สนทนากับพระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
เดือนมิถุนายน ๒๕๔๖(ต่อ)
ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ

      ถาม:  เวลาดาราไปปฏิบัติธรรมวิปัสสนาที่วัด ๗ วัน รู้สึกว่าคนชื่นชอบมาก ซึ่งก็เป็นเรื่องที่ดี เราควรหาเวลาว่างใน ๑ ปี สัก ๗ วัน ไปปฏิบัติธรรมจะดีหรือไม่ และไปวัดไหนดีขอรับ ?
      ตอบ :  ถ้าหากว่ามีเวลาควรจะทำให้มากกว่านั้น ๓๖๕ วันทำความดีแค่ ๗ วัน แล้วที่เหลือ ๓๕๘ วันขาดทุนตลอดนี่ไม่ได้เรื่องนะ ของเขานั้นลำบากด้วยทำมาหากิน งานรัดตัวจริง ๆ ถึงเวลาเขายังอุส่าห์ปลีกตัว ๓ วัน ๗ วัน เพื่อปฏิบัติได้ จริง ๆ ก็น่าสรรเสริญ
              ส่วนที่ว่าวัดไหน ก็ให้ดูว่าวัดไหนที่หลักปฏิบัติของเขาถูกต้องตรงกำลังใจของเรา ให้ทำตามนั้นมันจะได้ผลดีไม่ใช่ว่าไปเจอวัดที่เขานั่งกัน๓ วัน ๓ คืน ไม่เลิกอย่างนั้นแลวเราไปนั่งก็เจ๊งเหมือนกัน เอาให้พอเหมาะพอดีกับเรา
      ถาม :  พระอรหันต์ทั้งหลายท่านมองภูเขากับน้ำตกอย่างไร ?
      ตอบ :  ก็เห็นเป็นธรรมชาติของมัน สักแต่ว่าเห็น ไม่มีการปรุงแต่งต่อก็เป็นแค่ภูเขาน้ำตก ธรรมดาอยู่แค่นั้นส่วนของเรา ๆจะต้องสวย เออ! เรามาอยู่ที่่ก็ดีนะ บรรลัยแล้วเพราะเริ่มไปยินดียินนร้ายกับมันแล้วล่ะ
      ถาม :  หมาตัวนี้รู้สึกว่าผูกพันมาก รักเขาเหมือนลูกเลย ก่อนตายฉันเป็นห่วงเขาว่าใครจะดูแลลูกคนนนี้ ตายแล้วจะได้เป็นเทวดาหรือไม่ ?
      ตอบ :  ถ้าหากว่าสัตว์เดรัจฉานที่อยู่ใกล้คนแสดงว่ากรรมของการเป็นเดรัจฉานเขาจวนจะหมดแล้ว ถ้าจิตมันเกาะคนมันจะได้เกิดเป็นคน ถ้าจิตมันเกาะพระมันจะได้เกิดเป็นเทวดา ถ้าผูกพันกันมาก ๆ อย่างนั้น ถ้าเจ้าของไม่แก่เกินไปมันจะมาเกิดเนลูกเจ้าของเสียด้วยซ้ำไป
      ถาม :  มีคนเขากล่าวติเตียนกันมาก ว่าพระสงฆ์ทำให้ศาสนาพุทธของเราเสื่อม พระสงฆ์ในพระพุทธศาสนามีลักษณะอย่างไร ?
      ตอบ :  อ๋อ! สุปะฏิปันโน ปฏิบัติดี อุชุปะฏิปันโน ปฏิบัติตรงตามคำสอนพระพุทธเจ้า ญายะปะฏิปันโน ปฏิบัติตามธรรมนั้น สามีจิปะฏิปันโน ปฏิบัติชอบแล้วทุกประการ จริง ๆ ก็คือว่า อันนั้นเป็นเรื่องของตัวบุคคล สำคัญที่สุดตรงครูบาอาจารย์เขา ครูบาอาจารย์เขาไม่มีควารู้ก็ย่อมปล่อยปละละเลย ทิ้ง ๆขว้าง ๆทำให้ศิษย์ไม่มีความรู้ ทำอะไรผิดพลาด จนกระทั่งกลายเป็นเรื่องเป็นราวอย่างที่เห็นอยู่
              ส่วนครูบาอาจารย์ที่ท่านมีความรู้ความสามารถจริง ท่านอบรมมาแต่ละสำนักนั้นลองเข้าไปดูบ้างสิ ไม่ต้องไปไกลหรอก เอาวัดป่าบ้านตาดก็พอ จนป่านนี้ไฟฟ้ายังไม่มีเลยวัดนั้นก่อนหน้านี้อยู่ในป่า ปัจจุบันนี้วัดนั้นอยู่ใจกลางเมือง เพราะความเจริญมันไปล้อมอยู่ แต่ท่านไม่ยอมให้ไฟฟ้าเข้าวัด ท่านบอกว่าถ้าไฟฟ้าเข้าเมื่อไร เดี๋ยววิทยุโทรทัศน์ พัดลม ตู้เย็น ก็ตามมา แล้วพระก็จะไม่ค่อยยอมเป็นพระ จะไปติดสุขอยู่ตรงนั้น
              เพราะฉะนั้นวัดที่ท่านปฏิบัตติดีปฏิบัติชอบ ครูบาอาจารย์มีความความสามารถจริง ๆ มีอยู่ แต่คนเรานี่แปลกมันเหมือนสะใจตัวเองได้เห็นอะไรที่ไม่ดี ๆ แหม! ช่วยกันโขก ช่วยกันสับ ช่วยกันซ้ำแต่ที่ดี ๆ ไม่เคยยกย่อง เชิดชูหรือสรรเสริญ เหมือนอย่างกับว่า เออ! ดีแล้วก็เป็นหน้าที่ของท่านที่ดีอยู่แล้วใช่ไหม ถ้าหากว่าไม่ใช่คนที่ทำดีจากใจจริง ฝ่อเหมือนกัน คนที่ท่านทำดีจากใจจริง ทำดีเพราะว่าดีก็ทำ ท่านจะทำได้ทนทำได้นาน ไม่หมดกำลังใจง่าย ๆ ไปเจอคนประเภททำดีเพราะอยากดี ถ้าหากว่าคนไม่ชม บางทีท่านก็ฝ่อหมดอารมณ์จะทำเหมือนกัน เพราะฉะนั้นปล่อยท่านไปเถอะ ที่ดี ๆ มีให้เลือกตั้งเยอะเขาไปเลือกที่ไม่ดีก็ช่วยไม่ได้เหมือนกัน
      ถาม :  แนวคิดในการสั่งสอนบุตรด้วยการเปรียบเทียบว่า ลูกบ้านนี้ดีจัง ลูกบ้านนี้เขาเก่งกว่าเรา เขาดีจัง ทำไมไม่เอาอย่างเขาบ้าง เด็กบางคนเขาก็บอกว่า ถ้าลูกบ้านนั้นเขาดีก็เอาเขาไปเป็นลูกหรือไปอยู่บ้านเขาเสียเลย หมดเรื่องไป แนวการสอนในเชิงเปรียบเทียบเพื่อที่จะให้บุตรมีความพยายาม ให้บังเกิดความดีและเด่นกว่าเขา อันนี้ใช้ได้หรือไม่ ?
      ตอบ :  ใช้ได้สำหรับบางคนและใช้ไม่ได้สำหรับหลายคน เพราะว่าจริตนิสัยของเด็กแต่ละคนไม่เหมือนกั นจริตนิสัยหยาบนี่จะต้องประเภทเฆี่ยนกันให้หนังแตกกว่าจะยอม ถ้าจริตนิสัยละเอียดนี่อย่าเอ็ดเชียวนะ ปึงปังแม้แต่นิดเดียวเขาขวัญหนีดีฝ่อไปเลย
              เพราะฉะนั้นตัวพ่อแม่จริง ๆ น่าจะรู้ดีที่สุดว่าลูกตัวเองนิสัยแบบไหน แต่เนื่องจากว่าเขาไม่ได้ดังใจ ในเมื่อบอกว่าไม่ได้ดังใจขึ้นมาถึงเวลาอดประชดไม่ได้ ถ้าลูกเขารักดีมันก๊ดีไป ก็จะพยายามทำให้ได้อย่างพ่ออย่างแม่ว่าแต่ถ้าประเภทลูกก็รู้แย่มาจากข้างนอกแล้ว เข้ามาในบ้านยังกลายเป็นนรกอีก เดี๋ยวก็เตลิดไปกับเพื่อน เพราะฉะนั้นก็ใช้ได้สำหรับบางคนและก็ใช้ไม่ได้สำหรับหลายคน
      ถาม :  เมื่อเรื่องราวลึกซึ้งต้องการบัณฑิต คุณพระท่านทรงตรัส บัณฑิตนี้ใช่บัณฑิตที่จบการศึกษาระดับปริญญาหรือไม่ ?
      ตอบ :  ไม่ใช่ คนละเรื่อง "บัณฑิต" ในที่นี้หมายถึ งผู้มีความรู้ความสามารถที่จะตัดสินเรื่องราวได้ถูกต้องและเป็นธรรม "บัณฑิต" ที่คุณว่ามานี้เป็นบัณฑิตหน้ากระดาษ ถึงเวลาได้กระดาษแผ่นหนึ่งไปบอกว่าฉันเป็นบัณฑิตจ้ะ นั่นไม่ใช่ บัณฑิต คือ "ผู้รู้" ในความหมายของพระพุทธเจ้าท่าน "ผู้รู" นั้นท่านรู้ดีรู้ชอบ ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ
      ถาม :  คนที่สมบูรณ์พร้อม ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ หายาก ถ้าจำเป็นต้องเลือกระหว่างคนดีมีความซื่อสัตย์ ไม่คดโกงแต่ทำงานไม่เก่ง กับคนเก่งทำงานดี ถ้าเขาจะโกงบ้างเขาก็ยังเหลือเจือจานผลประโยชน์แก่เราบ้าง เลือกคนไหนดีครับ ?
      ตอบ :  เลือกได้ทั้ง ๒ คน เพียงแต่ว่ามอบหมายงานที่เหมาะสมแก่หน้าที่ให้กับเขา คุณต้องดูทหารสิ ทหารเขาแบ่งคนออกเป็น ๔ จำพวก จำพวกหนึ่ง ฉลาดแล้วขยัน ท่านบอกว่าคนพวกนี้เอาไปไว้แนวหน้า งานยากแค่ไหนเขาทำได้หมด ขยันด้วย จำพวกหนึ่ง ฉลาดแล้วขี้เกียจ ไม่ค่อยทำอะไร บอกให้เขาอยู่แนวหลังฝ่ายเสนาธิาการ คอยวางแผน แต่พวกฉลาดและขยันจะรับไปทำ อีกพวกหนึ่ง โง่แล้วขี้เกียจ ท่านบอกว่าเอาไปอยู่กับพวกฉลาดและขยันแนวหน้า พวกที่ฉลาดและขยันเขาจะลากไปจนได้แหละ ส่วนอีกประเภทหนึ่ง โง่แล้วขยัน ท่านบอกว่าพวกนี้ฆ่าทิ้งให้หมด รังแต่จะสร้างความฉิบหายวายวอดให้กับหน่วยงาน
              จริง ๆ ที่ว่าฆ่าทิ้งนั้นเป็นเพียงสำนวนเท่านั้น พูดง่าย ๆ ก็คือ อย่าไปใช้งานเขา ขืนใช้งานเขาเมื่อไร พังเมื่อนั้นโง่และขยันใช่หรืเปล่า ? ไปเจอลูกระเบิดกูแก็แกะดู สำคัญอยู่ที่เราใช้คนเป็นไหม
              อันนี้พระพุทธเจ้าท่านกล่าวไว้ในสัปปุริสัทธรรม ๗ ประการ มีอยู่ข้อหนึ่งเรียกว่า ปุคคลปโรปรัญญุตา การรู้จักบุคคคลและบริหารบุคคลได้ นั่นแหละ ธรรมนี้เป็น ๑ ใน ๗ ข้อที่พระพุทธเจ้าท่านบอกไว้ชัดเลย
      ถาม :  นักจิตวิทยาเขากล่าวว่า ผู้ที่มีสุขภาพจิตดีคือการมีจิตที่ไม่สู้ ไไม่ถอย และไม่หนี อันนี้เชื่อถือได้หรือไม่ ?
      ตอบ :  เชื่อถือไม่ได้ สุขภาพจิตดี ก็หมายความว่าต้องมีจิตใจที่ผ่องใส เบิกบาน
      ถาม :  ........................
      ตอบ :  แต่ว่าผู้ควบคุมดินฟ้าอากาศจริง ๆ กลายเป็นสุภาพสตรีสาวสวยชื่อคุณเมขลา เพราะฉะนั้น...เวลาว่าก็นึกขอให้ท่านช่วยสงเคราะห์ด้วย บอกท่านว่า "เรามีความจำเนอย่างไร แล้วค่อยว่าคาถาไป" ไม่ใช่ไปบังคับให้ท่าน"วลาหกเทพบุตร" มีหน้าที่สร้างเมฆ "วายุเทพบุตร" มีหน้าที่สร้างลม
      ถาม :  มีพระธรรมวินัยหมวดใดบ้างที่ได้กล่าวว่าการใช้ชุดสังฆทานจำนวนจำกัด แล้วใช้วนไปวนมารับสังฆทานตั้งแต่เช้าจรดเย็น เป็นการผิดในพระธรรมวินัย ?
      ตอบ :  ไม่มีบอกไว้แต่ขณะเดียวกันคนบางคนเขาไม่สบายใจ เพราะเขาเห็นว่า เมื่อไร ๆ ก็มีอยู่แค่นั้น จริง ๆ แล้วคือว่า การทำบุญทำง่ายเท่าไรสะดวกเท่าไร ผลบึญจะได้ง่ายเท่านั้น สะดวกเท่านั้นถ้าหากว่าเราต้องไปตรียมเอง สมมติว่าพระหน้าตัก ๙ นิ้ว ปัจจุบันนี้ราคาถ้าปิดทองด้วยประมาณ ๓,๕๐๐ บาท ผ้าไตรอย่างถูก ๆ ประมาณ ๗๐๐-๘๐๐ บาทนะ ถ้าอย่างที่ท่านปิงถวายนี่ ชุดนี้ ๑,๓๐๐ บาทอย่างนี้ แล้วไหนจะประเภทอาหารอีกอะไรอีก เพื่อที่จะให้ครบตามจำนวน จะต้องใช้จำนวนเงินมากเหลือเกิน คนที่มีโอกาสถวายมันน้อย การที่จัดชุดสังฆทานไว้เพื่อสงเคราะห์ให้คนมีโอกาสได้ทำบุญเสมอกัน ขณะเดียวกันไม่ต้องเสียเวลาไปหา ไม่ต้องเสียเวลาไปหอบหิ้วมาให้เหนื่อยยาก การที่ต้องไปเสาะหาหอบหิ้วมา ถ้าเหนื่อยบางครั้งอารมณ์เสีย แทนที่จะได้บุญกลับได้บาปเสียอีก
              ดังนั้นท่านที่ไม่เข้าใจไม่สบายใจ ถ้าหากท่านอยากถวาย ท่านหามาได้ก็โมทนากับท่านเถอะ ความพยายามสูงมาก แต่ของเรารู้ ฉลาดแล้ว ทำง่าย ๆ ทำไว ๆ ทำบาย ๆ ถึงเวลาจะได้รับผล ก็ได้ง่าย ๆ ได้ไว ๆ ได้สบาย ๆ เหมือนกัน จะวนไปกี่้ร้อยรอบก็ตาม อย่าลืมว่าเราใช้สตางค์คือเงิน เป็นการผาติกรรมภาษาบาลีฟังยาก แปลเป็นไทยว่า แลกเปลี่ยนกัน เสร็จแล้วสิ่งนั้นเท่ากับเป็นของเรา เราก็ถวายไป บุญก็เป็นของเรา
      ถาม :  เมื่อครั้งก่อนพระพุทธเจ้าได้กล่าวว่า "ผู้ที่เข้าถึงฌานสี่ได้ เบื้องต้นนับจากคนหนึ่งในสามแสน" ผมได้ลองใช้สูตรความน่าจะเป็นทางคณิตศาสตร์ว่า น่าจะเป็นหนึ่งในสิบยกกำลังสิบห้า พระเดชพระคุณหลวงพ่อได้กล่าวว่า "คนที่มีบารมีจะพบกับครูบาอาจารย์ที่มีบารมี คนที่ไม่มีบารมีจะไม่มีวันพบกับครูบาอาจารย์ที่มีบารมี" พระอรหันตเจ้าเป็นบุคคลที่พบได้ยากขนาดไหนครับ ?
      ตอบ :  พบได้ยากขนาดไหน พูดง่าย ๆว่า "เกิดแล้ว ตายแล้วเกิดจนนับชาติไม่ถ้วน บางครั้งก็ไม่มีโอกาสพบท่านเลย ทั้ง ๆ ที่ท่านนั่งอยู่ข้าง ๆ นั่นน่ะ เพราะว่าความโง่ ความมืด ความบอด" เราคิดว่าพระอรหันต์ต้องเป็นตอไม้ นั่งเงียบ ๆ ยิ้มอย่างเดียว หลับหูหลับตาอยู่ตลอดน่ะ เจ๊ง...! พระอรหันต์ท่านก็เป็นคนเหมือนกับเรานี่แหละ และยิ่งจิตใจท่านสบายถึงที่สุดแล้ว จริยาเล็ก ๆ น้อย ๆ ท่านไม่ระวังเสียด้วยซ้ำไป หัวเราะได้เต็มปากเต็มคำกว่าเราเยอะ ให้นั่งยิ้มอย่างเดียวไม่ไหวหรอก พบยากขนาดหนหรือ ต้องประเภทเรียกว่า สร้างบารมีมาอย่างน้อยก็โน่นน่ะ ต้องถึงระดับปรมัตถบารมี กว่าจะมีโอกาสทีจะได้ชนกันจัง ๆ หรือไม่ก็ช่วงอุปบารมีขั้นปลาย ถึงจะมีโอากสชนกันจัง ๆแต่ขณะเดียวกันบารมีต้นก็มีสิทธิ์ พูดง่ายๆ คือว่า ถ้าเรามีกรรมเนื่องกันมาแล้วเราต้องการจะทำทานบังเอิญเหลือเกิน ได้ทำกับท่านอย่างนี้แต่โอกาสที่จะรู้จักของดีจริง ๆ ต้องปรมัตถบารมีแล้วก่อนหน้านั้นก็แค่รู้ว่าท่านดี เราก็ไปทำบุญกับท่าน แต่ตอนที่รู้ว่าท่านมีความดีอย่างไร แลว้เราเลียนแบบทำตามท่านนี่ต้องตอนท้าย ๆ
      ถาม :  เคยได้ฟังปราชญ์ท่านหนึ่งเขาบอกว่า "เราสามารถว่าด่าคนได้ แต่ต้องว่าแบบไม่โกรธ" พระเดชพระคุณหลวงพ่อท่านกล่าวว่า "พระอรหันต์ท่านแสดงออกทางลีลาเป็นความโกรธ แต่ในใจไม่มีความโกรธ" เราไม่ใช่พระอรหันต์ จะด่าว่าคนอย่างไรดีครับ ?
      ตอบ :  ถ้าเป็นไปได้ ไม่ควรด่าใคร โกรธให้ระงับเอาไว้ในใจเมหือนกับขังเสือไว้ในอก ความโกรธเป็นความชั่วเรารู้อยู่ เพราะฉะนั้น...ในเมื่อมันเป็นความชั่วก็ให้ชั่วอยู่ในใจของเราอย่าให้ไหลออกทางกายวาจาไปทำให้คนอื่นเขาเดือดร้อน จะเนการก่อเวรก่อกรรมกัน ต่อไปถามว่าควรด่าอย่างไร ? ไม่ควรจะด่าเลย และในขณะเดียวกันโกรธอนุญาตให้โกรธได้ จะประเภทกระโดดโลดเต้นหน้าเขียวหน้าหน้าดำอย่างไรก็ได้ แต่ต้องไม่ผูกโกรธ หมายความว่า พอโกรธจนเต็มที่แล้วก็ลืมซะ ถ้าผูกโกรธนี่ไฟมันเผาเรานาน ไฟเผานานลำบากนาน
      ถาม :  ตัวอย่างของหมอดู ข้อที่ ๑. เขาทำนายว่า "เธอและเขาไม่ใช่เนื้อคู่ที่แท้จริงกัน อยู่ไปก็ไม่รุ่ง" ข้อที่ ๒. บุคคลนี้เป็นลูกที่พึ่งแห่งตนไม่ได้ ทั้งยามนี้และยามแก่ ข้อที่ ๓. เม่ออายุ ๖๓ เธอจะต้องตายแน่นอน หมอรับประกัน ข้อที่ ๔ ค่าบูชาครู ๙๙ บาท และต้องสะเดาะเคราะห์เพิ่มเติม หมอดูแบบใดเป็นหมอดูเฮงซวยครับ ?
      ตอบ :  ที่เฮงซวยที่สุดก็คือ ดูว่าลูกพ่อแม่พึ่งไม่ได้ โดยมารยาทเลยนะ หมอดูที่ดี ถ้าเด็กอายุยังไม่ถึง ๑๕ ห้ามทำนายเด็ดขาด บางคนลูกเกิดมาปุ๊บไปให้หมอทำนายว่าเกิดมากาลกิณี จะล้างผลาญพ่อแม่ไอ้เด็กก็เลยลำบากตั้งแต่เกิด พ่อแม่ไม่รักไม่พอ เห็นเป็นศัตรูอีกต่างหาก ถ้าเจอประเภทโหด ๆ หน่อย อาจถึงตาย
              ส่วนเรื่องทายเนื้อคู่โอกาสผิดกับถูกมีพอ ๆ กัน เพราะเนื้อคู่มี ๒ ประเภท หนึ่งคือ บุพเพสันนิวาส เกื้อกูลกันแต่ปางก่อนมา พวกประเภทนี้เห็นหน้าปุ๊บรักปั๊บเลย อีกประเภทหนึ่งคือ เกื้อกูลกันในปัจจุบันจนเห็นใจต่อกัน ถ้าหากว่าเป็นทั้ง ๒ ประเภท ทายว่าอะไรก็ตาม โอกาสถูกกับผิดมีเท่า ๆ กัน
              แต่ที่แย่ที่สุดคือ ไปทายอนาคตเด็ก ส่วนประเภทจะเลือกบูชาครู เงินทองเท่าไร สะเดาะเคราะห์เท่าไร นั่นเป็นลีลากการกระทำของเขา อาจจะเป็นไปตามสายครูบาอาจารย์ก็ได้ หรือว่าเป็นลีลากการทำมาหากินของเขาก็ได้ เรื่องอย่างนี้เราไม่ว่ากัน ถ้าฉลาดก็อยู่ห่าง ๆ ซะ เชื่อตามพระพุทธเจ้าที่ว่า "ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว" หมดเรื่องไป...!
      ถาม :  ทำอย่างไรถึงจะอธิษฐานแล้วสำเร็จดังตั้งใจคะ ?
      ตอบ :  อันนี้ไม่ต้องอธิษฐานจ้ะ ทำเลย คิดว่าเราจะไปให้ได้ รถพังก็จอดไว้แล้วก็เดินไป หรือไม่ก็เรียกแท็กซี่ไป ถ้ากำลังใจของเราอย่างนี้ มารขวางขนาดไหน เราก็ไปได เพียงแต่ว่าเขาทดสอบกำลังใจหน่อย พอเราเองมีความลำบากขึ้นมาเราก็ท้อถอยเสียแล้ว สอบตกจ้ะ
      ถาม :  ในการบวชพระ บวชสามเณร หรือการบวชชี บุญที่ได้ต่างกันไหมเจ้าคะ ?
      ตอบ :  ต่างกันจ้ะ ถ้าหากว่าการบวชพระ เจ้าตัวจะได้อานิสงส์เกิดเป็นเทวดา ๖๐ กัป บวชเณรจะได้ ๑๕ กัป บวชชีไม่ได้กล่าวถึง แต่ว่าศีลของชีน้อยกว่าเณรอยู่แล้ว ก็น่าจะได้น้อยกว่าด้วยจ้ะ เพราะว่าของพระศีล ๒๒๗ ข้อ ของเณรศีล ๑๐ ของแม่ชีศีล ๘ เท่านั้นเอง ว่ากันตามต้นทุน ต้นทุนเยอะกว่าก็ย่อมได้อานิสงส์มากกว่า
      ถาม :  ทำไมสมัยนี้ไม่ให้มีภิกษุณีล่ะคะ ?
      ตอบ :  ไม่ใช่ว่าไม่ให้มี มีไม่ได้ เพราะว่าภิกษุณีต้องญัตติในสงฆ์ทั้ง ๒ ฝ่าย แล้วต้องเป็นสิขมานาก่อนตั้ง ๒ ปี ครวนี้ตอนเป็นสิกขมานา บางครั้งรอไปรอมาอุปัชฌาย์ตายเสียก่อน ก็เลยไม่เหลือใครบวชให้ ในเมื่อไม่เหลือใครบวชให้จะไปให้พระบวชฝ่ายเดียวไม่ได้ เพราะว่าพระพุทธเจ้ากำหนดรูปแบบเอาไว้แล้ว จริง ๆ คือท่านต้องการไม่ให้มี เพราะว่าถ้าหากอย่างปัจจุบันขนาดอยู่นอกวัด ยังลากเข้าไปในวัดจนเป็นเรื่องเป็นราวกัน แล้วถ้าอยู่วัดเดียวกันแล้วไม่ยุ่งหรือ ถ้าเป็นพระอริยเจ้าก็แล้วไป ถ้าเป็นปุถุชนยุ่งบรรลัยเลย มีโอากสทำชั่วมากกว่าเดิมหลายเท่า เพราะอยู่ใกล้กันเสียแล้ว
      ถาม :  แล้วต่างจากแม่ชีอย่างไร ?
      ตอบ :  ศีลท่าน ๓๑๑ ข้อ อ่อมไปเลยไหม แม่ชีแค่ ๘ ข้อเอง
      ถาม :  แม่ชีก็ต้องอยู่ในวัดไม่ใช่หรือคะ ?
      ตอบ :  แม่ชีอยู่ในวัด แม่ชีเป็นอุบาสิกาส่วนหนึ่ง และศีลที่ระวังรักษาน้อยกว่า โอกาสลงนรกก็น้อยกว่า แต่ว่าจะเป็นแม่ชี ภิกษุ ภิกษุณี อะไรก็ตาม ถ้าหากว่าไม่มีสติสัมปชัญญะ โอกาสคิดชั่ว ทำชั่ว พูดชั่วเยอะอยู่แล้วเพราะฉะนั้น...สำคัญตรงสติสัมปชัญญะของเราเพียงพอไหมที่จะประคองตัวเองให้รอด
      ถาม :  ปัจจุบันที่มีภิกษุณีก็ไม่สมบูรณ์สิครับ ?
      ตอบ :  ถ้าหากว่ามีอยู่ก็คือเขาอ้างว่าของเขาไม่ขาดสาย แต่ว่าถ้าหากของสายเถรวาทของเรา ขาดไปนานแล้ว ถ้ามีก็มีของสายอื่น ไม่ใช่ของสายเถรวาท ตามแบบที่เราใช้ที่เราเป็นกันอยู่
      ถาม :  ในกรณีที่ผู้ไม่มีบุตรชาย แล้วต้องการบวชพระให้กับบุตรของผู้อื่น ไม่ทราบว่าบุญกุศลที่ได้จะเหมือนกับบวชให้บุตรของตนเองไหมคะ ?
      ตอบ :  ไม่เหมือนจ้ะ เอาอานิสงส์เรื่องการบวชพระแล้วกันนะจ๊ะ อานิสงส์ของการบวชพระ ถ้าเราไม่เคยทำความดีอื่นเลย มีแต่บุญบวชพระอย่างเดียวนะจ๊ะ ถ้าเกิดเป็นเทวดา ผู้บวชจะมีอานิสงส์อยู่เป็นเทวดา ๖๐ กัป พ่อแม่จะได้ ๓๐ กัป ผู้ที่เป็นเจ้าภาพจะได้ ๑๕ กัป ผ้ที่ร่วมช่วยงานบวชจะได้ ๘ กัป ก็จะเป็น ๖๐ ๓๐ ๑๕ แล้วก็ ๘ ตัวเองได้ ๖๐ พ่อแม่ได้ ๓๐ เจ้าภาพได้ ๑๕ ผู้ร่วมช่วยงานได้ ๘ คราวนี้ของเณรเจาตัวจะได้ ๓๐ พ่อแม่ได้ ๑๕ เจ้าภาพได้ ๘ คนช่วยงานได้ ๔ เพราะฉะนั้น...ต่างกันไหม เปรียบเทียบเอาเองจ้ะ
      ถาม :  พอดีว่ามีมูลนิธิที่ช่วยเหลือผู้ที่อยู่ในถิ่นทุรกันดาร ช่วยบวชชาวเขา ๒๐๐ รูปเจ้าค่ะ ไม่ทราบว่าทำอานิสงส์นี้ จะมีความแตกต่างจากการบวชพระเพียงรูปเดียวไหมคะ ?
      ตอบ :  แตกต่างมหาศาลเลยจ้ะ ถ้าเราเป็นเจ้าภาพใช่ไหมจ๊ะ ก็เอา ๒๐๐ คูณ ๑๕ ดีกว่าบวชเองซะอีก มหาศาลเลยจ้ะ ถ้าเกิดเป็นพรหมหรือเทวดาก็ลืมโลกไปเลย เพราะว่าถ้าหมดอายุของเขา สมมติว่าสองร้อยปีทิพย์หมดปุ๊บจุดติใหม่ หมดปุ๊บจุติใหม่อยู่ที่นั่นแหละ อยู่ไปเรื่อยแหละ ไม่รู้จักไปไหนเสียที เพราะฉะนั้น...ทำไปเถอะบุญอย่างนั้น ผู้หญิงบางคนเขาน้อยใจ เกิดเป็นผู้หญิงแล้วบวชไม่ได้ กลัวไม่ได้บุญ โอ้โฮ้...ทำไปเถอะ ได้เยอะกว่าคนบวชอีก ถ้าคนบวชทำชั่วก็ขาดทุนเสียด้วยซ้ำไป ของเราเองเป็นเจ้าภาพอย่างเดียว ใครบวชเอาด้วยทั้งนั้น
      ถาม :  ในการที่เรามีคนเข้ามาผู้กพันมาก ๆ แล้วคอยควบคุมเราไม่ให้เราไปไหน อันนี้ถือว่าเป็นกรรมหรือเปล่าเจ้าคะ ?
      ตอบ :  ต้องเป็นแน่ ๆ ไม่อย่างนั้นไม่มีโอกาสได้เจอกัน แต่ขณะเดียวกัน ลักษณะนั้นก็ไม่ใช่รักอย่างเดียว มันหลงแล้ว คือถ้าหากว่ารักจริง ๆ อย่างไรก็ต้องตามใจบ้าง ประเภทบังคับอยู่ตลอดเวลานั่นหลงแล้ว ไม่ใช่รัก แต่ความจริงก็น่าจะดีใจนะ มีคนคอยเฝ้าอยู่ตลอดเวลา
      ถาม :  เหมือนโดนขังคุกแบบไม่มีกรงขังเลยเจ้าค่ะ ?
      ตอบ :  แหม...เขาเรียกอะไรล่ะ กรงหัวใจ...! (หัวเราะ)
      ถาม :  แล้วจะทำอย่างไรถึงจะปลดกรงนี้ได้เจ้าคะ ?
      ตอบ :  คงต้องรอจนกว่าจะตายกันไปข้างหนึ่ง เพราะคนรักเรานี่ตีก็ไม่ไป ไล่ก็ไม่หนีอยู่แล้ว
      ถาม :  น่าจะมีทางออกดีกว่านั้นนะเจ้าคะ ?
      ตอบ :  ถ้าอย่างนั้นไปนิพพานซะ
      ถาม :  ในการส่งพลังจิตเจ้าค่ะ ผู้ที่ส่งสัญญาณกับผู้ที่รับสัญญาณ ในการส่งและรับตรงนี้ เราจะรู้ได้อย่างไร ผู้ที่รับเขาก็รับของเราได้ แล้วเราก็ส่งไปถึงเขาได้ค่ะ ?
      ตอบ :  อันนี้ของเราต้องมีความคล่องตัวในเจโตปริยญาณจ้ะ ทั้งคนส่งและคนรับควรจะมีจุดนี้ ถึงจะรู้กันได้ ถ้าไม่มีความคล่องตัวก็มีความรู้สึก เอ๊ะ...คิดถึงเขาเข้ามาเฉย ๆ อะไรอย่างนี้ แต่จริง ๆ ก็คือ เขารับได้ แต่บังเอิญกำลังตัวเองอ่อนไปหน่อย ต่างคนต่างต้องคล่องมากจ้ะ โดยเฉพาะโน่นน่ะระดับอภิญญา ถ้าอย่างนั้นชัวร์เลย
      ถาม :  แล้วทำไมเวลาเรานอน ๆ อยู่สะดุ้งขึ้นมาเลย เขาส่งพลังจิตมา เราจะทำอย่างไรดี ไม่อยากรับตรงนั้น ?
      ตอบ :  อันนั้นเครื่องรับของเราดีเกินไป อธิษฐานได้จ้ะ อาตมาเคยโดนครั้งหนึ่ง กำลังธุดงค์อยู่มัน ๆ พวกจุดธูปเรียก โอ้โฮ...แล้วงานมันงานใหญ่ต้องอบรมพระเณร สามเณรตั้ง ๘๐ กว่า พระอีกด้วยอะไรด้วยเหนื่อยแทบตายเลย เพราะต้องรีบจ้ำจากป่าออกมา แล้วหารถให้ได้แล้วกลับไปให้ทันงานเขา แล้วหลังจากนั้นอาตมาก็ตั้งใจแล้ววว่า ต่อไปใครจุดธูปเรียก จะให้มันเป็นฝ่ายเดินไปหาเรา คราวนี้ลองได้จ้ะ จุดธูปเรียกเมื่อไร คราวนี้มันตะเกียกตะกายหารถหาราไปหาเราแทบไม่ทัน
      ถาม :  เขามีการถ่ายทอดรับพลังจากพวกอัญมณีเจ้าค่ะ พลังพวกนี้เราจะได้รับถ่ายทอดได้จริงแค่ไหน แล้วเราจะรู้ไหมว่าพลังเหล่านั้นเพียงพอแล้ว ไม่ต้องรับแล้ว ?
      ตอบ :  สิ่งทั้งหลายทั้งปวงจริง ๆ ต้องใช้คำว่า เป็นภายนอก พลังงานมีอยู่ในทุกวัตถุธาตุ แต่บังเอิญว่าวัตถุธาตุบางอย่างการเรียงตัวของโมเลกุลเขานั้น เหมาะสมที่จะเก็บพลังได้มากกว่าอย่างอื่น แล้วถึงเวลาถ้าใครมีความสามารถดึงพลังงานนั้นไปใช้การได้ ก็เท่ากับประหยัดเวลาของตัวเอไป
              อย่างเช่นว่า ถ้าเราจะรักษาโรคความเจ็บไข้ได้ป่วยตัวเอง ต้องมานั่งกำหนดจิตนึกถึงใช่ไหม เสียเวลานาน แต่ในขณะเดียวกั นถ้าดึงพลังงานจากพวกแท่งแก้วมันช่วยได้เร็วกว่า ตรงกว่า
              แต่ว่าขณะเดียวกันอย่าลืมว่านั่นเป็นสิ่งภายนอก มันไม่ยั่งยืน สิ่งที่ยั่งยืนที่สุดก็คือ พลังภายในใจของเรา โดยเฉพาะพลังงานอย่างไรที่เราจะสยบรัก โลภ โกรธ หลง ให้บรรดเทาลง จนกระทั่งกดให้มันมอดดับไปได้ หรือว่าตัดขาดมันขาดลงไปได้ ทุกอย่างมีพลังงานอยู่จ้ะ เพียงแต่ว่าการจัดเรียงโมเลกุลของเขาเหมาะสมที่จะเก็บพลังงานได้มาก พูดเป็นวิทยาศาสตร์หน่อยนะ
      ถาม :  ถ้าอย่างนี้พวกพลังงานจากลม พลังงานจากแสงอาทิตย์
      ตอบ :  ถ้าเป็นธาตุสี่นี่พลังงานมหาศาลกว่าเยอะ เพราะพวกที่เก็บพลังงานก็คือ ดึงพลังงานเหล่านั้นมา แต่อย่าเอาอย่างอาตมานะ เกือบตายไปแล้ว ภาวนา ๆ อยู่เห็นอนุภาคไฟฟ้าเต็มไปหมดเลย อันนี้บวก อันนี้ลบ โปรตรอน อีเล็คตรอน วิ่งให้ยุ่งไปหมด เลยคิดวิธีลัด นี่แหละกำลังภายใน ถ้าเราดึงเข้ามาในตัวได้ เราก็ประเภทเหาะได้เหมือนกำลังภายในเขา ก็เลยรวมรวมกำลังใจดึงมันเข้ามา โอ้โฮ...เกือบจะจับตัวเองนั่งเก้าอี้ไฟฟ้า รู้สึกตัวพองวูบเลย เหมือนสมองจะกระจายไปยังกระหม่อมตาถลนออกมา รีบตัดมันแทบไม่ทัน นอนแผ่ไป ๒ ชั่วโมงกว่า ลุกไม่ขึ้น อย่าเผลอทำอย่างนั้นนะ บางอย่างแรงและอันตราย เรางกจะเอาวิธีลัด