ถาม:  ....................................
      ตอบ :  เหล็กไหลจำแนกจริง ๆ มีหลายสี ต้องใช้ว่าหลายสี หลายสีแล้วก็หลายระดับ คราวนี้เอาเหล็กไหลในความหมายของผมแล้วกัน เหล็กไหลในความหมายของผมจะมีอานุภาพพิเศษ คืออันดับแรกสามารถทำลายอำนาจของกระแสไฟฟ้าทุกชนิดได้ ดังนั้นพวกเครื่องอิเล็กทรอนิกส์ไม่ว่าจะเป็นกล้องถ่ายรูปก็ดี วีดีโอก็ดี จนกระทั่งเครื่องรถยนต์ หรือว่าพวกเครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้านอย่างนี้ ถ้าเหล็กไหลก้อนนั้นมีกำลังพอในบริเวณที่เขาส่งกำลังถึง ไฟฟ้าจะทำงานไม่ได้เลย หมายความว่าถ้าขึ้นรถยนต์ก็เครื่องดับเลย อันดับต่อไปคือมีความชื้นสูงมากความเย็นสูงมาก ทดสอบได้ด้วยการรินน้ำเดือด ๆ ใส่แก้วแล้วเอาเหล็กไหลหย่อนลงไป มันเย็นขนาดไอน้ำเกาะแก้วเดี๋ยวนั้นเลย เย็นขนาดนั้น อันดับต่อไปคือเมื่อความชื้นสูงขนาดนั้น สิ่งที่อยู่ใกล้ไม่ว่าจะเป็นดินปืน ไม้ขีดไฟ หรือระเบิดอะไรก็ตามจะไม่ทำงานเพราะชื้นเกินไป แล้วเขาทำให้ของมีคมทุกชนิดเสียคมได้ชั่วคราว มีดคม ๆ นี่เอามือเถือเนื้อจะลื่นปร๊าดไปเลย ถ้าอยู่ในรัศมีที่เขาส่งถึงนะ จะทำงานไม่ได้
      ถาม :  ..................................
      ตอบ :  เรื่องเหล็กไหลจริง ๆ ที่ผมว่า คือต้องอานุภาพระดับนี้นะ เมื่อเหล็กไหลที่มีอานุภาพขนาดนี้จะแบ่งออกเป็นหลายสีด้วยกัน จะมีสีเรียกว่าสีเงินยวง คือสีเหมือนกับตะกั่วตัดใหม่ ๆ เลย เรียกว่าสีเงินวับเลย อันนี้เขาถือเป็นระดับสูงสุดของเขา มีสีเขียวเหมือนปีกแมลงทับ คือเขียวออกเหลือง ๆ มีสีเขียวอมน้ำเงินเหมือนปีกแมลงภู่ อันนี้สีเขียวอมน้ำเงิน มีสีน้ำตาลอมเหลือง เขาบอกว่าสีท้องปลาไหล มีสีน้ำตาลออกแดง นี่คือเท่าที่เคยสัมผัสมาว่ามีสีขนาดนี้
              คราวนี้การจะไปตัดนี่ ครูบาอาจารย์ท่านรู้จริง ๆ ยังมีพอยังต้องติดต่อกับพวกเจ้าที่หรือเทวดาที่เขารักษาของนั้นด้วย ของสำคัญส่วนใหญ่จะมีผู้รักษาอยู่ ถ้าไม่ใช่ผีไม่ใช่เทวดาก็จะเป็นพวกสัตว์ที่มีอำนาจต่าง ๆ อย่างพวกงูใหญ่เป็นต้น ต้องคุยกับเขารู้เรื่องนะ ไม่อย่างนั้นถ้าเอาออกมามันตามตายเลย ลุยกันเละเลย ถ้าคุยกับเขารู้เรื่องขอเขาได้ตกลงกันได้ถึงจะตัดได้ แต่เท่าที่เจอมา คือตัดมาแล้วก็ตาม ถ้าเขาไม่ชอบใจเขาจะกลับไปเลย เหมือนกับมันหนีได้
              คราวนี้เมื่อตัดมาเมื่อมีอานุภาพขนาดนี้แล้วจะทำอย่างไร เขาให้ใช้ขี้ผึ้งคือเทียนนี่แหละ พูดง่าย ๆ คือหลอมเทียนเสร็จแล้วก็หย่อนเหล็กไหลไว้ตรงกลางให้เทียนหุ้มหนา ๆ อยู่ มันแพ้กัน มันแปลกมันชอบกินน้ำผึ้ง แต่ขณะเดียวกันมันแพ้ขี้ผึ้ง ถ้าหากมันโดนขี้ผึ้งหุ้มอยู่ พลังเขาส่งออกมาไม่ได้ เราก็เอาเขาไปไหน ๆ ได้ อย่างเช่นขึ้นรถลงเรือได้ ไม่อย่างนั้นต้องย่ำต๊อกสถานเดียว อานุภาพของเขาจะว่าไปแล้วก็เหลือล้นนะ แต่จุดอ่อนก็มีเพราะมันอยู่ยงคงกระพันจริง ๆ พูดง่าย ๆ มีด ไม้ ปืน ระเบิดอยู่ในรัศมีนั้นจะไม่ทำงานเลย แต่ถ้าเขาใช้วิธีประเภททุบเอาจริง ๆ ก็ตาย หรือจับกดน้ำหรือจับรัดคอเอาก็เสร็จเหมือนกัน ถึงมีอานุภาพมากแต่จุดอ่อนของเขาก็มี สำคัญที่สุดคือถ้าได้มาอย่าให้ตกถึงพื้น แตะพื้นดินเมื่อไรไปทันทีเลย เหมือนเขาชอบอยู่ตามอิสระของเขา ไม่ชอบให้อยู่กับใครให้ใครบังคับ ขอให้มีส่วนแตะพื้นเมื่อไรไปทันทีเลย
      ถาม :  .............................
      ตอบ :  เหล็กไหลก้อนหนึ่งประหลาดที่สุดเลย คือเขาเลือกเจ้าของ เจ้าของคือตาเลิศ อยู่เพชรบูรณ์ ตาเลิศจริง ๆ ไม่ใช่เจ้าของเหล็กไหลก้อนนี้ เจ้าของเหล็กไหลก้อนนี้เป็นม้ง คราวนี้เจ้าม้งนี่อยู่บนเขา คือแถว ๆ ทับเบิกของเพชรบูรณ์ แถวหล่มสักหล่มเก่านี่จะมีม้งเยอะมาก คราวนี้ม้งนี่ป่วยหนัก แล้วเพื่อนเฝ้าอยู่ เฝ้าไปเฝ้ามาม้งทนอาการเจ็บป่วยไม่ไหวตาย เพื่อนก็ค้นบ้าน คนไปค้นมาเจอหิ้งที่เขาไหว้ผี มีห่อผ้าเล็ก ๆ ของเขาอยู่ ก็แกะออกมาดู เจอลักษณะเป็นกึ่งหินกึ่งโลหะสีเขียวปี๋เลย เออ..น่าจะมีราคาบ้าง เขาก็ซุกเอาไว้ก่อนที่ญาติเขาจะมา พอญาติเขามาจัดงานศพเสร็จ ไอ้นี่ลงมาเที่ยวเมืองกินเหล้าอยู่ เจอตาเลิศเข้า รู้จักกันก็คุยกัน คุยไปคุยมาเสร็จกินเหล้าเงินหมดก็ตื้อตาเลิศบอกว่าขอเงินซื้อเหล้าสักร้อยสิ ตาเลิศบอกว่าไม่มีให้ แกก็พยายามตื๊อไปตื๊อมาจนกระทั่งเห็นว่าไม่ได้จริง ๆ ก็เอาเหล็กไหลก้อนนี้ที่แกไม่รู้หรอกว่าเป็นเหล็กไหล บอกเอาอย่างนี้แล้วกัน จำนำเอาไว้ห้าสิบบาทแล้วจะมาไถ่คืน ตาเลิศทนรำคาญไม่ได้ก็เออ ในเมื่อมีของประกันอยู่ก็ให้ไปห้าสิบบาท แล้วตัวเองก็เอากลับบ้าน เก็บเอาไว้ที่บ้านเป็นปี ๆ ก็ไม่มีปัญหาอะไร อยู่กับตัวเองไปเรื่อย ๆ คราวนี้ไอ้ม้งนั่นน่ะ จริง ๆ คืออยากได้เงิน มันไม่คิดจะเอาคืนหรอก ห้าสิบบาทมันถือว่ามันได้ฟรี ของก็ไม่ใช่ของมันอยู่แล้วก็หายจ้อยไปเลย ไอ้นี่ก็เก็บอยู่เรื่อย ๆ
              คราวนี้ช่วงนั้นเป็นช่วงที่อเมริการบลาวเวียดนามอยู่ พอเขามาเจออานุภาพของวัตถุมงคลต่าง ๆ ของไทยเข้านี่ เขาเลยประกาศรับซื้อวัตถุมงคลทุกชนิดที่ยิงไม่ออกจริง ๆ ให้ราคาชิ้นละสี่แสนบาท สมัยนั้นไม่รู้คุณทันหรือเปล่านะ สี่แสนบาทประมาณ พ.ศ. ๒๕๑๐ กว่า ๆ สิบนิดหน่อย ถ้าผมจำไม่ผิด สงครามเวียดนามจะจบประมาณปี ๑๔ อเมริกาต้องถอยออกมา ลาวจบหลังจากนั้นนิดหน่อย ตอนนั้นผมจำเพราะกำลังเรียนมัธยม เขาประกาศซื้อชิ้นละสี่แสนบาท มีคนเอาไปให้เขาลองกันเยอะ ยิงด้วยปืนอะไรก็ได้ ปืนที่เขามีถ้ายิงไม่ออกจริง ๆ นี่เขาให้เลย ตาเลิศพอได้ข่าวมาก็แหม...ทั้งเนื้อทั้งตัวไม่มีอะไรเลย พระเก่า ๆ ในบ้านดูแล้วไปไม่รอดแน่ ๆ เลย เคารพก็เคารพล่ะ แต่ถ้าเอาไปยิงเล่นนี่กระจายแน่ แกก็หยิบไอ้นั่นขึ้นมา ดูซ้ายดูขวาเสร็จ ลองดูซักหน่อยวะ เผื่อฟลุกได้เงินใช้บ้าง ไอ้ห่านั่นไม่มาอยู่แล้วตั้งหลายปีแล้วนี่ ก็เอาเหล็กไหลก้อนนั้นไปลองที่จอมปลวกหลังบ้านตัวเอง
              คราวนี้แกมีแต่อีแก๊ป ปืนแก๊ปที่ใช้กระทุ้งลูกแล้วยิงเอา แกก็ไปลองยิง แป๊กไม่ออก แกก็เอ๊ะ..สงสัยว่าแก๊ปจะชื้น แก๊ปจะด้านหรือดินจะชื้นอย่างนี้ก็ยิงไม่ออก แกก็ลองอีกก็แป๊กอีก แกก็ไปบ้านผู้ใหญ่ยืมปืน ขอยืม .๓๘ มายิงก็แป๊กอีก กลับไปเล่าให้ผู้ใหญ่ฟัง ผู้ใหญ่บอกลูกกูซื้อมาเป็นสิบปีด้านแล้วมั้ง ก็เอาลูกซองใหม่ ๆ ไป เพิ่งได้รับมาจากทางราชการ ตอนนั้นมีการฝึกอส. พวกทสปช.เอาไว้ป้องกันหมู่บ้าน ลูกซองเพิ่งได้มาใหม่ ๆ พูดง่าย ๆ คือลูกกระสุนยังใหม่เอี่ยมทองเหลืองยังเหลืองวับอยู่ เอาไปลองยิงก็แป๊กหมดอีก แต่ถ้าเดินพ้นจากบริเวณนั้นซัก ๑๕ เมตรแล้วไปยิงที่อื่น ยิงอย่างไรก็ออก เขาก็ไป ไปด้วยกัน ถาม “แล้วแกจะขายราคาเท่าไร ?” บอกว่า “มันให้สี่แสนเราก็เอาสี่แสน ถ้าลองแล้วดีจริง มันจะให้มากกว่านั้นหรือว่าอย่างไรก็เอา แต่ถ้าให้น้อยกว่านั้น ถ้าได้เป็นหมื่นก็เอา” พูดง่าย ๆ ชีวิตของแกเงินหมื่นไม่เคยจับก็เยอะแล้ว ก็ตกลงไปด้วยกัน แกไปที่ฐานบินโคราช แกให้เมียถักด้ายหุ้มเอาไว้ แขวนติดคอเอาไว้กลัวหาย ไปที่ฐานบินโคราชอุตส่าห์ไปเช่าโรงแรม พอเช่าโรงแรมเสร็จก็รายงานเข้าไป พวกจีไอก็ดีใจตื่นเต้นกันก็เข้ามารอ ยิงไม่ออกจริง ๆ M16 ก็ยิงไม่ออก อะไรก็ยิงไม่ออก พอยิงไม่ออกเขาก็ตกลงวางเงินมัดจำสามหมื่น บอกว่า “เดี๋ยวพรุ่งนี้จะเอามาให้อีกสามแสนเจ็ด” พอวางเงินมัดจำสามหมื่น ตาเลิศแกก็ประเภทกระหยิ่มแล้ว กูเป็นเศรษฐีแล้ว
              งานนี้ปรากฏว่าพอรุ่งขึ้น ไอ้ที่แกถักเชือกอยู่เป็นถุงหุ้มอยู่เหลือแต่ถุงเปล่า ๆ พ่อเจ้าประคุณเหล็กไหลเผ่นไปตอนไหนก็ไม่รู้ เหลือแต่ถุงเปล่า ๆ รอยฉีกรอยขาดรอยแกะสักนิดก็ไม่มีเพราะเป็นถ้ายถักใครเขาจะไปแกะทีละห่วงล่ะ เหลือแต่ถุงกลม ๆ โบ๋ ๆ คราวนี้พอไม่มีขึ้นมาจริง ๆ ก็มีการประเภทที่เรียกว่าเล่นแง่กันหรือเปล่า พวกญาติพี่น้อง พวกผู้ใหญ่บ้าน พวกที่มาคงกลัวว่าพวกกูจะขอแบ่งเลยแกล้งเอาไปซ่อน เดี๋ยวมันมาแอบขายทีหลัง มีการสงสัยกันให้วุ่นไปหมด
              จนกระทั่งไม่มีทำการซื้อขายกันต้องคืนเงินมัดจำให้เขา ปรากฏว่าตาเลิศกลับไปถึงบ้าน ของไปอยู่บนหิ้งพระตัวเอง เสร็จแล้วแกก็เอากลับมาใหม่อีก พอมารอเริ่มจะวางเงินก็หายอีกอยู่ในลักษณะนี้ เหมือนกับว่าเขาจะอยู่กับแกคนเดียว จะไม่อยู่กับคนอื่น พอมีทีท่าว่าจะเปลี่ยนเจ้าของมันหนีทันที หนีกลับบ้านก็อยู่ในลักษณะนี้ วิ่งไปวิ่งมาวิ่งไปวิ่งมาหลายครั้ง จนกระทั่งแกหมดอารมณ์ขนาดที่กำไว้ในมือเดินออกจากบ้าน พอรู้ว่าจะไปขายนี่มันกำลมไว้เฉย ๆ ไปตอนไหนก็ไม่รู้ ถึงขนาดนั้นน่ะ
              จนกระทั่งตอนหลังแกประกาศเลยบอกว่า “พระอาจารย์หรือประเภทอาจารย์คนไหนก็ตาม ฆราวาสอะไรก็ตาม ถ้าใครสามารถเอาเหล็กไหลก้อนนี้ไปจากแกได้ แกพร้อมที่จะให้ ขอเงินประเภทที่เรียกว่าพอเป็นค่าใช้จ่ายนิดหน่อยก็พอ ไม่ได้คิดเป็นแสนเป็นล้านหรอก” พูดง่าย ๆ คือเซ็งเต็มทีแล้ว ขายอย่างไรก็ไม่ได้ ไล่มันอย่างไรก็ไม่ไป มาระยะหลังคนไปลองกันเยอะขนาดมีพระจากกรุงเทพฯ ไป ไม่เชื่อลักษณะที่ว่ากำไว้ในมือตัวเองแล้วเดินออกจากบ้านแล้วหายออกไปจากมือเฉย ๆ เป็นไปได้ขนาดนั้น
              แต่มีอัศจรรย์อยู่อย่างหนึ่ง เรียกว่าเหล็กไหลของตาเลิศไม่เหมือนของคนอื่น คือปกติเหล็กไหลจะมีอานุภาพที่เรียกว่า ถ้าในรัศมีของมันนี่ ดินปืนทุกประเภทจะไม่ทำงาน เพราะฉะนั้น...ปืนจะยิงไม่ออก แต่เหล็กไหลของตาเลิศนี่แปลกมาก ขโมยไปปล้นควายบ้านแก ปืนของขโมยดี ๆ ทั้งนั้นยิงไม่ออก แต่อีแก๊ปของแกยิงออก ขโมยก็วิ่งกันตับแลบน่ะสิ ปืนแกอยู่กับตัวแกเอง อานุภาพเหล็กไหลต้องคุมได้มากกว่า ไอ้โน่นมันอยู่นอกบ้าน แต่มันไปคุมปืนของเขา ให้ตาเลิศยิงฝ่ายเดียว เอากับมัน มันเลือกได้ด้วย กลายเป็นเหล็กไหลก้อนที่พิลึกที่สุด
              คือของเราที่ว่าถ้ามันเป็นสิ่งธรรมชาติ มันไม่มีชีวิตจิตใจ มีแค่ประสาทคือวิญญาณการรับรู้เท่านั้น มันฉลาดอะไรถึงขนาดนั้น รู้ด้วยว่าใครเป็นเจ้าของมัน ใครไม่ใช่เจ้าของมัน มันเลือกไปคุมแต่อาวุธของฝ่ายที่มาปล้น แต่ของตาเลิศแกยิงออกทุกนัด แต่ตอนที่จะไปลองยิงจริง ๆ ยิงไม่ออก แต่ตอนที่ไปสู้กับศัตรูกลับยิงได้ เป็นซะอย่างนั้น
              ถ้าอยากทดลองให้แวะไปที่เพชรบูรณ์ค่ายพ่อขุนผาเมือง ไปถามหาจ่าโท้ ให้เขาพาไปหาตาเลิศเอง ไปลองได้เลย เขาบอกใครก็ตามสามารถเอาเหล็กไหลก้อนนี้ไปจากแกได้ แกยกให้เลย เพราะแกอยากได้เงินจากมัน แต่ไม่เคยได้เลย เซ็งเต็มทีแล้ว ที่แน่ ๆ คือว่าระยะหลังมีการงอนกัน บางครั้งมันไปซะสามสี่เดือนแล้วค่อยกลับมา อยากขายมากนักกูไปเที่ยวของกูก่อน ถึงเวลาค่อยกลับมามีอย่างนี้ด้วย...!
      ถาม :  เขาไปก็ไม่ได้คุ้มครอง ?
      ตอบ :  ถ้าอยู่เขายังคุ้มครองอยู่ ถ้าไม่อยู่ก็ไม่ได้คุ้มครองไม่ได้รักษาอะไร คือเหมือนประเภที่ว่างอนเจ้าของนั่นแหละ ทิ้งไว้ซะนาน คราวนี้เรื่องของเหล็กไหลนี่จะมีที่เขาเรียกว่าพวกโคตรเหล็กไหล คือเหล็กไหลตระกูลที่ผมว่า คือต้องมีอานุภาพที่เรียกว่าป้องกันความร้อนทุกชนิด แล้วก็ป้องกันไฟฟ้าได้ทุกชนิด สามารถป้องกันการจุดระเบิดของดินปืนทุกประเภทได้ คือระดับนี้ แล้วยังมีพวกที่เรียกว่าเหล็กไหลโกฏปี เหล็กทรหด พวกเป็กพวกอะไรพวกนี้จะมีระดับรอง ๆ ลงมาอีก แต่พวกนี้จะมีจุดเด่นอยู่อย่างหนึ่งแต่กลายเป็นจุดด้อยที่เขาหลอกกัน เคยเล่นแม่เหล็กไหม สมมติว่าเราเอาเหล็กพวกตะปูอะไรอย่างนี้ เอาไปแปะติดไว้กับแม่เหล็ก แล้วรุ่งขึ้นตะปูตัวนั้นจะดูดเหล็กอื่นได้ชั่วคราว จะดูดได้ประมาณ ๒ วัน ๓ วัน
              เหล็กไหลก็เหมือนกัน ถ้าคุณเอาโลหะอย่างอื่นไปแปะติดไว้กับมันนาน ๆ หน่อยหนึ่ง สมมติว่าสักวันหนึ่ง แล้วรุ่งขึ้นคุณเอาเหล็กอันนั้นไปทดลองยิงได้ภายใน ๒ วัน มีอานุภาพของเหล็กไหลคุ้มอยู่ จะยิงไม่ออกเหมือนกัน กลายเป็นว่าระยะหลังคนที่มีของจริงไปแหกตาหลอกเขา ส่วนใหญ่ไปเอาไอ้พวกเฮมาไตท์ที่สมัยนี้เรียกเหล็กไหลกัน ที่มันเป็นแม่เหล็กดูด ๆ กันอยู่ เขาเอาไปแปะติดของของจริงแล้วเอาไปลองกัน จะมีอานุภาพอยู่ประมาณ ๒ วัน บางรายเสียไปตั้ง ๑๐ ล้าน ๒๐ ล้าน เพราะทดสอบแล้วมันใช่นี่เป็นไปอย่างที่ว่าทุกอย่าง แต่มีอยู่แค่ ๒ หรือ ๓ วันเท่านั้น หลังจากนั้นอานุภาพของมันก็หมดเหมือนมันห่างแหล่งผลิตแล้วไม่รู้จะไปดูดพลังจากใคร ชัดที่สุดคือประธานธิบดีมาร์กอสของฟิลิปปินส์ ซื้อเหล็กไหลจากเมืองไทยไปราคาสมัยนั้น ๒๐ ล้านบาท แกโดนลอบสังหาร ๑๓ ครั้ง ไม่เคยสำเร็จเลย ขนาดวางระเบิดอยู่บนโพเดียมที่แกยืนพูด แกกล่าวสุนทรพจน์ของแกจนเรียบร้อยแล้ว แกเดินห่างออกไปเกือบ ๓๐๐ เมตร แล้วถึงระเบิด อันนั้นไม่ได้ซื้ออย่างเดียวนะ นิมนต์อาจารย์จากเมืองไทยไปฝังให้เรียบร้อยเลยด้วย ฝังติดตัวเลย แต่อย่างว่านั่นแหละ ถึงแกจะกันทุกอย่างได้ก็กันตายไม่ได้ ในที่สุดก็ต้องตาย ไม่ได้ตายเพราะอุบัติเหตุหรือว่าตายโดยเขาฆ่าอย่างนั้น ตายเพราะป่วยตายแก่ตาย ไม่เหลือเหมือนกัน
      ถาม :  ไม่รู้เหมือนกันว่าเขางัดออกมาแล้วเอาไปให้ใคร ?
      ตอบ :  ไม่ทราบเหมือนกัน ถ้าคนเขาไม่รู้ก็คงฝังทิ้งไปเลย แต่บอกแล้วว่าพ้นตัวแตะดินเมื่อไร ไปทันที อเมริกาเขาคิดว่าถ้าเขาได้เหล็กไหลมานี่ เขาจะเอาไปติดเครื่องบินของเขาที่เอาไปทิ้งระเบิด คืออย่างไร ๆ กันอาวุธได้ทุกชนิด แต่เขาไม่รู้อานุภาพของเหล็กไหล ถ้าถึงระดับโคตรเหล็กไหลนี่นะ จะประเภทเรียกว่าเครื่องยนต์ทุกชนิดจะไม่ทำงาน ไม่ทันจะได้ขึ้นหรอก อย่าว่าแต่ตกเลย หรือถ้าทะลึ่งพกติดแล้วไปแกะแปะข้างบนก็ซวยเลย เครื่องมันดับก็ร่วงสิ
      ถาม :  ขึ้นอยู่กับใจเราหรือเปล่าครับ ?
      ตอบ :  พูดง่าย ๆ คือบางครั้งเขามาทดสอบนะ อย่างพระธุดงค์ พระธุดงค์เวลาไปตามป่าตามเขา นั่งภาวนาอยู่เจ้าที่มาถึงโยนป๊องใส่บาตรให้เลย บอกว่าเหล็กไหล นิมนต์เอาไปเลยครับผมถวาย ถ้าเราไปหลงเอาอันนั้นออกมา มันอาจจะหายไปกลางทางก็ได้ แต่ขณะเดียวกันที่แน่ ๆ คือมันทำให้เราเสียการภาวนาของเรา เพราะเขาหลอกให้ไปฟุ้งซ่านกับตัวโลภซะแล้ว โอ้โฮ...อย่างน้อย ๆ ๒๐ ล้านอะไรอย่างนี้ เพราะราคาเหล็กไหลปัจจุบันนี่น้ำหนักบาทหนึ่งประมาณ ๔๐ กว่าล้าน น้ำหนักบาทหนึ่งคือ ๑๕.๒ กรัมของทองคำ แล้วเหล็กไหลเจ้าพระคุณเธอก้อนแค่เท่านิ้วมือหนักเป็น ๑๐ บาทเล็ก ๆ แค่นี้ การสังเกตเหล็กไหลของแท้ง่ายที่สุด ถ้าไม่มีโอกาสทดสอบนะ ให้ทดสอบน้ำหนัก หนักผิดปกติหนักมาก อีกอย่างคือมีรัศมีในตัว จะสว่างออกจากตัวของมันเอง เราเห็นปุ๊บเราจะรู้เลย เห็นปุ๊บจะรู้เลยว่าใช่
      ถาม :  ก้อนเล็กก้อนใหญ่ ?
      ตอบ :  ก้อนเล็กก้อนใหญ่เหมือนกัน คืออานุภาพของเขาคือก้อนใหญ่มากก็สว่างมาก อย่างที่หลวงพ่อท่านธุดงค์ไปทางเมืองกาญจน์ ป่าเมืองกาญจน์ท่านไปเจอ ท่านบอกก้อนเท่าหม้อข้าว
      ถาม :  หม้อข้าวนี่หม้อข้าวดินหรือหม้อข้าวไฟฟ้าครับ ?
      ตอบ :  หม้อข้าวดินหรือหม้อข้าวไฟฟ้าก็ใกล้เคียงกัน ท่านบอกปักกลดประมาณ ๕ โมงเย็น รัศมีมันส่องออกมา ป่าทั้งป่าจีวงจีวรกลายเป็นสีเขียวปี๋ไปหมดเลย เสร็จแล้วท่านแปลกใจ ท่านก็ถามพระภูมิเจ้าที่ว่า “อะไรครับ ?” พระภูมิเจ้าที่ท่านบอกว่า “เป็นอำนาจของเหล็กไหลครับ” บอกว่า “ขอให้พาไปดูได้ไหม ?” บอกว่า “ได้ รุ่งเช้าจะพาไป” พอตอนเช้าหลังจากที่บิณฑบาตเสร็จ ฉันเสร็จเก็บข้าวของเรียบร้อย มีชาวบ้านป่าคนหนึ่งนุ่งกางเกงชาวบ้านผ้าขาวม้าคาดพุง ผืนหนึ่งคาดหัว ถือมีดหมอเดินมาบอก “ท่านไปได้หรือยังล่ะ ?” หลวงพ่อก็ถาม “จะไปไหน ?” “อ้าว...! ก็ชวนผมไปดูเหล็กไหล” หลวงพ่อบอก “ให้ตายเถอะ เมื่อวานมาเป็นเทวดา วันนี้มาเป็นชาวบ้าน ใครจะไปจำมันได้ล่ะ ?” ก็พาไป เขาพาไปเป็นซอกแตกอยู่ข้างภูเขา พอเดินเข้าไปข้างในแล้วเป็นถ้ำใหญ่ เหล็กไหลอยู่กลางถ้ำ บอก “โอ้โฮ...เย็นจัดจริง ๆ เลย บริเวณน้ำน้ำมันหยดเปาะแปะไปหมด แล้วท่านลองจุดเทียนลนดูมันยืดลงมาเกือบติดพื้น พอเอานิ้วแตะปั๊บมันก็หดปุ๊บไปเป็นรูปเดิม หลวงพ่อถาม “มีวิธีตัดไหม ?” เทวดาที่รักษาท่านบอกว่า”มีครับเขาใช้คาถากัน” บอก “คาถาว่าอย่างไร ?” ท่านบอก “บอกไม่ได้ครับ” “ทำไมบอกไม่ได้ ?” “ผมมีหน้าที่รักษามันครับ ถ้าบอกเดี๋ยวก็เอาไป” อีกครั้งหนึ่งหลวงพ่อลงไปที่ชุมพรตำบลทะเลซับ ไปเจอที่ถ้ำก้อนประมาณกำปั้น พอปีรุ่งขึ้นมีคนจะไปตัด ก็ชวนหลวงพ่อไป หลวงพ่อก็เลยไปดู บอกว่าอาจารย์เป็นฆราวาสไว้ผมเผ้าหนวดเครารุงรัง เนื้อตัวเหม็นสาบจะตายชัก พอไปถึงก็ลูบ ๆ คลำ ๆ ว่าคาถางึมงำ ๆ อยู่เกือบชั่วโมง หลวงพ่อได้แต่ดู ไอ้นี่มันใกล้บ้าแล้ว ไม่เห็นมันทำอะไรว่าคาถาอย่างเดียว ปรากฏมันว่าของมันไปเรื่อย เสียงเหมือนกับใครเอาขวานฟันหินเสียงดังโช๊ะ เหล็กไหลหลุดติดมือมันเลย หลวงพ่อว่าคนเก่งจริงมันมีว่ะ
              ท่านบอกในชีวิตของท่านเจอ ๒ ครั้ง ของอาตมาต้องถามอาจารย์เต้ อาจารย์เต้ของแกนี่พูดง่าย ๆ คือพวกเราเรียกแกเล่น ๆ ว่าสังฆราชกะเหรี่ยง เพราะใครที่จะเดินทางเข้าพม่าทางด้านมะริด ทวาย ตะนาวศรี ต้องไปขอใบผ่านจากอาจารย์เต้หมด ลูกน้องอาจารย์เต้เป็นทหารกะเหรี่ยงมีอยู่ แต่ว่าก้อนประมาณ ๒ เม็ดข้าวสารเท่านั้นนะ เขียวปี๋เลยเหมือนกัน ลูกน้องคนนี้หวงมากเลย อยู่ติดกับตัวประเภทที่เรียกว่ามันออกรบปะทะกันเมื่อไร มันไม่เคยเป็นอะไรกับใครหรอก คนอื่นเจ็บบ้างตายบ้าง อาจารย์เต้นี่ของที่อยู่กับแกคือเพชรตาแมว คดไม้ไผ่มาอยู่ที่นี่แล้ว เหลืออีกอันที่แกขอไว้คือเขานางพญาเก้ง นี่แกขอเอาไว้เอง เพราะเก้งตัวเมียปกติไม่มีเขา ถ้าเป็นนางพญาเก้งจะมีเขาอันเดียวขึ้นอยู่ตรงหน้าผาก
              คราวนี้อาจารย์เต้ตอนที่แกไปเจอนั่นน่ะ คงเป็นบุญแก คดไม้ไผ่กับเพชรตาแมวลูกศิษย์เขาเอามาถวาย บอกว่า “ถ้ามีใครมอบเงินช่วยสร้างโบสถ์ก็ให้คนนั้นไป” คราวนี้แกดันปรารภเรื่องสร้างโบสถ์กับเรา เราก็มอบเงินช่วยแกไปหลายหมื่น แกก็ให้มา แต่แกบอกว่า “อาจารย์ครับ ถ้าเป็นเขาเก้งนี่ผมขอนะครับ อย่าเอาจากผมเลย” เราไม่ได้ขอแกหรอก แต่แกกลัวเราจะขอก็พูดกันไว้ก่อน เขาบอวก่า “เพราะอันนี้แกเจอมาด้วยตัวเอง อันนี้พวกกะเหรี่ยงถือว่าของคู่บุญเขา ไม่เหมือนของคนอื่นที่ลูกศิษย์เขาสละมาถวายเพื่องานพระศาสนา” บอกว่า “ตอนนั้นเป็นหน้าแล้งแล้วไฟป่าไหม้ แล้วแกเดินผ่านป่าไปเห็นว่าเป็นวงกลมของไม้แห้ง ใบไม้แห้งประมาณเมตรหนึ่งไม่ไหม้ไฟ” คราวนี้แกเป็นคนช่างสังเกต ต้องมีอะไรดีแน่เลย แกเลยเข้าไปดูแล้วก็เลยเจออยู่ พอ ๆ กับอีตาโด่งได้ไข่นกออกที่เป็นหินไป นกออกคืออินทรีทะเลที่ตาโด่งได้เพราะไปไฟไหม้ป่า ต้นไม้ทั้งป่าไหม้เกรียมหมด มีต้นนั้นเขียวป๋ออยู่ต้นเดียว ตาโด่งเลยเข้าไปดูว่ามีอะไร เห็นรังนกอยู่ก็ปีนค้นเลยไปได้มา พวกนั่นเหมือนอย่างกับพวกไข่ไก่เป็นหิน พวกนี้มีอานุภาพอะไรบางอย่างที่ศักดิ์สิทธิ์ในตัวอยู่
      ถาม :  เพชรตาแมวกับแมวตาเพชรนี่เหมือนกันไหมคะ ?
      ตอบ :  แมวตาเพชรยังมีชีวิตอยู่ เพชรตาแมวนี่ออกจากตัวมันแล้ว
      ถาม :  แมวตาเพชรตาแล้วเขาไปเอาตาของมันมาหรือคะ ?
      ตอบ :  จ้ะ
      ถาม :  ตัวที่วัดสร้อยทอง ?
      ตอบ :  ตัวนี้ตัวที่วัดสร้อยทองตายไปแล้ว พอตายแล้วเขาควักตาเลย ก็เลยอดทั้ง ๒ ข้างเลย แมวตาเพชรถ้าตายแล้วเขาให้ใส่หม้อดินฝังทรายไว้สัก ๓ เดือน แต่อย่าไปบอกใครว่าฝังไว้ตรงไหนนะ เดี๋ยวคนมาช่วยขน ถึงเวลาขุดหม้อขึ้นมาทำบุญกระดูกให้เหมือนกับที่ทำบุญให้คน แล้วให้ปูผ้าขาวเทเขาออกมา แล้วหาจะเจอ ถ้าตายปุ๊บไปควักเลยจะเป็นตาเนื้อเน่าไปเฉย ๆ
              อาตมามีอยู่ ๒ ข้าง แต่ว่าข้างหนึ่งก็ตัวหนึ่ง ของพวกนี้เป็นของธรรมชาติเป็นไปได้ พระพุทธเจ้าท่านบอกแล้ว กรรมวิบาก การส่งผลของความดีความชั่ว โลกจินไตยความเป็นไปของโลกเป็นไปได้อยู่แล้ว ท่านบอกอย่าเสียเวลาไปนึก จะมีส่วนของความเป็นบ้า เพียงแต่ว่าเรื่องพวกนี้พอรู้มา มีคนถามก็เล่าไปเรื่อยเลย