดาก็อาจจะผิด มีน้อยรายที่จะโชคดีเดาแล้วถูก ดังนั้น ขอให้ทุกคนระมัดระวัง ทุกสิ่งทุกอย่างที่เราทำมันดี มันถูก แต่มันดีแค่นั้น มันถูกแค่นั้น

           ส่วนที่ดีกว่านั้นถูกกว่านั้นยังยังมีอยู่ เมื่อเราก้าวข้ามตรงจุดนี้ไป มองย้อนกลับไปดู เอ๊ะ ...ที่ผ่านมามันยังไม่ดีจริงนี่ แล้วก็อาจจะไปยึดมั่นถือมั่นอีกว่า ตรงจุดที่ตัวเองทำอยู่ในปัจจุบันนี้ก็ดีแล้วถูกแล้วอีก มันจะเป็นอย่างนี้ไปเรื่อย ๆ

            เพราะฉะนั้นอย่าอยู่ในลักษณะที่เรียกว่า ยึดมั่นถือมั่นว่าสิ่งที่เราทำดีแล้ว ถูกแล้ว เพราะว่าสิ่งทั้งหลายเหล่านั้นเป็นทั้งสักกายทิฏฐิ คือ ความถือตัวถือตน และก็เป็นมานะ เป็นอติมานะ ความถือตัวพวกนี้จะเป็นธรรมะในส่วนละเอียด จะทำให้เราเข้าถึงธรรมได้ยาก บางคนถือตัวว่าเป็นพระ เป็นอุดมเพศ คือ เป็นผู้อยู่ในเพศอันสูงแล้ว ก็วางตัวอยู่เหนือกว่าชาวบ้าน วางตัวเป็นนายชาวบ้าน ถ้าในลักษณะนั้นก็ทำให้การเข้าถึงธรรมส่วนละเอียดมันสะดุดลง มันติดลงแค่นั้นหยุดลงแค่นั้น ไม่สามารถจะก้าวหน้าต่อไปได้

           พวกเราทุกคนที่ปฏิบัติก็เช่นกันถ้าหวังในความก้าวหน้าก็ต้องเตือนตัวเองอยู่เสมอ ๆ ว่า คำว่าดีจริง ยังไม่มีสำหรับเราจนกว่าจะตายแล้วเข้าพระนิพพาน เพราะว่าแม้แต่พระอรหันต์ท่าน ท่านก็ยังไม่เห็นว่าท่านดีจริงถ้าท่านยังมีชีวิตอยู่ เพราะว่ายังต้องอยู่กับร่างกายที่เต็มไปด้วยความทุกข์นี้ ต้องมีสติระลึกรู้อยู่เสมอว่าสิ่งที่ตัวเองทำนั้นไปถึงตรงไหน ไปถึงจุดใดแล้ว ก็อย่าประมาททบทวนบ่อย ๆ ในสิ่งที่ตนปฏิบัตินั้น

            อาตมาขอย้ำอย่างที่เคยบอกกับทุก ๆ คนว่า ขณะที่ท่านปฏิบัติไปถึงจุดหนึ่งแล้วเกิดความฟุ้งซ่านอย่างหนัก มันชวนให้รัก โลภ โกรธ หลง ไปทุก ๆ ด้าน ขณะนั้นท่านใกล้ความดีมากที่สุด ขอยืนยันอย่างนี้ เพราะว่าเรื่องของกิเลสมารเขามีความฉลาดมาก ถ้าเราปฏิบัติไปใกล้ทางมากเท่าไหร่เขาจะยั่วให้เราโกรธ ยั่วให้เราหงุดหงิด เพื่อให้เราหลงจากทางที่เรากำลังทำเสีย ทำอย่างไรก็ได้ให้จิตใจของเราฟุ้งซ่านในทุกวิถีทาง

           เพื่อจะได้ผิดไปจากเป้าหมาย ดังนั้น ของให้ทุกคนทราบว่า ถ้าหากว่าท่านปฏิบัติไปดี ๆ ตลอดแล้วอยู่ ๆ เกิดความฟุ้งซ่านขนาดหนัก ไปรัก โลภ โกรธ หลง อารมณ์ราคะ โทสะ โมหะ เกิดขึ้นมาอย่างชนิดที่เรียกว่าฟ้าถล่มดินทลายเหมือนน้ำจะทลายเขื่อนออกมาไม่สามารถจะต้านอยู่ได้แล้ว ตอนนั้นท่านใกล้ความดีมากที่สุด ให้ใช้ปัญญาที่พอจะเหลือบ้าง ต้องใช้คำว่า พอจะเหลือบ้าง

            เพราะว่าเวลานั้นเขาจะตีเราหนักมาก กำลังทั้งหมดเราก็ไปยันกับเขาอยู่ บางทีมันขาดสติ ขาดปัญญา มันมืดไปบ้างทำอะไรไม่ถูกให้ยึดพระพุทธเจ้าเป็นหลัก ใช้ปัญญาที่พอจะเหลือบ้างพิจารณาย้อนหลังไปว่าเราทำอย่างไร เราคิด เราพูด เราทำอย่างไรในช่วงก่อนหน้านี้ แล้วอารมณ์มันทรงตัวดีมาตลอด ให้คิด ให้พูด ให้ทำอย่างนั้น

           ต่อไปมันจะสามารถก้าวผ่านส่วนที่เราติดขัดอยู่ไปสู่ส่วนที่ละเอียดได้ ถ้าเราจะก้าวถึงจุดนี้เมื่อไหร่จำไว้เลยว่าเขาจะขวางเราสุดชีวิต ทำทุกวิถีทางให้เราย่อท้อ เพื่อที่จะไม่ปฏิบัติต่อในตรงนั้นแล้วก็จะเสียเวลาไป เหมือนกับคนขุดบ่อ ขุดไป ๆ อาจจะเหลือสักวาหนึ่งหรือครึ่งวาจะถึงน้ำอยู่แล้ว เขาก็จะขวางเราไม่ให้ขุดต่อถ้าเราท้อ เออ... ไอ้ตรงนี้มันไม่มีน้ำแล้วล่ะ ขุดลง ๆ อยู่ ๆ เจอหินดานก้อนมหึมาเลยขวางหน้าอยู่ ไม่รู้หรอกว่าอีกคืบเดียวมันจะถึงอยู่แล้ว ถ้าเจาะทะลุหิน ก็...ท้อใจ เปลี่ยนที่ขุดใหม่ แล้วลองคิดดูว่ามันจะเจอน้ำไหม เปลี่ยนที่ขุดใหม่ลงไป ลงไป เจอหินอีก เอ้า ย้ายที่อีก ๆ คือเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ เปลี่ยนการปฏิบัติไปเรื่อยคิดว่าจุดนี้ไม่เหมาะสำหรับเราเสียแล้ว

            ถ้าเราเป็นคนที่เข้าใจดังนั้นเราก็จะเป็นคนที่ขุดบ่อไม่ได้น้ำ คือ ปฏิบัติแล้วไม่สามารถจะเข้าถึงธรรมที่ปรารถนาสักทีหนึ่งเราต้องรู้จักวิจัย รู้จักแยกแยะ ธรรมะส่วนต่าง ๆ ที่เข้ามาถึงเราเสมอ ทุกสิ่งทุกอย่างทั้งดีและไม่ดีที่เข้ามา ถ้าเรารู้จักคิดรู้จักใช้ปัญญาพิจารณาแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นสิ่งที่ดีเลิศเหลือเกิน ไม่มีอะไรที่ไม่ดีเลย ส่วนที่ทำให้เราทุกข์อย่างสาหัสสากรรจ์ นั่นเป็นการแสดงออกซึ่งอริยสัจ คือ ความจริงอันประเสริฐ ที่ซึ่งสมัยก่อนมีแต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์เดียวเท่านั้นที่มีปัญญารู้แจ้งเห็นจริงได้ คนอื่น ๆ ไม่สามารถจะรู้ถึง

            เขาแสดงความจริงอันประเสริฐให้เราทราบว่าโลกนี้มันเต็มไปด้วยความทุกข์ ร่างกายนี้มันเต็มไปด้วยความทุกข์ เรายังปรารถนาในโลกนี้ไหม เรายังต้องการในร่างกายนี้ไหม ความจริงอันประเสริฐที่ต้องใช้ปัญญาอย่างสูงสุด ถึงจะเข้าถึงได้ ขณะนี้เขามาอยู่กับเราเองแล้ว ไม่ว่าจะใช้เงินซื้อหาสักเท่าใดก็ตามถ้าปัญญาไม่ถึงมันจะไม่สามารถรู้เห็นความจริงตรงส่วนนี้ได้ ทั้งๆ ที่มันอยู่กับเราตำตาอยู่ทุกวัน แต่ขณะนี้เขาแสดงความเป็นจริงให้เรารู้เห็นได้แล้วเงินทองเท่าไหร่ก็ซื้อไม่ได้...สิ่งนี้มีคุณค่ามหาศาลเพียงไร เป็นความดีที่สูงล้ำเพียงใดสำหรับเรา

            ส่วนใดก็ตามที่เป็นความสุขเกิดขึ้นกับเรามันก็เกิดขึ้นไม่นาน ในที่สุดก็เสื่อมสลายไป เขาก็แสดงความเป็นจริงอันประเสริฐให้เรารู้ว่า สิ่งทั้งหลายทั้งปวงนั้นไม่เที่ยง พระพุทธเจ้าสอนเอาไว้จริง ความสุขนี้ก็ไม่เที่ยง ในที่สุดมันก็ผ่านพ้นเราไป ถ้าเราไปยึดถือมั่นหมายห่วงหาอาวรณ์อยากมีอยากเป็นอยากได้มันก็จะทุกข์อีก เพราะว่าทุกสิ่งทุกอย่างไม่มีอะไรเป็นเรา เป็นของเรา ไม่มีอะไรยึดถือมั่นหมายได้ ไม่มีอะไรเที่ยงแท้แน่นอน ในเมื่อเขาแสดงความจริงอันประเสริฐที่ไม่สามารถซื้อหาด้วยเงินทองสักเท่าไหร่ก็ซื้อไม่ได้ เขาได้ตีแผ่แสดงความเป็นจริงต่อเราอยู่ตรงหน้าแล้ว สิ่งนี้ดีเลิศประเสริฐเพียงใด ต่อให้ครูบาอาจารย์ที่เลอเลิศขนาดไหนก็ตาม เคี่ยวเข็ญเราขนาดไหนก็ตาม ถ้าเราปัญญาไม่ถึงก็รู้ไม่ได้

            ในเมื่อสิ่งที่ไม่สามารถจะซื้อหาด้วยเงินที่ประมาณไม่ได้นี้มาอยู่ต่อหน้าเรา สิ่งนั้นมีคุณค่าขนาดไหน ถ้าทำถึงจุดนี้เมื่อไหร่ทุกสิ่งทุกอย่างรอบข้างเราจะไม่มีสิ่งที่ไม่ดี จะเหลือแต่สิ่งที่ดีล้วน ๆ เท่านั้น ดี-ชั่วล้วนแล้วแต่เป็นสมมติที่เรียกหาขึ้นมาทั้งสิ้น จริง ๆ แล้วทุกสิ่งทุกอย่างไม่มีอะไร ถ้าเราไปยึดเกาะเมื่อไหร่สิ่งนั้นถึงจะมี

           ตรงจุดนี้ให้ทุกคนพิจารณาเอาไว้ ไม่ว่าตัวตนเรา-เขา ผู้หญิงผู้ชายบ้านเรือนโรงสิ่งของสรรพสัตว์ทั้งหลาย ล้วนแล้วแต่ไม่มีอะไร มันเป็นดิน เป็นน้ำ เป็นลม เป็นไฟ เสมอกันหมด เกิดขึ้นในเบื้องต้น เปลี่ยนแปลงแปรปรวนไปในท่ามกลาง และสลายตัวไปในที่สุด ทั้งหมดเป็นสิ่งธรรมดา คือ เป็นธรรมะทั้งสิ้น รอบข้างของเราสามารถเห็นได้ทุกวัน เห็นได้ทุกเวลา สิ่งทั้งหลายเหล่านี้เกิดขึ้นกับเราอยู่ได้เสมอ ๆ ต้องใช้ปัญญาพิจารณาแยกแยะให้ออก หาเหตุให้เจอว่าส่วนของความสุขเกิดขึ้นอย่างไร แล้วทำเหตุนั้นความสุขก็จะเกิดขึ้นไปเรื่อย ๆ หาเหตุให้เจอว่าส่วนของความทุกข์เกิดขึ้นอย่างไร แล้วอย่าไปสร้างเหตุอันนั้นความทุกข์ก็ดับลง เขาเรียกว่า ธรรมวิจยะ คือการแยกแยะ

            ค้นหาซึ่งต้นของธรรมะนั้น ถ้าเราสามารถแยกแยะวิเคราะห์วิจัยของตัวเองได้ ถ้าเราแยกแยะหาตรงจุดนั้นได้ก็จะมีประโยชน์มหาศาล เพราะว่าสิ่งที่เราต้องการเราปรารถนาหนักหนาถึงเวลามันจะมาแล้ว