ถาม :  เกิดเหตุขึ้นเจ้าค่ะ คือ ในช่วงที่เราไปช่วยดูให้กับบุคคลหนึ่ง แล้วพอเห็นภาพเขาล่วงหน้าว่าเขาจะมีรถพุ่งเข้ามาชน มีอุบัติเหตุรถชน เราก็บอกเขาล่วงหน้าว่าจะเกิดเหตุการณ์อุบัติเหตุรถชนนะ แล้ว....
      ตอบ :  พอเกิดก็เราเองจ้ะ อันนี้โทษใครไม่ได้ เพราะเราไม่ได้ดูว่ากรรมเก่าของเขาทำไว้อย่างไร แล้วจะต้องรับผลนั้นอย่างไร เราไปดูตรงผลนั้นเลย ถ้าเรารู้ว่าเขาเคยทำไว้เขาจำเป็นต้องรับนี่ บางทีรู้ ๑๐๐ พูดได้แค่ ๑๐ เท่านั้นเอง หรือไม่ก็พูดได้ลักษณะหนึ่งเดียวคือ บอกใบ้ให้เขารู้ตัว ถ้าหากว่าเขาไม่อาจจะรู้ตัวแสดงว่ากรรมนั้นหนักเขาจำเป็นต้องรับ มันเหมือนยังกับว่าเขากำลังยิงเป้าคือคน ๆ หนึ่ง แล้วเราเองไปยืนขวางคน ๆ นั้นไว้ กระสุนจะโดนใครจ๊ะ ? เออ ! โดนเรา เพราะฉะนั้นเราทำก็รับซะหน่อย
      ถาม :  แล้วเราทำบุญหนีไม่ได้หรือครับ ?
      ตอบ :  ก็ลองดู (หัวเราะ) พระพุทธเจ้าบอกว่า หนีกรรม....ไม่ว่าจะไปซ่อนอยู่ใต้เม็ดทรายก้นมหาสมุทร หรือซ่อนอยู่ในกลีบเมฆ อยู่ในซอกเขา หรืออยู่ก้นเหวลึก ยังไงก็หนีไม่พ้น กรรมมันเก่งมันหาเจอพวกนี้ น่าจะไปเปิดบริษัทตามคนหาย
      ถาม :  ทีนี้พอหลังจากนั้นเขาก็ยังโดนนะคะ
      ตอบ :  จ้ะ ก็กรรมของเขา เขาก็ต้องรับอยู่แล้ว
      ถาม :  เขาโดนทีนี้พอเขาโดนปุ๊บเขามีความรู้สึกว่าเราดูเขาได้ถูกต้อง เขาก็พาคนมาตรึมเลยเจ้าค่ะ
      ตอบ :  อาตมาก็โดนอย่างนี้แหละจ้ะ
      ถาม :  แล้วทำยังไงดีเจ้าคะ ?
      ตอบ :  จะทำยังไงดี... หลีกได้ก็หลีก หนีได้ก็หนี รีบชิ่งซะตั้งแต่แรกก่อนที่คนจะรู้มากกว่านี้
      ถาม :  ชิ่งยังไงเจ้าคะ ?
      ตอบ :  ย้ายบ้านหนีเลย (หัวเราะ)
      ถาม :  เขาไปนั่งรออยู่หน้าบ้านเลยล่ะเจ้าค่ะ
      ตอบ :  จ้ะ ....ก็ธรรมดานี่ ถึงเวลาที่สมควรจะดังแล้วมั้ง
      ถาม :  แต่ว่ามันเหนื่อย พอเหนื่อย ...(ไม่ชัด)....
      ตอบ :  เหนื่อยจ้ะ กำหนดเป็นเวลาดีกว่านะ อย่างเช่นว่า วันหนึ่งดูให้ชั่วโมงเดียวแล้วก็จำกัดให้ถามได้คนละไม่เกิน ๕ ข้อ และรับดูแค่ไม่เกิน ๑๐ คน อะไรเหล่านี้เป็นต้น ต้องตั้งกติกาของเราขึ้นมา ไม่งั้นตายจ้ะ โดยเฉพาะการที่เขาซักถามกันเฉพาะตรงหน้าเลยนั่นน่ะ ระวังไว้โอกาสผิดมันมีสูงมากเพราะว่าในช่วงนั้นตัว รัก โลภ โกรธ หลง อาจจะเกิดกับเราได้ง่าย แหม...ไอ้ยายนี่ มันถามไม่รู้จบ...กลายเป็นว่า โทสะมันผสมเข้าไปทิพจักขุญาณมันมีโอกาสผิดพลาดได้
      ถาม :  ต้องพยายาม พระพุทธองค์วางไว้บนมือเลย แล้วให้ท่านช่วยเป็นคนตอบให้เจ้าค่ะ
      ตอบ :  จ้ะ แต่คราวนี้ถ้าหากหาผู้จัดการมาสักคนหนึ่งนะ เอาผู้จัดการมา ตัวเราหลบอยู่ในห้องพระ ให้เขาเขียนคำถามมาไม่เกิน ๕ ข้อ แล้วเราตอบไป ถือว่าสิ้นสุดไม่ต้องซักถามอะไรทั้งนั้น พอเขาเขียนมา ผู้จัดการเอามาส่งเราก็เขียนตอบไปเลย ถือว่าจบแค่นั้นนะ คิดมันข้อละ ๑๐๐ ก็ได้ มันจะได้เข็ด ไม่อย่างนั้นแล้วมากันเยอะ
      ถาม :  พอหลังจากวันนั้นนะเจ้าคะ มันเหนื่อยมากจนกระทั่งมีความรู้สึกว่าฌานทุกอย่างมันเงียบหายหมดเลยเจ้าค่ะ
      ตอบ :  นั่นแหละ พอเหนื่อยเกินไป หิวเกินไป เจ็บไข้ได้ป่วยมาก ๆ นี่ฌานมันจะเสื่อม ไอ้ตัวกำลังไม่มีญาณก็เจ๊งไปด้วย เพราะญาณนี้เป็นผลของฌาน กำลังฌานไม่มีญาณทุกอย่างมันก็จ๋อย (หัวเราะ)
      ถาม :  แล้วทำยังไงถึงจะฟื้นได้เป็นปกติ ?
      ตอบ :  เริ่มภาวนาให้อารมณ์ทรงตัวเท่าเดิมใหม่ อย่าไปอยากให้มันได้เท่าเดิม เรามีหน้าที่ภาวนาเราภาวนาของเราไป มันจะเป็นฌานขึ้นมาเมื่อไหร่ ญานเครื่องรู้มันจะเกิดเมื่อไหร่เรื่องของมัน ถ้าทำใจสบายอย่างนี้ได้ มันจะเกิดเร็ว แต่ถ้าภาวนาแล้วอยากให้เกิด มันจะไม่เป็นอย่างนั้นอีก แล้วก็รีบป้องกันตัวเอาไว้ หาผู้จัดการส่วนตัวได้แล้วนะนี่
              หมอเอก็เตือนไปหลายทีแล้วว่าอย่าให้เขาซักถามซึ่งหน้า คนถามมันจะไม่รู้จักพอเหมือนกับตรงนี้ ถ้าหากว่ากำลังใจของเราไม่ใช่มั่นคงทรงตัวจริง ๆ ประเภทรบทั้งวันเจ๊งเอาง่าย ๆ
      ถาม :  อันนี้ขอพลังจากพระพุทธองค์ช่วยเสริมด้วยได้ไหมเจ้าคะ ?
      ตอบ :  ช่วงนั้นน่ะท่านช่วยตลอดอยู่แล้ว ไม่ช่วยไม่คล่องขนาดนั้นหรอก แต่พอถึงเวลาแล้วเหลือแต่เราจริง ๆ ลองคิดดูสิ มันเหมือนกับเครื่องยนต์ที่เติมหัวเชื้อน้ำมันเข้าไป พอหัวเชื้อหมดแล้วเป็นยังไงล่ะ ?.....เดี้ยง ! นั่นแหละ ถ้าท่านไม่ช่วยมันเดี้ยงตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว เรื่องของพระ ของพรหม ของเทวดา ถ้าไม่เกินวิสัยท่านเต็มใจที่จะช่วยอยู่เสมออยู่แล้ว ยิ่งเราขออยู่ตลอดเวลาท่านก็ยังพร้อมที่จะช่วย แต่ว่าตอนท่านช่วยน่ะ เราไม่รู้สึกอะไรหรอก สงเคราะห์เขาได้ตลอดพอเลิกแล้วเมื่อไหร่ก็หงายผลึ่งล่ะจ้ะ...
      ถาม :  ท่านเจ้าขา เป็นอย่างนั้นเจ้าค่ะ
      ตอบ :  จ้ะ คราวนี้เชื่อหรือยังว่าท่านช่วยได้จริง ๆ ลำพัง กำลังของเรานี่เสร็จตั้งแต่ยกแรกแล้ว
      ถาม :  ทำบ่อย ๆ แล้วไม่คล่องเหรอครับ ?
      ตอบ :  คล่องอยู่ แต่ก่อนที่จะคล่องมันจะพิการซะก่อนน่ะสิ (หัวเราะ) เหมือนกับต่อยมวย พอต่อยบ่อย ๆ ประสบการณ์เยอะ แต่คราวนี้ถ้าไม่เป็นขึ้นเวทีไปเลยโดนเขาอัดเดี้ยงตั้งแต่งานแรก ไม่ได้อาศัยเป็นอาชีพแล้ว
      ถาม :  อย่างนี้ถ้าทำแบบพอสมควร สะสมไปเรื่อย ๆ ...
      ตอบ :  ทุกอย่างมันต้องพอเหมาะพอดี ถึงได้ว่ามันต้องกำหนดกฎเกณฑ์กติกาเหมือนกัน แล้วคนไหนมันฝืนกฎกติกาก็ถือว่าคนไม่รู้ กฎเกณฑ์มารยาทเราไม่คบด้วยไม่ต้องเกรงใจจ้ะ วันก่อนนี่ไล่ตะเพิดไป ๒ ราย รายหนึ่งมาถามปัญหาบอกวิธีแก้มันไม่ฟังเลย มันว่าปัญหาต่อไปยาวไปเลย เราก็เลยหยุดนั่งฟังเงียบไปเรื่อย จนกระทั่งพอได้จังหวะก็บอกเขาว่าอาตมาพูดทีเดียว ถ้าบอกไปแล้วไม่ฟังก็จบ
              ส่วนอีกรายหนึ่ง เอาลูกมาจะพึ่งคนไหนได้ บอกเรื่องถามปัญหาโดยเฉพาะเกี่ยวกับลูก แล้วถามว่าพึ่งคนไหนได้ ต่อไปอย่าได้มาให้เห็นเชียว พอถ้าตอบไปปุ๊บก็จะรักคนหนึ่งเกลียดคนหนึ่ง โดยเฉพาะบางคนลูกยังไม่ทันจะเกิดเลย เลยไปให้หมอดูว่าพึ่งได้ไหม พอหมอบอกว่าพึ่งไม่ได้อยู่ในท้องก็อยากจะรีดทิ้งแล้ว
              เพราะฉะนั้น โดยเฉพาะหมอดูที่ท่านรู้มารยาท ถ้าเด็กอายุยังไม่ถึง ๑๕ จะไม่ทำนายอนาคตเด็กให้ใคร นะจำไว้แม่น ๆ ถ้าเด็กมาถาม ถามว่าหนูอายุถึง ๑๕ หรือยัง ถ้ายังรีบ ๆ ไปทำบัตรซะก่อน (หัวเราะ) ถ้ายังไม่ทำบัตรนี่ไม่ทายให้ เพราะว่าผลกระทบมันจะเยอะ แล้วเด็กที่อายุน้อย ๆ พอได้รับผลกระทบไปก็จะกลายว่ามองผู้ปกครองในแง่ไม่ดี ดีไม่ดีสภาพจิตใจของตัวเองเสียไป โตขึ้นกลายเป็นผู้ที่มีปัญหาต่อสังคมไปเลย ความจริงโทษเด็กไม่ได้ต้องโทษผู้ใหญ่ วันนั้นแหละเจ้าดาเขาเพิ่งจะรู้ ไม่งั้นเจ้าดาเขาถามอยู่เรื่อย ใคร ๆ ว่าหลวงพ่อดุ เห็นใจดีจะตาย มันเพิ่งเห็นว้ากคนไปเต็ม ๆ เหี่ยวไปด้วย

      ถาม :  ตัวเองนี่มีจิตใจแบ่งเป็น ๔ ส่วน แล้วแต่ละส่วนทำหน้าที่ไม่เหมือนกัน ทีนี้เวลาเราช่วยคนอื่นเขาดู จิตใจในแต่ละส่วนเสียงที่พูดออกมาแตกต่างกันทุกเสียง โดยเฉพาะจิตที่ ๔ .....ไม่ชัด......
      ตอบ :  รวมความรู้สึกให้อยู่จุดเดียวนะ กำลังใจของเราถ้าเราคล่องตัวมันอาจจะเป็นเพราะว่าคล่องมาในอดีตก็ตาม หรือว่าคล่องในปัจจุบันนี้ก็ตาม มันสามารถแยกจิตเพื่อรู้งานหลาย ๆ อย่างได้ สามารถทำหน้าที่หลายอย่างได้ในเวลาเดียวกัน เพราะฉะนั้นสมาธิทั้งหมดต้องจดจ่ออยู่เฉพาะหน้าเลย รวบรวมกำลังความรู้สึกทั้งหมดให้อยู่เฉพาะตรงหน้า ถ้าอย่างนั้นก็จะเหลือความรู้สึกเดียวแล้วเราก็จะมั่นคงอยู่ตลอด
              แต่ถ้าหากว่าเรายังกระจายความรู้สึกไปด้วย ความคล่องตัวที่ไม่เคยฝึกหรือว่าฝึกมาในชาติก่อนหรือว่าเคยฝึกในชาตินี้ก็ตาม ถ้าอย่างนั้นมันจะแยกออกเป็นหลายอย่าง แล้วบางทีเราอาจจะกลายเป็นคนหลายบุคลิกโดยไม่รู้ตัว
      ถาม :  ตอนนี้หลายบุคลิกแล้วเจ้าค่ะ
      ตอบ :  จ้ะ
      ถาม :  ทำยังไงดีเจ้าคะ ?
      ตอบ :  ก็นั่นล่ะจ้ะ คราวหน้าแทนที่เราจะฝึกการแยกจิตแยกกายทำอะไรหลาย ๆ อย่างก็ทำอย่างเดียว โดยเฉพาะจับอานาปานสติให้อารมณ์ใจทรงตัวเป็นหนึ่งเดียว ก่อนที่จะออกไปดูให้ใครก็ว่าซะจนกระทั่งอารมณ์ใจทรงตัวนิ่งซะก่อน แล้วก็จับอารมณ์นั้นไว้อย่าให้คลาย มันก็จะเป็นหนึ่งเดียวไปตลอด แต่ถ้าคลายอารมณ์ออกเดี๋ยวมันจะแล่บออกไปทางอื่นอีก
              พวกนี้ตอนแรกฝึกมันจะสนุกมากเหมือนกับว่า เราเก่งมันทำได้หลายอย่างพร้อม ๆ กัน แต่มันจะไปมีปัญหาตอนที่ว่า บางทีภาวนาอยู่มันไปฟุ้งซ่านซะอีกใจหนึ่ง มันทำของมันได้ด้วยเก่งมากเลย ถ้าเราดึงมันกลับมาอยู่กับลมหายใจเข้าออกเฉพาะหน้าไม่ได้ บางทีก็กลุ้มใจ บางคนเครียดไปเลยก็มี เคยภาวนาแล้วอารมณ์ใจทรงตัวเป็นหนึ่งเดียว ตอนนี้ทำไมอันโน้นมันคิด อันนี้มันทำโน่น อันนี้มันทำนี่ กลายเป็นกระจัดกระจายไปคนละทิศ
      ถาม :  เวลาคนเราเกิดอาการเจ็บป่วยขึ้นนี่ค่ะ บางคนนี่เขาจะมีเจ้ากรรมนายเวรหรือบางคนเขาจะมีกรรมของเขาในปัจจุบัน ตรงนี้เราจะช่วยความเจ็บปวดเขาให้ทุเลาลงได้ยังไงคะ ?
      ตอบ :  จริง ๆ แล้ว ในเรื่องของความเจ็บไข้ได้ป่วยมันเกิดจากเศษกรรมของปาณาติบาตในอดีตทั้งสิ้น มันมาส่งผลในชาติปัจจุบันนี้ เศษกรรมนะ ต้นทุนเราใช้เขาแล้ว ดีไม่ดีลงนรกมาเรียบร้อยแล้ว เศษกรรมส่งผลให้เจ็บไข้ได้ป่วยบ่อย
              สมัยก่อนหลวงพ่อท่านแนะนำให้ปล่อยชีวิตสัตว์ที่เขาจะฆ่าเป็นประจำ อย่างเช่นว่า ปล่อยปลาสักเดือนละตัวสองตัวต่อเนื่องกันไปเรื่อย ๆ กรรมเหล่านี้จะคลายตัวลงนะ ปล่อยปลาที่เขาขายเพื่อให้ฆ่านะจ๊ะ อย่างในตลาดอย่างนี้ ไม่ใช่เขาขายให้ปล่อย ถ้าขายให้ปล่อยเราได้แต่เมตตาบารมี แต่ถ้าหากที่เขาขายเพื่อให้ฆ่านี่จะเป็นการตัดกรรมตัวนี้ได้เยอะ ทำให้การเจ็บไข้ได้ป่วยลดน้อยลง ถ้าเป็นอุปฆาตกรรมเข้ามาก็ต่ออายุได้อีกต่างหาก
      ถาม :  เห็นแม่ค้าเขากำลังจะทุบหัวปลา เราไปช่วยตรงนั้นเลย ?
      ตอบ :  ไม่ต้องไอ้ตัวที่ทุบหรอก ทั้งหมดนั่นเลยแหละ เขาขายไปให้ฆ่าแน่ ๆ อยู่แล้ว
      ถาม :  แล้วฝากไปปล่อยได้ไหมคะ ?
      ตอบ :  ได้จ้ะ เรามีส่วนอยู่แล้ว เพราะว่าปัจจัยเป็นของเราเงินทองเป็นของเรา ปล่อยได้ด้วยตัวเองยิ่งดี ที่หน้าวัดท่าซุงที่เต็มไปหมด น่ะมันเกิดจากฝีมือของอาตมาเริ่มไว้ก่อน ตอนแรกก็ซื้อไปปล่อยแต่บ่อที่อยู่ข้างร้านป้ากิมกีเขา ...(ร้านอาหาร) ปล่อยไปปล่อยมาหลวงพ่อบอกแกดูบ้างหรือเปล่า ว่าปลามันจะไม่มีที่หายใจอยู่แล้ว ? เราก็เพิ่งจะรู้ (หัวเราะ) พอเอาอาหารไปโยน เออ...ใช่ มันขึ้นมาคลั่กไปหมด ก็เลยไปซื้อปล่อยที่แม่น้ำข้างหน้า
              คราวนี้ปกติจะซื้อแต่ปลาดุก เพราะเป็นปลาที่อดทนทรหดมาก แต่ปรากฏว่ามันเป็นปลาดุกเลี้ยง พอปล่อยลงแม่น้ำแล้ว นอกจากมันหากินไม่เป็นยังไม่ว่า มันยังเอาตัวไม่รอดอีกต่างหาก มันโดนปลากระแหทึ้งหนวดซะเกลี้ยงเลย มันดึงหนวดไปกินน่ะ ปลากระแห ปลาตะเพียนที่มีครบแดง ๆ เขาเรียกว่าตะเพียนแดงก็มี กระแหแดงก็มี พวกนี้มันไวมาก
      ถาม :  ตัวเล็ก ๆ หรือเปล่าครับ ?
      ตอบ :  มันโตสักฝ่ามือนี่ มาถึงมันก็โฉบคว้าหนวดเขาไปกินเลย ไอ้เจ้านั่นโดนถอนหนวดไปสด ๆ ร้อน ๆ ก็เจ็บตายชักเลย หนีกันมาออกันอยู่ริมฝั่งหมด พอเจอเข้้าไปงานเดียวก็เข็ดต่อไปก็ เอ๊...พื้นดิมแถวนี้มันมีปลาอะไรมั่ง ? จะไปถามซื้อพวกปลากระแหไม่มี เพราะว่าปลาพวกนี้มันใจเสาะ เขาว่ามันแค่เห็นตะวันมันก็ตาย เห็นท้องฟ้ามันก็ตาย ความจริงไม่ใช่หรอก มันพ้นน้ำขึ้นมาไม่มีอากาศหายใจมันตายง่ายกว่า มันไม่อึดก็ไปสืบหาจนกระทั่งได้ความว่าปลาของพื้นบ้านที่นี่มีพวกปลาเสือ พวกปลาแรด แล้วก็ปลาสวาย ปลาสวายหาง่ายที่สุด เลยตั้งใจซื้อปลาสวายปล่อย
              คราวนี้จะซื้ออย่างที่หลวงพ่อบอก คือ ตัวสองตัว พอไปเจอมันตาปริบ ๆ ทั้งกาละมังก็ต้องยกกาละมัง มีเท่าไหร่ก็ต้องเอาเท่านั้น ปล่อยไปปล่อยมาก็ไม่ทราบเหมือนกันว่ามันไปแตกลูกแตกหลานหรือไปชวนใครมาอยู่มันถึงได้เยอะขนาดนั้น เยอะขนาดนั้นเกิดจากการริเริ่มของอาตมาเอง ๗-๘ ปี เท่านั้นเอง มันไม่นานหรอก
      ถาม :  เราปล่อยปลาชนิดไหน เขาห้ามกินปลาชนิดนั้น ?
      ตอบเขาห้ามกินปลาตัวนั้น ไม่ใช่ห้ามกินชนิดนั้น เขาบอกว่าห้ามกินชนิดนั้นเพื่อให้มันพ้นไปเลย ต่อไปก็ปล่อยอย่างที่เราไม่ชอบเข้าไว้ ปล่อยอย่างที่เราชอบจะได้ไม่ต้องกินมัน อย่างปล่อยปลาปั๊กกะเป้าอย่างนี้ มีคนเอามาขายหรือเปล่า ?
      ถาม :  ทำไมเวลาเรามาปฏิบัติธรรมหรือนั่งสมาธิกับคนเยอะ ๆ แล้วเขาพร้อมใจกันปฏิบัติธรรมรู้สึกว่าสมาธิมันนิ่ง นิ่งกว่าตอนที่เรานั่งทำเอง ?
      ตอบ :  เหตุที่เป็นดังนี้เพราะว่ากำลังของคนที่ตั้งใจในบุญนั้น กระแสจิตของเขาไปในด้านเดียวกัน มันเหมือนกับน้ำที่ไหลไปทางเดียวกัน เมื่อน้ำที่ไหลไปทางเดีวกันสิ่งใดก็ตามที่อยู่ในกระแสนั้นก็ไหลตามกันไปเลยง่ายกว่า แต่เวลาเราทำอยู่คนเดียวนี่ ถ้าสมมุติว่าเป็นที่บ้านเราคนรอบข้างก็ดี อาจจะประเภทที่ว่ารอบทั้งหมู่บ้านก็ดี เขามีกระแสไปในทางรัก โลภ โกรธ หลง ขณะที่เราไปฝืนกระแสอยู่คนเดียวมันก็จะยากกว่า