ถาม:  การสวดมนต์ประจำวัน จำเป็นไหมคะว่าจะต้องเลือกว่าสวดบทไหน ?
      ตอบ :  จริง ๆ ไม่จำเป็นจ้ะ ถ้าเรานึกถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นปกติ ตั้งใจสวดเป็นพุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชา สวดบทไหนก็ได้
              แต่ถ้ารูปแบบเขากำหนดมาอย่างเช่นวันอาทิตย์ต้องสวดอุเทตะยัญจักขุมา วันจันทร์ต้องสวดยัสสานุภาวะโต จะทำให้เราถ้าได้ทำตามแล้วรู้สึกว่าดี ก็ทำไปเถอะ จริง ๆ แล้วการสวดมนตเป็นสร้างสมาธิให้เกิด
      ถาม :  จริง ๆ ก็รู้ครับว่า ถ้าทรงอารมณ์นั้นได้ทุกวัน คงสุดยอดไปเลย เพราะมันเย็น
      ตอบ :  ไม่เป็นไรหรอก พวกเดียวกัน อาตมาก็โง่มานานเหมือนกัน กว่าจะปล้ำมันเป็น บังเอิญของเราประเภทไม่ยอมแพ้ ล้มแล้วลุก ล้มแล้วลุก ลุยมันใหม่ จะล้มกี่หมื่นกี่แสนครั้งก็ลุกมาชกกับมันใหม่ ตื๊อเสียจนคู่ต่อสู้มันระอาไปเอง นั่นแหละเลยจับทางถูก ว่าจริง ๆ แล้วถ้าเรารักษาอารมณ์ต่อเนื่องได้ คู่ต่อสู้มันโงหัวไม่ขึ้น รัก โลภ โกรธ หลง จะแทรกอารมณ์ภาวนาไม่ได้ ก็เลยภาวนาให้มากไว้ ตัวลูกตื๊อะเป็นสันดานเฉพาะตัวจ้ะ
              เปรียบเทียบต้องเปรียบเทียบกับคุณแสงชัย พระน้องชาย สมัยเป็นฆราวาสอยู่ด้วยกันนี่ ซ้อมมวยอัดกันอุตลุต ถ้าเขามาได้อีกทีอาตมาก็ยอมแพ้แล้ว แต่บังเอิญเขาเอ่ยปากยอมแพ้ก่อนทุกครั้่ง ก็คือลูกตื๊อนั่นแหละ เจ็บเท่าไรเราก็ดาหน้าเข้าไปใส่มันไปเรื่อย ให้มันรู้ไปว่ามันจะไม่เจ็บบ้าง คราวนี้ก็เลยกลายเป็นว่าพอเราตื๊อมาก ๆ เขาอดใจเสียก่อน ทั้ง ๆ ที่ถ้าเขามาอีกครั้ง เราก็เลิกเหมือนกัน
      ถาม :  เมื่อชาติที่แล้ว หลวงพี่กับหลวงพี่แสงใครชนะครับ ?
      ตอบ :  อาตมาชนะทุกครั้งแหละ (หัวเราะ) ทั้ง ๆ ที่ชาตินี้มันใหญ่กว่าซีกหนึ่งนะ ตอนที่เรามานั่งภาวนา เขาไปทำอะไรรู้ไหม ? ไปเพาะกาย ตอนน้นพวกเพาะกายมันจะอยู่ในลักษณะฮิตตมากเลย มีอีตาอาร์โนลด์เป็นชายงามจักวาล ๓ ปีซ้อน
      ถาม :  .................?
      ตอบ :  แดนสุขาวดีที่เป็นพุทธเกษตร ประกอบด้วย พระพุทธเจ้าจนประมาณไม่ได้ ท่านบอกว่าพระอมิตาภะซึ่งเป็นพระพุทธเจ้าที่มีบารมีมากกว่าทุกองค์ คำว่า "อมิตาภะ" แปลว่า สว่างอย่างไม่มีประมาณ ถ้าหากว่าได้อย่างนั้นจริง ๆ ก็แสดงว่าบารมีมากกว่าองค์อื่นจริง ๆ
              ทีนี้ถ้าจะเปรียบเทียบไปแล้วจะใช่องค์ปฐมของเราไหม ก็ยังไม่รู้เหมือนกัน แต่ว่าของจีนเขาจะมีแดนสุขาวดีที่เขาเปรียบเหมือนนิพพานอย่างนี้ แล้วก็จะมีประเภทแบ่งออกเป็นส่วน ๆ อย่างของทางด้านทิศตะวันตกจะมี "เจ้าแม่ไซ้อ่องบ้อ"จีนกลางเรียก "ซี่หวังหมู่" ที่ถือว่าเป็นผู้ที่มีบารมีมากที่สุดของเขา จะอยู่ในลักษณะของพระโพธิสัตว์เสียมากกว่า ของเราไม่ได้ศึกษาาให้ลึกซึ้งก็เลยไม่มั่นใจว่าที่เขาเปรียบเทียบว่านั่นคืออะไร ? จะเป็นแค่เขตของดุสิตหรือว่าจะเป็นนิพพานไปเลย แต่ว่าตามที่ท่านว่ามา "พระอมิตาภะ" นี่เป็นพระพุทธเจ้าเลย อย่างพระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ หรือว่าไภษัชยาคุรุ อะไรนี่ยังเป็นโพธิสัตว์
      ถาม :  เมื่อหลายเดือนที่แล้วหลวงพี่บอกว่ากำลังศึกษาพระอนาคตวงศ์อยู่ ตอนนี้ศึกษาไปได้เยอะหรือยังครับ ?
      ตอบ :  แคะไม่ค่อยจะออก แต่ละองค์ประวัติท่านยาวเหลือเกิน แล้วงานก็เยอะขึ้น ได้วันละนิดวันละหน่อย แล้วอีกอย่างหนึ่งท่านบอกไว้ว่าเป็นช่วงของภัทรกัป ๒ กัปติดกัน จะมี ๑๐ องค์ มาแล้ว ๔ องค์ ก็น่าจะเหลือ ๖ องค์ แต่ท่านบอกเอาไว้ ๑๐ องค์ ในเมื่อท่านบอกไว้ ๑๐ องค์ ที่รู้ ๆ ก็คือ พระยามาราธิราชท่านลาไปแล้วองค์หนึ่ง แสงดว่าจะต้องมีลาอีก ๓ องค์ ท่านบอกไว้ตั้งแต่พระศรีอาริยเมตไตรยไปจนถึงช้างปาลิไลยกะ ท่านบอกไว้ ๑๐ องค์ ทีนี้ ๑๐ องค์ เรารู้ว่าพระยารามาธิราชนี่ลาแล้วเพราะหลวงพ่อบอก เพราะฉะนั้นต้องเหลืออีก ๓ องค์ ที่ต้องลาเพราะเกินโควต้า
      ถาม :  หลวงปู่ปานนี่มาองค์ที่ ๗ ใช่ไหมครับ ?
      ตอบหลวงปู่ปานจะเป็นพระราม ถ้าพระรามนี่เขานับจะเป็นองค์ที่ ๑ ของกัปถัดไป ก็คือองค์ที่ ๖ นั่นแหละถัดจากพระศรีอาริยเมตไตรย พระศรีอาริยเมตไตรยนี่ก็ถือว่าสิ้นสุดภัทรกัปนี้ แล้วเป็นภัทรกัปอีกภัทรกัปหนึ่งต่อเนื่องไปเลย ซึ่โอกาสอย่างนี้กี่ล้านโกฏิชาติก็ไม่รู้กว่าจะเจอกันสักทีหนึ่ง
              เพราะพระพุทธเจ้านามว่า "ทีปังกร" พอท่านดับขันธ์เข้าปรินิพพานไป ศาสนาสิ้นสุดลงแล้วก็ว่างไปตั้ง ๑ อสงไขยกัป ถึงจะมีพระพุทธเจ้านามว่า "โกณฑัญญะ" ขึ้นมา เสร็จแล้วก็ว่างเว้น ๑ อสงไขยกัป ถึงได้มีพระพุทธเจ้านามว่า "มังคละ" ขึ้นมา
              โอ้โห! ดุเดือดมากเลย โผล่มาทีละ ๑ องค์ ๒ องค์ อย่างนี้ เสร็จแล้วเต็มที่ก็ ๔ องค์ เพิ่งจะมีมา ๕ องค์ช่วงนี้ แล้วมีมา ๒ ครั้งติดกันเลย หลวงพ่อท่านถึงได้บอกใครเกิด ระยะนี้ถือว่าดวงดีที่สุด แต่ขณะเดียวกันถ้าพลาดลงนรกก็ซวยที่สุดเหมือนกัน
      ถาม :  ผมสงสัยในการบำเพ็ญบารมี แล้วทำให้มีโอกาสได้ทำบรมีหรือบำเพ็ญบุญในเขตเนือ้นาบุญที่ประเสริฐ อย่างเช่น พระสีวลี เมื่อครั้งที่มีคำกล่าวอธิบายคุณของพระสีวลี จะย้อนหลังถึงชาติที่เป็นชาวป่าได้ถวายรวงผ้งแต่วาก่อนหน้านั้นท่านน่าจะต้องได้ทำการดีอย่างใดอย่างหนึ่งที่ทำให้มีโอกาสได้ถวายทานในเขตที่ประเสริฐอย่างนั้น ?
      ตอบ :  เรื่องอย่างนี้ต้องมีอยู่แล้ว ตัวอย่างเช่น สุปติฏฐเทพบุตรที่ว่าชั่วทั้งชีวิตแล้ว ทำไมก่อนตายนึกถึงพระพุทธเจ้าได้ นั่นในอดีตชาติท่านเคยสร้างพระพุทธรูป อานิสงส์ตัวพุทธานุสติ ตามมาวินาทีสุดท้ายของชาตินี้เลย ไม่อย่างนั้นก็เสร็จแล้ว ไม่ใช่ส่งผลให้น้อย ๆ ถึงจะไปเป็นเทวดาแค่ ๗ วันก็จริง แต่บังเอิญพระพุทธเจ้าขึ้นไปเทศน์โปรดพุทธมารดา ท่านได้ฟังเทศน์ต่อกลายเป็นพระโสดาบันเลย อยู่มาจนถึงบัดนี้ นั่นแหละเรื่องอย่างนี้ในศาสนาเรานี่คำว่า "บังเอิญ" ไม่มี ทุกอย่างเป็นเหตุเป็นผล เกิดจากกรรมคือการกระทำทั้งนั้น ทำดี คือ "กุศลกรรม" ทำชั่ว คือ "อกุศลกรรม" โอกาสมีเมื่อไรมันให้ผลทันที สำหรับผู้ที่ชำนาญในยถากัมมุตาญาณเห็นแล้วจะสยองมาก ทำนิดทำหน่อยมันให้ผลทั้งนั้น มันน่าเกลัวเหลือเกิน จะดีจะชั่วให้ผลทั้งนั้น
      ถาม :  มีเพื่อนคนหนึ่งเป็นลูกศิษย์หลวงตามหาบัว แล้วก็เมื่อปลายปีที่แล้ว หลวงตาท่านประชุมที่วัดอโศการาม พระสายพระป่ามาประชุมกันเยอะ แล้วท่านก็เลยเทศน์อยู่ประมาณชั่วโมงครึ่ง สอนพระกรรมฐานโดยมีหัวข้อว่า "ตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงเข้าพระนิพพาน" แล้วเพื่อนคนนี้เขาก็มีโอกาสได้เรียบเรียงจัดทำเป็นวีซีดี ผมมีติดกระเป๋ามา ถ้าจะถวายไว้กับหลวงพี่บ้างจะเป็นประโยชน์ไหมครับ ?
      ตอบ :  ก็ดีจ้ะ ของหลวงตาก็เคยทำบุญกับท่านมาหลายยกเต็มทีแล้ว เอามาเถอะจะขออนุญาตแจกต่อด้วย ะจหาพระที่กล้าพูดเหมือนหลวงตาก็ยากแล้วปัจจุบันนี้ สิ้นหลวงพ่อไปเสียองค์หนึ่งไม่มีใครฟันธงตรง ๆ อย่างนี้อีกแล้ว
      ถาม :  ผมไม่เคยเห็นเลยครับ ออกสนามหลวง ออกทีวี บอกว่าสิ้นกิเลสแล้ว ?
      ตอบ :  ท้าพิสูจน์ ใครคิดว่าตัวเองแน่มาสิ อันนี้แหละเอหิปัสสิโก ท้าพิสูจน์ขอสัตว์ทั้งหลายจงมาดูธรรมนี้เถิด แบบเดียวกับปิณโฑลภารทวาชะ ถ้าติดขัดข้อความไหนจงมาถามเรา จนกระทั่งพระไปฟ้องพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าท่านบอกว่าอันนั้นเป็นนิสัยเดิมของท่านในอดีตชาติ
              มีอยู่ชาติหนึ่ง ท่านเป็นพญาราชสีห์ แล้วปรนนิบัติพระปัจเจกพุทธเจ้าที่อาศัยอยู่ในถ้ำ ก่อนไปก็จะประเภทคำรามป้องกันพวกสัตว์ต่าง ๆ เข้ามาบริเวณนั้น ทำให้พระปัเจกพุทธเจ้าไม่มีความสุข ก็ไปหากินแล้วก็กลับมา จะทำอย่างนั้นทุกวัน ๆ นิสัยการกล้าพูดกล้าทำก็เลยติดมา เพราะฉะนั้นท่านมั่นใจว่าท่านบรรลุธรรมแน่แล้ว ท่านประกาศเลย ถ้าใครติดขัดข้อธรรมข้อไหน ให้มาถามเรา
      ถาม :  ชื่อท่านว่าอะไรครับ ?
      ตอบพระปิณโฑลภารทวาชะ
      ถาม :  องค์ที่เหาะไปเอาไม้แก่นจันทน์หรือครับ ?
      ตอบ :  นั่นแหละ ที่เหาะไปเอาไม้แก่นจันทน์นั่นแหละ คือถ้าในเรื่องของอภิญญาแล้ว ไม่นับพระโคคัลลานะแล้ว ต้องถือว่าท่านแน่ที่สุด
              เรื่องของธรรมทานเป็นบุญจนประมาณไม่ได้ โดยเฉพาะถ้ายังเกิดอีกกี่ชาติก็ตาม เรื่องของปัญญานี่ไม่ต้องคิดเลย คงไม่มีใครไล่ทันแน่เพราะเป็นธรรมทานบริสุทธิ์
              เรื่องของธรรมทานจะเป็นการให้หนังสือ เทป ให้อะไรก็ตาม ทุกอย่างเป็นธรรมทานหมด แล้วเป็นธรรทานบริสุทธิ์แค่ไหน ถ้าหากว่าเกี่ยวเนื่องเรื่องของธรรมะ ยิ่งละเอียดลึกซึ้ง ยิ่งถูกต้องชัดเจนมากเท่าไร กุศลก็แรงเท่านั้น
      ถาม :  สงสัยเกี่ยวกับเรื่อง "มีดหมด" ของหลวงพ่อ ต่างจากวัตถุมงคลอื่นหรือพระเครื่องอย่างไรครับ ?
      ตอบ :  เรื่องของมีดหมอนี่ของท่านจะมีอานุภาพโดยตรงก็คือว่า ใช้ในการรักษาโรคหรือว่าแก้พวกไสยศาสตร์ วัตถุมงคลนี่อาจจะประเภทให้ลาภ อาจจะประเภทอยู่ยงคงกระพัน ในเรื่องของมีดหมอนี่งานเฉพาะท่านมีแต่ว่าที่เคยทดลองมาเองก็คือ รู้ว่าหลวงพ่อท่านทำอะไร ท่านทำรอบด้านไม่ได้ทแค่ด้านเดียว รับมีดหมอมาใหม่ ๆ ก็อธิษฐานเลย วันนี้ออกบิณฑบาตขอให้รวย ๆ ได้เยอะ ๆ โห! เจ้าประคุณเอ๋ย คนเดียวบิณฑบาตได้กับข้าวถุงมา ๔ เข่งใหญ่ หายสงสัย นี่ขนาดเรื่องลาภที่ไม่ใช่งานโดยตรงยังได้ขนาดนี้
              เพราะฉะนั้นเรื่องของงานโดยตรงนี่ไม่ต้องคิดถึงเลย พอรุ่งขึ้นหลวงพ่อท่านก็บอก ๆ ว่าท้าวมหาราชมาฟ้องบอกว่าลูก ๆ หลวงพ่อชักมีดหมอเล่น คือท่านเองท่านให้พรไว้ว่า ถ้ามีความจำเป็นให้ชักมีดหมอ ถ้าชีกมีดหมอขึ้นเมื่อไร ท้าวมหาราชพร้อมบริวารจะต้องเตรียมพร้อมให้การช่วยเหลือ
              คราวนี้ไปดึงเล่นก็เหมือนคนได้รับสัญญาณเหตุติดต่อฉุกเฉินอย่างนั้น เสร็จแล้วก็ไปกดกรี๊ง ๆ อยู่เรื่อย ก็เลยทำให้ฝ่ายเตรียมพร้อมเก้อไปสิ ส่วนใหญ่เขาดึงมาดูกัน ไม่ได้บอกกล่าวท่านก่อน
      ถาม :  ผมก็จด ๆ จ้อง ๆ ชอบวัตถุมงคลของหลวงพ่อ แต่มีดหมอนี่ไม่ค่อยเข้าใจ ?
      ตอบ :  ติดตัวอยู่เป็นมหาอำนาจ ถ้าอธิษฐานเป็นประจำป้องกันอันตรายทุกอย่างได้ ขณะเดียวกันเรื่องของไสยศาสตร์หรืออะไรก็ตาม จะเอามาใช้ทำน้ำมนต์ถอนไสยศาสตร์ก็ได้ ใช้แตะตัวขับไล่พวกผี พวกอะไรได้ทั้งนั้น แต่จริงๆ แล้วเท่าที่เคยเจอมาก็คือคนพกมีดหมอหลวงพ่อเข้าไปในเขตนั้นผีมันก็เผ่นแล้ว
              มีอยู่รายหนึ่งมันโดดเสียจนเรือนไหวเลย แค่เหยียบตีนบันไดบ้าน มันบอกกูไม่อยู่แล้วโว้ย รู้สึกเหมือนอย่างกับว่าบ้านมันไหววูบเลย มันออกทางหน้าต่าง ก็คือว่าถ้าหากว่าเป็นงานที่เทวดาระดับท้าวมหาราช ท่านเองยังต้องเตรียมพร้อมเพื่อที่จะช่วยเหลือ ก็เหมือนอย่างกับ ผบ.ทบ. มาเอง พลทาหารจะกล้าอยู่หรือ ก็เปิดแนบ ของหลวงพ่อก็มีมีดหมอที่เรียกว่า "ดาบฟ้าฟื้นรุ่นแรก" แล้วก็มารุ่นหลังที่เป็น "มีดหมอชาตรี" มีดหมอชาตรีนี่ก็ทำแค่ ๓ ครั้งเท่านั้น ครั้งหนึ่งได้ไม่มาก มีดหมอชาตรีครั้งแรกนี่อยู่ที่อาตมาแทบทุกเล่มเลย เพราะว่าเป็นคนไปกวาดหมดตลาด ได้มาแค่ ๔๓ เล่ม แล้วพอคนอื่นนึกอยากได้ขึ้นมา ก็ไม่ทันเราแล้วเพราะเราเอามาหมดเกลี้ยงเลย เขาก็เลยไปสั่งตีกันจากเล่มหนึ่ง ๒๐๐ บาท มีดหมอเล็ก ๆ ปากกา เชือ่ไหมว่าจนถึงวันสุดท้ายก่อนจะทำพิธี เฉพาะตัวมีดอย่างเดียว ด้ามไม่มี ฝักไม่มี ๖๐๐ บาท เพราะเขาทำไม่ทัน เขาเลยโก่งราคาให้หนัก คือพวกเราเป็นอย่างนี้ จะใจเย็น หลวงพ่อบอกอะไรก็เฉย ๆ ท่านยอกว่าข้าจะปลุกเสกน้ำมันชาตรีแล้ว จะทำมีดหมอด้วย ใครอยากได้มีดหมอไปหามา เราได้ยินปั๊บก็ขออนุญาตลาเลย กระโดดขึ้นรถเมล์ไป อำเภอพยุหะครีรเลย ตรงนั้นเป็นแหล่งวัตถุมงคล ประเภทไล่เอาแต่ละร้าน มีกี่เล่มเอามาเลย กวาดเสียหมดร้าน ได้มา ๔๓ เล่ม ทั้งใหญ่ ทั้งเล็ก แล้วมีเหลืออยู่เล่มเดียวที่ติตัวอยู่ทุกวันนี้ก็คือ "มีดหมอ" ขนาด ๗ นิ้ว ซึ่งเป็นขนาดที่เขาไม่เอากัน เขาจะใช้ขนาด ๕ นิ้ว แล้วก็ขนาด ๙ นิ้ว หรือไม่ก็ขนาดปากกาเล็ก ๆ แล้วคราวนี้เหลืออยู่เล่มหนึ่ง ขนาด ๗ นิ้ว ไหน ๆ ก็มาเแล้วเอาให้หมด เสร็จแล้วก็เหลือติดตัวทุกวันนี้อยู่เล่มเดียว
      ถาม :  เห็นที่วัดท่าซุง จะมีลักษณะเป็นมีดอีโต้เล็ก ๆ ?
      ตอบ :  อันนั้นจริง ๆ สำคัญมากเลยนะ เป็นรุ่นที่หลวงพ่อทำท่านเรียก "สมเด็จโต้" มีความสำคัญตรงไหน ? มีความสำคัญตรงคำว่า "โต้" เขาถือเป็นเคล็ดลับว่าอะไรมาก็ย้อนกลับหมด ลูกศิษย์หลวงพ่อที่เป็นเด็ก ๆ ได้อภิญญารทางด้านเชียงใหม่ นั่นแหละอาราธนาสมเด็จโต้ฟัดกับบรรดามหิทธิกเปรต กาลกัญจิกเปรต อสุรกาย ตีกันชนิดฟ้าถล่มดินทลายมาแล้ว พวกนี้นี่ถ้าหากว่าเทวดาศักดานุภาพน้อย ๆ ยังต้องถอยให้เขา
              คราวนี้เขาประเภทไปทำอันตรายคนเข้า เด็กเขาทนไม่ไหวเขาก็ฟัดกันเลย ทีนี้ตัวเองไม่มีอาวุธอะไรก็เล่นมีดหมอนี่แหละ มันอันตรายเหมือนกันนะ เหมือนกับคนมีระเบิดนิวเคลียร์อยู่ เพียงแต่ใช้ถูกหรือเปล่า
      ถาม :  เคยอ่านเกี่ยวกับท่านท้าวมหาราชที่หลวงพ่อแสดงไว้ พอตีความออกว่า ท้าววิรุฬหกก็คือกรมหลวงชุมพร แต่ว่าอีกองค์หนึ่งที่ว่ามาจากทางใต้ของประเทศไทยคือใคร ?
      ตอบ :  อันนั้นไม่ทราบ อะไรที่หลวงพ่อไม่ได้ยืนยันชัดนี่จะไม่กล้าไปรู้ไปเห็นอะไร กลัวผิด มีท้าวเวสสุวรรณคือ พระเจ้าพิมพิสาร ท้าววิรุฬหกก็คือกรมหลวงชุมพร ที่ว่ามาจากทางใต้นี่จะเป็นท้าววิรุฬหกเสียละกระมัง
      ถาม :  เข้าใจว่ากรมหลวงชุมพรคือ องค์ที่ท่านบอวก่าเคยอยู่กรุงเทพฯ เคยทำงานรับเงินเดือน จะตีความว่า องค์นี้น่าจะเป็นกรมหลวงชุมพร และได้เข้าเฝ้าพระมหากษัตริย์อยู่บ่อย ๆ ส่วนอีกองค์หนึ่งบอกว่ามีศักดิ์สูงอยู่ทางใต้ ?
      ตอบ :  มีศักดิ์สูงอยู่ทางใต้ ตอนนั้นอุปราชมณฑลทักษิณก็คือ "เสด็จในกรมหลวงลพบุรีราเมศวร์" รับผิดชอบทางใต้หมดเลย กรมหลวงลพบุรีราเมศวร์ ที่ตระกูลเขาสืบมาทุกวันนี้ เสด็จพระองค์ชายใหญ่ พระองค์ชายกลาง พระองค์ชายเล็กปัจจุบันก็คือ ท่านมุ่ย หม่อมเจ้าชาตรี เฉลิมยุคล นั่นท่านเป็นอุปราชดูแลทางด้านโน่นเลย ดูแลลงไปยันไทรบุรี กลันตัน ตรังกานู ปะลิศ อะไรโน่น จะไม่สูงก็ไม่ได้ ก็ลูกรัชกาลที่ ๕ เหมือนกัน แต่อันนี้ไม่ยืนยันนะ พูดว่าถ้าจะไปหาลักษณะว่าสูงศักดิ์แล้ว ทางใต้คงมีอยู่องค์เดียว
      ถาม :  พระเจ้าอยู่หัวสมัยที่ท่านไปตระเวนกราบครูบาอาจารย์ ท่านมารู้จักหลวงพ่อก่อนหรือว่าท่านไปทางอีสานก่อน ?
      ตอบ :  คือไปทุกที่ ๆ ท่านทรงงานแล้วจะถามว่า มีพระดีอยู่ที่ไหน ? คราวนี้พอทราบว่าหลวงพ่อท่านทำงาน "สงเคราะห์ผู้ยากจนในถิ่นทุรกันดาร" ก็มีรับสั่งชมเชยอยู่แล้ว
              คราวนี้พอมีการนิมนต์ท่านไป ประเภทที่เรียกว่า "ตัดลูกนิมิต" แล้วก็งาน ๑๐๐ ปี หลวงปู่ปาน ท่านก็เลยมีรับสั่งให้ตั้ง "ศูนย์สงเคราะห์ผู้ยากจนในถิ่นทุรกันดาร" ขึ้นด้วย และเห็นหลวงพ่อท่านทำเอาจริงเอาจัง ทั้งหมดก็ยิ่งชอบใจ เพราะว่าในหลวงจริง ๆ ท่านต้องการคนอย่างหลวงพ่อเยอะ ๆ ประเภททำให้ทันอกทันใจ จะได้ช่วยชาวบ้านได้เยอะหน่อย
      ถาม :  สังเกตตอนที่หลวงพ่อได้รับนิมนต์เข้าวังหรือในหลวงไปวัด ก็เป็นช่วงเดียวกับที่ท่านไปทางอีสานด้วย ?
      ตอบ :  คือของท่านออกทรงงานทางด้านไหนก็ตาม ก็จะถามชาวบ้านว่ามีหลวงปู่หลวงพ่อดีที่ไหนบ้าง คือจริง ๆ ท่านรู้อยู่แล้ว แต่ท่านต้องการคำยืนยัน พอท่านได้คำยืนยันถ้าตรงกันท่านก็ไป
      ถาม :  ตอนนั้นหลวงพี่ยังเป็นทหารอยู่หรือครับ ?
      ตอบ :  จ้ะ ช่วงนั้นหลวงพ่ออย่างน้อย ๆ ก็ต้องเข้าวังปีละ๒ ครั้ง ตอนวันเฉลิมพระชนมพรรษาของทั้งสองพระองค์ และก็ถ้ามีอะไรที่รีบด่วนท่านก็จะให้นักบินเอาเฮลิปคอปเตอร์พระที่นั่งมารับไป เคยแกล้งเขา แต่แกล้งไม่สำเร็จ คือต้องสร้างสนาม ฮ. ให้เขาลง เราก็ทำตัว ฮ. นิดเดียว ลงได้ตรงเป๊ะเลย บอกแหม! มันต้องอย่างนี้สิยอดฝีมือ เพราะว่าของเราที่ทำลักษณะนั้น ถ้าเครื่องต่ำลงหน่อย มันจะมองไม่เห็น โอ้โห! แต่เขาแม่นเป้าจริง ๆ ขนาดแกล้งทำเล็ก ๆ เครื่องลงเป๊ะเลย
      ถาม :  ตอนที่ในหลวงท่านสร้างสมเด็จจิตรลดา ท่านรู้จักหลวงพ่อหรือยังครับ ?
      ตอบ :  ตอนนั้นยังจ้ะ ถ้ารู้จักก็คงจะประเภทรู้จักกันเป็นการภายใน เพราะสมเด็จจิตรลดาสร้างยังไม่ถึงปี ๒๕๑๐
      ถาม :  สร้างอยู่หลายรุ่นนะครับ รุ่นแรกเข้าใจว่าปี ๒๕๐๘ ?
      ตอบ :  ประมาณนั้น หลวงพ่อไปวัดท่าซุง ช่วงปี ๒๕๑๑ แล้วกว่าจะนิมนต์ในหลวงไป ก็โน่น ปี ๒๕๑๘
      ถาม :  หลวงพี่เคยได้ไหมครับ ?
      ตอบ :  ไม่เคยจ้ะ เพราะท่านจะแจกเฉพาะข้าราชบริพารที่ใกล้ชิด และผู้ที่ส่วนใหญ่จะเข้าไปรับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ หรือว่าพวกเข็มประกาศเกียรติคุณ ประเภทเสี่ยงชีวิตเป็นเพื่อชาติ เพื่อศาสนา ให้เป็นที่ปรากฏ ส่วนใหญ่ให้เอาทองไปติดข้างหลัง
              คราวนี้มีคุณวสิษฐ์ เดชกุญชร ตอนนั้นเป็นพลตำรวจตรี ก็ได้องค์หนึ่ง มีรับสั่งเหมือนเดิมให้เอาทองปิดไว้ข้างหลัง คุณวสิษฐ์ก็บอกว่าแล้วเมื่อไรคนเขาจะเห็น ก็มีรับสั่งว่าปิดไปเถอะ ปิดมาก ๆ เดี๋ยวทองก็ล้นมาข้างหน้าเอง นันแหละแสดงถึงลักษณะที่พระองค์ท่านทรงงาน ก็คือว่าทำงานไปเรื่อย ๆ คนจะรู้หรือไม่รู้ จะชมหรือไม่ชมจะอะไรก็ไม่รู้ ขอให้ได้ทำ ท่านก็ทำมา ๕๐ ปี สองพันกว่าโครงการ เฉลี่ยปีหนึ่งเท่าไร ปีหนึ่งก็ตกราว ๔๐ โครงการ
      ถาม :  จำได้คลับคล้ายคลับคลาว่า หลวงพ่อเคยพยากรณ์เอาไว้ทำนองว่าจำไม่ได้กี่ชาติ ท่านจะบารมีเต็มแล้ว ?
      ตอบ :  ก็คงจะไม่เกิน ๗ ชาติ แต่ว่าถ้าได้ทำงานใหญ่ ๆ ก็คงเร่งรัดให้เร็วขึ้น เมื่อไรถึงจะมีงานสังคายนาพระไตรปิฎกก็ไม่รู้ พวกเรานี่ลุ้นแทบตาย เพราะว่าตอนนั้นการวางตัวพระเถระนี่เราถือว่าสมบูรณ์พร้อมเลย ทั้งฝ่ายไทย ฝ่ายมอญและพม่า ฝ่ายไทยเราก็กะว่าเป็นหลวงพ่อแน่ ๆ เพราะสมเด็จวัดสามพระยาท่านเป็นเบื้องหลังให้อยู่แล้ว ปรากฏว่าหลวงพ่อท่านสิ้นไปเสียก่อน งานก็เลยประเภทสิ้นไปเสียก่อน
              การสังคายนาพระไตรปิฎกนี่มาระยะหลังจะเป็นการตรวจทานของเก่าเท่านั้นเอง ไม่สังคายนาจริง ๆ ช่วงชาดก ช่วงอะไร เขาตัดส่วนสำคัญไปเยอะ ที่มาตัดไปลงท้ายตัดไป เหลือแต่เนื้อในเฉย ๆ ทุกอย่างที่พระพุทธเจ้าท่านเทศน์ มันจะมีผลให้คนได้มรรคผลเท่านั้น
              คราวนี้พอคนปัญญาไม่ถึง เห็นเป็นนิทานเฉย ๆ แต่คนโบราณเขาฟังแล้วเขาก็อ๋อ! ที่แท้ก็มีการเวียนตายเวียนเกิดกันไม่รู้จบอย่างนี้ ขนาดพระพุทธเจ้าเองท่านยังเป็นอย่างนี้ ๆ มาก่อน เห็นทุกข์เห็นโทษในการเวียนว่ายตายเกิดอยู่ ก็จะถอนจิตออกจากการยึดมั่นถือมั่นได้มรรคได้ผลไปตาม ๆ กัน
      ถาม :  ยิ่งพยายามทำตามที่หลวงพ่อสอนว่า ให้พยายามทำใจขึ้นไปบนพระนิพพาน เข้ามาไหว้พระ ก็กำหนดจิตขึ้นไปกราบองค์ปฐมบนพระนิพพาน คราวนี้ด้วยความที่ผมยังได้ชนิดที่ว่าไม่ได้ชัดเจนแจ่มใส หากใจสัมผัสบางครั้งมีความมั่นใจ แต่ส่วนใหญ่ก็คือยังไม่แน่ใจ การทำอย่างนี้เพียงพอไหมครับ ?
      ตอบ :  พูดง่าย ๆ ว่าถ้าเราเอากำลังใจจดจ่ออยู่กับพระตลอด จะเห็นหรือไม่เห็นก็ใช้ได้ ขอให้เรามั่นใจก็แล้วกัน ถ้าประเภทไม่เอาไหนจริง ๆ ก็ลืมตาดูพระพุทธรูป นี่คือองค์แทนพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าไม่อยู่ที่ไหนหรอก นอกจากอยู่บนพระนิพพาน เราตายเมื่อไรขอไปอยู่กับท่านก็แล้วกัน
      ถาม :  เด็ก ๆ นี่ให้เขาฝึกมโนนมยิทธิได้ตั้งแต่กี่ขวบครับ ?
      ตอบ :  เท่าที่เคยเจอ เด็ก ๓-๔ ขวบเขาได้เอง ไม่ต้องสอนด้วย ประเภทนั่งหลับตาเฉย ครูก็ถาม "หนูเป็นอะไร ไม่ไปเล่นกับเพื่อนหรือ ?" บอก "กำลังทำสมาธิ" บอกว่า "ทำสมาธิแล้วได้อะไร ?" เขาบอกว่า "หลวงปู่บอกว่า ทำน้อยเหมือนได้ทอง ทำมากเหมือนได้เพชร" มันไม่ใช่เด็กสี่ขวบพูดน่ะ เด็กอนุบาล เสร็จแล้วก็ถาม "หลวงปู่ที่ไหน ?" บอก "หลวงปู่ฤๅษีลิงดำ" "แล้วหลวงปู่สอนอย่างไร ?" หลวงปู่สอน "บอกให้ขึ้นไปนอนบนนิพพานให้ได้ทุกวัน" แล้วครูเขาก็ไม่รู้เรื่องอะไรเลย บังเอิญมาเล่าให้ลูกศิษย์หลวงพ่อฟัง ลูกศิษย์หลวงพ่อถึงได้รู้ว่านั่นของแท้เลย เด็กอนุบาลที่ไหนก็ซนทั้งนั้นแหละ ประเภทไปนั่งหลับสบายอย่างนั้น ไม่มีใครเขาทำกันหรอก แล้วถามว่าอายุสักเท่าไร ? จริง ๆ ถ้าจะเอาเกณฑ์อายุไม่ได้ จะต้องประเภทที่เขารู้เรื่องหรือยัง รู้เดียงสาไหม ถ้ารู้เดียงสาสามารถทำตามที่เราบอกได้ก็สบาย