ถาม :  แล้วตกลงเรื่องนี้เรื่องจริงหรือเรื่องแต่ง ?
      ตอบ :  เรื่องแต่ง น่ารักมั้ย ?
      ถาม :  ที่จริงก็รู้เรื่องหมดแล้ว จับไม่ได้แม้สักนิดเดียว
      ตอบ :  เมื่อวานนี้ที่ติดไว้เรื่องอะไร แม่อยู่หัวศรีสุดาจันทร์นะเป็นสมัยที่ขุนวรวงศาธิราชก่อนพระเธียรราชานิดหนึ่ง ผู้ที่ทำการปฏิวัติคือพระเธียรราชา ซึ่งตอนหลังเป็นพระมหาจักรพรรดิ์
      ถาม :  ใครคะ ..........?
      ตอบ :  ขออภัย บางตอนมันเดี้ยงนึกไม่ออก ตอนนี้นึกออกแล้วนะ แม่อยู่หัวศรีสุดาจันทร์ แม่อยู่หัวเมืองก็คือผู้หญิงที่เหมือนกับเป็นพระเจ้าอยู่หัวครองเมือง คราวนี้พอเรียกเร็ว ๆ ก็เป็น “แม่หยั่วเมือง” แล้วมาสมัยหลังเขาเรียกให้เป็น “แม่ยั่วเมือง” ความหมายเสียหมดเลย (หัวเราะ)
      ถาม :  เอ้อ ! อย่างนี้นับเป็นกษัตริย์หรือเปล่าครับ ?
      ตอบ :  ไม่เป็นกษัตริย์ก็เหมือนกับเป็น แต่ว่ากษัตริย์ตามประวัติศาสตร์ไทยจริง ๆ มีองค์เดียวที่เป็นผู้หญิงก็คือพระนางเจ้าจามเทวี
      ถาม :  ถอยไปนู้นเลยนะครับ ?
      ตอบ :  พระนางเจ้าจามเทวี สมัยหริภุญชัย
      ถาม :  ก็เลยนับแค่ ๓๓ ?
      ตอบ :  ประวัติศาสตร์มันยาก มันนึกไม่ค่อยจะออก บางทีก็ว่าไปได้เรื่อย ๆ จ้อย ๆ เหมือนกัน ว่าอย่างกับอยู่ในเหตุการณ์เอง
      ถาม :  หนังสืออ่านเล่นของหลวงพ่อมีเขียนประวัติศาสตร์ที่เป็นรัชกาลที่ ๑
      ตอบ :  อันนั้นเกี่ยวกับประวัติของสมเด็จพระปฐมบรมราชชนก ท่านปู่ทองดีก็มาลูกชายคือ รัชกาลที่ ๑ ก็ทองด้วง
      ถาม :  แล้วไล่ ๆ มาก่อนหน้านั้นไกลเหมือนกันนะคะ
      ตอบ :  จริง ๆ แล้วท่านจะเป็นเจ้าคุณพระพินิจอักษรนะ คราวนี้ว่าส่วนใหญ่แล้วเขาจะตามประวัติศาสตร์ที่เขารับรองเป็นพระอักษรสุนทร เท่านั้น คราวนี้ตำแหน่งมากกว่านั้นไม่ได้บอกไว้ หลวงพ่อท่านไปควักมาจนได้
      ถาม :  แม่มาตอนไหนครับ ก็ตอนนั้นก็กรุงแตกแล้ว ?
      ตอบ :  ก็กรุงแตกแล้ว เสร็จแล้วอพยพไปอยู่พิษณุโลก แล้วไปรับราชการอยู่หัวเมืองอื่นก็ได้ยศขึ้นมาใหม่
      ถาม :  ตอนที่รัชกาลที่ ๑ ขึ้นครองราชย์ ไม่ไปรับกลับมาเหรอครับ ?
      ตอบ :  ก็น่าจะรับนะ แต่ว่าตามประวัติตอนนั้นพูดถึงแต่พระเอกแล้วซิ (หัวเราะ) กฤษดาภินิหารอันมิอาจจะบดบังไว้ พระรองหรือพ่อแม่พระเอกก็เลยเงียบไปเลย
      ถาม :  แล้วอย่างเรื่องที่มีซินแสมาดูรัชกาลที่ ๑ กับพระเจ้าตากสินว่าเป็นกษัตริย์ทั้งสองคนนั้น เรื่องจริงหรือเปล่าครับ หรือว่าเรื่องแต่ง ?
      ตอบ :  อ่านดูเหมือนอย่างกับจริงนะ แต่คราวนี้ว่าซินแสอย่างนั้นมันยอดมนุษย์จริง ๆ เลย
      ถาม :  นี่แสดงว่าเขารู้จักกันมาตั้งแต่หนุ่ม ๆ งั้นซิครับ ?
      ตอบ :  ก็ต้องอย่างนั้น ส่วนใหญ่สมัยก่อนนี่เรียนวิชาหาความรู้อะไร สำนักไหนดีก็ไปเรียนสำนักนั้น ดีไม่ดีก็ผูกสมัครรักใคร่เป็นเพื่อนกันมานานแสนนานเสียแล้วด้วยซ้ำไป
      ถาม :  ก็เหมือนกับประวัติศาสตร์มาเจอกันตอนกู้กรุง กู็ได้แล้วด้วยซ้ำนี่ครับ ถึงค่อยกลับมาอยู่ด้วย น่าจะมั้ง...เอ๊ะ ! แต่แปลกนะครับ ทำไมไม่เห็นประวัติศาสตร์เขียนไว้เลยว่าก่อนหน้านั้นรัชกาลที่ ๑ ท่านไปอยู่ไหน หายไปเลย ?
      ตอบ :  คนเขียนมันตามไม่ทัน ส่วนใหญ่มันจะมีนักจด นักจดนี่เขาเรียกอาลักษณ์ จดเป็นหมายเหตุคราวนี้กรุงศรีฯ มันกระจัดกระจายไปคนละทิศทาง ตัวเองไม่รู้จริงว่าอยู่ไหน ถ้ามั่วไปเดี๋ยวโดนคนรุ่นหลังด่าเขาก็ต้องมีจรรยาบรรณของเขาเหมือนกัน ถึงแม้ว่าจะเขียนเชียร์เฉพาะพวกของตัวเองก็เหอะ
      ถาม :  ถึงว่าครับ หาประวัติของรัชกาลที่ ๑ ไม่มีเลย มามีตอนก็แบบมาเป็นใหญ่เป็นโตแล้ว
      ตอบ :  โผล่มาเป็นอะไร ....เจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก
      ถาม :  นั่นซิครับ ผมก็แปลกนะครับ ทั้ง ๆ ที่พระเจ้ากรุงธนฯ ท่านแบบมีมือดีอยู่ใกล้ตัวเยอะมากเลย แล้วคนนี้ไม่รู้มาจากไหน กลับมาใหญ่กว่าคนที่กู้บ้านกู้เมืองมาด้วยกัน
      ตอบ :  จริง ๆ สมัยนั้นท่านจะมีทหารเอกคู่พระทัยอยู่ ๑๐ คนด้วยกัน มีอย่างพระยาศรีสิทธิสงคราม, พระยาสามเมืองระย่อ, พระยาพนอราชบาท, พระยาไพรีพินาศ, พระยาพิฆาตไพรี, พระยาพิชัยสงคราม อย่างนี้จะมีอยู่ด้วยกัน ๑๐ คนด้วยกัน แล้วก็ ๑๐ คนนี้จะเป็นกำลังบสำคัญในการกู้ชาติของท่าน ถ้าหากไม่มี ๑๐ คนนี้คงสำเร็จยากนะ ลำพังตัวเองนี่ฟาดกันเหงือกแห้งแน่เลย คงไม่ใช้เวลาแค่ ๗-๘ เดือน
      ถาม :  อ้าว ! อย่างนี้รัชกาลที่ ๑ ท่านมาแล้วท่านมาเป็นใหญ่เลย คนที่อยู่ด้วยไม่เขม่นเหรอ ?
      ตอบ :  สมัยนั้นท่านเป็นอยู่แล้วล่ะ ก็อยู่ ๑ ในจำนวน ๑๐ คนนี่แหละ
      ถาม :  อ้อ.......
      ตอบ :  คือรัชกาลที่ ๑ ท่านเป็น “พระยาศรีสิทธิสงคราม” อุตส่าห์ขึ้นให้เป็นคนที่่ ๑ แล้วมันยังไม่สงสัยอีก
      ถาม :  (หัวเราะ) ไม่รู้ครับ (หัวเราะ)
      ตอบ :  ตำแหน่งพระยาศรีสิทธิสงครามนี่ สืบต่อเนื่องมาจนถึงรัชกาลที่ ๖ ก็ยังมีอยู่นะ รู้สึกพระยาศรีสิทธิสงครามคนสุดท้ายที่รู้จัก....อาจจะมีหลังจากนั้นอีก แต่ว่าคนสุดท้ายที่รู้จักก็คือ “พระยาศรีสิทธิสงคราม” ที่ตายตอนกบฎวรเดช เป็นกองหลังคอยยันกำลังของฝ่ายรัฐบาลไว้ ไปตายแถวปากช่อง นั่นแหละพระยาศรีสิทธิสงคราม ชื่อดิ่น นามสุกล ท่าราย ถ้าจำไม่ผิดรู้สึกว่าจะเป็นปู่ของคุณสุรยุทธ จุลานนท์ ผบ.ทบ. คนปัจจุบัน ถ้าจำไม่ผิดนะ เป็นชาวเพชรบุรี ท่ารายอยู่เพชรบุรี
      ถาม :  แล้วทำไมถึงเป็นราชวงศ์จักรีล่ะครับ ?
      ตอบ :  ก็ “จักรี” เขาใช้เครื่องหมาย กงจักรกับตรีศูลไง โบราณนี้เขาออกเสียง “ก.” แทน “ต.”
      ถาม :  ท่านก็ไล่ราชวงศ์กลับไปถูกนี่ครับว่ามาจากสุโขทัยเหมือนกัน
      ตอบ :  ถึงเวลาก็ต้องสาวประวัติกลับ แต่คราวนี้ว่า ก็ในเมื่อตั้งเมืองใหม่ ปราบดาภิเษกใหม่ก็ต้องนับเป็นต้นราชวงศ์ใหม่ อย่างของอยุธยาก็มี ราชวงศ์ปราสาททอง, ราชวงศ์บ้านพลูหลวง, ราชวงศ์สุพรรณภูมิ
      ถาม :  จริง ๆ ก็เชื้อสายเดียวกันทั้งนั้นเลย
      ตอบ :  ก็บอกแล้วว่า ของจีนเขาบอกไว้ว่าเมื่อ ๕๐๐ ปีก่อน เขามีบรรพบุรุษคนเดียวกัน

      ถาม :  กรุงศรีอยุธยา สภาพบ้านเมืองที่ถูกเผามันเหมือนกับสภาพบ้านเมืองของสุโขทัย ทีนี้ไม่แน่ใจว่าสุโขทัยนี่จะโดนเผาเหมือนกับกรุงศรีอยุธยาหรือเปล่า ?
      ตอบสุโขทัยสมัยนั้นจะเป็นเมืองหน้าด่าน จากสุโขทัยเมืองหลักลงมาก็จะเป็นพิษณุโลก สุโขทัย สมัยนั้นจะเป็นเมืองชะเลียง เมืองศรีสัชชนาลัย เมื่อทางหัวเมืองทางเหนือเวลาโดนตีไล่มา จากเชียงใหม่ลงมาเลย จากเชียงใหม่ไล่เลาะลงมา ถ้าหากว่าสู้ไม่ได้ก็ทิ้งเมืองหนี ไอ้ทิ้งเมืองหนีถึงเขาไม่เผา มันก็กลายเป็นเมืองร้างมันก็ปรักหักพังพอ ๆ กันนั่นแหละ
              สมัยรัชกาลที่ ๑ ท่านถึงได้ชะลอพระพุทธรูปจากหัวเมืองเหนือลงมาตั้งพันกว่าองค์ เอามากรุงเทพพันกว่าองค์ องค์ไหนที่สำคัญหรือมีลักษณะงดงามก็แจกจ่าย ให้วัดโน้นวัดนี้ เป็นพระประจำพระอุโบสถบ้างประจำวิหารบ้าง ที่เหลือทั้งหมดก็ระเบียงไปวัดโพธิ์เข้าไปดูเถอะหลายร้อยองค์เรียงเป็นแถวเลย บางทีเห็นรูปเกี่ยวกับการท่องเที่ยว เขาถ่ายรูปพระพุทธรูปเป็นแถวยาวเหยียด นั่นแหละระเบียงวัดโพธิ์ เพราะวัดโพธิ์เขาถือว่าเป็นวัดประจำรัชกาลที่ ๑
              พระที่สำคัญ ๆ ที่เอามาสมัยนั้นที่มีอยู่ก็อย่าง “พระพุทธเทวปฏิมากร” ซึ่งปัจจุบันนี้ประจำพระอุโบสถอยู่ แล้วก็หลวงพ่อนาคปรก ชื่ออะไรนะ จำชื่อไม่ได้ ใช้คำว่า “อุรัคอาสน์อำไพ” คือว่า “อาสนะงูที่สวยงาม” จะเป็นพระนาคปรากที่สวยที่สุดในประเทศไทยเลย ไปดูได้ แล้วก็มี “หลวงพ่อโลกนาถ” เป็นพระพุทธรูปยืนหล่อด้วยสำริดใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ก็อยู่นั่น (วัดโพธิ์หมดเลย) วัดโพธิ์แทบทั้งนั้น “หลวงพ่อพระนอน” นี่ไม่แน่ใจว่าปูนหรือโลหะ แต่หลวงพ่อพระนอนนี่คงสร้างขึ้นทีหลัง
      ถาม :  วัดโพธิ์นี่รัชกาลที่ ๑ อีกเหรอ ?
      ตอบ :  ก็ท่านสร้างขึ้นเป็นวัดประจำรัชกาล วัดอื่น ๆ ก็ได้ไปเยอะอย่างหลวงพ่อโตศรีศากยมุณี วัดสุทัศน์ นี่ก็มารุ่นนั้น
      ถาม :  จำได้แล้วครับ เข้าไปเห็นครั้งแรกไม่รู้ทำไมต้องร้องไห้น้ำตาไหล (หัวเราะ)
      ตอบ :  ไม่นึกว่าจะมีพระใหญ่และสวยอย่างนี้มาก่อน
      ถาม :  ไม่รู้ครับ (หัวเราะ)
      ตอบ :  ฉลาดมาก ในกรุงเทพพระดี ๆ ซ่อนอยู่เยอะต้องไปตามแบบเดียวกับที่ปิดเทอมที่แล้วพาเด็ก ๆ ไปตามแคะพระจากเชียงใหม่ไล่ทีละวัดทีละองค์ เขาไม่รู้หรอกว่ามี เราก็บอกว่าตรงนั้น ๆ มี แล้วก็ไปดูไปกราบกัน ที่แน่ ๆ คือคุณ ส.ท.สมาชิกสภาเทศบาลเชียงใหม่แท้ ๆ ถามมันมันไม่รู้หรอก เจริญมาก (หัวเราะ) ปล่อยให้คนต่างบ้านต่างเมืองอย่างเราพาไป มันน่าเตะจริง ๆ
      ถาม :  การรบกันสมัยก่อนเขาจะใส่เกราะ เป็นอย่างไรครับ หรือว่าไม่ใส่ ?
      ตอบ :  ส่วนใหญ่ก็........ถ้าหากว่าไม่มั่นใจตัวเองก็จะใช้พวกหนังควายตากแห้งทำเป็นเกราะ แต่ถ้ามั่นใจในตัวเอง คิดว่าคาถาดีวัตถุมงคลดี หรือไม่ก็พวกกินว่านยาสักยันต์สักอะไรที่เหนียวแน่ ท่านไม่ใช้ให้เสียเวลามันเกะกะ
      ถาม :  อย่างนี้ก็ไม่ใช้เกราะโลหะเหมือนที่ในหนังสุริโยทัย ?
      ตอบ :  เกราะโลหะนี่สมัยนั้นมันทำกันไม่ไหว เวลาศึกเวลาสงครามแค่เอาทำอาวุธมันก็หายากแล้ว
      ถาม :  อ้าว ...แล้วเกราะเป็นอะไรครับ สมัยนั้น ?
      ตอบ :  หนังส่วนใหญ่ (อ้อ ! หนังสัตว์อย่างนี้เหรอครับ) ถ้าหากประเภทเลิศจริง ๆ ก็หนังแรด หายากมาก (มีเหรอครับ ?) มี ! (เมืองไทยน่ะนะ ?) เออ ! ถ้าหากว่าประเภททั่ว ๆ ไปใช้หนังควาย ลองดูเหอะ หนังควายตากแห้ง เอาอีโต้จามหรือขวานจามดูจะเข้าไหม (หัวเราะ) เด้งกลับเลยแหละ (หัวเราะ)
      ถาม :  อ้าว ! อย่างนี้ตายก็ช้ำในซิครับ ?
      ตอบ :  ช้ำก็ช้ำแหละ ตอนสู้กันนี่ไม่ค่อยรู้สึกหรอก พอหลังจากนั้นแล้วนอนแผ่รักษาตัวกันเป็นเดือน
      ถาม :  โห ! แต่ในหนังนี่เอาซะอลังการเลยครับ แต่งซะเต็มยศ
      ตอบ :  จริง ๆ เขาต้องแต่งสวย ๆ จริง ๆ นะ มันเป็นหลักจิตวิทยาอย่างหนึ่งคล้าย ๆ กับว่าข่มคู่ต่อสู้ไว้ก่อนน่ะ ของเราประเภทอยู่ดีกินสบาย อะไรมาถึงเลิศมาเชียว ฝ่ายตรงข้ามฝ่อไปครึ่งหนึ่งแล้ว เฮ้ย ! จะสู้มันได้เปล่าวะ ?
      ถาม :  อย่างนี้หนังควายก็ต้องมาแต่งสี ทำอลังการ ?
      ตอบ :  ส่วนใหญ่ก็ทำอย่างนั้นลักษณะนั้น บางทีที่คุณบอกว่าเห็นเป็นโลหะมันอาจจะไม่ใช่โลหะนะ มันอาจจะฝังพวกอะไร.....เอาทองมาประดับเพิ่มก็มีอยู่ พวกบรรดาแม่ทัพอย่างน้อย ๆ ก็ประเภทดาบคร่ำทอง คำว่า “คร่ำ” ก็คือว่าแกะลายแล้วฝังทองลงไป ดาบคร่ำเงิน ดาบคร่ำทอง ถ้าหากว่ารวยจริง ๆ ก็ประเภทเล่นฝักเงินฝักทองไปเลย
      ถาม :  กรมการศาสนาไม่มาตรวจบ้างหรือ (หมายถึงบ้านอนุสาวรีย์) ?
      ตอบ :  พวกตำรวจนอกเครื่องแบบมาบ่อย มันขึ้นมามันคิดว่าเราไม่รู้ แต่ความจริงพวกตำรวจมาดมันดี ถึงมันมานอกเครื่องแบบก็เถอะมาถึงก็ถามว่าเป็นไงมีบ่อนมั้ย ? หัวเราะแหะ ๆ มันเห็นรองเท้าข้างล่างเยอะคนขึ้นมาก็หาย ๆ มันคิดว่าตั้งบ่อน มาถึงเราดักคอไว้ก่อน หัวเราะแหะ ๆ (หัวเราะ)
      ถาม :  อย่างนี้แล้วเขาไม่ว่าอะไรเหรอครับที่มาอยู่อย่างนี้ มารับสังฆทาน ?
      ตอบ :  ไม่ได้ทำอะไรผิดไม่เป็นไร ถ้าหากประเภทหลอกลวงประชาชนบ้าง รักษาโรคบ้าง อะไรนี่โดน แน่แหละ ถ้าไม่มีใบประกอบโรคศิลป์
      ถาม :  เวลาเกิดศึกสงครามที่มีคนฆ่ากันมาก ๆ วิญญาณที่เขายังไม่ไปผุดไปเกิดนี้เราจะช่วยเขาได้อย่างไรเจ้าคะ ?
      ตอบ :  อันนั้นต้องถามเขาว่าเขายอมรับความช่วยเหลือมั้ย ? เท่าที่มีประสบการณ์มา อย่างพวกผีญี่ปุ่นก็ตายตอนสงคราม มันคว้านท้องมันตายเพื่ออยู่รักษาสถานที่บางแห่ง บอกมันอย่างไรมันก็ไม่ฟังเรา บอกเขาบอกว่าสงครามมันเลิกไปตั้งนานเนกาเลแล้ว ญี่ปุ่นแพ้สงครามด้วย จนกระทั่งเดี๋ยวนี้กลายเป็นเจริญจนคนอื่นตามไม่ทันแล้ว มันไม่ฟังหรอก เป็นไปได้อย่างไร และแป๊บเดียวเท่านั้นญี่ปุ่นจะแพ้สงคราม มันต้องถามว่าเขายอมให้ช่วยหรือไม่ ?
              บางสถานที่อย่างที่สมัยอยู่กองพลที่ ๙ กาญจนบุรี ค่ายสุรสีห์ วันดีคืนดีทหารได้ยินพร้อม ๆ กัน มันเป็นเสียงของคนโบราณแบบยกทัพประจัญบานกัน เสียงช้างเสียงม้า เสียงอาวุธกระทบกัน เสียงคนร้องโอดโอย เสียงคนกระตุ้นให้พรรคพวกเขารบกันอะไรอย่างนั้น ถ้าอย่างนั้นละก็เขาไม่ฟังเราแน่ ๆ เลยแหละ
      ถาม :  ...........................
      ตอบ :  แต่ว่ามันเกิดจากอานุภาพของเขา
      ถาม :  ทำร้ายคนได้ด้วยเหรอครับ ?
      ตอบ :  พวกนี้ของเขาจริง ๆ แล้วก็อยู่ในประเภทสัมภเวสีหรือไม่ก็ที่เขาเรียกลักษณะปู่โสมน่ะ
      ถาม :  อย่างนี้สัมภเวสีที่ล่องลอยไปในโลกปัจจุบันก็น่าจะทำร้ายเราได้ด้วยซิ ?
      ตอบ :  สวนใหญ่เขาลำบากพอแล้ว มันไม่ใช่ประเภทดวงจิตเขาตั้งมั่นอยู่ในหน้าที่ของเขา ถ้าอย่างนั้นเราไปล่วงละเมิดในขอบเขตหน้าที่ของเขานี่เขาเอาแน่