ถาม:  ............................
      ตอบ :  พราหมณ์พาวรีเป็นสุดยอดของมนุษย์จริง ๆ แกตั้งคำถามให้ลูกศิษย์ ๑๖ ท่าน ถามปัญหาพระพุทธเจ้าแต่ละข้อ แต่ละข้อพระพุทธเจ้าแก้ว่าอย่างไรให้กลับมาบอกด้วย ถ้าหากว่าแก้ได้ถูกต้อง เขาจะมั่นใจว่าองค์นี้ต้องเป็นพระพุทธเจ้าแน่นอน พรามหณ์พาวรีเป็นหนึ่งในไม่กี่มีลักษณะมหาปุริสลักษณะแบบพระพุทธเจ้าด้วย แต่ท่านมีแค่ ๓ อย่าง พระพุทธเจ้ามี ๓๒ อย่าง พระมหากัสสปะมี ๕ พราหมณ์พาวรีมี ๓ อย่าง ท่านถึงได้เก่งขนาดนั้น ตอนหลังท่านเป็นพระอรหันต์เหมือนกันเล่นเอาลูกศิษย์คือพระโมฆราช มัวแต่กังวลเป็นห่วงอาจารย์อยู่ คนโน้นถามพระพุทธเจ้า พยากรณ์เสร็จเป็นอรหันต์ คนนี้ถามพระพุทธเจ้า พยากรณ์เสร็จเป็นอรหันต์ พระโมฆราชมัวแต่ห่วงอาจารย์อยู่ กลัวว่าถ้าตัวเองเป็นพระอรหันต์แล้วจะไม่มีใครไปบอกอาจารย์ พระพุทธเจ้าพยากรณ์ถึง ๓ วาระ กว่าจะได้อรหันตผล ลูกศิษย์น่ารักคนนี้หายาก ตัวเองจะเป็นพระอรหันต์ยังห่วงอาจารย์เลย เดี๋ยวเราเป็นแล้วใครจะไปช่วยอาจารย์ แต่ว่าลูกษิษย์ของพราหมณ์พาวรี ๑๖ องค์ มีพระโมฆราชองค์เดียวที่ได้เอตทัคคะ คือเป็นเลิศกว่าเขาทางด้านครองจีวรเศร้าหมอง พระพุทธเจ้าท่านสอนพระ สอนให้พระอย่าไปติดสวยอย่าไปห่วงสวย เอาปอน ๆ ก็พอ แต่ว่ามีพระหลายองค์ท่านเคร่งครัดเกินไป บางครั้งเดินออกจากกุฏิมานี่ เพื่อนฝูงอุดจมูกเดินหนีเป็นแถวเลย ไม่ได้เศร้าหมองกันเฉย ๆ เศร้าใจไปด้วย จีวงจีวรไม่ยอมซักเลย กลิ่นตลบมาแต่ไกลเชียว บางครั้งเราก็ทนไม่ได้ก็บอก “คุณพระพุทธเจ้าสอนให้พิจารณาอสุภะนะโว้ย ไม่ได้สอนให้คุณทำอุสภะซะเอง” แหม...เป็นอสุภะซะเอง ท่านให้เศร้าหมอง แต่ไม่ได้ให้สกปรกจำไว้ ป้องกันสวยป้องกันหล่อแต่ว่าไม่ได้ให้สกปรก
      ถาม :  .........................
      ตอบ :  รู้สึกท่านเคจะลอยลำกว่าใครเพื่อน ได้นักธรรมเอกแล้วถึงค่อยมาเรียนบาลี คนเรียนบาลีควบนักธรรมเอกนี่เราไม่สงสารใครเท่ากับหลวงปู่มหาอำพันหรอก ขนาดได้มหาเปรียญ ๖ แล้วตกนักธรรมเอกอยู่ ๑๒ ปี สาหัสจริง ๆ คือการเรียนนักธรรมนี่เกี่ยวข้องกับอนาคตการเรียนบาลีด้วย เพราะถ้าหากคุณสอบได้นักธรรมตรีนี่ เขาอนุญาตให้เรียนเปรียญตรี คือประโยค ๑,๒,๓ ได้ ถ้าสอบได้นักธรรมโทเขาอนุญาตให้เรียนถึงเปรียญโท คือต่อ ๔,๕,๖ ได้ ถ้าสอบได้นักธรรมเอก เขาอนุญาตให้ต่อเปรียญเอกคือต่อประโยค ๗,๘,๙ ได้ คราวนี้หลววงปู่ท่านได้ประโยค ๖ แล้วจะต่อประโยค ๗ ไม่ได้ วุฒินักธรรมที่รองรับไม่มี พยายามเพียรสอบไปเถอะ ตกอยู่ได้ ๑๒ ปี
      ถาม :  (ฟังไม่ชัด)
      ตอบ :  ประเทศอื่น ๆ หลักสูตรเขาแตกต่างกันไป อย่างเปรียญธรรมของพม่าเขามีแค่ ๘ ประโยค แล้วมีธัมมะจริยะทีเป็นพุทธศาสตร์บัณฑิตแบบของเรา แต่ที่ของเรามี่คือพวกผู้ทรงพระไตรปิฎก เขาหลับหูหลับตาท่องกัน ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ เราไปดูมา ๕-๖ ปีติด ๆ กันตกยกชั้นทุกปีเลย ระยะหลังเริ่ม เอาให้ง่ายขึ้นเหมือนกัน ให้เก็บทีละปิฎกจะไปยากอภิธรรมปิฎกใช่ไหม เพราถ้าหากพระวินัยปิฎก พระสุตันตปิฎกนี่ ๒๑,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ แต่พระอภิธรรมปิฎกเยอะที่สุด ๔๒,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ สมัยก่อนอย่างเช่นสมัยหลวงปู่แลดี หลวงปู่วิจิตตะ หลวงปู่ชฏิละ ที่ผมรู้จักนั่นแหละ ท่านท่องรวดเดียวถ้าไม่ได้ก็ตก สมัยนี้เขาให้เก็บได้ทีละปิฎก
      ถาม :  (ฟังไม่ชัด)
      ตอบ :  อันนั้นไม่เคยไปดูเขา แต่คิดว่าเขาคงมีเรียนเหมือนกัน เพียงแต่ว่าอย่างของลังกาคงสบายกว่าเราเยอะ ภาษาของเขาเองอยู่แล้วนี่ เหมือนกับการเรียนนักธรรมอย่างของเรา แต่ของเราต้องเรียนภาษาบาลี เพื่อแปลภาษาของเขามาเป็นภาษาของเรา
      ถาม :  (ฟังไม่ชัด)
      ตอบ :  พระอานนท์ท่านจำได้หมด แต่ผู้ชำนาญพิเศษเขามีอยู่ ในเมื่อผู้ชำนาญพิเศษในเรื่องพระวินัยคือพระอุบาลี ท่านเลยมอบให้พระอุบาลี ตอบไปซะ ๒๑,๐๐๐ พระธรรมขันธ์
      ถาม :  (ฟังไม่ชัด)
      ตอบ :  สังคายนาเป็นที่ยอมรับแค่ ๓ ครั้งแรกเท่านั้น ครั้ง ๔,๕,๖ ไม่เป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไป สังคีติคาถาความจริงจะมาออกในนักธรรมเอกเยอะ แต่ระยะหลัง ๆ มาลุยในนักธรรมตรีบ่อยเลย เพราะว่าเจะเป็นช่วงปัจฉิมโพธิกาลช่วงสุดท้ายของอายุพระพุทธเจ้า จะมีปลงอายุสังขารปรินิพพาน ถวายพระเพลิงพระพุทธสรีระ และทำสังคายนา เขาถามว่า “ใครเป็นประธานในการสังคายนาพระไตรปิฎก ? และทำขึ้นที่ไหน ? ใครเป็นผู้อุปถัมภ์ ?” ถามดุเหมือนกันนะครั้งแรก ถ้ำสัตตบรรณคูหา ภูเขาเวภาระ แขวงเมืองราชคฤห์ พระมหากัสสปะเป็นประธาน แล้วพระเจ้าอชาตศัตรูเป้นผู้อุปถัมภ์ ทำอยู่ ๓ เดือนเต็ม ๆ ประชุมสงฆ์ ๕๐๐ องค์
              พระเจ้าอชาติศัตรูน่าเสียดายไปโดนเทวทัตท่านหลอก ถ้าหากท่านไม่ฆ่าพ่อนะ พระพุทธเจ้าเทศน์ปุ๊บท่านจะเป็นพระโสดาบันเลย คราวนี้ท่านไปสั่งฆ่าพ่อจริง ๆ คือไม่ได้สั่งฆ่าหรอก เพียงแต่ว่าให้เพชฌฆาตเอามีดโกนไปกรีดฝ่าพระบาท ท่านจะได้เดินจงกรมไม่ได้ ตอนแรกจับไปขังไว้เฉย ๆ กะว่าจะให้อดตาย แต่ปรากฏว่าพวกเจ้าหน้าที่เขาเคยเป็นข้าราชบริพารมาก่อนก็เอาอาหารไปถวาย มีข้าวกินจะไปอดตายอย่างไร ก็สั่งห้ามไม่ให้ข้าราชบริพารถวาย พระราชเทวีคือแม่ของพระเจ้าอชาตศัตรู พระมเหสีพระเจ้าพิมพิสารก็เอาขันข้าวซ่อนไว้ในส่าหรีเข้าไป พอรู้ข่าว เอ๊ะ...ยังมีตายอีกใช่ไหม ก็สั่งให้ห้ามเอาขันข้าวซ่อนเข้าไป ท่านก็ใช้วิธีตำพวกข้าวเอามาคั่วสุกแล้วตำละเอียดทาตัวเหมือนกับเป็นแป้งเข้าไป ให้เลียกินเอาก็อยู่ได้อีก พออยู่ได้อีกก็เลยสั่งห้ามเข้าเยี่ยมเลย พอสั่งห้ามพระเทวีเข้าเยี่ยม พระเจ้าพิมพิสารก็ใช้วิธีเดินจงกรมอยู่ด้วยธรรมปิติไม่ตายอีก พระเจ้าอชาติศัตรูเลยสั่งให้เพชฌฆาตเอามีดโกนกรีดฝ่าพระบาทจะได้เดินไม่ได้ ในอรรถกถาท่านบอกว่าเกิดจากโทษที่พระเจ้าพิมพิสารในอดีตชาติชาติหนึ่ง เคยใส่รองเท้าเดินเข้าใปในบริเวณลานเจีดย์เป็นการไม่เคารพพระพุทะเจ้า ไม่เคารพต่อสถานที่เจดีย์ เจตียเครื่องระลึกถึง พอพระเจ้าพิมพิสารโดนกรีดฝ่าพระบาทแล้ว ไม่สามารถจะเดินจงกรมได้ก็นอนแบบแซ่วอยู่ก็อดข้าว ในเมื่ออดข้าวแล้วจิตยังไม่ได้อยู่ด้วยธรมปิติร่างกายก็ทรุดโทรมเร็ว พระเจ้าอชาตศัตรูรอวันเมื่อไหร่จะตายเสียที พอดีพวกมหาดเล็กวิ่งมารายว่าพระเทวีของท่านคือมเหสีของพระเจ้าอชาติศัตรูมีพระประสูติกาลแล้ว คลอดลูกแล้ว พอได้ยินว่ามีลูกแล้ว ความรู้สึกความเป็นพ่อท่วมหัวใจ เออ...เรามีลูกแล้ว รู้สึกว่ารักลูกมาก นึกขึ้นมาได้ พ่อเราก็รักเราอย่างนี้ ก็รีบสั่งให้เจ้าหน้าที่ไปปล่อยพระเจ้าพิมพิสารออกมา ไปไม่ทันสวรรคตไปแล้ว ท่านรู้ตัว่าทำอนันตริยกรรมฆ่าพ่อที่รักตัวเองขนาดนั้น ก็นอนฝันร้ายทุกคืน หน้าตาซูบซีดอิดโรย จนบรรดาปุโรหิตข้าราชบริพารทูลถามว่า “เป็นเพราะอะไร ?” ท่านบอกว่า “ฝันร้าย ไม่รู้ว่าทำอย่างไร ฝันซ้ำ ๆ ซาก ๆ น่ากลัวเหลือเกิน เห็นไฟนรกลุกท่วมเลย” บรรดาข้าราชบริพารแนะนำว่า “พระสมณโคดมเท่านั้นที่จะเป็นที่พึ่งของพระองค์ได้ ให้ไปหาเถอะ” ก็เสด็จไปหาพระพุทธเจ้า ก็เล่าความฝันให้ฟัง พระพุทธเจ้าท่านเทศน์ปลอบใจ เรื่องที่ว่าคนเราเกิดมาไม่ทำชั่วไม่มีหรอก แต่ว่าถ้าเราไปประวัตินึกถึงความชั่วอยู่ตลอด จิตใจจะเศร้าหมอง ที่ว่า จิตเต สังกิลิฎเฐ ทุคติ ปฏิกังขา ถ้าจิตเศร้าหมองเมื่อไรมีทุคติเป็นที่ไปแน่นอน จิตเต อสังกิลิฎเฐ สุคติ ปฏิกังขา ถ้าจิตไม่เศร้าหมองมีสุคติเป็นที่ไปแน่นอนอย่างนี้ ขอให้ท่านลืมของเก่าตั้งหน้าตั้งตาทำความดีใหม่เป็นการชดเชย เพราะสิ่งที่ทำท่านไม่ได้เจตนาแต่เป็นไปตามที่พระทวทัตเขายุ พระเจ้าอชาติศัตรูสบายใจกลับไปนอนหลับได้ พระพุทธเจ้าท่านตรัสกับพระทั่วไปว่า “เสียดายพระเจ้าอชาตศัตรู ถ้าไม่มีอนันตริยกรรมข้อที่ฆ่าพ่อนะ อย่างไรเสียต้องได้พระโสดาบันเป็นอย่างน้อย แต่คราวนี้ว่าอนันตริยกรรมขวางเสียแล้ว อย่างไรก็ต้องลงอบายภูมิก่อน” คราวนี้พระเจ้าอชาตศัตรูพอท่านเข้าฟังธรรมต่อพระพุทธเจ้า ก็ประกาศตนเป็นพุทธมามกะทำนุบำรุงภิกษุ สร้างถาวรวัตถุในพุทธศาสนาไว้มาก วาระสุดท้ายยังเป็นผู้อุปถัมภ์ในการสังคายนาพระไตรปิฎก ผลบุญใหญ่ตรงนี้ทำให้ท่านไม่ต้องลงอวเจีมหานรก อรรถกถากล่าวว่าลงแค่สัญชีวนรกเท่านั้น คือจะโดนโทษ ๘ เท่าก็โดนแค่ ๑ เท่าเท่านั้น แหม...ใช้คำว่าเท่านั้นนะ นรกที่ไหนมีสบายบ้าง กลายเป็นว่าโทษเบาลงไป ลดโทษไป ๘ เท่า
      ถาม :  พระเทวทัตนี่แย่แล้ว ทำไมถึงสามารถเกิดเป็นกษัตริย์ ?
      ตอบ :  ไม่ได้ทำชั่วทุกชาติ มีดีมีชั่วสลับกันไป เพียงแต่ว่าชาติไหนพระเทวทัตเกิดเจอพระพุทธเจ้าเมื่อไร กูใส่เมื่อนั้น เป็นไปตามอธิษฐานบารมีที่ท่านตั้งใจไว้ ในชาตินั้นท่านเป็นพี่น้องกัน พระเทวทัตเป็นพี่ พระพุทธเจ้าเป็นน้อง ทำไร่อ้อยอยู่ด้วยกันทำไร่ก็แบ่งครึ่งกัน แกดูแลส่วนโน้นของแก ข้าดูแลส่วนนี้ของข้า อ้อยสมัยก่อนไม่เหมือนสมัยนี้ อ้อยสมัยก่อนน้ำขังอยู่ในกระบอกเหมือนกับน้ำอยู่ในกระบอกไม้ไผ่ ถึงเวลาตัดก็เทโจ๊กได้เลย ในสมัยก่อนคนบุญมาก เรื่องยุ่งยากต่าง ๆ ก็น้อย ขั้นตอนต่าง ๆ จะลดลงไปเยอะเพราะกำลังบุญ
              คราวนี้วันนั้นพระเทวทัตทีเป็นพี่พอดูแลไร่อ้อยเสร็จ น้องยังไม่กลับ ท่านเองท่านกลับไปกินข้าวเช้าก่อน ผลัดกันอยู่เฝ้า ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวพวกสัตว์อย่างช้างพอเจออ้อย มันก็ถอนกินหมด ต้องมีคนเฝ้าไร่อยู่ด้วย พระปัจเจกพุทธเจ้า ท่านเดินผ่านมาพอดี พระพุทธเจ้าในชาตินั้นเราอยากจะทำบุญกับพระปัจเจกพุทธเจ้า เพราะท่านบอกว่าเราอยากทำบุญกับพระผู้เป็นเจ้าองค์นี้ เสร็จแล้วท่านตัดอ้อย ๒ ลำ แล้วยกไปเทลงในบาตร อธิษฐานตั้งใจว่า “ขอผลบุญที่ท่านได้ทำนี้ ขอให้บรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณในอนาคตกาลด้วย” แล้วก็นึกว่า เออ...เราอยากให้พี่ชายได้บุญด้วย จะไปตัดอ้อยของพี่ชายมาถวายก็เอ๊ะ...ไม่ได้ พี่ชายเราเป็นคนขี้โมโห ถ้ารู้ว่าเราทำโดยพลการ เดี๋ยวไม่ยินดีขึ้นมาจะลงนรกซะเปล่า ๆ เอาอย่างนี้ดีกว่า ถ้าพี่ชายมา เราบอกท่านว่า เราทำบุญ ให้พี่เขาโมทนาแล้วกัน ท่านมีความรู้เรื่องนี้จริง ๆ นะ ปรากฏว่าพอพระปัจเจกพุทธเจ้าไปไม่นาน พี่ชายกลับมาจากกินข้าวน้องชายบอกว่า “ได้ทำบุญกับพระผู้มีพระภาคเจ้ามา ในเมื่อทำบุญกับพระผู้เป็นเจ้ามาแล้วก็ขอให้พี่โมทนาด้วย ปราฏว่าพี่โกรธไฟแลบเลย ตามนิสัยขี้โมโหของตัวเอง หาว่าน้องอยากได้ดีคนเดียว แทนที่จะเอาของตัวเองใส่บาตรให้ด้วย ก็ไม่ได้ใส่ให้ โทษเขาไปเรื่อย เสร็จแล้วกอบดินทรายขึ้นมา ๑ กอบ บอกว่า “จะตามจองล้างจองผลาญไป แกอยากเป็นพระพุทธเจ้า ข้าจะไปขวาง จะให้เกิดเป็นชาติเท่ากับจำนวนเม็ดทรายในกอบ” ก็สมใจนึก ก็ตามไปเรื่อย ชาติไหนเจอพระพุทธเจ้าเมื่อไร ก็ลงอเวจีเมื่อนั้น พระพุทธเจ้าขึ้นบนท่านก็ลงล่าง บางครั้งพระพุทธเจ้าพลาดท่านลงล่างนี่ก็ขึ้นบน สลับกันไปสลับกันมาต่างคนต่างทำดีบ้างทำชั่วบ้างสลับกันไป ชาติไหนเจอกันเมื่อไรก็โดนเมื่อนั้น ตั้งใจไว้แล้วต้องเอาให้ได้ ดังนั้นที่ท่านเป็นกษัตริย์ได้ ช่วงที่ท่านขึ้นมาแล้วท่านทำความดีก็มีอยู่ ผลบุญก็ส่งไปให้ ไม่ใช่ประเภทกอดคอกันเกิดกอดคอกันตาย ผลัดกันไปผลัดกันมา ๔ อสงไขยกับอีกแสนมหากัป
      ถาม :  ................................
      ตอบ :  วันก่อนอธิบายให้ตาตือฟังประสาทกลับไปเลย ๑ มหากัปนี่นานขนาดไหนบอกไม่ถูก กำหนดเป็นเวลาไม่ได้ ท่านบอกว่าเริ่มจากอสงไขยปี อสงไขยปีตั้งเลขหนึ่งขึ้นมาแล้วต่อด้วยศูนย์ ๑๔๐ ตัว เป็นเลข ๑๔๑ หลัก จะเป็น ๑ อสงไขยปี แล้วจาก ๑ ต่อด้วยเลขศูนย์ ๑๔๐ ตัวเป็นเลข ๑๔๑ หลักนี่อายุมนุษย์จะเสื่อมลงไปเรื่อย ๆ อายุครั้งแรกที่ยืนขนาดนั้น เพราะส่วนใหญ่มาจากอาภัสราพรหม ในเมื่อมาจากอภัสราพรหมผลบุญเก่ายังมีอยู่ อายุก็ยืนนานขนาดนั้น แต่พออยู่ไปนาน ๆ กิเลสตัณหา อุปาทานอกุศลกรรมพอกพูดขึ้นเรื่อย ๆ ผ่านไป ๑๐๐ ปีอายุลดลงปีหนึ่ง ผ่านไป ๑๐๐ ปีอายุลดลงปีหนึ่ง อย่างเช่นว่าของเราช่วงนี้อายุของเราจะมีอายุ ๑๐๐ ปีโดยประมาณ แต่อายุพระศาสนาผ่านมา ๒,๕๐๐ ปีเศษแล้ว เท่ากับว่า ๑๐๐ ปีลดปี เท่ากับว่าเป็น ๒๕ ปี เหลืออายุขัยประมาณ ๗๕ เท่านั้น คราวนี้จากเลข ๑๔๑ หลัก ๑๐๐ ปีลดปี ลงมาเรื่อย ๆ นั้น นานจนบอกไม่ถูกกว่าที่อายุขัยของมนุษย์จะเหลือ ๑๐ ปี พออายุขัยของมนุษย์เหลือ ๑๐ ปี จะเกิดมิคสัญญีขึ้นมา คือผู้คนฆ่าแกงกันเหมือนปลาเหมือนนี้อย่างนี้ พวกที่สลดใจขึ้นมาก็บำเพ็ญในทาน ศีล ภาวนา ทำความดีใหม คนที่มีความดีอายุก็ยืนขึ้น ก็ ๑๐๐ ปีขึ้นปี ๑๐๐ ปีขึ้นปีเหมือนกันจนกลับเป็น ๑๔๑ หลักเท่าเดิมเขาเรียก ๑ รอบอันตรกัป พอได้ ๑ รอบ อัตรกัปแล้ว ๖๔ รอบอัตรกัปเท่ากับ ๑ อสงไขยกัป แล้วก็ ๔ อสงไขยกัปถึงจะเท่ากับ ๑ มหากัป ตายอย่างเขียด ตัวเลขเยอะจนบอกไม่ถูก ฟังก็เหนื่อยแล้ว
              คราวนี้พระพุทธเจ้าท่านที่เป็นปัญญาธิกะที่บำเพ็ญบารมีสั้นที่สุดน้อยที่สุดแล้ว ๔ อสงไขยกับแสนมหากัป ใช้อันตรกัปหนึ่ง ท่านบอกว่า เหมือนกับมีภูเขาหินล้วนกว้าง ยาว สูงด้านละ ๑ โยชน์ โยชน์หนึ่งคือ ๘,๐๐๐ วา ๑๖,๐๐๐ เมตร ก็ ๑๖ กิโลเมตร ๔๐๐ เส้นเท่ากับ ๑ โยชน์ เส้นหนึ่ง ๒๐ วา ๔๐๐ เส้นก็ ๘,๐๐๐ วา วาหนึ่งมี ๒ เมตร ก็ ๑๖,๐๐๐ กิโลเมตร คราวนี้ ๑๐๐ ปีเทวดา เอาผ้าเช็ดเนื้ออ่อนแบบสำลีมาเช็ดครั้งหนึ่ง ๑๐๐ ปีมาเช็ดครั้งหนึ่ง ภูเขาหินล้วนเสมอพื้นเมื่อไรได้ ๑ อันตรกัป ต้องเช็ดภูเขานั้นพังไปทั้งหมดกี่ลูก ก็ ๖๔x๔ เท่ากับ ๒๕๖ ลูกถึงจะได้ ๑ มหากัป ไม่รู้เหมือนกันว่านานแค่ไหน แต่ความเป็นทิพย์ของพรหมของเทวดาก็ดี ในปัญญาญาณของบรรดาพระอรหันต์ที่ได้ปฏิสัมภิทาญาณ หรือว่าในปัญญาญาณขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านคำนวณตัวเลขพวกนี้ได้กล้วย ๆ เหมือนยังกับ ๑+๑ อย่างของเรา เพราะว่าปัญญาท่านสูงมาก ความละเอียดของจิตสูงมาก ข้อมูลพวกนี้กลายเป็นข้อมูลเล็ก ๆ แค่นั้นเอง ท่านพูดหน้าตาเฉยเหมือนอย่างกับว่าเป็นตัวเลขง่าย ๆ ที่เราทำกันอยู่
      ถาม :  ๑๐๐ กว่าหลัก ?
      ตอบ :  ไม่มีที่จะวาง ขนาดเด็กอนุบาลนี่แหม...นับนิ้วใชไหม ยังนับได้แค่ ๒ มือ แล้วอีก ๒ เท้ามัวแต่นับขยุกขยิกอยู่ ครูเขาหมั่นไส้ เลยบอก “เอามือซุกกระเป๋าซะ” เอามือซุกกระเป๋า ๕+๕ ได้เท่าไร ก็อดขยุกขยิกไม่ได้ พักหนึ่งก็ตอบว่า “สิบเอ็ดครับ” มันอดขยุกขยิกไม่ได้ นับไปนับมาเกินมานิ้วหนึ่ง สิบเอ็ดครับ ต้องเป็นผู้ชายแน่เลย (หัวเราะ) ครูจะหัดให้นักเรียนคิดในใจ นักเรียนก็นับนิ้วท่านก็รำคาญ เอามือซุกกระเป๋าเดี๋ยวนี้นะ ๕+๕ ได้เท่าไร เด็กอดไม่ได้เคยชิน ก็นับไปเรื่อย ๑๑ ครับ ต้องฝรั่งเขา ฝรั่งเก่งนะหลัการสอนนี่มโนมยิทธิชัด ๆ เลย สอนเด็กอนุบาลนี่แหละ ให้คิดเลข บอกว่า “หลับตาลงซิ นึกถึงภาพกระดานดำไว้ แล้วมีเลขสองอยู่ ขีดลงไป หนึ่งขีด สองขีด แล้วบอกเข้าไปอีกสาม ได้เท่าไร ขีดลงไป หนึ่ง สอง สาม นับรวมกันซิได้เท่าไร ?” เด็กหลับตาเงียบจนครูก็ “เฮ้ย ๆ ทำไมนาน ตกลงได้เท่าไรคะ ?” เด็กตอบ “หนูหาชอล์กไม่เจอค่ะ” (หัวเราะ) เด็กเก่งกว่าครู หลับตาแล้วยังหาชอล์กไม่เจอ...!
      ถาม :  ....................................
      ตอบ :  ที่พม่ามีเจดีย์เล็ก ๆ อันหนึ่งแต่คนนิยมไปมากเลย อยู่ที่ย่างกุ้งข้างแม่น้ำงาโมย่า เป็นเจดีย์เล็ก ๆ ชื่อเจดีย์แมละมุ นางละมุ ละมุนี่ลูกลำพู ก็นางลำพู ลำพูขึ้นอยู่ริมน้ำใช่ไหม ตามประวัติเขาว่ามีพญาจระเข้ตัวหนึ่ง ชื่องาโมย่า มีอิทธิฤทธิ์สามารถแปลงกายเป็นคนได้ ก็แปลงเป็นคนขึ้นมาเที่ยวข้างบน แล้วไปพบรักกับนางละมุ ก็แต่งงานอยู่กินกัน ปรากฏว่าอยู่ ๆ โผล่มาไม่มีที่มาที่ไป แถมยังรวยเสียอีก ชาวบ้านเขาก็สะกิดใจสงสัย สงสัยก็แอบดูความประพฤติ เห็นว่าแต่ละวันจะมีช่วงหนึ่งเขาจะหายไปริมน้ำประจำ ก็ได้แต่สงสัยกัน คราวนี้วันหนึ่งพญาชาละวันแกเผลอสติ แกหลับอยู่ สงสัยพวกฤทธิ์คลายออกก็เป็นจระเข้เหมือนเดิม นางละมุเห็นก็ตกใจ พอตกใจร้องขึ้นมา พญาจระเข้เห็นรูปตัวเองเป็นจระเข้ แกอายเมียแก ก็ประเภทเผ่นลงน้ำหายไปเลย ปรากฏว่าแกตีค่าความรักของผู้หญิงน้อยไปหน่อย คิดว่าพอเห็นเป็นจระเข้แล้วนางละมุจะไม่รัก ปรากฏว่านางละมุก็พายเรือตามหาเรียกหาผัว พาย ๆ ไป จนกระทั่งหมดเรี่ยวหมดแรง ผัวก็ไม่โผล่มาสักที พอดีเกิดพายุพัดเรือล่ม แกจมน้ำตาย ศพก็ลอยผ่านไปพญาจระเข้เห็นพอดี เขาก็คาบขึ้นมาตรงบริเวณบ้านที่อยู่กินกัน อยู่ริมน้ำไม่ไกลนัก ร้องไห้ฟูมฟายกลิ้งเกลือกไปจนกระทั่งขาดใจตายไปด้วยกัน ชาวบ้านเขาเห็นใจ เขาสร้างเจดีย์ครอบบริเวณนั้นเอาไว้ เรียกว่า “เจดีย์แมละมุ” คือนางลำพู แล้วสร้างอนุสาวรีย์เป็นรูปจระเข้อยู่ด้วย ตกลงว่าตำนานจระเข้แต่งกับคนนี่พม่าก็มี เราคิดว่ามีแต่ชาละวันกับตะเภาแก้วตะเภาทองของเรา
              แต่ถ้าอยู่ในลักษณะอย่างนั้นนี่ คาดว่าแกน่าจะเป็นเปรตประเภทหนึ่ง เป็นเปรตในคราบสัตว์เดรัจฉาน เขาเรียกว่า อชคราทิเปรต เปรตพวกนี้จะอยู่ในร่างกายของสัตว์เดรัจฉาน แต่ส่วนใหญ่แล้วจะจำศีลภาวนาจนกระทั่งเปลี่ยนร่างได้ แล้วมักจะเปลี่ยนเป็นคน อย่างที่เราได้ข่าวว่าเสือสมิงแปลงเป็นคนอย่างนี้ แล้วก็จิ้งจอกแปลงเป็นคนอย่างนี้ ของจีนเขากลัวกัน นางชะมดแปลงเป็นคน นางจิ้งจอกแปลงเป็นคน คือพวกอชคราทิเปรต
              แล้วมีอยู่รายหนึ่ง พ่อตายกลายเป็นงูเหลือมใหญ่เลื้อยมาบอกที่ซ่อนสมบัติ คือพอพ่อตายตั้งศพอยู่ยังไม่ทันจะครบ ๗ วันเลย อยู่ ๆ มีงูเหลือมใหญ่ตัวหนึ่งเลื้อยมานอนอยู่ใต้ที่ตั้งศพ คนแตกตื่นกันมาดู แล้วลูกหลานก็คิดว่าเป็นพ่อที่ตายไป ก็จุดธูปบอกว่า “ถ้าเป็นพ่อจริงนะ มีสมบัติที่เคยเห็นพ่อมีอยู่ แล้วตอนนี้หาไม่เจอ ขอให้พ่อช่วยบอกให้ด้วย” งูเหลือมเลี้อยพันเสาขึ้นไปบนขื่อ ตามขึ้นไปดูเห็นว่าเจาะเสาขื่อเป็นร่องอยู่ เป็นช่องอยู่ก็ดึงไม้กระดานที่เป็นรอยปิดนั้นออกมา ล้วงเข้าไปเจอพวกทองที่เขาซ่อนเอาไว้ เสร็จแล้วงูก็เลื้อยกลับลงมา มาถึงก็ประเภทมองลูกมองหลานเสียใจน้ำตาไหล แล้วเลื้อยลงบันไดหายไป ลักษณะอย่างนี้เปรตแน่นอนเลย เพราะพ่อเพิ่งตาย จะกลับมาเป็นงูตัวใหญ่อย่างนั้นไม่ได้หรอก เพราะกว่าจะใหญ่ขนาดนั้นหลายปีเต็มที ยกเว้นว่าอยู่ในสภาพของเปรต เพราะเรื่องของโอปาปาติกะเกิดผุดขึ้นทันทีทันใด ไม่มีเด็กไม่มีผู้ใหญ่หรอก โตเต็มวัยไปเลย หนึ่งใน ๑๒ จำพวก เป็นเปรตในคราบสัตว์เดรัจฉาน
      ถาม :  อย่างนี้เขาโมทนาไม่ได้ใชไหมครับ ?
      ตอบ :  ไม่ได้ จนกว่ากรรมจางลง กระทั่งเป็นปรทัตตตูปชีวีเปรตถึงจะโมทนาบุญได้