สนทนากับพระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
เดือนตุลาคม ๒๕๔๖ (ต่อ)
ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ

      ถาม:  การที่เขาตายแล้วเราทำบุญให้ จะทำให้เขาพ้นได้ไหมครับ ? จะเบาบางลงไหมครับ ?
      ตอบ :  ถ้ายังไม่ได้ผ่านการตัดสินของพระยายมแล้วโมทนาบุญได้ ก็พ้นได้เลย แต่หมายถึงว่าจะต้องผ่านการตัดสินนะ ไม่ใช่ลงตรงเลย ลงตรงเลยก็หมดสิทธิ์เลย ถ้าขึ้นตรงมีสิทธิ์ แต่ลงตรงนี่หมดเลย
      ถาม :  กรณีไหนที่จะผ่านตำหนักพระยายมได้ ?
      ตอบ :  ส่วนใหญ่ความดีความชั่วจะก้ำกึ่งใกล้เคียงกัน เขาจะมารับ ถ้าดีมากกว่าก็ไปลิ่วเลย ถ้าชั่วมากกว่าก็ลงตูมเลย เพราะฉะนั้น...ถ้ามีนุ่งแดงใส่แดง ๔ ท่านมารับนี่ ประกันความเสี่ยงได้เลย ถ้าเป็นพวกเราอย่างไรรอดเกิน ๙๙ เปอร์เซ็นต์ ถ้าสำหรับคนอื่นนี่ไม่รู้ว่าจะรอดหรือเปล่า แต่ถ้าเป็นพวกเรานี่แหม...ให้ท่านเป็นพยานเสียบานเบิกเลย รอดเกิน ๙๐ เปอร์เซ็นต์ ขอให้มาเถอะพ่อคุณเอ้ย ประเภทจุดธูปเชิญไม่มา ส่งเบ้นซ์ไปรับก็ได้วะ (หัวเราะ) อย่างน้อย ๆ ลืมตามขึ้นมาเห็น ๔ องค์นุ่งแดงใส่แดงมาก็โหย...แทบจะโดดกอดเลย ก็ไปเถอะ ไม่ต้องบอกว่าถึงเวลาแล้ว ก็เต็มใจแล้ว ไปจะได้รอด
      ถาม :  ประเพณีการทำกงเต็ก ?
      ตอบ :  กงเต็กนี่ไม่มีผลอะไร แต่ระยะหลังมีผลมาอยู่หน่อยหนึ่ง มีผลที่ว่าถึงเวลาต้องถวายสตางค์ให้พระ ได้เป็นเรื่องของทานบารมี เป็นจาคานุสติเหมือนกัน แต่จริง ๆ สิ่งต่า งๆ ที่ทำให้เผาให้ไม่มีผล เขาเอาไปกินไปใช้ไม่ได้อยู่แล้ว แต่เป็นความกตัญญู คนจีนเขากตัญญูถึงได้เจริญทั้งนั้น สังเกตว่าคนจีนอยู่ที่ไหนก็ตาม ตกต่ำไม่นานหรอก เดี๋ยวก็ตั้งหลักปักฐานร่ำรวยขึ้นมาได้ เพราะคนจีนความกตัญญูเขาสูง พระพุทธเจ้ายังยืนยันใช่ไหม นินิตตัง สาธุรูปานัง กตัญญูกตเวทิตา พระพุทธเจ้าตรัสว่า “ความกตัญญูเป็นเครื่องหมายของคนดี” ถ้าจะเอาจริง ๆ ต้องทำบุญสังฆทานเหมาะสมที่สุด แต่โบราณเราให้มีการสวด ๓ วัน ๗ วัน หรือไม่ก็ทำบุญ ๗ วัน ๕๐ วัน ๑๐๐ วัน ถ้าคุณตายแล้วไปตำหนักพระยายมภายใน ๓ เดือนนี่ยังไม่ทันตัดสินหรอก เพราะเวลาข้างล่างกับข้างบนต่างกันเยอะ ตรงจุดของตำหนักพระยายมเป็นเขตของจตุมหาราช
              เพราะฉะนั้น...วันหนึ่งของที่นั่นเท่ากับ ๕๐ ปีมนุษย์ ไปแป๊บเดียวนี่ ๓ เดือนสบายมากเลย โบราณเขาเก่ง เขาถึงให้มีทำบุญเผื่อเหนียวไว้ก่อน ทำบุญสวดก่อนเผา ทำบุญ ๗ วัน ทำบุญ ๕๐ วัน ทำบุญ ๑๐๐ วันก็ ๓ เดือนกับ ๑๐ วัน อย่างน้อย ๆ ๓ ครั้งแรก ๔ ครั้งแรก ถ้ายังเพลินอยู่ยังไม่มาโมทนา ครั้งที่ ๕ น่าจะโมทนาบ้าง
      ถาม :  (ฟังไม่ชัด)
      ตอบ :  พระพุทธรูปที่ชี้มือ เขาเรียกว่า ปางชี้อัครสาวก ที่เห็นพระโมคคัลลา พระสารีบุตร ที่เป็นอุปติสสะมานพ โกลิตตะมานพเดินเข้ามา พระพุทธเจ้าชี้ให้ดูว่านั่นอัครสาวกของเรามมาแล้ว เสร็จแล้วชี้หันมาทานประเทศไทย คนไทยก็ยัวะใหญ่เลยว่าพม่ากำลังทำอะไร ความจริงไม่ได้เกี่ยวกันเลย เป็นปางที่เราไม่ค่อยคุ้นตา มีอีกปางเรียก ปางชี้อสุภะ ปางชี้อสุภะนั่นเรื่องของนางสิริมา นางสิริมาเป็นหญิงนครโสเภณี แกสวยมาก ใครจะนอนกับนางสิริมานี่ต้องจ่ายค่าตัวคืนหนึ่ง ๑,๐๐๐ กหาปนะ โอ้โห... ๑,๐๐๐ กหาปนะนี่มหาศาลเลย ไม่ใช่เศรษฐีจริงจ่ายไม่ไหวหรอก นางสิริมาเป็นพุทธมามกะ ปฏิญาณตนถึงพระรัตนตรัย แกทำบุญของแกทุกวัน แกยังสร้างวัดคณิกาผล นั่นวัดยายแฟงเขา นั่นน่ะสร้างวัดเหมือนกัน คราวนี้ชื่อเสียงของแกเลื่องลือมาก เกิดมีพระภิกษุหนุ่มท่านหนึ่งอยากเห็นนักหนา สาวสวยใครก็อยากเห็น พระปุถุชนก็คนธรรมดานี่เอง อยากเห็นบ้างก็ไปบิณฑบาตที่บ้านนั้น พอดีนางสิริมาท่านป่วยหนัก ให้คนใช้ประคองปีกออกมาใส่บาตร ไม่ทราบว่าป่วยด้วยโรคอะไร เป็นเอดส์หรือเปล่าก็ไม่ทราบนะประคองปีกออกมาใส่บาตร พอพระเห็นเข้าเท่านั้นแหละ ประเภทปากอ้าตาค้างลืมปิดบาตรให้ใส่เลย บอกขนาดป่วย ๆ ยังสวยขนาดนี้ ถ้าเธอสบายดีจะสวยขนาดไหน กลับกุฏิได้ก็เอาจีวรตีโปงครางฮือ ๆ อยู่คนเดียว ศรรักปักหัวใจซะแล้ว ปล่อยข้าวบูดคาบาตรไม่กินไม่นอนเลย เพื่อนพระด้วยกันช่วยกันปลอบช่วยกันโยนอย่างไรก็ไม่หาย แหม...พิษรักรุนแรง ปรากฏว่าวันนั้นนางสิริมาแกไม่ได้ป่วยหนักธรรมดา ตายเลย พระพุทธเจ้าพอทราบข่าวปุ๊บ สั่งไปบอกว่า “ขอให้พระเจ้าแผ่นดินเก็บศพเอาไว้ก่อน ๗ วัน” เพราะตำแหน่งหญิงนครโสเภณีนี่ ถือว่าเป็นผู้มีบุญคุณแก่ประเทศชาติ พระเจ้าแผ่นดินจะเป็นคนจัดงานศพให้
              สมัยก่อนหญิงนครโสเภณี คำว่า นครโสเภณี แปลว่ายังเมืองให้งาม ถ้าบ้านไหนเมืองไหนมีมาก ๆ นี่เศรษฐกิจจะดี ไม่ดีได้อย่างไร โอ้โฮ ...ค่าตัวแม่เจ้าประคุณแต่ละคน อย่างนางอัฑฒกาสีที่ตอนหลังเป็นภิกษุณีอรหันต์ แคว้นกาสีเป็นแคว้นที่เศรษฐกิจรุ่งเรืองที่สุด เพราะทอผ้าสวยที่สุด ใคร ๆ ก็อยากได้ผ้าแคว้นกาสี ในเมื่อเศรษฐกิจรุ่งเรือง การค้าขายดีขนาดนั้น เก็บภาษีก็ได้มหาศาล นางอัฑฒกาสีค่าตัวแกเท่ากับภาษีของแคว้นกาสีครึ่งหนึ่ง ไม่รู้กี่แสน ทำให้เศรษฐกิจดี ถึงได้บอกว่าเป็นนครโสเภณีคือประดับเมืองให้งาม ไม่ใช่ตำแหน่งที่น่ารังเกียจเลย อีกอย่างหนึ่ง ผู้ชายที่ไปเที่ยวหญิงนครโสเภณีไม่ผิดศีลด้วย เพราะเขาประกาศตัวเป็นของกลาง ใครมีสตางค์มาพร้อมที่จะรับ เลยไม่ผิดศีล เพราะไม่ใช่สมบัติของใคร
              คราวนี้พอพระพุทธเจ้ามีพระดำรัสไป ท่านก็เก็บศพเอาไว้ พอครบ ๗ วัน เน่าเฟะดูไม่ได้เลย ท่านป่าวประกาศบอกพระภิกษุทั้งหลายว่า “ตถาคตจะไปเยี่ยมนางสิริมา ใครจะไปด้วยก็เตรียมจีวรมา” พระองค์นั้นพอได้ยินนี่หายป่วยหายไข้โดดผลุงลุกขึ้นเลย อาบน้ำอาบท่าครองจีวรเลี่ยมไปเชียว แหม...จะได้เห็นสาวที่รักแล้วใช่ไหม ปรากฏว่าไปถึงกลายเป็นศพเปื่อยอยู่แล้ว พระพุทธเจ้าไปคนก็ไปกันมาก ไปดูว่าพระพุทธเจ้าท่านจะดูอย่างไร ท่านจะทำอย่างไร พอคนไปกันมากพระพุทธเจ้าท่านก็ประกาศว่า ใครต้องการนางสิริมาผู้นี้ให้จ่ายมา ๑,๐๐๐ กหาปนะเท่าค่าตัวของเธอ แล้วนำไปเลย ไม่มีใครเอา ก็เปื่อยไปแล้ว ลดเหลือ ๕๐๐ ก็ไม่มีใครเอา ๒๕๐ ก็ไม่เอา ๑๐๐ ก็ไม่เอา ๕๐ ก็ไม่เอา ๑ กหาปนะก็ไม่มีใครเอา ยกให้เปล่า ๆ ก็ไม่มีใครเอา พระพุทธเจ้าท่านก็ชี้นิ้วบอกว่า “จงดูหญิงนครโสเภณีผู้ นี้ เธอเคยมีความงามเป็นเลิศ แต่ว่าขณะนี้กายสังขารมีธรรมดาอันเปื่อยเน่าไปแล้ว หาความสะอาดไม่ได้ ไม่เป็นที่ปรารถนาของผู้ใดอีกแล้ว ธรรมดาของทุกคนจะเป็นอย่างนี้เอง” พระองค์นั้นตามไปเห็นตั้งแต่ต้นยันปลายให้ฟรียังไม่เอาเลย คิดตามพระดำรัสพระพุทธเจ้ากลายเป็นพระโสดาบันรอดไปหวุดหวิด ไม่อย่างนั้นเสร็จแหง ๆ เลย เขาเลยมีอยู่ปางหนึ่งที่พระพุทธเจ้าชี้มือเหมือนกันเรียกว่า ปางชี้อสุภะ แต่ว่าชี้ต่ำ ปางชี้อัครสาวกชี้เกือบเสมอ ต่างกันอยู่นิดเดียว
      ถาม :  พวกหญิงโสเภณีนี่ใครเป็นคนแต่งตั้งคะ ?
      ตอบ :  พระเจ้าแผ่นดินตั้ง ถ้าไม่สวยจริงไม่เป็นหรอกจ้ะ มีทั้งที่สมัครใจ มีทั้งที่ไปตามตระกูล ตระกูลตัวเองเป็นมาหมด ตระกูลพวกนี้จะไม่เก็บผู้ชายไว้ ถ้าได้ลูกผู้ชายเมื่อไร ไม่เอาไปทิ้งก็ให้คนอื่นเขา จะเลี้ยงไว้แต่ลูกผู้หญิง เพราะลูกผู้หญิงเท่านั้นที่จะสืบทอดตำแหน่งได้ แต่นั่นหมายความว่าต้องสวยเหมือนแม่ หรือสวยกว่าแม่นะ
              อย่างหมอชีวกโกมารภัจจ์ก็เป็นลูกของหญิงนครโสเภณีเหมือนกัน ตามประวัติเขาว่าอาจจะเป็นพี่หรือน้องของนางสิริมานี่แหละ แต่ว่าโดนเอาไปทิ้งเหมือนกัน แล้วอีกรายหนึ่งก็โกตุหริกะ โกตุหริกะที่เคยเป็นหมารักพระปัจเจกพุทธเจ้ามาก ตายแล้วไปเป็นโฆษกเทพบุตร นั่นก็เป็นลูกของหญิงนครโสเภณีเหมือนกัน โลกเราเปลี่ยนไปเรื่อย ทัศนคติของคนก็เปลี่ยนไปด้วย จากอาชีพที่มีเกียรติถึงขนาดพระเจ้าแผ่นดินยกย่อง คนประเทศอื่น ๆ ก็ยกย่อง กลายเป็นอาชีพที่น่ารังเกียจไปเสียนี่ อนิจจังไม่เที่ยง
      ถาม :  ปกติผู้ชายเขาไม่มีหรือคะ ?
      ตอบ :  ไม่ทราบเหมือนกันสมัยนั้นมีไหม คำว่า โสเภณี แปลว่า สวย ผู้ชายไม่สวยนี่
      ถาม :  อานิสงส์ของการสร้างรูปหล่อพระปฏิสัมภิทาญาณอย่างสมเด็จโตนี่ อานิสงส์จะได้อะไรคะ ?
      ตอบ :  อานิสงส์ก็สังฆบูชามหาโภควโห การบูชาพระสงฆ์จะมากไปด้วยโภคทรัพย์ รวยตายชักเลย เคยได้ยินเขาว่าไหม พุทธบูชามหาเตชะวันโต การบูชาพระพุทธเจ้าจะมีเดชมีอำนาจมาก ธัมมะบูชามหาปัญญะวันโต การบูชาพระธรรมจะมากไปด้วยปัญญา สังฆบูชามหาโภคะวะโห การบูชาพระสงฆ์จะประกอบไปด้วยโภคทรัพย์เป็นอันมาก
      ถาม :  คุณสรพงษ์เขาสร้าง ?
      ตอบ :  อ๋อ...ถ้าหากว่าเกิดใหม่นี่เล็กไม่เป็นนะ เล่นใหญ่ที่สุดในโลกเลยใช่ไหม เกิดมาอีกครั้งตัวใหญ่เลย สงสัยว่าจะเป็นตาฮัลค์ ไอ้ยักษ์ตัวเขียว ๆ น่ะ ใหญ่ดี แต่ว่าพวกนี้ต้องหาชุดยืด ๆ ใส่ไว้นะ ใหญ่ขนาดไหนจะได้ไม่ขาด
      ถาม :  ยักษ์จริง ๆ แล้วตัวใหญ่กว่ามนุษย์หรือคะ ?
      ตอบ :  ยักษ์จริง ๆ ใหญ่ว่ากเราหลายล้านเท่า อย่าลืมว่ายักษ์คือเทวดาประเภทหนึ่ง ในเมื่อเป็นเทวดาประเภทหนึ่ง อัตภาพที่เล็กที่สุดของเทวดาเขาบอกว่า สามคาวุต ๑ คาวุตนี่เท่ากับ ๑๐๐ เส้น ๓ คาวุต ๓๐๐ เส้น เล็กสุด ๑๐๐ เส้นก็ ๑๒ กิโลเมตร เดินมาทีวิ่งกันตับแลบ อันนี้หมายถึงยักษ์นะ ยักษ์ที่เป็นเทวดา แต่ประเภทรากษสรากแห้งนี่ก็ใหญ่กว่าคนทั่ว ๆ ไปประมาณเท่าสองเท่า เท่านั้นแหละ
      ถาม :  ยักษ์ที่ป้องกันวัดนี่ เขาตั้งใจปั้นภาพยักษ์ที่เป็นอะไร ?
      ตอบ :  ยักษ์ที่เป็นเทวดาจ้ะ พวกที่ไปไล่กินเขา เรียกว่า รากษส ในเมื่อมีรากสดก็ต้องมีไอ้รากแห้ง
      ถาม :  (ฟังไม่ชัด)
      ตอบ :  จริง ๆ เขาให้คนเป็นฟัง แต่คราวนี้กลายเป็นสวดให้ผีฟังไปซะอยู่เรื่อย คนเป็นถ้าฟังออกได้ประโยชน์มหาศาล อุปปาทา วา ภิกขเว ตถาคตานัง ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ตถาคตจะอุบัติขึ้นก็ดี อนุปปาทา วา ตถาคตานัง ตถาคตจะไม่อุบัติขึ้นก็ดี ฐิตาวะ สา ธัมมัฏฐิตตา ธรรมทั้งหลายก็ตั้งมั่นอย่างนั้นอยู่แล้ว ธัมมะ นิยามตา คำจำกัดความของธรรมคือ สัพเพสังขารา อนิจจาติ สังขารทั้งหลายมีสภาพไม่เที่ยงเป็นปกติ สัพเพสังขารา ทุกขาติ สังขารทั้งหลายมีทุกข์เป็นปกติ สัพเพธัมมา อนัตตาติ ธรรมทั้งหลายไม่มีอะไรเป็นเราเป็นของเรายึดถือไม่ได้ ให้คนฟังไม่ได้ให้ผีฟัง
              แต่ว่าอาตมาเจออยู่ครั้งหนึ่ง ตอนนั้นไปงานศพที่วัดแก่นเหล็ก ชื่อจริงวัดศรีสิทธิการาม อยู่อำเภอมโนรมย์ จังหวัดชัยนาท อยู่คนละฝั่งน้ำกับวัดท่าซุง คราวนี้ธรรมเนียมทางบ้านโน้น ถ้าคนตายอายุเท่าไร เขาจะนิมนต์พระเกินอายุไปหนึ่ง ปรากฏว่ายายนั่นตายอายุ ๘๗ ก็ต้องนิมนต์พระ ๘๘ องค์ ล่อซะสองอำเภอกว่าจะได้ครบ คราวนี้หลวงปู่พระครูวิชาญชัยคุณ ปัจจุบันท่านเป็นพระมงคลชัยสิทธิ์ เป็นท่านเจ้าคุณไปแล้ว ตอนนั้นยังเป็นพระครูอยู่ ไปถึงปรากฏว่าพวกญาติโยมลูกหลานเมากันหัวราน้ำเลย ไม่ได้เมาอย่างเดียวนะ เล่นกันพนันด้วย เขาอ้างว่าเป็นเพื่อนศพ เป็นเพื่อนศพวัดใต้เจอโลงเปล่ามาหลายครั้งแล้วนะ เอาโลงเปล่า ๆ มาตั้ง เอารูปมาติด เสร็จแล้วนิมนต์พระมาสวดเพื่อจะเล่นการพนันโดยเฉพาะ คนสวดก็ไม่ว่า กูสวดแล้วได้สตางค์นี่ มึงจะเล่นก็เล่นไปสิ ศาลาว่างอยู่
              คราวนี้มันเมากันหัวราน้ำ พอเขานิมนต์เทศน์ให้ศีลเสร็จ พระครูวิชาญท่านก็เทศน์ เราพนมมือตั้งใจฟัง ส่งใจไปในธรรมตามปกติ ฟังไปฟังมาพักหนึ่ง แปลก ๆ แปลกตรงที่ว่าท่านบอวก่า “ญาติโยมเอ๊ย ตายไปแล้วอย่าไปเศร้าโศกเสียใจเลยนะ ธรรมดาเกิดมาต้องมีการพลัดพรากกันเป็นธรรมดา ถ้าเราสร้างบุญในทานศีลภาวนาเอาไว้ดี ก็มีสุคติเป็นที่ไปอยู่แล้ว ลูกหลานจะเป็นอย่างไรไม่ต้องไปห่วงมัน” เราก็เอ๊ะ...ไม่ใช่คนนี่หว่า ก็ลืมตาขึ้นมาดู ผียืนตัวขาวโพลนพนมมืออยู่ข้างธรรมาสน์ หลวงพ่อพระครูก็เทศน์ปาว ๆ ให้ผีฟัง คนเป็นอยากไม่ฟังนี่หว่า ต้องอย่างนั้น ท่านเป็นคู่เทศน์กับหลวงพ่อมาหลายยก
              สมัยก่อนโน้นสมัยหนุ่ม ๆ ฟัดกันประจำ เพราะฉะนั้น...ต้องมีอะไรดีอยู่บ้าง เทศน์ให้คนเป็นฟังมันไม่ฟัง มัเนมากันดีนัก เทศน์ให้คนตายฟังก็ได่วะ พอเราฟังสะดุดหูก็ลืมตามาดู ตายห่าผียืนอยู่ข้างธรรมาสน์ ตกลงที่เขาสวดนี่เขาสวดให้คนเป็นฟังนะ คราวนี้คนเป็นมักจะฟังไม่ออก อย่างในกรุงเทพฯ ถึงเขาแปลก็ลากเสียจนฟังไม่รู้เรื่อง ถ้าฟังรู้เรื่องเดี๋ยวไม่ขลัง อย่างลากประเภท สุทธิ อะสุทธิ ปัจจัตตัง นาญโญ อัญญัง วิโสธะเย ความบริสุทธิ์หรือไม่บริสุทธิ์เป็นของเฉพาะตน คนหนึ่งจะทำอีกคนหนึ่งให้บริสุทธิ์หาได้ไม่ ลากจนฟังไม่รู้เรื่อง (หัวเราะ)
      ถาม :  (ฟังไม่ชัด)
      ตอบ :  เขาจะมีการแพ็กทีมกันอยู่ ทีมใครทีมมัน ต้องซ้อมสวดให้คล่อง ถึงเวลาลงห้ามพลาด ขายหน้าสำนักหมด เพราะฉะนั้น...ทีมใครทีมมัน อาตมาอยู่โน่นวัดเทพศิรินทร์ พระครูมะลิ สงสัยทำบุญด้วยระฆัง โอ้โฮ...เสียงดังกว่าไมค์อีก แกสวดครั้งหนึ่งห้าศาลาได้ยินหมด คอสองใช้ไมค์นี่ไม่ได้ยินเสียงคอสองเลย พระครูมะลิสวดปากเปล่า ป่านนี้เป็นเจ้าคุณไปแล้วมั้ง ถ้าอยากรู้จักพระครูมะลิไปงานศพหน้าวัดเทพศิรินทร์นะ ถ้าเสียงสนั่นฟ้าเมื่อไรเดินไปดูเถอะ ตัวใหญ่ ๆ อ้วน ๆ น่ะ เขาสวดให้คนเป็นฟังนะ กลายเป็นสวดให้คนตายฟัง คนเป็นก็เมาหงำเหงือกไป ลักษณะนั้นผีไม่โมทนาบุญนะ เพราะเริ่มต้นด้วยบาป
              สมัยหลวงพ่อยังอยู่วัดปากคลองมะขามเฒ่า วัดของหลวงพ่อพระครูวิชาญชัยคุณ ท่านบอกว่า ของท่านเองชอบอยู่ป่าช้านี่ วันหนึ่งอยู่ป่าช้าเดินจงกรมอยู่ เสียงคุยกันให้อ้าวเลย ผีคุยกันไม่ใช่คน นายป่าช้าถามลูกน้องว่า “เฮ้ย...! วันนี้บ้านนั้นวันนี้เขามีทำบุญ มีไปโมทนามาหรือยัง ?” ลูกน้องบอกว่า “ไม่ไหวหรอกนาย โมทนาไปก็ซวยตายห่า” ถามว่า “ทำไม ?” “มันฆ่าทั้งหมู ฆ่าทั้งวัว มันฆ่าทั้งไก่เลย” จริง ๆ แล้วผีเขาตั้งใจให้หลวงพ่อได้ยิน คือจะได้รู้ว่างานบุญที่ไม่บริสุทธิ์น่ะ เริ่มต้นด้วยการผิดศีลเมื่อไร ผีเขาไม่โมทนา เพราะกลายเป็นโมทนาบาป เขาลำบากไปด้วย เขาไม่เอาหรอกงานอย่างนั้น พูดง่าย ๆ คือถ้ามีเหล้าผีเขาไม่เอา ฆ่าสัตว์ผีเขาก็ไม่เอา
      ถาม :  อย่างนี้คิดว่าขอโมทนาแต่เรื่องดีอย่างเดียวจะได้ไหม ?
      ตอบ :  สงสัยจะยาก เพราะถ้ายินดีกับเขาเมื่อไร เขาต้องเหมาโหล ใครจำเรื่องนางฟ้าปลาทูได้บ้าง นางฟ้าปลาทูทำความดีไว้เยอะนะ แกหวิดล่องจุ๊นเพราะมีอาชีพไปคัดปลาในเรือตังเก วันไหนปลามากแกดีใจได้ค่าแรงมาก กลายเป็นโมทนาบาปไม่รู้ตัว นั่นถ้าไม่ได้ทำบุญมาเยอะ ไม่ได้ถวายสังฆทานกับหลวงพ่อไว้หลายยกนี่ ไม่รอดขึ้นไปเป็นนางฟ้าหรอก นั่นน่ะอันตรายมากเลย ดีใจว่าตัวเองจะได้ค่าแรงเยอะเท่านั้นเอง กลายเป็นโมทนาบาปเขา
      ถาม :  ถ้าบรรยายให้ละเอียดจะเหมือนว่า ชีวิตทำบาปได้ทุกวินาทีเลย แม้กระทั่งการโมทนา ?
      ตอบ :  พลาดเมื่อไรก็ไปเมื่อนั้น สภาพจิตเร็วมาก ท่านภาสกร ท่านเขียนในหนังสือสมดุลโลกสมดุลธรรม ไม่รู้ว่าแกเป็นนักฟิสิกส์แล้วแกไปหาตัวเลขที่ไหนมา แกหาตัวเลขมาได้ว่า ๑ วินาที สภาพจิตสามารถรับข้อมูลได้สี่ล้านล้านเรื่อง รับได้ขนาดนั้นนะ ของเราไม่ต้องหรอก แค่เรื่องพระอินทร์คิดเรื่องพันเรื่องพร้อม ๆ กันเราก็เดี้ยงแล้ว คนเก่ง ๆ ก็สามสี่เรื่องพร้อม ๆ กันนะ ทฤษฎีของไอสไตน์เขาบอกไว้ว่า “อะไรก็ตาม ถ้าเคลื่อนที่ด้วยความเร็วได้เท่าความเร็วของแสง หรือมากกว่าความเร็วของแสง ระยะเวลาจะยืดยาวขึ้น” เขาถึงว่าสภาพจิตที่เคลื่อนที่เร็วกว่าแสงระยะเวลาของการเป็นเทวดาเป็นพรหมเลยนานเหลือเกิน
      ถาม :  พรหมเทวดาท่านจะรู้สึกไหมครับ ?
      ตอบ :  ของท่านก็ปกติ
      ถาม :  การที่เราบอกว่าท่านอยู่นานกว่าเรา แต่ความรู้สึกของท่านอาจจะเป็นปกติ ?
      ตอบ :  หลายร้อยปีของเรา แต่เป็นเวลาปกติของท่าน แบบเดียวกับยุงมีเวลาแค่ ๗ วันมนุษย์ มันก็คิดว่ามนุษย์นี่อยู่นานเหลือเกินใช่ไหม แต่ของเราคิดว่าปกติ แหม...น้อยไปซะด้วย ประเภทถึงเวลาแล้วยังไม่อยากตายนั่นแหละ