ถาม:  ..........................
      ตอบ :  เขาเรียกว่าสายตาช่าง คนเคยเป็นช่างมาก่อน จะเหลืออยู่อย่างเดียวคือช่างติ ในเมื่อสายตาละเอียด เห็นสิ่งที่บกพร่องได้ง่าย พระอยู่ในถุงพลาสติกอีกชั้นแท้ ๆ ยังเห็นว่าเอียง ตอนแรกคิดว่าหักเหกับถุง ไม่ใช่หรอก เอียงจริง ๆ
              โบราณท่านว่า ช่างกลึงพึ่งช่างชัก สมัยก่อนการกลึงนี่เขาจะเอาเชือกมัดกับแกนแล้วก็ดึง ชิ้นงานก็จะหมุนให้กลึงได้...ใช่ไหม ? คนอีกคนก็คอยกลึง ช่างกลึงต้องพึ่งช่างชัก ช่างสลักพึ่งช่างเขียน ช่างเขียนฝีมือดีเขียนลายออกมาสวย ช่างสลักก็แกะสวย...ใช่ไหม ? ช่างรู้พึ่งช่างเรียน ช่างติเตียนไม่ต้องพึ่งใครเลย จำได้หมดไหม ? ได้ไม่ได้ก็ช่าง เอาแค่นั้นแหละ ไปนั่งทบทวนคนละประโยคสองประโยค เดี๋ยวก็ได้ครบเอง
              อาตมาฟังครั้งเดียกว็จำได้แล้ว สมัยก่อนตอนที่อยู่วัด สมัยก่อนตอนที่อยู่วัดท่าซุง ไปหาหลวงพ่อวัดปากคลองมะขามเฒ่า ท่านมักจะให้คาถาอยู่เรื่อย ๆ ท่านชอบตรงที่อาตมาจำแม่น บอกครั้งเดียวจำได้หมดเลย ท่านจะบอกยาวปรื๊ดแล้วก็เขกหัวเปรี้ยง “เอ้า...ข้าให้เอ็งเอาไปใช้” คนอื่นลืมหมดตอนโดนเขกหัว ท่านเขกจริง ๆ เขกชนิดดาวกระจายเลย ไม่ต้องจดหรอก ฟังเอาก็แล้วกัน
              มีอยู่เที่ยวหนึ่งไปกับพวกป้าศุ คุณศุภาภรณ์ ปุษยนาวิน เจ้าแม่บายศรีนั่นแหละ ท่านให้คาถา “อะระหังพันเกศา ภะคะวากันอาวุธ พระพุทโธอุด พระธัมโมอุด พระสังโฆอุด พระพุทธเจ้าห้ามอาวุธ อุดด้วยพระพุทโธ พระธัมมะเจ้าห้ามอาวุธ อุดด้วยพระธัมโม พระสังฆเจ้าห้ามอาวุธ อุดด้วยพระสังโฆ อุดธัง อัดโธ นะโมพุทธายะ” แล้วเขกเปรี้ยงเลย...!
              พออกมาพวกข้างหลังก็พนมมือแต้ “หลวงพี่ขอหนูด้วยนะ” เขารู้ว่าอาตมาจำได้แน่นอน ท่านเจ้าคุณมงคลชัยสิทธิ์ (หลวงพ่อสำราญ) ท่านได้เป็นเจ้าคุณต้องอายุแปดสิบเศษ อาตมาก็ไปแสดงมุทิตาจิต ไปถึงนิสัยปากหมาไม่ค่อยจะเกรงใจพระแก่หรอก ไปถึงกราบ ๆ เสร็จก็ “หลวงพ่อครับ เป็นเจ้าคุณแล้วหนักไหมครับ ?” คนอื่นกล้าถามไหม ? กลัวโดนมะเหงก
              ท่านก็ว่า “เฮ้ย...ข้าก็ทำความดีเอาไว้นี่หว่า เขาก็ต้องเห็นความดีข้าบ้างสิวะ” ไปโน่น “ครับ...เห็นเร็วมากเลยครับ มาเห็นตอนแปดสิบกว่า เกือบจะตายแล้วเพิ่งให้เป็นเจ้าคุณ” นั่นแหละ ท่านหัวเราะชอบใจ หลวงพ่อวัดปากคลองมะขามเฒ่าท่านเป็นพุทธภูมิ แต่โอ้โฮ...สอนละเอียดอย่างกับพระอรหันต์ กำลังใจท่านเทียบเท่าพระอริยเจ้าขั้นสูงมากเลย ไปฉันเพลด้วยกัน ออกงานด้วย ท่านจับแขน “นี่ลูก...จำไว้นะ ไอ้กาย ๆ เดียวนี่แหละ พาเราไปนรกก็ได้ พาไปสวรรค์ พาไปนิพพานก็ได้ อยู่กับมันต้องใช้สติสัมปชัญญะเยอะ ๆ นะลูก” เป็นอย่างไร ? สอนได้ขนาดนี้
              เสร็จแล้วอาตมาถามว่า “หลวงปู่ครับ ทำไมหลวงปู่ยังอยากเกิดอีกล่ะครับ ?” “กูเป็นพุทธภูมินี่หว่า กูก็ต้องเกิดอีกสิ” อยู่กับท่านแล้วมั่วไปหมด บางครั้งก็พ่อ บางครั้งก็กู บางครั้งก็ผม แล้วแต่อารมณ์ว่าท่านจะใช้คำไหน
      ถาม :  จะถามเรื่องการลาพุทธภูมิค่ะ มีคนบอกว่าจะลาพุทธภูมิให้ไปกราบที่หน้าหิ้งพระ เลยไปกราบขอลาพุทธภูมิ ซึ่งตอนนั้นเราไม่มีของไหว้ อย่างนี้จะถือว่าการลาพุทธภูมิสำเร็จไหมคะ ?
      ตอบ :  หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบอกว่าต้องมีจ้ะ ในเมื่อหลวงพ่อบอกให้มี เราก็ทำตามหลวงพ่อบอกแล้วกัน คนบอกท่านคงได้ยินมาตอนที่ท่านบอกให้ลากับพระพุทธรูป แต่ท่านคงไม่ได้ยินตอนที่หลวงพ่อบอกว่าตอนที่ลาต้องมีอะไรบ้าง
      ถาม :  ถ้าข้ามหนังสือพระโดยไม่เจตนา ?
      ตอบ :  ก็ปรามาสโดยไม่เจตนา ยังดีนะ ถ้าละเอียดขนาดหลวงพ่อเกษม เขมโก สุสานไตรลักษณ์ที่ลำปาง หลวงพ่อเกษมท่านเดินไปเจอกระดาษที่ไหน ท่านเก็บเหน็บไว้บนต้นไม้หมด คนก็สงสัยว่าท่านเก็บขยะก็ไม่ใช่ แต่ท่านเก็บแล้วก็เหน็บไว้กับต้นไม้ก็ยังขาว ๆ รกตาอยู่ดี พอไปกราบเรียนถามเข้าท่านบอกว่า “ตัวหนังสือทุกตัวสามารถจารเป็นธรรมะได้ทั้งนั้น ถ้าเราข้ามก็ไม่ดี”
              รุ่นของพวกเราเคยได้รับการสอนหรือเปล่า ? ว่าก่อนจะเรียนให้กราบหนังสือทุกครั้ง คงไม่มีแล้ว รุ่นอาตมาเจอเต็ม ๆ กราบหนังสือไม่กราบเปล่า ต้องรักษาไว้สุดชีวิตจิตใจด้วย เพราะเรียนแล้วน้องต้องใช้เรียนต่อ แล้วก็หลานเรียนอีก คือต่อไปกันเป็นรุ่น ๆ บางครั้งกว่าจะมาถึงรุ่นอาตมานี่เยินเชียว ต้องกราบหนังสือก่อนเรียน เสร็จแล้วต้องมีการบูชาพระไหว้พระ ไหว้ครูบาอาจารย์ นะโมฯ ข้าจะไหว้ วะระไตรระตะนา ใส่ไว้ในเกศา วะระบาทะมุนี คุณะวะระไตร ข้าใส่ไว้ในเกศี เดชะพระมุนี ขออย่ามีที่โทสาฯ
      ถาม :  คือต้องเคารพในหนังสือ ?
      ตอบ :  จ้ะ อย่างที่หลวงพ่อเกษมท่านบอก หนังสือทุกตัวสามารถจารเป็นธรรมะได้ทังนั้น ในเมื่อจารเป็นธรรมะได้ เมื่อเราข้ามก็มีส่วนการปรามาสพระรัตนตรัยอยู่แล้ว เอาเถอะ...ขอขมาไปเรื่อย ๆ ก็แล้วกัน
      ถาม :  อยู่ในกระเป๋า อยู่บนเบาะเป็นอะไรไหมคะ ?
      ตอบ :  บอกแล้วว่าให้ขอขมาไปเรื่อย ๆ มีโทษไม่มีโทษก็ขอไว้ก่อน ถ้าจิตยิ่งละเอียดก็ยิ่งเห็นว่ามีโทษมากเท่านั้น ถ้าจิตไม่ละเอียดอาจจะเห็นว่าไม่มีอะไรเลย ขึ้นอยู่กับสภาพจิตของเรา
      ถาม :  แสดงว่าคนที่จู้จี้จุกจิกสภาพจิตเขาละเอียดสิคะ ?
      ตอบ :  ไม่แน่ จริตนิสัยเขาอาจจะเป็นอย่างนั้น คนที่ละเอียดเขาละเอียดที่ตอนทำงาน อาตมาเองเวลาทำงานกับพระอื่นมักจะย้ำบอกเขาอยู่เสมอ หลายคนก็สะดุดใจแต่หลายคนก็ไม่ได้คิด บอกเขาว่า “คุณเห็นไหมว่า ผมทำงานเร็ว เร็วกว่าคุณมาก แต่ทำไมผมทำได้ดีกว่า งานอย่างเดียวกันได้ดีกว่า บอกเขาไปว่า คนเรายิ่งปฏิบัติละเอียดมากเท่าไร งานจะละเอียดมากเท่านั้น ความเร็วนี่หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบอกว่า คนที่ตั้งใจไปพระนิพพาน จิตจะรวบรัดตัดตรงไม่ไปแวะข้างทางแล้ว เพราะฉะนั้น...ทำอะไรจะทำเร็ว คล่องตัวกว่าคนอื่น คนไหนประเภทขอให้ไปพระนิพพานปุ๊บปั๊บฉับพลัน แต่ยังลากยาวอยู่แปดชั่วโมง อย่างนั้นไปยาก
      ถาม :  หลวงพ่อสมเด็จฯ ถ้านัดเก้าโมง แปดโมงครึ่งท่านไปนั่งรออยู่แล้ว ?
      ตอบ :  นั่นแหละ ใจท่านตรงแล้ว อย่างสมัยหลวงพ่อวัดท่าซุงก็เหมือนกัน บรรดาพระรูปไหนไว้วางใจเมื่อไร ไปกับหลวงพ่อแต่ย่ามเป็นประจำ มีอยู่เที่ยวหนึ่ง เที่ยวนั้นท่านน้อยเพื่อนคู่หูบวชพร้อมกัน รุ่นเดียวกัน ตอนนี้สึกไปแล้ว อาตมาเป็นคนมีกรรม เพื่อนร่วมรุ่นทั้งหมดสามสิบห้าสามสิบหกรูป เหลืออาตมาอยู่รูปเดียว เพื่อนร่วมรุ่นสึกหมดแล้ว
              ตอนนั้นท่านน้อยยังอยู่ หลวงพ่อจะไปจันทบุรี ท่านบอกพระ “เฮ้ย...เดินทางเจ็ดโมงนะ” พระก็ฉันเช้ากัน คราวนี้หลวงพี่ฐิติท่านบวชก่อนพรรษาหนึ่ง ตอนนี้ก็สึกแล้วเหมือนกัน หลวงพี่ฐิติยังนั่งเอ้เต้เป็นพระสังกัจจายน์ไปฉันเช้าอยู่ อาตมาก็เตือน “หลวงพี่...ใกล้เจ็ดโมงแล้วนะ” “หึ...อย่างผมไปทัน” ถามว่า “ไปอย่างไร ?” “มีรถจี๊ป” คือมีรถอีซูซุคาริเบียนอยู่ มีรถจี๊ป เดี๋ยวขึ้นรถวิ่งไปหน้าวิหารร้อยเมตรทัน
              อาตมาก็ เออ...ยังไม่รู้จักหลวงพ่อดี จริง ๆ ด้วย งวดนั้นพระสี่รูปที่ได้จัดให้ไปกับหลวงพ่อ มีท่านน้อยไปทันอยู่รูปเดียว ที่เหลือไปแต่ย่าม เอาย่ามไปจองที่ไว้ เสร็จแล้วก็มานั่งเอ้อระเหยลอยชายฉันเช้าก่อน หลวงพ่อท่านบอกเดินทางเจ็ดโมง นั่นหมายความว่าพวกเราต้องพร้อมก่อนหน้านั้นครึ่งชั่วโมง เพราะของท่านเสร็จเมื่อไรท่านก็ไปเลย มัวแต่จะมารอเจ็ดโมงแล้วตูค่อยไปก็เสร็จ
              งานนั้นท่านน้อยบ่นฉิบหา...เลย บอกว่า “กูวันมองค์โชว์ ไม่ใช่วันแมนโชว์” นั่นอาตมาเตือนแล้ว แต่บังเอิญพี่ท่านอยู่กับหลวงพ่อมาน้อย อาตมาอยู่กับหลวงพ่อตอนเป็นฆราวาสมาหลายปี ถึงจะบวชเป็นพระได้ไม่กี่พรรษา แต่ความซาบซึ้งที่ต้องวิ่งตับแลบตั้งแต่ฆราวาสมีอยู่เตือนพี่เขาแล้ว พี่เขาบวชใหม่ก่อนอาตมาพรรษาเดียว ยังรู้จักหลวงพ่อไม่ดีพอ ตกรถจนได้
      ถาม :  อย่างพระอรหันต์ ?
      ตอบ :  ไม่เป็นหรอกจ้ะ ท่านที่จะมากายเนื้อได้ต้องเป็นอภิญญาหกหรือไม่ก็ปฏิสัมภิทาญาณ วิชชาสามหรือว่าสุกขวิปัสสโกไม่มีความสามารถอย่างนั้น วิชชาสามมียกให้อยู่องค์เดียว คือพระจุลปันถกเถระ พระจุลปันถกเถระเป็นต้นตำรับมโนมิยิทธิ ท่านสามารถอธิษฐานถอดกายออกเป็นพัน ๆ กายได้พร้อมกัน แล้วทุกคนเห็นเป็นกายหยาบอย่างนี้หมด ทำงานเป็นพันอย่างได้พร้อม ๆ กัน เดินจงกรมบ้าง หาบน้ำบ้าง ต้มผ้า ซักผ้า ถูกุฏิ ปัดกวาใบไม้ใบหญ้าไปเรื่อย ประหยัดดี ท่านเก่งขนาดนั้น นั่นน่ะมโนมยิทธิเต็มกำลัง คนเห็นเป็นกายหยาบเลย
              นางวิสาขานิมนต์พระพุทธเจ้าและพระอีกห้าร้อยองค์ไปฉันที่บ้าน พระท่านไปสี่ร้อยเก้าสิบเก้า พระพุทธเจ้ารู้แต่ไม่ทักท้วง เพราะต้องการประกาศความดีของพระจุลปันถก พอถึงเวลานับพระ อ้าว...ไม่ครบ ขาดอาหารที่หนึ่งยังไม่ได้อังคาส ยังไม่ได้ถวาย นางทาสีได้รับคำสั่งจากนางวิสาขาให้ไปที่เชตุวัน บอกว่าไปนิมนต์พระมาอีกองค์
              นางทาสีก็ถามว่า “พระที่เหลือคือใคร ?” บอกว่า “พระจุลปันถก พอไปถึงเจอพระตั้งพันองค์ทำงานให้มั่วไปหมด” ถามว่า “องค์ไหนชื่อพระจุลปันถก” ทุกองค์ตอบว่า “อาตมาคือพระจุลปันถก” นางบุญทาสีก็เดินเกาหัวกลับมาบอก “พระแม่เจ้า...นิมนต์ไม่ได้หรอก พระเป็นพันองค์เลย บอกว่าชื่อพระจุลปันถกทั้งนั้น”
              นางวิสาขาท่านฉลาด ท่านบอกว่า “ไปใหม่ไปถามท่านว่าพระองค์ไหนชื่อพระจุลปันถก องค์ไหนที่เอ่ยปากก่อนให้จับแขนไว้” ตอนนั้นสาว ๆ จับแขนพระแย่เลย พอท่านเอ่ยปากร่างจริงก็เอ่ยก่อน แล้วร่างอื่น ๆ ค่อยเอ่ยตาม ทุกองค์บอกอาตมาคือพระจุลปันถก นางทาสีก็คว้าแขนหมับเข้าให้ ร่างจำแลงที่เหลือก็หายหมด เขาคว้าตัวจริงได้แล้วนี่
              พระพุทธเจ้าท่านต้องการประกาศความดี ว่าองค์นี้ท่านเป็นเอตทัตคะ คือผู้ยอดเยี่ยมที่สุดในทางมโนมยิทธิ ต้นตำหรับมโนฯ เพราะฉะนั้น...อาตมายกให้องค์หนึ่ง คือพระจุลปันถก นั่นท่านทำได้เห็น ๆ เลยเป็นพระวิชชาสามแท้ ๆ แต่องค์อื่นไปไม่ได้อย่างนั้น ในสมัยพุทธกาลมีอัศจรรย์อยู่คือพระอนุรุทธอีกองค์หนึ่ง นั่นก็วิชชาสาม แต่ทิพจักขุญาณของท่านเหนือกว่าพระอัครสาวกที่เป็นปฏิสัมภิทาญาณอีก เพราะท่านทำบุญด้านแสงสว่างมาโดยตรง ทิพจักขุญาท่านยอดเยี่ยมที่สุด เป็นผู้ที่เลิศที่สุดทางด้านทิพจักขุญาณ
              พระพุทธเจ้าของเราก็เป็นพระวิชชาสาม เพราะระบุไว้ในพระไตรปิฎกเลยว่า ยามต้นบรรลุปุพเพนิวาสานุสติญาณ ระลึกชาติได้ ยามที่สองบรรลุจุตูปปาตญาณ รู้ว่าคนก่อนเกิดมาจากไหน ตายแล้วจะไปไหน สัตว์ก่อนเกิดมาจากไหน ตายแล้วจะไปไหน ยามสุดท้ายบรรลุอาสวักขยญาณ คือทำจิตให้ผ่องใสจากกิเลสได้โดยสิ้นเชิง
              อาตมาอ่านแล้วแปลกใจ ถามหลวงพ่อวัดท่าซุงว่า “พระพุทธเจ้าท่านเป็นวิชชาสาม ทำไมลูกศิษย์เป็นพระอรหันต์ปฏิสัมภิทาญาณ และอภิญญาเยอะแยะไปหมด ?” หลวงพ่อท่านตอบง่ายมากเลย ท่านบอกว่า “วิชชาสามของช้างกับอภิญญาของมด” เห็นภาพพจน์เลยไหม วิชชาสามของช้าง อย่างไรอภิญญาของมดสู้ไม่ได้หรอก
      ถาม :  อาจจะแค่จำนวนญาณต่างกันแต่ผลจริง ๆ แล้ว ?
      ตอบ :  คล้ายกับว่าใช้เงินเหมือนกัน แต่คุณทักษิณแกมีเยอะกว่าใช่ไหม ? ของเราใช้อย่างไรก็ไม่ได้อย่างเขาหรอก
      ถาม :  ถ้าเป็นอภิญญา อย่างไรก็ต้องทรงฌานสี่ก่อนถึงจะได้ใช่ไหมคะ ? แต่วิชชาสามนี่ไม่ต้องถึง ?
      ตอบ :  ก็ต้องถึงนะ ถ้าไม่ถึงฌานสี่เป็นพระอรหันต์ไม่ได้หรอก พระอนาคามียังเป็นไม่ได้เลย เพราะกำลังไม่พอที่จะตัดกิเลส
      ถาม :  .........................
      ตอบ :  คือตอนเช้า ๆ เวลาจะออกบิณฑบาต อาตมาจะซ้อมมนโนมยิทธิไปด้วย คือดูว่าวันนี้ใครจะใส่บาตรเราเป็นคนแรก เป็นผู้หญิงหรือผู้ชายใส่เสื้อผ้าสีอะไรอย่างนี้ ถึงเวลาจะได้ดูว่าถูกต้องไหม คราวนี้วันนั้นพอดูก็เห็นว่าเขาเป็นผู้หญิง นุ่งผ้าถุงแล้วก็ใส่เสื้อแขนยาวสีฟ้าซีด ๆ เก่า ๆ เขามาใส่บาตรเป็นบ้านแรก ก็เดินบิณฑบาตไปตามปกติ
              พอไปถึงก็ใช่อย่างที่เห็น อาตมาก็ เออ...สบายใจ เรายังดูได้แม่น คราวนี้ตอนก้มลงเปิดบาตร เห็นผ้าไม่ใช่สีนั้นหรอก เป็นผ้ามัน ๆ สีฟ้าเข้มเลย แล้วก็ยกทองด้วย พอก้มลงเห็นก็ปิดบาตรโครม ถาม “ใคร ?” เขาตอบว่า “เป็นรุกขเทวดาที่นี่ อยากจะได้บุญจึงมาใส่บาตร” แหม...มาเล่นดักอยู่หัวทางก่อนเข้าหมู่บ้านเลย
              พอเขาทำภาพให้อาตมาดู รูปร่างหน้าตาผ่องใสดี ใส่ชุดไทยเป็นสีฟ้าลายทอง สวยมากเลย นั่นขนาดประเภทบุญน้อย ๆ นะ เข็มขัดทองคำเส้นเท่าฝ่ามือ แต่ที่รู้ว่าบุญน้อยเพราะเนื้อของเขาหนาทึบเหมือนกับของเรา คือถ้าเทวดาทั่วไปเนื้อเขาจะเป็นแก้ว ยิ่งถ้าแก้วใสเป็นประกายมากเท่าไร ก็มีวาสนาบารมีมากเท่านั้น
              รายนี้เนื้อของเขาทึบแบบของเรานี่ เลยรู้ว่าเขาบุญน้อยจริง ๆ จึงบอกว่า “ผลบุญทั้งหมดที่เราทำมาตั้งแต่ต้นจนบัดนี้ ขอให้เธอโมทนา เราจะได้รับประโยชน์ความสุขเท่าใด ขอให้เธอได้รับด้วย” เขาก็ “สาธุ”
              พอสาธุนี่เปลี่ยนทันทีเลย กลายเป็นสวยแพรวพราวระยิบไปหมด แล้วเขาก็ไปเลย ตอนนั้นเสียท่า อาตมาไม่นึกว่าเขาจะไปเลย รู้อย่างนี้รอให้ใส่บาตรก่อน นี่เขาได้ไปแล้ว ไม่ต้องเสียเวลาใส่บาตร ไปเลยแน่บเลย อาตมาก็อดแด...น่ะสิ ใจเร็วไปหน่อย รู้อย่างนี้ให้เขาใส่บาตรเสร็จแล้วเราค่อยให้ก็ได้
              ตอนนั้นคิดว่านี่จะต้มตูอีกแล้ว เลยถามเขาก่อนว่าใคร แต่ในที่สุดก็โดนจนได้ จะว่าไปแล้วเทวดาปลายแถวก็ดีกว่ามนุษย์หัวแถวมาก เพราะอันดับแรก ขันธ์ของเขาเป็นขันธ์ทิพย์ ไม่ได้ลำบากอย่างของเรา ไม่จำเป็นต้องมากินมาขี้อย่างเรา เป็นอันว่าเรื่องการปวดอุจาระ ปวดปัสสาวะ เจ็บไข้ได้ป่วย ร้อน หนาว หิว กระหาย เขาไม่มี
              ในเมื่อพวกนิพัทธทุกข์เหล่านี้เขาไม่มี เขาจะมีความสุขกว่าเรามาก แต่เขายังมีส่วนของความทุกข์อยู่ คือทุกข์เพราะเกรงว่าจะตกไปอยู่ในภพภูมิที่ต่ำกว่า ทุกข์เพราะเกรงว่าตัวเองจะสร้างบุญไปอยู่ในภพภูมิที่สูงกว่านี้ไม่ได้ เขาต้องลำบาก พยายามหาทางสร้างบุญกันไปเรื่อย
      ถาม :  (ไม่ชัด)
      ตอบ :  จะเป็นพรหม เป็นเทวดา เป็นอะไรก็เห็นได้ เพียงแต่ว่าจิตของเขาต้องไม่ไปหลงติดอยู่กับความสุขในสภาพของตน ถ้าหลงติดอยู่ในสถานภาพของตน มีความสุขอยู่แค่นั้น พอใจแค่นั้น ไม่ใช้ปัญญามาพิจารณา ก็จะไม่เห็นทุกข์โทษ
              แต่ถ้าเขาไม่หลงติดอยู่ตรงนั้น ได้รับฟังธรรมแล้วตั้งใจปฏิบัติตาม เขาจะได้ง่ายกว่าเรา เพราะปัญญาของเขามากกว่า เทวดานี่จัดเป็นอุคฆฏิตัญญูทั้งหมด ฟังแค่หัวข้อก็เข้าใจหมดแล้ว อย่างของเรานี่อธิบายกันสามวันสามคืนกว่าจะรู้ แต่ของท่าน “กุสะลา ธัมมา อะกุสะลา ธัมมา อัพยา กะตา ธัมมา” แค่นั้นท่านรู้หมด ธรรมส่วนใดที่เป็นกุศล ธรรมส่วนใดเป็นอกุศล ธรรมส่วนใดที่เป็นกลาง ๆ
              ของเราฟังแค่นี้เราก็มึนตึ๊บ ไปไม่เป็น...ใช่ไหม ? แต่ของท่านจะรู้หมดว่าธรรมเหล่านี้มีอะไรบ้าง จะเข้าใจทันทีที่ได้ยินหัวข้อเลย เพราะฉะนั้น...ของท่านเอง ถ้าไม่ไปหลงติดกับความสุขในภพภูมิของตัว ตั้งใจมาปฏิบัติธรรมจะได้เร็วกว่าเรา
              แต่ของเราอยู่ตรงจุดที่ได้เปรียบที่ว่าทุกข์มาก เพราะฉะนั้น...โอกาสที่เห็นทุกข์จึงไปด้วย ถ้าไม่ประมาท พยายามพิจารณาทุกข์อยู่เป็นปกติจะหลุดพ้นได้ง่าย ได้ดีคนละอย่างกัน เทวดาที่ท่านหลงเพลิดเพลินอยู่ในความสุข แล้วไม่ได้ปฏิบัติเพื่อมรรคเพื่อผล ยังไม่ถือว่าเลวร้าย มีประเภทเป็นมิจทิฏฐิ ขนาดโกรธเคือง หรือตั้งตนเป็นศัตรูกับเราเลยก็มี
      ถาม :  แล้วพวกมาร ?
      ตอบ :  ท่านมีโอกาสได้สร้างบุญใหญ่ ในลักษณะของการสร้างบุญเป็นไปประเภทแบบเสียไม่ได้ บังเอิญได้ทำหรือโดนพวกมากลากไปอะไรอย่างนั้น เคยไปเจออยู่ครั้งหนึ่ง ตอนนั้นธุดงค์ไปทางเขาช้างเผือก รอยต่อระหว่างไทยกับพม่า โอ้โฮ...หนาวอย่าบอกใคร เช้า ๆ เอาเท้าแหย่ลงไปในน้ำนี่ เจ้าประคุณเอ๋ย...เหมือนกับเท้าหายไปเลย ชาไปหมด ไม่รู้สึกเลยว่ามีเท้า
              กลางคืนนี่ขนฟืนเอาไว้ท่วมหัวท่วมหู กะเอาไว้ว่าพอใช้แน่...ใช่ไหม ? ไม่พอหรอก เพิ่งจะห้าทุ่มเที่ยงคืนก็หมดแล้ว ต้องตะกายไปหาอีกแล้ว หนาวขนาดนั้น คราวนั้นเดินทางก็ใกล้ค่ำแล้ว ก็เร่ง ๆ รีบ ๆ พอเห็นตรงคุ้งน้ำมีหาดทรายอยู่ หาดทรายบางที่สวยจริง ๆ นะ หาดทรายในป่านี่ทรายขาวละเอียดเลย
              อาตมาไปถึงใต้ต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง เอาตรงนี้แหละวะ พอเข้าไปถึงปรากฏว่าพอนั่งลง ก็มีสาวนางหนึ่งร่วงพลั่กลงมา เป็นรุกขเทวดาที่อยู่บนต้นไม้นั่นแหละ พอพระไปอยู่โคนต้น เขาอยู่ข้างบนไม่ได้ ก็ร่วงลงมากองกับพื้น
              อาตมาเงยขึ้นไปดู เห็นวิมานเขาเอียงกะเท่เร่ จะหล่นแหล่มิแหล่ แปลว่าบุญของเขาใกล้หมดแล้ว จึงบอกว่า “ในเมื่อเธอบุญใกล้จะหมดแล้ว อาตมาเองมาทำความดี ความดีทั้งหมดที่เคยทำมา ขอให้เธอโมทนา อาตมาจะได้รับประโยชน์ความสุขเท่าใด ขอให้เธอได้รับด้วย”
              เขาว่าอย่างไรรู้ไหม ? “ท่านไม่ต้องยุ่ง” พระไปแล้วตกวิมาน เลยไม่พอใจ งอนตุปัดตุป่องไปนั่งจุ้มปุ๊กอยู่โน่น ก้อนหินห่างไปสักสี่ห้าวา นั่งหน้าหงิกบอกบุญไม่รับ เจอมาแล้ว...ประเภทไม่เอาบุญเลย ลักษณะนั้น ต้นไม้คงจะโค่นในระยะเวลาอีกไม่นาน คือพอ ๆ กับบุญที่เขาทำมานั้นแหละ จวนจะหมดพอดี ต้นไม้ล้มเมื่อไรเขาก็หมดบุญพอดี ขนาดให้เขาโมทนาบุญเขายังไม่เอาเลย
      ถาม :  (ไม่ชัด)
      ตอบ :  ไม่แน่...ประเภทที่แกล้งกันกระจายเลยก็มี ตัวอย่างในกรณียเมตตาสูตร พระท่านไปจำพรรษาในป่า พออกพรรษาก็มากราบรายงานต่อพระพุทธเจ้า พระองค์ท่านตรัสถามว่า “เป็นอย่างไร ? มีความสุขดีอยู่หรือ ?”
              พระท่านกราบทูลว่า “มีความสุขอยู่แค่ครึ่งพรรษาแรกเท่านั้น ครึ่งพรรษาหลังเหล่าอมนุษย์และสัตว์ร้ายรบกวนเบียดเบียนมากเหลือเกินพระเจ้าข้า” พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า “เธอไม่ได้เอาอาวุธไปด้วยนี่ ?” พระท่านก็ได้ทูลถาม “อาวุธมีด้วยหรือ ?” ท่านตอบ “มี...คือ “กรณียเมตตาสูตร”
              แล้วพระองค์ท่านก็สอนให้ท่อง “เมตตัญจะ สัพพะโลกัสมิง มานะ สัมภาวะเย อะปะริมาณังฯ” เสร็จแล้วพอกลับไป พระท่านก็สาธยายพระสูตรนี้ เลยกลายเป็นที่รักของเทวดา แรก ๆ เทวดาท่านคิดว่าพระอยู่ไม่นาน ที่ไหนได้...ล่อเป็นพรรษาเลย ตัวเองต้องหอบลูกจูงหลานกะเตง ๆ อยู่โคนต้นไม้ อยู่ข้างบนไม่ได้ เพราะสูงกว่าพระ
              อยู่ไปนาน ๆ ลำบากเข้าเลยหาเรื่องไล่พระ แปลงเป็นสัตว์ร้ายเข้ามาขู่บ้าง ส่งเสียงน่ากลัวเวลากลางคืนบ้าง พระท่านก็สะดุ้งหวาดกลัวกัน ไม่เป็นอันจะภาวนา เมื่อพระพุทธเจ้าให้กรณียเมตตาสูตรไป แล้วสวดสาธยายไปประจำ เทวดาท่านได้ยิน จิตใจท่านสงบเยือกเย็น เปลี่ยนจากจะขับไล่กลายเป็นมาช่วยกันอุปัฏฐากพระ พระเลยสบาย ตัวอย่างนี้มีมาตั้งแต่สมัยพระพุทธเจ้าแล้ว