สนทนากับพระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
เดือนพฤศจิกายน ๒๕๔๖ (ต่อ)
ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ

      ถาม:  มารมีอำนาจแค่ไหนคะ ?
      ตอบ :  ในพรหมนิมันตสูตร พระพุทธเจ้าเสด็จขึ้นไปโปรดท้าวพกพรหม ตรัสว่า “อย่าเลย...พกพรหม ท่านยังไม่ใช่ผู้อมตะ ยังไม่ใช่ผู้ประเสริฐสุด สิ่งที่ประเสริฐกว่านั้นคือพระนิพพานยังมีอยู่” มารได้ดลใจปริสัชชาพรหมองค์หนึ่ง ให้กล่าวคัดค้านคำของพระพุทธเจ้าว่า “อย่าเลย...สมณโคดม พกพรหมนั่นแลเป็นผู้ที่เลิศที่สุดแล้ว เป็นผู้เป็นอมตะ เป็นผู้ประเสริฐที่สุด” เป็นอย่างไร ? ขนาดพรหมยังเสร็จเขาเลย แน่แค่ไหนก็นึกเอา
      ถาม :  เราจะเอาชนะได้อย่างไรคะ ?
      ตอบ :  พยายามสร้างสติ สมาธิและปัญญา ให้เข้มข้นที่สุดเท้าที่จะทำได้ สติ สมาธิ ปัญญา ยิ่งเข้มข้นมากเท่าไร ยิ่งรู้เห็นลีลาของเขามากเท่านั้น ยิ่งแก้ไขได้มากเท่านั้น แต่จะห้ามเขาเลยห้ามไม่ได้ เพราะเป็นหน้าที่ของเขา เพราะฉะนั้น...เขามีหน้าที่ขวางก็ให้เขาขวางไป เรามีหน้าที่ข้ามพ้นสิ่งกีดขวางนั้น เราก็ข้ามไป ถ้าวันไหนที่เราก้าวข้ามไปแล้ว เขาก็ขวางเราไม่ได้อีก
      ถาม :  เขาคือมิจฉาทิฐิ ?
      ตอบ :  ต้องใช้ว่าอย่างไรดี จะเรียกว่าเทวดาก็ใช่ แต่ลำดับของท่านสูงกว่าเทวดา พระพุทธเจ้าท่านว่า “เทเวนะวา มเรนะวา พรัหมุนาวา” เทวดาก็ดี มารก็ดี พรหมก็ดี มายังจัดอยู่ในลำดับสูงกว่าเทวดาอีก แต่ว่าท่านอยู่สวรรค์ชั้นที่หกคือปรนิมมิตวสวัตตี แบ่งกับเทวดาคนละครึ่ง ปกครองคนละเขต อยู่สวรรค์ชั้นสูงสุดเลย
      ถาม :  ท่านในฐานะผู้ขัดขวางการปฏิบัติของบุคคลทั่วไป หมายถึงผลกรรมตรงนี้เขาต้องเวียนว่ายตายเกิดแล้วรับอันนี้ด้วยไหมครับ ?
      ตอบ :  อย่าลืมว่าเป็นหน้าที่ของเขา ถ้าไม่มีคนขวางไม่มีข้อสอบ ของเราเองจะผ่านไหม ? อยู่เฉย ๆ เดินตุ่ย ๆ ไปอย่างนี้หรือ ? ครูออกข้อสอบให้ลูกศิษย์ ครูจะมีกรรมด้วยหรือ ?
      ถาม :  บางครั้งมีช่วงมารดลใจ แต่คราวนี้ไม่ใช่แต่เกมส์ ไม่แฟร์ ?
      ตอบ :  แล้วใครว่า เขาออกข้อสอบเราทุกวินาที เพียงแต่สติของเราไม่มั่นคงพอ ปัญญาของเราไม่แหลมคมพอ เลยรู้ไม่เท่าทัน ไปรู้ตอนพลาดแล้วทุกครั้ง เหมือนกับมวยชกกัน อีกฝ่ายหนึ่งซ้อมมาดีกว่า ฝีมือดีกว่าเขาจิ้มเรามาจะไปบอกไม่ใช่แฟร์เกมส์ได้อย่างไร ? เพียงแต่ฝีมือเราสู้เขาไม่ได้
      ถาม :  ผู้ที่ปรารถนาพระโพธิญาณ แต่ว่ามานะ อาศัยอำนาจ มีการอิจฉาริษยา อย่างนี้จะถือว่า ?
      ตอบ :  ผู้ที่ปรารถนาโพธิญาณก็ต้องผ่านการเป็นเทวดา เป็นมาร เป็นสัตว์นรก เปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉานมาแล้วทั้งนั้น กำลังใจอยู่แค่ไหน ก็คิดแค่นั้น พูดแค่นั้น ทำแค่นั้น
      ถาม :  เคยได้ยินว่าคนที่ลาพระโพธิญาณจะต้องโดนกรรมมารุม เนื่องจากว่าปรารถนาพระนิพพานแล้ว ?
      ตอบ :  ดูอาตมาโดนรุมมากไหม ? นี่ก็ลาแล้วเหมือนกัน ทุกวันนี้บางครั้งทำงานมาก เหนื่อย ร่างกายไม่ดี บางคนสงสัยว่าทำไมทำขนาดนั้น บอกเขาว่า “ถ้าเรายอมทุกข์ เราเลือกทุกข์ เราเลือกที่จะเหนื่อยกับงาน เลือกที่จะเหนื่อยกับหน้าที่ของเราตรงนั้น เราก็จะรับได้ แต่ถ้าเราไม่เลือก รอให้ความทุกข์ต่าง ๆ มาเอง เราอาจจะรับไม่ไหว” เพราะฉะนั้น....เจออะไรขวางหน้าที่เป็นงานเพื่อศาสนา เพื่อแบ่งเบาภาระของหลวงพ่อ เพื่อมรรคผลนิพพานของตัวเอง โดดใส่ไปเถอะ ถ้าเราเลือกเอง เรารู้นี่ว่าไหวหรือเปล่า แต่ถ้าเราไม่เลือก รอให้เขามาเอง เราอาจได้รางวัลที่หนึ่งสามสิบใบรวด...!
      ถาม :  ทุกคนมีสิทธิ์เลือกไหมคะ ?
      ตอบ :  ลองดูสิว่าของเราเลือกทางอื่นได้ไหม จะไปตกระกำลำบากโดยที่เรารู้ว่าลำบากแค่นี้เราไหวดี หรือว่าเราจะอยู่ในลักษณะนี้แล้ว เรารอให้ทุกข์หนักมาเป็นพัก ๆ อาจจะหงายท้องเป็นระยะ ๆ
      ถาม :  ลำบาก ?
      ตอบ :  ลองดู...ประเภทสละชีวิตฆราวาสเสียไปเป็นลักษณะอุบาสก อุบาสิกาผู้ช่วยเหลืองานวัดไป กินก็ไม่ค่อยจะอิ่ม นอนก็ไม่ค่อยจะพอ สตางค์ก็ไม่มีใช้ แต่ทุกข์แค่นี้เราทนได้ เพราะเรารู้ว่าทุกข์แค่นี้ แต่ที่มามากกว่านี้ นั่นไม่รู้ว่าเราจะทนได้ไหม
      ถาม :  จะอยู่แค่นั้นหรือคะ ?
      ตอบ :  ต้องดูสิ...ว่าของเราเองทำเป็นที่พอใจของเขาหรือยัง ? เขาเห็นว่าทรมานเราสะใจแล้วหรือเปล่า ? ถ้ายังไม่สะใจอาจจะเติมมาให้อีก เขาทำได้แค่ตามกฎของกรรม ถ้าเราทำกรรมไว้มาก เขาก็เล่นงานเราได้มาก อย่างทุกวันนี้เขาพยายามจะเติมตำแหน่งเจ้าคณะอำเภอให้อาตมา ยังเติมไม่สำเร็จเลย รู้สึกว่าล้นแล้วก็เลยไม่เอา
      ถาม :  การลาพุทธภูมิแค่มีธูป ?
      ตอบ :  วิธีที่ง่ายที่สุด จัดดอกบัวขาวห้าดอก เทียนขาวห้าเล่ม ธูปห้าดอกจุดบูชาหน้าหิ้งพระ ว่านะโมฯ สามจบ ตั้งใจขอบารมีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นสักขีพยาน “ไม่ว่าลูกจะเคยปรารถนาพระโพธิญาณมาแต่ชาติใดก็ตาม ขณะนี้ลูกขอละซึ่งความปรารถนาอันนั้น จะตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติตามธรรมะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อเข้าสู่พระนิพพานในชาติปัจจุบันนี้”
              ถ้าพระพุทธรูปท่านเฉย ๆ ไม่คัดค้านก็แปลว่าใช้ได้ พวกได้มโนมยิทธิต้องขึ้นไปลาข้างบน จะโดนอย่างอาตมา ลากี่ครั้งไม่ได้สักที ตื๊อแล้วตื๊ออีกจนวาระที่สาม ท่านบอกว่า “ลาได้แต่งานเก่าให้ทำไปก่อน”
      ถาม :  แล้วแต่ละคนจะรู้ได้อย่างไรว่าเคยปรารถนาพุทธภูมิ ?
      ตอบ :  อ๋อ...อย่างน้อย ๆ ต้องเคยทุกคนแหละ เพราะพระพุทธเจ้าทุกองค์ท่านต้องเสด็จขึ้นไปโปรดพุทธมารดา เวลาเสด็จกลับลงมา เป็นประเพณีที่พระองค์ท่านต้องเปิดโลก ตั้งแต่พระนิพพานลงไปยันอเวจี เห็นถึงกันหมดทุกภพทุกภูมิ ทุกคนจะรู้ว่านี่คือผู้ที่เลิศที่สุด ประเสริฐที่สดุแล้วในทุกภูมินี้ แล้วจะมีความคิดอยู่ลึก ๆ ในใจ เออ...ถ้าเราเป็นอย่างนั้นบ้างก็ดี เสร็จตั้งแต่ตอนนั้นแหละ ส่วนใหญ่เชื้อเก่ามีเยอะ อยู่ที่ใครจะทำได้แค่ไหน ถ้าทำมาเยอะเชื้อก็กำเริบบ่อย แรก ๆ ก็ไม่รู้หรอก รู้อยู่อย่างเดียวว่าทนเห็นความอยุติธรรมไม่ได้ ทนเห็นคนเห็นสัตว์ลำบากไม่ได้ แถเข้าไปช่วยเขาอยู่ตลอด กว่าจะรู้ว่านั่นเป็นอาการของพุทธภูมิ ก็แหม...เล่นซะปางตายเลย
      ถาม :  ถ้าเราเห็นแก่ตัวก็น่าที่จะไม่มีเชื้อ ?
      ตอบ :  ไม่ใช่...งานของสาวกภูมิถึงจะจำกัด แต่เมตตาพรหมวิหารมีอยู่ รักเขาเหมือนกับตัวเรา สงสารอยากให้เขาพ้นทุกข์ พยายามที่จะช่วยเหลือเขา ยินดีเมื่อเขามีสุข ตัวนี้ก็มีอยู่ แต่งานจะไม่กว้างขวางเหมือนพุทธภูมิ เพราะฉะนั้น...ความเห็นแก่ตัวใช้ไม่ได้ สาวกภูมิก็ต้องมีเมตตา พรหมวิหารเป็นปกติ เพียงแต่งานไม่กว้างขวางขนาดพุทธภูมิเท่านั้น
      ถาม :  แล้วอยากปรารถนาพุทธภูมิอย่างที่หลวงพ่อกล่าวมาสักครู่นี้ แล้วเหตุที่จะแบ่งแยกพระพุทธเจ้าเป็นสามประเภทเพราะเหตุใด ?
      ตอบ :  อยู่ที่การสร้างบารมี จริง ๆ แล้ว พระพุทธเจ้าท่านก็รู้เท่ากัน แต่ว่าปฏิบัติช้าเร็วต่างกันเกิดจากท่านทำเพื่อบริวาร พระพุทธเจ้าท่านที่เป็นปัญญาธิกะ สร้างบารมีสี่อสงไขยกับแสนมหากัป บริวารของท่านมีดี มีชั่ว มีรวย มีจน มีสวยงาม มีอัปลักษณ์ คละเคล้ากันไป
              พระพุทธเจ้าที่เป็นศรัทธาธิกะ สร้างบารมีแปดอสงไขยกับแสนมหากัป บริวารของท่าน ดี สวย รวย เสมอกันหมด เขตที่ท่านประกาศศาสนาคนชั่วเข้าไม่ได้ พระพุทธเจ้าที่เป็นวิริยาธิกะ สร้างบารมีสิบหกอสงไขยกับแสนมหากัป บริวารท่านออกจาก ดี สวย รวย เสมอกันแล้ว โลกยุคนั้นคนชั่วเกิดไม่ได้ ท่านป้องกันบริวารของท่านขนาดนั้น เลยต้องทำกันนานหน่อย ทำเพื่อบริวารไม่ได้ทำเพื่อตัวเองหรอก ถ้าทำเพื่อตัวเองสี่อสงไขยก็สบายไปแล้ว
      ถาม :  สี่อสงไขยกับสิบหกอสงไขย ปริมาณลูกศิษย์แตกต่างกันไหมคะ ?
      ตอบ :  ยิ่งมากก็ยิ่งเยอะ ยิ่งเกิดบ่อยเท่าไรพวกที่เคยผูกพัน เคยร่วมบุญร่วมกรรมก็ยิ่งมากขึ้น รอยุคพระศรีอาริยเมตไตรนะ ลูกศิษย์สายหลวงพ่อวัดท่าซุง จะได้มรรคผลตอนท่านขึ้นไปเทศน์โปรดพุทธมารดาประมาณเจ็ดแสนราย รอไม่นานหรอกจ้ะ อีกประมาณเกือบ ๆ ล้านปีมนุษย์ ถ้าไปอยู่ข้างบนพักเดียว
      ถาม :  แสดงว่าหลังจากที่หมดยุคพระพุทธศาสนาแล้ว ?
      ตอบ :  พอไฟบรรลัยกัลป์ล้างโลกแล้วจะเจิรญขึ้นอีกวาระหนึ่ง บรรดาผู้ที่อยู่ในศีลในธรรมสั่งสมบารมีของตัวเองมาเพียงพอแล้ว หรือว่าบริวารของพระองค์ท่านมาเกิดในจังหวะนั้น รวมได้จังหวะพอเหมาะพอควร ปัญจมหาวิโลกนะครบถ้วนสมบูรณ์ พระองค์ท่านก็พร้อมที่จะจุติลงมาเพื่อตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า
      ถาม :  แล้วจะเลยไปจากนั้น ?
      ตอบ :  อ๋อ...มากกว่านั้นใช่ไหม ส่วนใหญ่แล้วไม่ใช่แค่นั้น มากกว่านั้นที่ว่ามาเป็นช่วงของการตั้งหน้าตั้งตาสร้างบารมี สิบหกอสงไขยกับแสนมหากัป เอาเป็นว่าพระพุทธเจ้าที่ท่านเป็นปัญญาธิกะก็พอ คิดว่าเราจะเป็นพระพุทธเจ้า แค่คิดนะ...เก้าอสงไขย พูดว่าเราจะเป็นพระพุทธเจ้าสิบแปดอสงไขย ตั้งหน้าตั้งตาทำเพื่อความเป็นพระพุทธเจ้าอีกสี่อสงไขยกับแสนมหากัป เพราะฉะนั้น...เกินทุกรายเลย คิดว่าจะเป็น พูดว่าจะเป็นและทำเพื่อให้เป็น ไม่มีหลักสูตรพอดีหรอก มีแต่เกินเยอะ ๆ
      ถาม :  ขณะท่านบำเพ็ญบารมี ท่านรู้ตัวไหมคะว่าช่วงไหน ?
      ตอบ :  แรก ๆ ไม่รู้ ยิ่งเข้มข้นมากขึ้นก็รู้ขึ้นไปเรื่อย ๆ
      ถาม :  ผมรู้จักคนหนึ่งครับ เขาบอกว่าเขาเหลือนิดเดียว เขาบอกว่าเขาไม่ไกลหลวงพ่อแล้ว เสร็จแล้วคราวที่เขาแย่มาก เขาไม่แน่ใจว่าตัวเองทำ (ไม่ชัด)
      ตอบ :  แล้วอย่างไร ? ถ้าเขาใกล้หลวงพ่อก็ต้องดูว่า ความประพฤติของเขาใกล้เคียงกับหลวงพ่อวัดท่าซุงไหม ?
      ถาม :  ไม่ใกล้เลยครับ ห่างมาก
      ตอบ :  ถ้าอย่างนั้นก็แค่เขาคิดว่า....
      ถาม :  แล้วอย่างนั้นจะรู้อย่างแน่ใจเลยได้อย่างไร ?
      ตอบ :  รู้อย่างแน่ใจเลยตอนที่ได้รับคำพยากรณ์จากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นั่นจะรู้เลยว่าอีกนานแค่ไหนตัวเองที่จะได้ตรัสรู้
      ถาม :  อย่างนั้นตายชาตินี้ก็ไม่รู้ ต้องไปรอชาติโน้น ?
      ตอบ :  คุณต้องรอให้มั่นใจขนาดนั้น หรือไม่ก็รอให้มีพระอย่างหลวงพ่อวัดท่าซุงแล้วไปถาม หลวงพ่อท่านสามารถพยากรณ์ได้ เพราะท่านรักษาการณ์อยู่ ตำแหน่งอย่างนี้ถ้าพูดกันทางโลกคนไม่เห็น รู้แค่ว่ารักษาการณ์ก็พอ ส่วนรักษาการณ์อะไรเรื่องของท่านเถอะ งานของหลวงพ่อที่ทำหน้าที่รักษาการณ์อยู่ตอนนี้คือยังเหลืออีกประมาณสามสิบปีเศษ ๆ
              ความจริงหลวงพ่อวัดท่าซุงต้องอยู่ในร่างกายมนุษย์นี่อีกสามสิบปีเศษ ๆ ถ้านับช่วงที่ท่านมรณภาพด้วย ท่านต้องอยู่อีกสี่สิบปีเศษ แต่ร่างกายอยู่ไม่ไหว ท่านเลยต้องทิ้ง แล้วก็ทำในลักษณะของกายทิพย์แทน...ง่ายดี เพราะฉะนั้น...พวกลูกศิษย์จะสังเกตว่าหลวงพ่อมรณภาพนี่ในความรู้สึกของเราเหมือนท่านไม่ได้ตายเลย เป็นปกติทุกอย่าง เพราะท่านยังอยู่กับเราเป็นปกติ อันนี้พูดเรื่องที่มองไม่เห็น โปรดอย่าเพิ่งเชื่อ
      ถาม :  (ไม่ชัด)
      ตอบ :  ถ้ามีอุบัติเหตุอะไรมาไปหาหมอนวดก่อนเลย ถ้าไม่มีเรื่องอุบัติเหตุให้นึกว่าผ่านสถานที่แปลก ๆ อะไรบ้างหรือเปล่า อาจจะมีการล่วงเกินเจ้าที่ ต้องไปขอขมา เรื่องในป่านี่อันตรายมาก มีอยู่เรื่องหนึ่งผู้ชายมีโอกาสโดนง่ายมากเลย เขาเรียกว่าคายปลวก จะเกี่ยวกับการที่ไปปัสสาวะรด สถานที่มีปลวกทำรังอยู่ เสร็จแล้วไม่ทราบเหมือนกันว่าจะมีไอพิษอะไรบางอย่างอยู่ ถ้าไปปัสสาวะรดแล้วอวัยวะเพศจะบวม แล้วรักษาไม่หาย
              วิธีรักษาง่ายที่สุดเลย เขาให้เอา “จาก” รู้จักจากไหม ? ที่เขาเอามามุงหลังคาเป็นตับ ๆ เอาไปทิ้งไว้แถวนั้นให้ปลวกกินสักตับสองตับก็จะหาย เจอใครไปเที่ยวป่ากลับมาแล้วไอ้หนูบวมฉึ่งรักษาไม่หาย ก็ช่วยบอกเขาด้วย ถามว่าไปฉี่ที่ไหนนึกให้ออก แล้วให้เอาจากไปทิ้งไว้แถวนั้นสักสองตับ ให้ปลวกได้กินแล้วจะหาย นี่เรื่องที่เรานึกไม่ถึงอย่างนี้ยังมีเลย ผู้ชายเราเผลอตรงไหนก็แอ่นตรงนั้น ระวังเถอะ จะเจอเข้าสักทีหนึ่ง
      ถาม :  (ไม่ชัด)
      ตอบ :  เอาไปจากวัดพระแก้ว...ใช่ไหม ? แล้วโดนอาถรรพ์สารพัดสารเพหาความเจริญในชีวิตไม่ได้เลย คือประเภทที่มือคันมี บางคนเจตนาแงะเอาเลย อย่างหยิบที่วัดโพธิ์หรือวัดอรุณฯ นี่ วัดโพธิ์หรือวัดอรุณฯ สมัยก่อนที่จีนเขาเอาชามสังคโลกมาขาย บางช่วงโดนคลื่นลมรุนแรงมาก พวกสังคโลกก็แตก ช่างสมัยก่อนเวลาสร้างวัดสร้างวา เขาก็เอามาตัดแต่งประดับหน้าบันเป็นดอกไม้สวย ๆ คนเห็นก็ไปแงะเอา แงะที่ไหนไม่แงะ ไปแงะในวัด เทวดาที่ท่านรักษา เทวดาท่านที่ไม่เอาเรื่องเอาราวก็เยอะ แต่เทวดาก็นิสัยเหมือนกับคน ท่านที่พร้อมจะเอาเรื่องตลอดเวลาก็มี ไปเจอท่านที่จะเอาเรื่องเข้าก็เดือดร้อน บอกแล้วว่าไม่เชื่อแต่อย่าลบหลู่ นี่ไม่เชื่อแต่กูแงะเลย
      ถาม :  (ไม่ชัด)
      ตอบ :  ไปก็อุทิศส่วนกุศลให้กับเจ้าที่และบริวารทั้งหลายที่รักษาภูกระดึงขอท่านอย่างเดียว ขอให้ขึ้นลงสะดวกไม่เหนื่อยมาก แล้วคอยดูว่าลูกน้ำจะเดินเก่งแค่ไหน สมัยที่หลวงพ่อวัดท่าซุงไป มีเต่าร้องเหมือนแมว ไม่ต้องถึงขนาดให้ใครอุ้มขึ้นหรอก เดินเองก็ได้ ขอให้สะดวกคล่องตัวและไม่เหนื่อย
              อาตมาเจอมาแล้ว ไปธุดงค์ที่รอยต่อระหว่างสุโขทัยกับลำปาง ตรงจุดนั้นเขาเรียกว่าแม่สาน บ้านแม่สานเจ้าที่เขาเป็นอากาศเทวดา ชื่อท่านทรงเดช ตอนที่เดินแรก ๆ ก็ไม่ได้คิดอะไรหรอก พอเดินไปเดินมาแล้วหลงทาง หลงแล้วเวลาไม่พอ จะค่ำกลางทาง โอ้โฮ...ป่าดงดิบเลย จะโดนเสือลากไปกินหรือเปล่าก็ไม่รู้ ? เลยนึกถึงท่านทรงเดชและบริวารให้ช่วย ทางไหนที่ถูกขอให้ไปทางนั้น แล้วก็ลุยไปเลย
              ความรู้สึเหมือนกับขาไม่ใช่ของเรา เมื่อยจนจะพับลงไปแล้วแต่หยุดไม่ได้ ขาเดินไปเอง ไปเรื่อย เสร็จแล้วพอไม่แน่ใจว่าจะไปทางไหนจะเห็นเงาคนดำ ๆ เหมือนกับคนกวักมือเรียกให้ไปทางนั้น ปรากฏว่าระยะทางที่กะเหรี่ยงเดินหกชั่วโมง อาตมาเดินสองชั่วโมงกว่า ๆ ถึงแล้ว แต่คราวนี้พอลุยไปขนาดนั้นร่างกายไม่ไหว ไม่รู้ไขข้อหรือเอ็นอักเสบอีท่าไหน เจ็บจนน้ำตาเล็ด
              ทั้งหินทั้งพวกใบหญ้าคาใบผากบาดเอา มีแต่รอยแผลยับเยินไปหมดทั้งเท้า เจ็บก็เจ็บ เดินก็เดินยาก หัวเข่าก็เจ็บ แล้วยังไม่เจียมตัว เดินขึ้นไปเพื่อที่จะไหว้พระพุทธบาทกลางป่าลึกอีก รอยพระพุทธบาทที่ตำราบอกว่ามีห้าร้อย ใครเคยสวดบูชาบ้างไหม ? ที่จะมีสุวรรณะมาลิเก สุวรรณะปัพพะเต สุมนะกูเฏ โยนะกัปปุเล นัมมะทายะนทิยา
              รอยนั้นน่าจะเป็นโยนะกัปปุเลคือแคว้นโยนก เป็นเขตที่พระเจ้าพรหมมหาราชไปซ่องสุมผู้คนเพื่อไปกู้ชาติจากขอมดำ คราวนี้พอขอบารมีเทวดาท่านช่วยสงเคราะห์ จากที่ปวดเจ็บจนกระทั่งกระดิกไม่ได้ ก็เดินไปได้ ไปตะลอน ๆ เป็นวัน ๆ ทั้ง ๆ ที่ตามปกติคลานก็จะคลานไม่ไหว
              คราวนี้พอขากลับนะสิ เดินมา ๆ เริ่มเห็นกลดตัวเองอยู่ห่าง ๆ ประมาณสักสองร้อยเมตร หมดแรงไปเฉย ๆ เทวดาท่านดึงกำลังกลับ ท่านไม่ช่วยแล้ว แค่นั้นมึงไปเอง สองร้อยเมตรตะกายอยู่ครึ่งชั่วโมงกว่าจะถึง เกือบจะขาดใจตาย เพิ่งจะรู้ว่าตัวเองจริง ๆ นั้นโทรมขนาดไหน แต่ตอนที่ท่านช่วย อย่างกับเครื่องจักรไปได้เอง
              ไปจนรู้สึกร่างกายไม่ไหวแต่ขาก็ไม่ยอมหยุด ลักษณะขาหยุดไม่ได้ นี่เจอมาหลายครั้งแล้ว แต่งานนั้นทารุณสุด ๆ เลย เพราะเกินขีดความสามารถของร่างกายไปมาก พวกกะเหรี่ยงเดินเร็วขนาดไหน ยังเดินตั้งหกชั่วโมง แล้วท่านลากอาตมาจ้ำไปสองชั่วโมงกว่า ๆ เอง เลยไม่ไหว แหม...เหลืออีกตั้งสองร้อยเมตร จะสั่งให้ถึงกลดหน่อยก็ไม่ได้ ดันไปซะก่อน
              เพิ่งจะรู้ว่า ที่โบราณบอกว่าคลานขึ้คลานเยี่ยวนั้น สาหัสขนาดไหน ก็ตอนนนั้นแหละ กว่าจะไปถึงแทบตายเลย เพราะฉะนั้นตอนนี้เลยสอนลูกขึ้นภูกระดึง ขอให้ท่านช่วย รอไปเถอะ เดี๋วยถ้าท่านช่วยขึ้นมาจริง ๆ ตอนขึ้นสบาย ตอนลงต้องคลานลงมาหรือเปล่าก็ไม่รู้ ?
      ถาม :  (ไม่ชัด)
      ตอบ :  จริง ๆ แล้วท่านจะช่วยขนาดนั้นก็ได้ แต่อย่าลืมว่าเราเป็นคน โดยเฉพาะผู้ที่จะเข้าถึงธรรมต้องยอมรับกฎของกรรม อะไรที่สภาพร่างกายคนธรรมดายังทำได้ก็ต้องทำไปก่อน ลักษณะขอให้ท่านช่วย อาตมาขอให้ท่านช่วยมาหลายครั้งแล้ว ยายจุ๊บวิ่งตามจนเลือดกำเดาไหลเลย วิ่งไล่ไม่ทัน อาตมาเดินนะ โน่นวิ่งตาม ของอาตมาภาวนาสบาย ๆ ไป เดินต๊อก ๆ ไปเรื่อย เวลาท่านช่วย ท่านช่วยจริง ๆ
              ส่วนอีกครั้งหนึ่งนั่นตอนที่ไปอยู่ที่เกาะพระฤๅษีใหม่ ๆ เดินบิณฑบาตอยู่ทุกวัน ฝนก็ตก ทางขึ้นเขาลื่นจะตายชัก บางครั้งก็ลื่นไปสองเมตรสามเมตร ตัวเอนขนานพื้นเลยแต่ไม่ล้มนะ แรก ๆ มีคนงานของหน่วยจัดการต้นน้ำ อาสาเป็นลูกศิษย์ตามไปหิ้วกับข้าวให้ หลักจากนั้นสักอาทิตย์หนึ่งก็หายหมด อาตมาก็ไม่รู้ว่าพวกเขาไปบ่นกับคุณสมบัติ คุ้มท้วม(หัวหน้าคนงาน) ว่าเดินตามอาจารย์ไม่ทัน
              คุณสมบัติก็แปลกใจ พวกคนงานก็ชาวบ้านแถวนั้น พวกคนงานเดินคุณสมบัติต้องวิ่งตาม แต่บอกว่าเดินตามอาตมาไม่ทัน คุณสมบัติอยากรู้ เขาก็เอามอเตอร์ไซค์วิบากไล่กวดไป อาตมาไม่รู้ว่าเขาไล่กวดไปตอนไหน มารู้อีกทีมาฉันเช้าเสร็จ เขามากราบก้นโด่งเลย บอกว่า “ผมเอามอเตอร์ไซค์ไล่กวดหลวงพ่อไม่ทัน” อาตมาไม่รู้เรื่องอะไรเลย เดินไปตามปกตินี่แหละ ทุกอย่างรู้สึกเหมือนเป็นปกติ ก็เดินไปเรื่อย ๆ แต่เขาเอามอเตอร์ไซค์ไล่กวดไม่ทันเอง ถ้าไม่มาบอกอาตมาก็ไม่รู้ เวลาท่านช่วยท่านช่วยได้ขนาดนั้นจริง ๆ