สนทนากับพระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
เดือนมิถุนายน ๒๕๔๔ (ต่อ)
ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ

      ถาม :  บางทีอย่างเสื้อผ้าเขาใส่ไม่ได้ หนูก็สงสารเด็กคนอื่นหนูก็เอาไปบริจาค
      ตอบ :  ถ้าอย่างนั้นก็ทำถูกแล้ว ค่อย ๆ สอนเขา
      ถาม :  ตอนนั้นหนูนั่งกรรมฐานเอง เสร็จแล้วไม่ได้อะไรนะ แต่ฝันไปว่า ถ้าจะนั่งกรรมฐานจะต้องมีอาจารย์ค่ะ อย่างนี้เราสมควรทำอย่างไรคะ ?
      ตอบ :  ก็พระพุทธเจ้าเป็นอาจารย์ไงโยม ตั้งใจจุดธูปเทียนมีดอกไม้ มีของหอมอะไร บูชาพระรัตนตรัย อธิษฐานได้เลย แต่ถ้าหากว่าเพื่อความแน่นอน ต้องการจะมีครูบาอาจารย์ที่เป็นกัลยาณมิตรของเรา ไม่ว่าจะเป็นพระหรือฆราวาสอะไร อย่างนั้นค่อยว่ากันอีกที แต่ถ้าหากว่าอยากจะทำ เริ่มต้นได้เลย ถือพระพุทธเจ้าเป็นครู ครูใหญ่ที่สุด ไม่มีใครใหญ่กว่านั้นอีกแล้ว
      ถาม :  คืออ่านในหนังสือ เห็นหลวงพ่อบอกว่าให้ทำที่บ้านก็ได้ นั่ง ๆ ไป แล้วมีคืนหนึ่งก็ฝันว่า ถ้าจะนั่งต้องมีอาจารย์ไงคะ ต้องทำไง เลยไม่แน่ใจ
      ตอบ :  ลองขึ้นครูดูมั่งก็ได้ ถ้าหากว่าขึ้นครูตามแบบของหลวงพ่อ ใช้ธูปสามดอก เทียนหนึ่งเล่ม ดอกไม้สามสี สีละดอก แล้วก็เงินบูชาครูหนึ่้งสลึง
      ถาม :  แล้วจะต้องทำยังไงคะ เวลาบูชา ?
      ตอบ :  บูชาหน้าหิ้งพระ ตั้งใจว่า กรรมฐานในสิ่งที่หลวงพ่อสอนไว้ โดยเฉพาะมโนมยิทธิทั้งหลายนี้ ลูกขออนุญาตฝึก ขอให้ได้โดยสะดวกและคล่องตัวด้วย ให้ได้ง่าย ๆ ด้วย ไม่งั้นบางคนปล้ำกันตายเลย
              ลงไปใต้งวดนี้ เจอโยมคนหนึ่งฝึกธรรมกายมาแบบทุ่มเทเลย แล้วไม่ได้ เป็นปี ๆ ก็ไม่ได้ บอว่ากระทั่งดวงปฐมมรรคก็ประคองไม่อยู่ พอประคองไม่อยู่ วันนั้นคงประเภทเหนื่อยใจเต็มที่แล้ว ก็เลยบอกว่าได้ไม่ได้ช่างมัน วันนี้นอนแล้ว พอเอนตัวลงก็พอดีโพล๊ะเลย คือเขาทุ่มมากเกินไป มันเลยเป้าที่ต้องการ พอลดกำลังใจลงมา
              ดูแล้วโยมคนนี้ตัวอย่างเหมือนพระอานนท์ ตอนก่อนทำสังคายนาใช่มั้ย ? รุ่งเช้าเป็นวันสังคายนา กลางคืนท่านก็เิดินจงกรมกันยันสว่างเลย เสร็จแล้วก็เหนื่อยมเต็มที่ ไม่เป็นพระอรหันต์สักที ก็เอ้า ! ช่างมัน เป็นไม่เป็นก็ช่าง นอนแล้ว พอเอนตัวลงไม่ทันจะถึงหมอน เลยบรรลุตรงนั้น กลายเป็นว่าท่านบรรลุในท่าที่แปลกกว่าใครเพื่อนเลย ยืน เดิน นั่ง นอน พร้อมกันเลย จะยืนก็ได้ เพราะว่าเท้าหนึ่งยังแตะพื้นอยู่ จะเรียกว่านั่้งก็ได้เพราะก้นก็แตะเตียงอยู่ จะเรียกว่านอนก็ได้เพราะว่าตัวเอนลงไปแล้ว (หัวเราะ) เป็นพระอรหันต์องค์เดียวที่บรรลุในอิริยาบทที่แปลกไปกว่าเขา ลักษณะเดียวกับโยมคนนั้นแหละ
              แล้วตัวเองที่ปฏิบัติมาในระยะแรกที่ฝึกมาโดยไม่มีครูก็แบบเดียวกัน ภาวนามาใจก็คือว่าปรารถนาจะให้ได้ปฐมฌานอย่างน้อย เพราะว่าฟังคำเทศน์หลวงพ่อท่านบอกว่า กำลังอย่างน้อยถึงปฐมฌานถึงจะตัดกิเลสได้ โดยเฉพาะกิเลสระดับพระโสดาบัน พระสกิทาคามีกำลังของปฐมฌานก็พอแล้ว ก็พยายามจะให้มันได้ ทุ่มเทเวลาปีแล้วปีเล่า สามปีเต็ม ๆ ไม่ได้เลย พอวันที่มันจะได้ขึ้นมา ก็ลักษณะเดียวกับเขาก็คือว่า ทำมาตั้งเยอะตั้งแยะแล้วไม่ได้ซักที ก็เรื่องของมันเหอะ ได้ไม่ได้ก็ช่าง เรามีหน้าที่ทำของเราก็แล้วกัน ลงร่องโป๊ะเลย ถ้าเราลดกำลังลงไปแค่พอดี มันจะได้เดี๋ยวนั้นเลย
              แต่คราวนี้ไอ้พอดี กว่าจะเข้าถึงแต่ละคนมันลำบาก พอเข้าได้ซักทีแล้วต่อไป มันจะง่าย เพราะว่าเราจำอารมณ์ตรงนั้นง่าย
              ลักษณะของโยมคนนั้นแบบเดียวกันเลย โยมคนนั้นอยู่หาดใหญ่ฝึกธรรมกายทุ่มเทมากเลย เป็นลูกศิษย์ของนายอำเภอวิวัฒน์ เรืองมณี เคยได้ยินกันมั้ย ? ท่านนายอำเภออยู่ทางด้านโน้นนี่ท่านสอนสองอย่างเลย สอนทั้งธรรมกาย สอนทั้งมโนมยิทธิ เพราะว่าพอถึงตอนสุดท้ายแล้วเหมือนกัน พอเหมือนกันท่านสอนสองอย่าง โดนคนเขาว่าเพี้ยนบ้าง อะไรบ้าง แต่ท่านสอนลูกศิษย์ลูกหาไปซะเยอะแยะ
      ถาม :  กลัวทำอะไรที่ผิดไปโดยที่เราไม่รู้ แล้วเป็นบาปนะคะ ก็ขอกราบขมาอภัย
      ตอบ :  จ้ะ....เวลาจะทำอะไร ตั้งใจขอขมาต่อหน้าพระ โดยเฉพาะพระพุทธรูป พระทุกองค์ก็คือศากยบุตร ก็คือลูกของพระพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นขอขมาตรงต่อท่าน ท่านไม่ถือโกรธเราอยู่แล้ยว แต่ถ้าจะเอาให้พ้นจริง ๆ ต้องขอขมาต่อพระรัตนตรัย โดยมีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน
              เพราะฉะนั้นก่อนสวดมนต์ไหว้พระ ก่อนทำกรรมฐานทุกครั้งควรจะกราบขอขมาพระรัตนตรัยก่อน หลวงพ่อท่านสอนให้ปฏิบัติจนชิน จนกระทั่งทุกวันนี้ อาตมากราบพระเมื่อไหร่คนเขาจะเห็นว่ากราบหลายที คือครั้งแรกกราบก่อน หลังจากนั้นขอขมาพระรัตนตรัย ก็กราบอีก สวดมนต์เสร็จก็ค่อยกราบ เพราะฉะนั้นอย่างน้อย ต้องเก้ากราบไปแล้วล่ะโยม โดยเฉพาะนักปฏิบัติ พอเริ่มเข้าเขตอุปจารสมาธิไปแล้ว มารเขารู้ว่าเราจะหนีห่างไปแล้ว เขาจะหาวิธีขวางเราไว้ทุกวิถีทาง วิธีขวางที่ง่ายที่สุด ก็คือทำให้เราเกิดการลังเลสงสัย หรือทำให้เรามีความคิด มีคำพูด มีการกระทำ ที่เป็นการปรามาสในพระรัตนตรัย พอเราเกิดความคิด มีคำพูด หรือมีการกระทำอย่างนั้น อย่าไปเสียอกเสียใจ อย่าไปหนีห่างจากความดีตรงจุดนั้น
              ให้คิดว่า ถ้าสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ ขึ้นชื่อว่าสิ่งที่ไม่ดีทั้งหลายเหล่านี้เราไม่ทำอยู่แล้ว แต่ว่าในขณะนี้ด้วยการชักนำของกิเลส ตัณหา ของอุปาทาน ของอกุศลกรรม พาเราไป พาให้เราทำสิ่งที่น่าเกลียดน่าชังเช่นนี้ ถึงไม่ใช่เจตนาโดยตรงของเราก็เถิด แต่เราก็เต็มใจกราบขอขมาพระรัตนตรัย แล้วก็ตั้งใจกราบขอขมาไป พวกนี้เขากลัวคนหน้าด้าน ถ้าเราหน้าด้านตื๊อสู้อยู่ เขาก็ถอย รู้ทันเขาก็ถอย เพราะฉะนั้น ทุกคนที่ปฏิบัติอยู่ต้องผ่านจุดนี้ทั้งนั้น แล้วมารมีตัวตนจริง ๆ เขามาแต่ละทีน่ากลัวมาก
              อาตมาเจอเข้ามาแล้ว ครั้งแรกที่เป็นเด็ก ๆ ท่องอะไรนะ พญามารยกพลมาผจญพระพุทธเจ้า เหมือนยังกับคลื่่นในมหาสมุทร เจอเข้าจริง ๆ ลักษณะนั้นเลย เขามาอย่างชนิดที่ว่า เหมือนกับว่าเราไม่มีทางที่จะต่อต้านเขาได้แม้แต่น้อย แต่ว่าเราถอยไม่ได้ ต้องสู้ เจอเข้าจริง ๆ แต่ไม่ต้องกลัว ให้คิดเสียว่าเขาทำหน้าที่ของเขา เราทำหน้าที่ของเรา มารไม่ใช่ศัตรูแต่เป็นครูที่ขยันที่สุด เพราะเขาทดสอบเราทุกวินาที เขาเป็นผู้มีอุปการะคุณต่อเราอย่างยิ่ง ถ้าเราไม่ผ่านการทดสอบของเขา เราก็ยังคงติดอยู่ที่เดิม แต่ถ้าเหากว่าเราผ่านไป ตรงจุดนั้น เราจะไม่แพ้อีก
              ครูที่ขยันออกข้อสอบขนาดนั้น น่าจะยกขึ้นหิ้งเสียด้วยซ้ำไป คิดเสียว่าเป็นหน้าที่ของเขา เขามีหน้าที่ขวางให้เขาขวางไป เราทำหน้าที่ของเรา ราจะหนีให้พ้น เราก็หนีของเราไป ต่างคนต่างทำหน้าที่ของตัวเอง ไม่มีใครผิด ไม่มีใครถูก ไม่มีใครดี ไม่มีใครชั่ว ต่างเป็นเพื่อนร่วมทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย เหมือนกัน แผ่เมตตาอโหสิกรรมให้เขา เขาทำต่อไป ก็ตั้งใจแผ่เมตตาให้เขาต่อไป เราไม่มีทางสู้เขา ไม่ว่าวิธีไหนก็แล้วแต่ ยกเว้นว่าเลิกสู้ไม่ต่อยกับมันซะอย่างมันจะมาต่อยเราฝ่ายเดียวก็ให้มันรู้ไป เกือบตายนะ โดนมาทุกวิถีทางเลย
              ไอ้งานนั้น ประมาณสิบกว่าวันไม่ได้กิน ไม่ได้นอน ตามที่อ่านในตำราที่บอกว่า เวลาเขามามีลักษณะตัวดำเป็นนิล มาลักษณะนั้นจริง ๆ โอ้โห ! แล้วเวลาเขามานี่ พลังที่รุมล้อมรอบข้างนี่ เหมือนยังกับไก่ไปเจองูน่ะ เราเองลุ้นไม่ขึ้นเลย มีอย่างเดียวจะยอมหมอบราบคาบแก้วแพ้ซะท่าเดียว
              ยกเว้นกำลังใจสุดท้ายที่คอยเตือนสติว่า ถ้าแพ้เราจะเป็นทาสเขาตลอดไป มันต้องสู้อย่างเดียว แต่ก็อย่างว่าแหละ สู้ไปสู้มา สู้เท่าไหร่ ก็สู้เขาไม่ได้นะ จะใช้ความสามารถพิเศษรบกับเขา เราแพ้ตั้งแต่ยกแรกเลย เพราะว่าสู้ก็คือเกิดโทสะ ก็เสร็จเขา ใช้กำลังใจแผ่เมตตาอย่างเดียวก็สู้เขาไม่ได้เพราะว่ากำลังเขาสูงมาก ขนาดพระพุทธเจ้ายังเอาเขาไม่ได้ ตรงจุดนี้ไม่ใช่ว่าพระพุทธเจ้าท่านไม่เก่งนะ (หัวเราะ) เก่ง แต่ว่าเนื่องจากว่าให้เท่าไหร่เขาไม่่รับ มีปัญญาให้ไปซิ เราก็แย่อยู่ฝ่ายเดียว ตื๊อกันเข้าไปซิ ฟาดกันอยู่นานเนกาเล คิดว่างานนี้แค่ตาย ปรากฏว่าตื๊อไปตื๊อมา มันอาจพ้นวาระกรรมของเราพอดีก็ได้ ก็ถอยให้ แต่กว่าจะถอย เล่นเอาเราซะงอมพระราม

      ถาม :  แล้วถ้าเขาไม่ถอยล่ะครับ จะสู้ยังไง ?
      ตอบ :  ไม่ต้องไปสู้หรอก สู้เขาไม่ได้แน่ เป็นพวกเดียวไปเลย หรือไม่ก็ต่างคนต่างทำงานไป คืออย่าไปเห็นเขาเป็นศัตรูนะ ต่างคนต่างทำหน้าที่ตัวเอง ให้เป็นพวกเดียวแบบหมอบราบคาบแก้วให้แก่เขา นั่นก็เสร็จเลย แล้วส่วนใหญ่ ถ้าทำไปถึงก็จะโดนเหมือน ๆ กัน เพราะว่าพระส่วนใหญ่ พอปฏิบัติไปแล้วก็จะกลายเป็นหลักของโยมต่อไป ไอ้คนที่เป็นคนนำขบวนหรือเป็นหัวหลักพลอยให้คนอื่นเขายึด เขาจะตีตรงนั้นมาก
      ถาม :  แ้ล้วคนช่วยที่อยู่รอบข้าง (ฟังไม่ชัด)
      ตอบ :  ตัวช่วยจริง ๆ อยู่รอบข้าง นั่นคือว่า ทุกสิ่งทุกอย่างที่เราเห็น สามารถเป็นครูให้เราได้ทั้งนั้น คนอื่นที่เขานั่งอยู่นะ เขาเจ็บมั้ย ? ป่วยมั้ย ? เมื่อยมั้ย ? ทั้งหมดล้วนแล้วแต่กำลังเป็นไปอยู่ในทุกข์ทั้งสิ้น เขาก็ทุกข์ เราก็ทุกข์
              แต่ขณะเดียวกันไอ้ตัวช่วยรอบข้างนี่แหละ จะกลายเป็นบริวารของมารได้ทุกเวลาเหมือนกัน สิ่งที่เราเห็น สิ่งที่เราได้ยิน ถ้าเรารับเข้ามาในใจ โดยปราศจากการระมัดระวัง มันพร้อมที่จะก่อให้เกิดการกระทบ พอกระทบเมื่อไหร่ เราส่งใจออกไปรับรู้เมื่อไหร่ ก็แปลว่าทุกข์เมื่อนั้น ตัวช่วยอยู่รอบข้างเหมือนกัน แต่ขณะเดียวไอ้ตัวคอยซ้ำอยู่รอบข้างเหมือนกัน ตัวเดียวกันด้วย ที่บอกว่ามารกับความดี หน้าตาเหมือนกันเปี๊ยบเลยนั่นแหละ ก็คือตรงจุดนี้แหละ มันอยู่ที่ใจของเรา ถ้าใจของเราดี รอบข้างดีหมด ถ้าใจของเราไม่ดี รอบข้างก็ไม่ดีไปด้วย
              หลวงปู่ขาว สมัยโน้น...ท่านเล่าให้ฟัง พอท่านผ่านจุดของการต่อสู้ไป จนมั่นใจว่าไม่แพ้แล้ว ขนาดกุฏิเก่า ๆ ทั้งหลัง กราบแล้วกราบอีกไม่เบื่อ กุฏิเก่า ๆ อยู่มาตลอดไม่เคยมองด้วยซ้ำเลย กลายเป็นครูไปได้ยังไงก็ไม่รู้ ..เอาแค่ทุกข์ตัวเดียวนะ ทุกคนเวลาเกิดความทุกข์ก็จะไปคร่ำครวญอยู่กับมัน ลำบากเหลือเกิน ทุกข์ยากเหลือเกิน แต่ว่าในสายตาของพระปฏิบัติที่ทำไปถึงตรงจุดนั้นแล้ว ทุกข์นั้นมีค่ายิ่งกว่าเพชรกว่าทองอีก เงินเท่าไหร่ก็ซื้อไม่ได้ อดีตโบราณาจารย์หลายลัทธิที่มีความสามารถสูงมาก มีชื่อเสียงเป็นที่เลื่องลือ ปฏิบัติมาตลอดทั้งชีวิต ก็ไม่สามารถจะเห็นอริยสัจที่แท้จริงตัวนี้ได้
              พระพุทธเจ้าของเราบำเพ็ญบารมีอย่างน้อยสี่อสงไขย กับหนึ่งแสนมหากัป ปฏิบัติด้วยความลำบากยากเข็ญถึงหกปีเต็ม ๆ ด้วยปัญญาธิคุณอันล้ำเลิศ พระองค์ท่านจึงตรัสรู้เห็นอริยสัจอันนี้ได้ ไอ้ของที่หาได้ยากเย็นแสนเข็ญขนาดนั้น ปรากฏอยู่เฉพาะหน้าของเราแล้ว เงินทองเท่าไหร่ก็ซื้อไม่ได้ กลายเป็นของที่มีค่าชนิดที่ไม่สามารถจะไปควานหาตรงไหนได้ ของที่เราว่าไม่ดีแท้ ๆ กลายเป็นของมีค่าในสายตาของท่านไป ตามทันมั้ยตรงนี้ ? ตามไม่ทันพูดใหม่ก็ไม่เหมือนเดิม (หัวเราะ)
              เพราะฉะนั้น ทุกสิ่งทุกอย่างมันจะมีมุมมองของมันเอง เมื่อไปถึงตรงจุดนั้นแล้ว จะไม่มีดีไม่มีชั่วนะ ดีชั่วก็เป็นแค่สมมุติ สิ่งที่เห็นคือผู้ที่กำลังเป็นไปตามกรรม กระแสกรรม อันนั้นมีดำกับขาว ฝ่ายขาวพาเราขึ้นสูง ฝ่ายดำพาเราลงต่ำมันอยู่ที่ว่าเรากระโดดไปกระโดดมาอยู่ในสองกระแสนี้ จนกว่าจะเด็ดขาดสิ้นเชิงไป หลุดออกจากแกระแสทั้งคู่เสียก็หลุดพ้น แต่ถ้าหากว่ายังไม่สามารถหลุดพ้นได้ ต้องเกาะกระแสสีขาวเสียก่อน เกาะไว้เหมือนกับเราขึ้นบันไดสูง ๆ ให้เกาะราวบันไดไว้ก่อน เป็นการประกันความเสี่ยงนะ แล้วถึงเวลา ถ้าหากว่าเราขึ้นมา
              สมมุติว่าเป็นห้องนี้ เข้ามาในห้องเราก็ไม่ได้แบกราวบันไดมาด้วย เรากองมันไว้ที่เดิม อันดับแรก เราต้องเกาะก่อน คือเกาะดี แล้วหลังจากนั้นพอถึงที่สุดแล้วมันถึงจะพ้นดี หลวงปู่มหาอำพันที่อาตมาจะทำบุญถวายร้อยปีเกิดของท่าน ท่านใส่บาตรทุกเช้า อาตมาอยู่วัดเทพศิรินทร์กับหลวงปู่สี่ปีเต็ม ๆ คอยดูแลปรนนิบัติท่าน เพราะว่าท่านอายุมากแล้ว มรณภาพตอนแปดสิบแปด ท่านใส่บาตรทุกเช้า พระทุกองค์ท่านบอกว่านิมนต์นะครับ ตอนไปทำวัตรเย็น นิมนต์นะครับ ถ้าท่านใดออกบิณฑบาตรกรุณาผ่านกุฏิผมด้วย ขอเป็นเนื้อนาบุญของผมบ้าง พระทุกองค์เดินผ่าน ท่านจัดเตรียมอาหารอยู่ ท่านก็ใส่บาตรทุกวัน ไอ้ของเรามันก็ตื่นมาช่วยท่านทุกวัน ช่วยไปช่วยมามันขี้สงสัย คือเรารู้ว่าหลวงปู่เป็นพระดีแน่นอน ก็กราบเรียนว่าหลวงปู่ครับ บุญของหลวงปู่ก็กินไม่ไหว ใช้ไม่หมดอยู่แล้ว แล้วหลวงปู่ยังต้องไปทำ ทำอะไรอีก ท่านบอกว่า ไฮ้ ! ....คุณก็ คนเราถ้าหากว่าปีนขึ้นไปบนหน้าผาแล้ว มันก็มีแต่ต้องรีบตะเกียกตะกายไปให้ห่างจากมันให้มากที่สุด
              คือพระที่ท่านเข้าถึงความดีแล้ว ท่านจะทรงความไม่ประมาทอยู่เสมอ ของเราเองนี่ประมาทเต็มตัวเลย ไม่ต้องห่วง ทำดีพอแล้ว ไม่ต้องทำอีกก็ได้ พอกินแล้ว เกิดหาใหม่ไม่ทันก็อดกิน นั่นแหละ ครูบาอาจารย์ แต่ละองค์ ๆ ท่านจะให้ในสิ่งที่เป็นแบบอย่างแก่เรา แล้วเราเองเอาสิ่งทั้งหลายนั้นมาประยุกต์ นำส่วนที่พอเหมาะพอสม มาปฏิบัติกับตัวเราให้เกิดคุณกับตัวเราได้ ไม่ใช่ยกมาทั้งแท่ง ไอ้ยกมาทั้งแท่งที่บอกว่าสู้แค่ตาย อาตมาตายฟรีมาแล้วจ้ะ เขาบอกว่าเรียนรู้ตามตำราถือว่าเก่งใช่มั้ย ? ต้องพลิกแพลงใช้งานได้ถึงจะยอด แต่ถ้าเยี่ยมจริง ๆ ให้บัญญัติใหม่ (หัวเราะ) ของเราไม่เก่งขนาดนั้น ต้นบัญญัติจริง ๆ คือพระพุทธเจ้าเท่านั้น อาตมาไม่เอาด้วย
      ถาม :  พรรษานี้ผมจะไปอยู่ที่ ...(ฟังไม่ชัด).....
      ตอบ :  ที่ไหนก็ได้ สำคัญตรงใจเรา ส่งออกเมื่อไหร่ทุกข์เมื่อนั้น ตอนแรกต้องหยุดมันให้ได้ก่อน โดยเฉพาะหยุดคิด นี่แหละ น้ำผลไม้มันก็แค่น้ำผลไม้ ถ้าเราคิดต่อแช่เย็นซะหน่อยก็เข้าท่าดี ก็ไปซะแล้ว เอ๊ะ !...ถ้าเป็นน้ำส้มก็แจ๋วใช่มั้ย น้ำส้มเคยไปกับสาวแล้วสั่งกินนี่หว่า ไปอีกแล้ว ถ้าหากว่าน้ำส้มเป็นเหล้าก็เคยกินเหมือนกันก็บรรลัยเลย
              เพราะฉะนั้น มันต้องหยุดมาตั้งแต่เหตุให้ได้ ถ้าสติรู้เท่าทัน มองปุ๊บมันรู้เลยว่า ถ้าคิดอย่างไงจะเป็นโทษอย่า่งไร มันจะตัดตั้งแต่ตอนนั้น ตอนที่ควานหาสติตัวเองนี่ มันยากเย็นแสนเข็ญ เรียนตำรามาเท่าไหร่ก็ใช้การไม่ได้ แค่เป็นเลา ๆ ให้เราเท่านั้นเอง ตำราทุกอย่างเหมือนกับแผนที่มันเป็นเส้นขีด ๆ เท่านั้น การปฏิบัตินี่มันเดินในภูมิประเทศจริง มันหกล้มหกลุกไปเรื่อย
      ถาม :  ...............................
      ตอบ :  บอกเอาไว้ว่าธรรมะของพระพุทธเจ้า เกวละปริปุณนัง ปริสุทธัง สมบูรณ์บริบูรณ์แล้ว ตัดก็ขาด เติมก็เกิน ในปัจจุบันนี้มันจะมีประเภทที่เรียกว่า สัทธรรมปฏิรูปมาก พอเข้าไปถึงในระดับหนึ่งก็จะไปทึกทักเอาว่า ธรรมะของพระพุทธเจ้าคือตรงนั้น
              อันนั้นจะเป็นการเอาทิฏฐิ คือความเห็นของตนเองไปปนกับธรรมะของพระพุทธเจ้าที่เป็นของบริสุทธิ์จริง ๆ เราทำถึงตรงนั้นน่ะดี ถูก แต่มันดีแค่นั้น ถูกแค่นั้น มันยังดีไม่หมด ยังถูกไม่หมด พอเราก้าวข้ามตรงจุดนั้นไปก็จะมีดีตรงนั้น ถูกตรงนั้น ซึ่งจะดีกว่าจุดเดิมอีก เราก็จะไปยึดว่าตรงนี้ดี ตรงนี้ถูกอีก เผลอเมื่อไหร่มันยึดทันที การยึดนี่ไม่ว่าจะยึดดี จะยึดชั่ว มันไปไม่รอดทั้งคู่ ตอนแรกยึดดีไว้ก่อน พอเวลาถึงตอนสุดท้ายมันต้องปล่อยดีด้วย
      ถาม :  ............................
      ตอบมหาผล คือผลไม้ที่มีขนาดใหญ่เกินมะตูม ถ้าหากว่าคั้นน้ำมาแล้ว ห้ามฉัน ปรับเท่ากับฉันอาหารปรับทุกคำเลย ตอนแรกก็สงสัยว่า ทำไม เพิ่งจะมารู้ระยะหลัง ๆ นี่เอง ไปอ่านเภสัชโภชนา พวกมหาผลนี่ส่วนใหญ่ฮอร์โมนจะเยอะ ฉันเข้าไปเดี๋ยวอยู่ยาก พระพุทธเจ้าท่านห้ามมาตั้งสองพันกว่าปีแล้ว ตำราเพิ่งเรียนทัน โดยเฉพาะน้ำมะพร้าว ยืนยันเลยว่ามากเป็นพิเศษ
              สมัยก่อนนี้เขาห้ามผู้หญิงท้องกินน้ำมะพร้าวใช่มั้ย เดี๋ยวนี้แนะนำให้กินให้เยอะเข้าไว้ เด็กมันจะได้เจริญเติบโตและแข็งแรง ลองทดสอบดูนะ มหาผลอย่างพวกแตงโม สับปะรด ส้มโอ หรือไม่ก็มะพร้าวอย่างนี้ พวกนี้ส่วนใหญ่แล้วน้ำของเขามีฮอร์โมนเยอะ แล้วจะมีสารที่ทำให้ท่อปัสสาวะระคายเคือง พวกนี้พอลงไปเมื่อไหร่ก็ได้เรื่องเท่านั้นแหละ จะทำให้พระอยู่ลำบาก