สนทนากับพระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
เดือนพฤศจิกายน ๒๕๔๖ (ต่อ)
ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ

      ถาม:  พี่ชายของหนูไปโดนของมา หนูให้เขาขายบ้านแล้วเข้าไปอยู่ที่ทาวน์เฮ้าส์แถวบางบัวทอง ผู้หญิงคนนั้นก็กำลังจะย้ายไปอยู่ด้วย วันนั้นหนูเอายันต์เกราะเพชรให้แม่พี่เขา แต่เขายังไม่ได้ไปอยู่ ตอนนี้เขาอยู่อพาร์ทเม้นท์ บอกแม่ของผู้ชายว่า “ยันต์เกราะเพชรหลวงพี่ฝากมาให้นะ” เขาก็ศิษย์หลวงปู่ปาน “เอาไปใส่ไว้ตรงไหนก็ได้ บูชาไว้แล้วกัน” คราวนี้หนูอยากจะรู้ว่า ถ้าผู้หญิงคนนั้นเข้าไปในบ้านพร้อมกับพี่ชายหนู เขาจะร้อนใช่ไหมคะ ?
      ตอบ :  ถ้าเราอาราธนาเอาไว้ก่อนมีผลจ้ะ แต่ถ้าเราไม่ได้อาราธนาเก็บเอาไว้เฉย ๆ ต้องแล้วแต่ช่วงนั้นกรรมดีกรรมชั่วของใคร ถ้ากรรมดีของเขายังส่งผลอยู่ ก็ไม่มีผลกับเขา แต่ถ้าช่วงกรรมดีเขาถอยอกุศลกรรมเข้าพอดี ก็มีผลทำให้เขาเดือดร้อน
      ถาม :  ถ้าต่างคนต่างมีตะกรุดมหาสะท้อน แล้วบางครั้งโมโหคิดไม่ดีต่อกัน ?
      ตอบ :  ถึงเวลาเอาออกซักคนแล้วกัน ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวอยู่ในลักษณะกระทบชิ่งไปเรื่อยข้างฝา ๒ ฝาอยู่แล้ว ลูกเทนนิสกระทบเด้งอยู่ตรงกลาง ตำราโบราณห้ามไว้คือห้ามให้เด็กใช้ เพราะกลัวผู้ใหญ่บันดาลโทสะไปตีเด็กเข้าจะเกิดโทษกับตัวเอง
      ถาม :  แต่ถ้าซ้อมกันไม่เป็นไรใช่ไหมคะ ?
      ตอบ :  ถ้าเล่น ๆ ไม่เป็นไรจ้ะ แต่อย่าไปเกิดโทสะกันจริง ๆ น่ากลัวเหมือนกันนะ
      ถาม :  มีดหมอ ?
      ตอบ :  เรื่องของมีดหมอนี่ ถ้าปกติแล้วติดตัวเป็นมหาอำนาจ อธิษฐานป้องกันอันตรายต่าง ๆ ที่เรามองไม่เห็นได้ ถ้าเป็นโรคที่หาสาเหตุไม่ได้ อธิษฐานทำน้ำมนต์รักษาได้ ผีเข้าเจ้าสิงอะไรอธิษฐานไล่ได้ แต่ดูให้ดี ๆ เพราะบางรายเขาเป็นเทวดาจริง ๆ แล้วคนนั้นทำผิดจริง ๆ นี่อย่าไปไล่เขานะ เป็นเรื่องเลยนะ
              เรื่องของมีดหมอนี่สมัยหลวงพ่อยังอยู่ท่านบอกเอาไว้ว่าเคล็ดลับการทำมีดหมอที่ดีที่สุดคือตอนที่เขาสวดถอนโบสถ์เก่าแล้วผูกพัทธเสามาโบสถ์ใหม่ คราวนี้แต่ละชีวิตของพระแต่ละองค์ โอกาสที่จะไปยุ่งกับการสวด ๆ ถอน ๆ โบสถ์แล้วจะมีสิทธิ์ที่จะไปตั้งพิธีนั่นน่ะน้อย เพราะส่วนใหญ่ต้องเป็นโบสถ์ของเราเอง โบสถ์ของวัดอื่นเราไปยุ่งกับเขาได้ไม่ได้อยู่แล้ว นอกจากจะไปร่วมพิธีเฉย ๆ คราวนี้ในเมื่อมีโอกาสอยู่แล้วเราก็เอาซะเลย เดี๋ยวถ้าใครอยากได้รุ่นต่อไปนะ ต้องมาสร้างโบสถ์ให้อาตมาอีกหลังหนึ่ง แล้วจะถอนหลังนี้ไปใช้หลังโน้น (หัวเราะ) คือตอนที่เราจะแก้พวกคุณไสยพวกนั้นใช้เคล็ดถอน ตอนที่จะป้องกันเราใช้เคล็ดผูก เลยสำคัญตรงถอนแล้วผูก ผูกแล้วถอนนี่แหละ แต่จริง ๆ การพุทธาภิเษกถ้าพระหรือพรหมหรือเทวดาท่านสงเคราะห์ให้นี่ มีอานุภาพอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าโบราณเขาจะถือเคล็ดอะไรบางอย่างที่จะสมบูรณ์เต็มที่ ก็จะมีเคล็ดผูกเคล็ดถอนตอนนี้
      ถาม :  .............................
      ตอบ :  ต่อให้อาตมาปลุกก็ได้ผลไม่เกิน ๕ เปอร์เซ็นต์จ้ะ เรื่องของยันต์มหาพิชัยสงครามสืบทอดมาจากตำราพระร่วง คราวนี้ตำราพระร่วงเรียกว่าสืบทอดกันตามตระกูล คราวนี้หลวงพ่อท่านไม่ได้แต่งงานไม่มีลูกก็เลยจบ ท่านก็ถวายตำราพระร่วงให้ในหลวงไป คราวนี้ท่านบอวก่า “ถ้าคนอื่นเอาไปทำถ้าไม่ใช่เชื้อสายกันจริง ๆ มีผลไม่เกิน ๕ เปอร์เซ็นต์” ในเมื่อไม่เกิน ๕ เปอร์เซ็นต์อาตมาก็ไม่รู้จะทำไปทำไมเหนื่อยฟรี
      ถาม :  ถ้าเอาไปติดบ้านก็ไม่มีผลอะไร ?
      ตอบ :  มีผลเหมือนกัน คืออย่าลืมว่า ๕ เปอร์เซ็นต์ของช้าง มดก็แบนเหมือนกันนะ แต่ของเราถ้าเราบูชาด้วยความเคารพ อย่างน้อย ๆ มีรูปพระอยู่ มีบทสรรเสริญคุณพระอยู่ คือบทอิติปิโส แล้วที่สำคัญที่สุดคือคาถาอาวุธพระพุทธเจ้า คาถาที่ใช้กำกับมีดหมองวดนี้เมื่อเช้าเดินจงกรมอยู่แล้ว ท่านบอกให้ใช้คาถาอาวุธพระพุทธเจ้า กำลังเดินอยู่แถวไหนรู้ไหม อยู่โน่นหน้าจุฬาฯ เดิน ๆ อยู่ท่านบอกมา “สัจจัง ปรมังโลเก สีละคุเณอนุตตโร อายันตุโภนโต อิธะ ทานะสีละ เนกขัมมะปัญญาสหวิริยะ ขันตีสัจจาธิฐานะ สะเมตตุเปกขา ยุทธายะโว คัณหะถะ อาวุธาตีติ”
              พุทธเจ้าตอนที่ท่านอยู่คนเดียวแล้วมารยกมาผจญ ท่านเองไม่รู้จะสู้ด้วยอะไร ก็นึกถึงว่าบารมีทั้ง ๑๐ ที่ท่านปฏิบัติมาคืออาวุธ อ้างเอาแม่ธรณีเป็นพยาน อ้างเอาคุณของศีลของสัตย์ที่ท่านบำเพ็ญมาตลอดเป็นอเนกชาติขึ้นมาเป็นพยาน เสร็จแล้วแม่ธรณีทนอยู่ไม่ไหวเลยต้องปรากฏกายขึ้นมา แล้วบีบน้ำออกจากมวยผมทำลายกองทัพมารให้แตกไป โบราณจารย์เลยเอาเป็นคาถาอาวุธพระพุทธเจ้า แหม...ขึ้นต้นก็ประทับใจแล้ว “สัจจัง ปรมังโลเก” สิ่งที่เที่ยงแท้ที่สุดในโลก “สีละคุเณอนุตตโร” คุณของศีลไม่มีอะไรเทียมได้
      ถาม :  ...............................
      ตอบ :  ทางใต้จริง ๆ น่าสงสาร เพราะพระปฏิบัติน้อย แล้วที่ลงไปจริง ๆ เห็นมีแต่สายสวนโมกข์กับสายธรรมกาย คนของเขาไปลักษณะฉาบฉวย ของเราไปประเภทต้องไปเป็นที่พึ่งของเขา แล้วเหนื่อยอย่าบอกใครเลย งวดนี้จะลงไปทางใต้สุดคือโกลกเลย แล้วตีย้อนขึ้นมา เพราะพวกบุญทรง เขาจะอยู่มาทางตรังทางภูเก็ต ถ้าเราลงทางหาดใหญ่ทางโกลกแล้วย้อนกลับมาทางตรังทางภูเก็ตจะยุ่งมาก ของเราลงไปทางโกลกเลยแล้วตีวงโค้งกลับมาอีกทีง่ายกว่า
      ถาม :  แต่ช่วงนี้ฝนตกน้ำเยอะ ?
      ตอบ :  ไม่กลัวจ้ะ ถ้าอาตมาไปนี่โยมยิ้มออก ถ้าอาตมากลับเมื่อไรก็ระแวงว่าน้ำจะท่วม คราวนี้วันก่อนท่านกอล์ฟเจ้าอาวาสวัดพุทธบริษัท เพื่อนของยายตาย แต่เขาประเภทนับถือกันยิ่งกว่ายายตัวเองก็เลยไป ปรากฎว่าน้ำท่วมรถไฟไปไม่ได้ ก็เออ...เอาไว้งานศพเสร็จแล้วเราค่อยไปก็ได้วะ ปรากฏว่าอาจารย์สมพงษ์เขาเห็น รถไฟร์วีลผมไปได้ว่าแล้วก็ไป เขาชวนไป เราก็ “กอล์ฟเอ๊ย...แทนที่เอ็ง.จะเสียค่ารถไฟหกร้อย กลายเป็นเสียค่าน้ำมันสี่พัน...!” ไอ้อืดของอาจารย์สมพงษ์กินแปดกิโลลิตร แล้วแปดกิโลลิตรที่เราไปพิสูจน์น่ะให้วิ่งแค่ร้อยเดียว แล้ววิ่งลงใต้ แหม...เก้าร้อยกิโลเป็นอย่างน้อยถึงหาดใหญ่ถึงสงขลาอย่างนี้ แล้วลองคิดดูว่าใครจะวิ่งแค่ร้อยเดียว เหนื่อยตาย ต้องเหยียบเกินร้อยกันทั้งนั้นถึงจะถึงเร็วหน่อย ก็คงซดแหลกยิ่งกว่านั้นอีก เดี๋ยวพรุ่งนี้มาคงบ่น บ่นตั้งแต่เห็นหน้าจนกระทั่งอย่างน้อยชั่วโมงหนึ่งถึงจะยอมหยุด ตอนหลวงพี่อยู่มันกินน้อย หลังจากหลวงพี่ลงมันก็กินเท่าเดิม (หัวเราะ) มันประหยัดเป็นพิเศษ มันเกรงใจพระ กินมากกลัวพระไม่มีปัญญาเลี้ยงมัน มีหลายคนเขาบ่น ตอนท่านเอยังไม่บวชก็เหมือนกัน ท่านเอจะมีเปอร์โยคันหนึ่ง ถึงเวลาเขาก็ไปปรื๊ด แล้วเขาก็ “เอ๊ะ...ทำไมวิ่งเป็นพิเศษ อย่างกับมันเต็มใจไป” บอกว่า “อ๋อ...แน่ละ มันก็อยากได้บุญเหมือนกันนี่หว่า” เขาทำพิธีเจิม เทวดารักษารถเขามี ในเมื่อเทวดารักษารถเขามี เรื่องเกี่ยวกับบุญเกี่ยวกับกุศลเขาเต็มใจอยู่แล้วนี่
      ถาม :  ไปงานกฐินเขาเห็นเปอร์โยเก่า ๆ คันหนึ่งวิ่งเร็วมาก เขาก็จะแซงไปเจอกันในปั๊มเอสโซ เติมน้ำมันเสร็จ หลวงพี่เอลงจากรถ ถามว่า “หลวงพี่เล่นอภิญญาหรือครับ ทำไมเร็วเหลือเกิน ?”
      ตอบ :  รู้กันหมด คันนั้นน่ะ ตั้งแต่แกเป็นฆราวาสซื้อมา ให้พี่ชายช่วยหาให้ ปรากฏว่าเจ้าของคนที่ซื้อมาน่ะ ๑๘ ปีวิ่งไม่ถึงสามหมื่นโล คือของแกไปตลาดแล้วก็กลับบ้านแค่นั้นน่ะ รถแทบจะไม่สึกหรอเลย เสร็จแล้วพอท่านเอบวช ท่านก็ขายให้หมวดจี๊ดเอาสตางค์ไปให้ทางบ้านใช้ ถึงเวลาจะใช้งานอะไรผู้หมวดก็ยังมาขับให้อยู่ ตั้งแต่สมัยเป็นฆราวาสแล้ว บอกว่า “แหม...พอเรานั่งแล้วเหมือนรถเต็มใจวิ่ง”
      ถาม :  หมามีของเก่าหรือคะ อย่างเช่น เขาชอบดูมวยอะไรอย่างนี้ ?
      ตอบ :  จ้ะ อย่าลืมว่าหมานั่นก็คือคน เพียงแต่เขาต้องไปใช้ชาติเป็นเดรัจฉานนั่นเอง
      ถาม :  นั่งภาวนาตอนกลางคืนชอบกลัวผีครับ จะแก้อย่างไรครับ ?
      ตอบ :  ไม่ต้องกลัวผีหรอก เปลี่ยนความคิดซะ ผีไม่ใช่สิ่งที่น่ากลัว ผีเป็นสิ่งที่น่าสงสารมาก หมายถึงผีทั่ว ๆ ไปนะ ไม่ใช่ผีปลอมนะ ผีเป็นสิ่งที่น่าสงสารมาก ส่วนใหญ่เขาลำบากและต้องการความช่วยเหลือ คราวนี้เขาอยู่ในสภาพของภพภูมิที่ต่ำ กุศลบารมีของเขาน้อย เขาทำได้สวยที่สุดแค่ที่เราวิ่งตับแลบนั่นแหละ นั่นสวยที่สุดของเขาแล้ว เหมือนกับขอทานไม่มีสตางค์ เขาแต่งตัวสวยที่สุดคือที่เราเห็นโทรมสุด ๆ นั่นแหละ
              เพราะฉะนั้น...เปลี่ยนความคิดได้แล้ว ผีน่าสงสารที่สุดไม่ใช่น่ากลัวหรอก แล้วความกลัวทุกอย่างมีพื้นฐานมาจากกลัวตาย คุณกลัวผี ผีมาจะทำอะไร ? จะมาหลอกคุณ จะมาบีบคอคุณแล้วเป็นอย่างไร เดี๋ยวตาย ตีอ้อมโลกไปไกลเลย จริง ๆ อยู่ที่คำว่าตายคำเดียว
      ถาม :  ให้ตัดขันธ์ห้าใช่ไหมครับ ?
      ตอบ :  ใช่ พยามยามตัดให้ได้ ถ้าตัดได้เราเห็นว่าความตายเป็นเรื่องปกติ ไม่ได้นึกหวั่นไม่ได้นึกเกรงอะไรความกลัวก็ไม่มี หรือถ้ากลัว ก่อนที่จะมาทำกัมมัฎฐานให้จุดธูปบอกท้าวมหาราชท่าน ขอช่วยสงเคราะห์ให้เทวดามารักษาขณะที่ทำกัมมัฏฐานด้วย ถ้าจะมีอันตรายอะไรเกิดขึ้น ไม่ว่าจากผีจากคนจากสัตว์หรือว่าพวกคุณผีคุณคนไสยเวทย์อาคมอะไรใด ๆ ก็ตาม ขอให้ช่วยทำลายให้ด้วย แล้วถึงเวลาก็อุทิศส่วนกุศลให้ท่านที่มาสงเคราะห์ดูแลเราด้วย
      ถาม :  .........................
      ตอบ :  คาถาปลุกธงมาหาพิชัยสงคราม นอกจากจะใช้บท อิทธิ ฤทิธิ พุทธะ นิมิตตัง ขอเดชะเดชัง ขอเดชเดชะ จงมาเป็นที่พึ่งแก่มะอะอุนี้เถิด ตามปกติทั่ว ๆ ไปแล้ว ยังมีคาถาปลุกต่างหาก เขาใช้คำว่า พุทธสังมิ จะอยู่ตรงบทยอดธง ๔ คำ พุทธะสังมิ คือพุทธัง สรณัง คัจฉามิ ธัมมัง สรณัง คัจฉามิ สังฆัง สรณัง คัจมิ คราวนี้เขาย่อเอาสามคำหน้ากับตัวท้ายมาตัว เลยเป็นพุทธสังมิ คือขอยึดรพะพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นที่พึ่งนั่นแหละ
      ถาม :  ........................
      ตอบ :  อ๋อ...ข่าวพวกนั้นอาตมาโดนมาเยอะ พูดง่าย ๆ คือถ้าคุณมั่นใจอาตมาแค่ไหน ก็มั่นใจหลวงตาได้แค่นั้น เพราะสองเสือนี่ตอนที่อยู่วัดท่าซุง มีอยู่สี่ตัวด้วยกัน สี่เสือนี่ประเภทความประพฤติเหมือน ๆ กัน ประเภทหัวแข็งเป็นหินตีไม่แตก หลวงพ่อตีเท่าไรไม่ค่อยยุบกับใครหรอก แล้วแบกระเบียบกันจนหลังแอ่นอยู่แค่สี่คน สี่คนนี่เขาอยากไล่ออกจากวัดเต็มที แต่ก็ไล่ไม่ได้ เพราะไม่เคยผิดระเบียบ อยู่แล้วทำให้คนอื่เนขาเหนื่อย เหนื่อยอยู่ตรงที่ว่าพอเราแบกเอาไว้แล้วคนอื่นก็ต้องตาม คราวนี่พออาตมาออกมา พอหลวงตาวัชรชัยออกมา หลวงตาสมชายตายไป ตอนท้ายท่านปองก็เด้งไปอยู่ข้างวัด ไปหมดเกลี้ยงสี่ตัวไม่เหลือเลย
      ถาม :  ท่านวัชรชัยองค์ไหนครับ ?
      ตอบ :  ตอนนี้ท่านไปอยู่ที่วัดเขาวง สระบุรี อำเภอพระพุทธบาท ว่าง ๆ ก็แวะไป ถ้ไม่รู้ว่าจะอ้างอย่างไรก็บอกว่า “ผมเป็นลูกศิษย์หลวงพี่เล็กครับ” หมดเรื่อง พอไปถึงท่านจะรีบต้อนรับด้วยความยินดีเลย เพราะสมัยก่อนท่านบอกว่า “ทั้งวัดนี่คุยกับเอ็งรู้เรื่องอยู่คนเดียว” คือเรื่องของกำลังใจหลวงพ่อนี่เรารู้ว่าท่านอย่างไร หลวงตาวัชรชัยนี่ท่านเคยรับใช้ใกล้ชิดหลวงพ่อ ๘ ปีเต็ม ๆ ถึงบวช เป็นผ็ชายคนเดียวที่อยู่รับใช้หลวงพ่อนานขนาดนั้นแล้วถึงบวช ของอาตมานี่ได้แค่ ๓ ปี
              คราวนี้ของเราอยู่ใกล้หลวงพ่อจนรู้ว่า ถ้าหลวงพ่อขยับอย่างนี้แปลว่าหลวงพ่อจะเอาอย่างไหน แล้วเราจะสามารถสนองเจตนารมณ์ของหลวงพ่อได้ทันที แต่พี่ ๆ น้อง ๆ คนอื่นนี่ ขนาดหลวงวพ่อจี้แล้วเขาจะอยู่ในลักษณะเอ๋อ...จะทำได้หรือแม้กระทั่งงานครอบครูเป่ายันต์เกราะเพชรที่ผ่านมานั่นน่ะ ถ้าไม่ใช่อาตมาไปดิ้นไปรนนี่ วิชานี้สูญไปเลย เพราะทางกรรมการสงฆ์เขาพูดกันเสร็จเรียบร้อย เขาวิเคราะห์กันเสร็จว่าการเป่ายันต์เกราะเพชรเป็นหน้าที่ของหลวงพ่อ ถ้าใครคิดอยากจะเป่ายันต์เกราะเพชร คือการวัดรอยเท้าครูบาอาจารย์ เลยไม่มีใครคิดจะครอบครู
              เพราะฉะนั้น...สั่งบอกไม่ต้องทำ แต่เราถือว่าพ่อสั่งให้ทำ ก็จัดเครื่องบูชาครูไป ถึงได้วิชากันมา ๘-๙ องค์ ถ้าอาตมา ๒ คนกับท่านชาติชายไม่ดิ้นไปเอานะ เจ๊งสูญไปเลย เพราะไปขอให้โยมสุภาภรณ์อดีตภรรยาของหลวงตาท่านทำให้ ท่านบอก “โยมจะทำให้พระผู้ใหญ่ที่รับใช้หลวงพ่อในศาลา ๑๒ ไร่ด้วย หลวงพี่สององค์จะได้ไม่โดนว่า” สองคนรั้งอยู่ท้ายแถวเลย อาตมาตอนนั้น ๗ พรรษา ท่านชาติชาย ๒ พรรษา ๒ คนรวมกันยังไม่ได้ ๑๐ เลย แล้วจะไปลุ้นใครขึ้น
              คราวนี้ของเรารู้อยู่อย่างเดียว คือรู้ว่าพ่อสั่งอย่างนั้นต้องทำ คราวนี้อาตมาพอไปดิ้นรนเข้า เลยเป็นลูกนอกสมรสไป คือโดนเขาสอบสวนข้อหาฝ่าฝืนคำสั่งคณะกรรมการสงฆ์จะไล่ออกจากวัด แต่พอเอาผิดไม่ได้ขึ้นมาก็ประกาศ แต่อีก ๗ องค์ที่ได้ตกกระไดพลอยโจนที่ได้ครอบครูไปผด้วย แต่ว่าสองคนที่เป็นตัวตั้งตัวตีเขาไม่ประกาศชื่อให้ เราเองก็ไม่เดือดร้อน เขาไม่ประกาศให้กูก็ทำได้นี่หว่า แต่ว่าปัจจุบัน ๙ องค์ที่ครอบครูอยู่นี่ ทั้งสึกทั้งออกจากวัดมานี่เกือบหมด
      ถาม :  .................................
      ตอบ :  เรื่องของยันต์เกราะเพชรต้องเป็นวันเสาร์ ขึ้น ๕ ค่ำเท่านั้น วันนี้ชอบใจที่สุดเลย ตำรานี้ไปตรงกับหลวงพ่อตรงฤกษ์พรหมประสิทธิ์ แต่มีผิดอยู่วันหนึ่งคือวันเสาร์ คิดว่าเขาเขียนถูกแต่ว่าคนอ่านอ่านเลขไทยผิด เพราะเขาเขียนเลข ๔ แต่ว่ามันเป็นเลข ๘ จะมีฤกษ์เพิ่มมา ๒ วัน แต่ของเรานี่ส่วนใหญ่ใช้แค่สิทธิโชค มหาสิทธิโชค อมฤตโชคเท่านั้น แต่ของเขามีชัยโชค ราชาโชคเพิ่มขึ้นมาด้วย แล้วมีผิดอยู่วันหนี่ง ที่ผิดคือว่าวันเสาร์ต้อง ๔ ค่ำเป็นสิทธิโชค แต่คิดว่าเขาเขียนเลขไทย ๔ แล้วเขาเห็นเป็น ๘ นอกนั้นนี่ถูกต้องหมด ผิดแค่อันเดียวจริง ๆ มีแค่อันนี้อันเดียว คิดว่าของเขาเขียนถูก แต่ว่าคนพิมพ์อ่านเลขไทยไม่เป็นเลยพิมพ์ผิด นอกนั้นวันอื่นถูกต้องหมด แสดงว่าตำราโบราณเหมือนกัน ของเราอาทิตย์ใช่ไหม อาทิตย์ ๘ ค่ำจะเป็นอมฤตโชค แล้วก็ ๑๔ ค่ำ เป็นมหาสิทธิโชค ๑๑ ค่ำเป็นสิทธิโชค ของคุณเศก ดุสติเขา เขาบอกเรียนตำราเก่ามา ในที่สุดเจอกันจนได้ ตำราเดียวกันลงตัวพอดี แต่ของเขาจะมีชัยโชคแล้วก็ราชาโชคเพิ่มมา ๒ อัน
      ถาม :  ถือว่าตำรานี้เป็นฤกษ์พรหมประสิทธิ์ได้ไหมครับ ?
      ตอบ :  ได้ อันเดียวกันอยู่แล้ว
      ถาม :  ต้องทำอย่างนั้นอยู่เสมอหรือเปล่าคะ ?
      ตอบ :  ความจริงต้องเป็นอย่างนั้นอยู่ตลอดเวลา แต่อันนั้นหมายถึงว่าเราแพ้มันไปแล้วนะ การที่เรากระทบกับสิ่งที่ไม่ดีไม่ชอบใจแล้วเราทุกข์กับมัน กระทบกับสิ่งที่ดีเป็นที่ชอบใจแล้วไปสุขไปฟูอยู่กับมันแพ้มันไปแล้วทั้งคู่ แต่ยังดีที่คิดทัน เขาเรียกว่ายังพอมีสติรู้เท่าทันอยู่ ยังเหยียบเบรกได้บ้าง คราวนี้จะทำอย่างไร คือใจของเราต้องพยายามทำให้มั่นคง ไม่ยินดียินร้ายอะไรง่าย ๆ พวกเราทำงานทางโลกนี่สังเกตได้ง่ายที่สุดเวลาที่เรากระทบกระทั่งกันในวงงาน ถ้าใจฟูหรือฟุบใช้ไม่ได้ สำคัญอยู่ว่าจะทำอย่างไรให้ทรงตัว
      ถาม :  ทำได้ถึงขนาดพอรับรู้กระทบปุ๊บ รู้สึกอย่างนั้นเลยหรือคะ ?
      ตอบ :  พูดง่าย ๆ ว่าตัดมันตั้งแต่แรก พอตัดตั้งแต่แรก สิ่งที่เข้ามากระทบเราส่วนใหญ่คือเข้ามาทางอายตนะ คือสิ่งที่เป็นสื่อรับ คือตา หู จมูก ลิ้น กาย แล้วก็รับเข้ามาในใจให้เกิดอารมณ์ขึ้นมา อารมณ์ที่เกิดขึ้นก็จะมีสุข มีทุกข์ ไม่สุขไม่ทุกข์ คราวนี้ทำอย่างไรจะทำให้ปัญญาของเราแหลมคม สติของเราเท่าทันแล้วหยุดมันเอาไว้ได้ ปัญญาแหลมคมคือเห็นโทษไม่ว่าจะสุขจะทุกข์ก็ตาม
              ถ้าเรารับเข้ามาในใจอารมณ์ทั้งหลายเหล่านี้คือไม่เที่ยง เรารับอารมณ์ความสุขเข้ามาจริง ๆ คืออารมณ์ที่ทุกข์น้อย ขณะเดียวกันรับอารมณ์ที่เป็นความทุกข์เข้ามา ก็สร้างความลำบากให้กับตัวเราเอง ทำอย่างไรที่เราจะรู้เท่าทันแล้วหยุดให้ทันตั้งแต่ตอนแรก คือพอตาเห็นแล้วใจต้องไม่ปรุงแต่ง หูได้ยินต้องไม่ปรุงแต่ง จมูกได้กลิ่นใจต้องไม่ปรุงแต่ง ลิ้นได้รสใจต้องไม่ปรุงแต่ง กายสัมผัสใจต้องไม่ปรุงแต่งกับมัน ถ้าปรุงแต่งก็จะเลือกว่าชอบหรือไม่ชอบ ชอบนี่เป็นอิฎฐารมณ์ คืออารมณ์ที่น่าพอใจ เกี่ยวเนื่องด้วยราคะ ไม่ชอบเป็นอนิฎฐารมณ์ เป็นอารมณ์ที่ไม่ชอบใจไม่พอใจเกี่ยวกับโทสะ กินเราทั้งขึ้นทั้งล่อง ถ้าสติเท่าทัน ปัญญาแหลมคมพอก็จะหยุดได้ทันที เหมือนอย่างกับที่ว่า เออ...ถนนขาดหรือว่าจะลงเหวแล้ว เราเบรกรถได้ทันก่อนที่จะถลำลงไป แต่ถ้าถลำลงไปแล้วรู้ตัวพลาดไปแล้ว รถพังยับเยินแล้ว ก็ตะเกียกตะกายขึ้นมาเถอะ แล้วคอยระวังอย่าให้พลาดโค้งต่อไป
      ถาม :  เพราะเราอยู่ในช่วงฝึกปฏิบัติหรือคะ บางครั้งแบบอารมณ์ตรงนั้นผ่านไปแล้ว เหมือนกับคิดได้ว่าไม่ถูกต้อง ดึงกลับมาแต่ว่าช้าไปแล้วค่ะ ?
      ตอบ :  อันนั้นถือว่ายังไม่ขาดทุนทีเดียวจ้ะ อย่างน้อย ๆ เราไม่ได้ตามเตลิดเปิดเปิงไปหลายกิโลกว่าจะรู้ตัว
      ถาม :  พอเราปฏิบัติไปได้สักระยะหนึ่ง สมมติว่าเราไปพบกกับเหตุการณ์ต่าง ๆ มา เราจะเฉยไปเลย ?
      ตอบ :  แต่ขณะเดียวกัน ถ้าอยู่กับโลกเปลือกนอก เราก็จะยินดีตามมัน แต่ว่าไม่ต้องไปคล้อยตามเขา วันก่อนไปกราบหลวงพ่อสมเด็จที่วัดสระเกศ คราวนี่อาจารย์เอเขาพาเพื่อน ๆ ที่ปฏิบัติอยู่ทางฟากโน้นมากัน ๔ คน ๕ คน ท่านนำทีละคน ๆ ปรากฏว่าดันเป็นพวกเก่า ๆ ที่คุ้นเคยกัน เพราะเขาทำงานอยู่ที่โรงพยาบาลตำรวจ เราก็ถามเขา “อยู่ตึกไหน อยู่ศูนย์ไหน ?” เขายังแปลกใจ บอก “อาตมาเป็นทหารบกไม่เคยใช้บริการโรงพยาบาลพระมงกุฎ” เลย เข้าโรงพยาบาลตำรวจ โรงพยาบาลทหารเรือ โรงพยาบาลภูมิพลฯ” คุยไปคุยมาเขาชี้ว่าคนนี้เพิ่งถูกรางวัลที่ ๔ มา ๑๐ ใบ เราก็ “เออ...ยินดีด้วยนะ แล้วไปไกล ๆ ไม่ต้องมาใกล้ ๆ หรอก” เขาถามว่า “ทำไม ?” “กลัวมันให้ตังค์” เพราะของเราถ้าได้สตางค์แล้วต้องทำงาน มันเหนื่อย แต่เปลือกนอกของเราก็ยินดีกับเขาด้วย แต่พูดเป็นเรื่องสนุกว่าไปไกล ๆ เลย ไม่ต้องมาใกล้หรอก เปลือกนอกเป็นไปตามโลกเขา แต่จิตใจของเราเหมือนสภาพของน้ำบนใบบอน คือเกลือกกลั้วอยู่กับโลกได้ แต่ไม่ข้องติดอยู่กับโลก
              สังเกตน้ำที่กลิ้งบนใบบัวบอน มันไปของมันเรื่อย ๆ ว่าไปแล้วมันมีเครื่องป้องกันแล้ว ทำอย่างไรจะทำให้เราเป็นผู้มีเครื่องป้องกันบ้าง ก็จะต้องมีศีล มีสติ มีปัญญา ศีลเป็นเกราะที่จะป้องกันไม่ให้กายวาจาใจของเราล่วงล่ำก้ำเกินมากเกินไป อย่างน้อย ๆ ควบคุมกายกับวาจาได้ สติคุวบคุมได้ทั้งกายทั้งวาจาโดยเฉพาะควบคุมใจ ปัญญา ในเมื่อรู้แล้วว่าอันไหนเป็นโทษอันไหนไม่มีโทษก็จะเลือกทำอันที่ไม่มีโทษ แล้วก็จะละอันที่มีโทษซะ ต่อไปก็เหลือแต่ดีโดยส่วนเดียว พอดีถึงที่สุดก็พ้นไป
      ถาม :  ..........................
      ตอบ :  อันนั้นเป็นตัวปีติ ถ้าตั้งใจที่จะทำให้ดีขึ้นมากขึ้นเป็นธรรมฉันทะ ไม่ใช่ตัวตัณหา ไม่ใช่ตัวอยากหรือความยินดียินร้ายในสุขารมณ์ ทุกขารมณ์พวกนั้นไม่ใช่ ถ้าเป็นธรรมะถือว่ายกไว้ ปฏิบัติไปเถอะ พอถึงเวลาอันสุดท้ายแล้วไม่ว่าอะไรก็ไม่สามารถทำให้หวั่นไหวได้ ภาษาพระท่านว่า ผุฏฐัสสะ โลกะธัมเมหิ จิตตัง ยัสสะนะกัมปะติ จิตที่กระทบโลกธรรมแล้วไม่มีความหวั่นไหว เอตัมมัง คะละมุตตะมัง ถือเป็นมงคลสูงสุด
      ถาม :  ถ้าอารมณ์จิตที่กระทบแล้วเราไม่รู้สึก ต้องเป็นระดับอนาคามีแล้วไม่ใช่เหรอคะ ?
      ตอบ :  ไม่ต้องหรอก อยู่แค่เป็นปฐมฌานก็พอ แต่ให้เป็นปฐมฌานละเอียดนะ ปฐมฌานละเอียดนี่สิ่งใดมากระทบ ตา หู จมูก ลิ้น กายนี่รู้เลย แล้วใส่เกราะไว้แล้วคือฌาน แต่ยังอยู่ในลักษณะที่ต้องใช้กำลังต่อต้านอยู่ เลยยังไม่ใช่ความสุขที่แท้จริง แต่ถ้าเป็นอารมณ์พระอริยเจ้านี่ ท่านไม่ต้องเสียเวลาไปต่อต้านแปลว่าท่านปล่อยวางได้แล้วจริง ๆ ในเมื่อปล่อยวางได้ การกระทบก็ไม่มี เหมือนอย่างกับหยิบหินขึ้นไปจะขว้างบ้านเขา แต่บังเอิญมีแต่โครงเปล่า ๆ ไม่มีหลังคาอะไร ขว้างวี้ดก็ลอยผ่านไปเฉย ๆ เขาไม่รับซะแล้วนี่ จะเอาอะไรมากระทบ