ถาม :  การทำโยคะซึ่งเป็นการออกกำลังกายรวมกับการทำสมาธิแบบใช้ลมหายใจตายไปจะได้ขึ้นสวรรค์หรือไม่ ?
      ตอบ :  ถ้าสมาธิทรงตัวได้แน่นอน อย่าลืมว่าโยคะส่วนใหญ่เขาจะไปเป็นพรหมกัน ถ้าทรงฌานเป็นปกติ เพียงแต่ว่าของเขาเองมันจะเป็นลักษณะโลกียพรหม ส่วนใหญ่ก็จะไปติดอยู่ตรงนั้นเอง บริหารกายอย่างเดียวมันยังไม่พอ มันต้องบริหารใจด้วย
      ถาม :  ระดับอาจารย์ที่ทำเป็นชั่วโมง ๆ ไปได้เหมือนกันใช่มั้ยครับ ?
      ตอบ :  ไม่ใช่เหมือนกันหรอกไปเยอะเลย ดูถูกเขาไม่ได้นะพวกบรรดาพราหมณ์ต่าง ๆ นี่ พวกลัทธิโยคีต่าง ๆ เป็นของศาสนาพราหมณ์เขาอย่าลืมว่าพราหมณ์นี่จริง ๆ แล้วเขาเป็นพี่พุทธมาก่อน พระพุทธเจ้าของเรายังศึกษาจากเขามาก่อน แล้วพอเห็นว่ามันไม่ใช่ทางพ้นทุกข์จริงถึงได้แยกออกมาค้นคว้าจนได้พบพระอริยสัจ
      ถาม :  ดร. เกอวิเนียนเป็นแพทย์ให้คนป่วยที่ทรมานและต้องการตาย นายแพทย์คนนี้ช่วยเหลือให้คนป่วยให้ตายตามต้องการด้วยการฉีดยาให้ และก่อนทำได้ให้คนป่วยเซ็นชื่อยินยอมเรียบร้อย อย่างนี้ถือว่าเป็นการทำปาณาติบาตหรือไม่ ?
      ตอบ อันนั้นมันมีผลแค่ทางกฏหมายของโลกเท่านั้น ในทางธรรมมันก็ยังเป็นปาณาติบาต คือตัดชีวิตผู้อื่นอยู่ดี แต่ว่ามันเป็นในลักษณะที่ว่าสมยอมด้วยกันทั้ง ๒ ฝ่าย โทษมันก็เลยน้อยลงจะเรียกว่าไม่มีโทษไม่ได้ ... มีแน่นอน เพราะว่าชีวิตเกิดมาแล้วมันต้องเป็นไปตามกรรมของเขา ถ้าไม่ถึงวาระไม่ถึงเวลาของเขาคุณไปตัดชีวิตของเขาคุณก็เกิดโทษ เพราะคุณไปตัดชีวิตของเขาคุณก็เกิดกรรม ที่เขาให้เซ็นสัญญาอะไรนั่นมันเป็นการป้องกันทางโลกเท่านั้น กฏหมายทางโลกเขาว่าสิ่งทั้งหลายเหล่านี้มันถูกต้องเพราะว่าคนไข้ยินยอม แต่ว่าในเรื่องของธรรมะนั้นคุณไปตัดชีวิตเขา ผิดแหง ๆ
      ถาม :  การที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงเปล่งฉัพพรรณรังสี ๗ ประการ ..?
      ตอบ :  ฮึ ๆ เพิ่มมาจากไหนอีกประการหนึ่ง ฉัพพะแปลว่า ๖ ฉัพพรรณรังสี ๗ ประการมันงอกมาจากไหนอีกหนึ่ง (หัวเราะ) ๖ ประการ
      ถาม :  อ๋อครับ ๖ ประการ มีลักษณะและสีเป็นอย่างไรบ้าง ?
      ตอบ :  มีลักษณะก็คือ เลื่อมประภัสสรก็คือ สีแก้ว แล้วก็นี่ละ เขาบอกว่าสีน้ำเงินเหมือนดอกอัญชัน แล้วก็ มัญเชษฐ สีแดงเข้มเหมือนดอกหงอนไก่ หงสบาท สีแดงอ่อนเหมือนเท้านกพิราบ แล้วก็ปิตกะสีเหลือง เหมือนหรดาลทอง โอทาตะ สีขาวเหมือนแผ่นเงิน รวม ๖ พอดี
      ถาม :  คนธรรดาถ้าจำเป็นต้องกินข้าววัด ทำอย่างไรถึงจะไม่บาปครับ ?
      ตอบ :  กินที่เหลือจากพระ เขาเรียกว่า วิทาสาโท กินได้แต่เอากลับบ้านไม่ได้นะ กินแค่อิ่มตรงนั้น อย่างญาติพระเจ้าพิมพิสารที่เป็นเปรตตั้ง ๙๑ กัป นั่นกินแล้วไม่พอยังขนกลับบ้านด้วย จริง ๆ ถึงจะเป็น วิทาสาโท คือของเหลือจากพระแล้วมันก็ยังเป็นของสงฆ์อยู่ อันนั้นท่านอนุญาตให้คุณมีสิทธิ์กินสิทธิ์ใช้แค่ตรงนั้นเท่านั้น นอกเหนือจากนั้นอย่าไปยุ่งกับเขา แต่ส่วนใหญ่จะไม่เข้าใจ
              ยิ่งอันหนึ่งที่อันตรายที่สุดก็คือข้าวที่ถวายพระพุทธที่วัดบรรดามัคทายัก ไม่ใช่มัคทายก ส่วนใหญ่เลือกแต่ข้าวดี ๆ กับดี ๆ ถวายพระพุทธถึงเวลาลามาก็กินเอง นั่นนะซวยแน่ ๆ เพราะยังเป็นของสงฆ์อยู่เต็มที่เลย เพราะฉะนั้นถ้าหากใครเคยทำอย่างนั้น ตัวเองติดหนี้สงฆ์แล้วหาทางชำระหนี้สงฆ์ ไม่อย่างนั้นตายแล้วมันจะลงอเวจีมหานรก วิธีทำแล้วปลอดภัยคือกินที่เหลือจากพระฉันแล้ว แล้วหลังจากนั้นส่วนอื่นอย่าไปยุ่ง เราเอาแค่ดำรงชีวิตอยู่แค่นั้นพอแล้ว ถ้าติดใจก็ชำระหนี้สงฆ์ซะ
      ถาม :  ถ้าสมมุติว่าถ้าหากว่าเราจะฆ่าคน การเกิดของคน ๆ นั้นมักจะเริ่มจากผสมพันธุ์หรือจะอยู่ระหว่างอยู่ในท้องหรือหลังคลอดแล้วจึงเรียกว่าเป็นการทำปาณาติบาตครับ ?
      ตอบ :  ทุกระยะเลย เพราะว่าจิตที่เข้าปฎิสนธินี้เขาทำบุญทำกรรมมาไม่เสมอกัน บางรายนี่เข้าปฎิสนธิตั้งแต่เชื้อพ่อเข้าผสมกับไข่ของแม่ บางรายก็ตัวอ่อนพัฒนาไปก่อนระยะหนึ่ง บางรายก็เป็นรูปเป็นร่างเป็นอวัยวะครบ ๓๒ แล้ว บางรายก็คลอดออกมาข้างนอกแล้วเข้าไปถึงเข้าไปจับ เพราะฉะนั้นไม่ว่าคุณจะฆ่าในจังหวะไหนคุณมีสิทธิ์ปาณาติบาต ๑๐๐ % เพราะว่าสัตว์ที่เข้าปฎิสนธินั้นจะเข้าไปช้าเร็วต่างกันตามกรรมที่ทำ มีสิทธิ์โดนได้ทุกระยะ?
      ถาม :  คนที่ไม่ได้เป็นญาติพี่น้องกันแต่ว่ามีใบหน้าเหมือนกันหรือคล้ายกันมีกรรมอะไรเป็นตัวชี้ ?
      ตอบ :  ก็คงทำอะไรที่ใกล้เคียงกัน อย่างเช่น สวยเหมือนกัน อาจจะประเภทเคยสร้างพระพุทธรูปมาเหมือน ๆ กันเคยซ่อมพระพุทธรูปเก่ามาเหมือน ๆ กัน สิ่งเหล่านี้พวกวิทยาศาสตร์สมัยใหม่เรียก แฝดเทียม แฝดเทียมนี่ไม่จำเป็นต้องอยู่ใกล้กัน อยู่คนละประเทศคนละมุมโลกเลยก็เหมือนกันได้ พวกหนังสือแปลก ๆ ของฝรั่งมันชอบถ่ายที่หน้าเหมือน ๆ กันมาลง
              อาตมาเองสมัยอยู่วัดท่าซุง ก็โดนมาเต็ม ๆ เห็นเขาเดินมาก็นึกว่ามาหา ทีนี้ตรงห้องที่หน้าหลวงพ่อนั่นมันเป็นห้องมุ้งลวด เวลาฝุ่นมันจับ ๆ นี่มองจากข้างนอกมันมองไม่เห็น คนจากข้างนอกมันจะมองไม่เห็น คนข้างในมองออกมามันจะเห็น ก็คิดว่าเข้าไม่เห็นก็ตะโกนเรียก ก็เอ๊ะ ! ทำไมเรียกชื่อเขาเฉย ๆ ก็แปลกใจเรียกอีกทีก็ยังเฉยดูไปดูมามันเหมือนกันตั้ง ๘๐-๙๐ % แต่มันไม่ใช่คนที่เรารู้จัก เขาต้องทำบุญทำบาปอะไรที่มันใกล้เคียงกันมามันถึงเป็นแบบนี้
      ถาม :  คราวที่แล้วได้ถามเกี่ยวกับโยเรนั้น อยากจะเรียนถามว่าการบอกกล่าวกับคนทั้งหลายว่า โยเรนั้นเป็นพุทธศาสนาโดยมีจุดมุ่งหมายที่จะเกิดในยุคของพระศรีอารยิ์ แต่การปฎิบัติเป็นอีกรูปแบบหนึ่งอย่างนี้ถูกหรือไม่ครับ ?
      ตอบ :  ดูเขาก็แล้วกัน บอกว่าเป็นพระพุทธศาสนานั่นก็มีส่วน พระพุทธศาสนาของเราจริง ๆ มันคลุมทุกศาสนาอยู่แล้วใช่มั้ย ? การปฎิบัติของเขา ๆ ตั้งจุดมุ่งหมายอยู่ตรงไหน อันนั้นมันก็ตามหลักของแนวการปฎิบัติของเขา เราจะไปว่าเขาบาปไม่ยอมไปนิพพานชาตินี้ไม่ได้ ไม่อย่างนั้นพระโพธิสัตว์บาปหมด เพราะฉะนั้นถามว่าบาปมั้ย ? ไม่ใช่หรอกมันแล้วแต่ว่าทิฐิอันไหนของใครของมัน เขาเห็นว่าอันไหนเหมาะกับเขา ๆ ก็ทำไป
      ถาม :  ถ้าจะไปติเขานี่ก็ไม่ควร ?
      ตอบ :  นั่นเราผิดแน่ ๆ เลยไปติเขา ให้ติตัวเอง
      ถาม :  เมื่อหลายปีก่อนได้มีพระท่านหนึ่งไปฝึกสมาธิที่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง และมีเพื่อนคนหนึ่งนั่งสมาธิและกล่าวได้พบสถานที่มีความสวยงามมากและมีความรู้สึกว่าหนาวมาก ทำไมถึงมีความรู้สึกอย่างนั้น ?
      ตอบ :  อันนั้นมันต้องถามเขาเองว่ะ (หัวเราะ) อันนั้นต้องไปถามเขาเองว่าทำไมรู้สึกอย่างนั้น เพราะอาตมาไม่รู้ด้วยว่าที่เขาเจอนั่นที่ไหน คือบางอย่างมันก็เป็นนิมิตขณะเดียวกันบางอย่างมันก็เป็นสถานที่ ๆ ตัวเองไม่คุ้นเคย สถานที่ ๆ เราไม่คุ้นเคยนี่ความรู้สึกมันจะแรงเป็นพิเศษ อย่างเช่นว่า มันตื่นเต้นเป็นพิเศษ มันมีความสุขสดชื่นเป็นพิเศษ หรือบางทีที่ ๆ สงบเยือกเย็นมันก็มีความรู้สึกหนาวเป็นพิเศษไปเลย อะไร ที่แรก ๆ มันเหมือนกับเยอะมาก
              แบบเดียวกับคนที่เข้าถึงปฐมฌานใหม่ ๆ เจ้าพระคุณ ! เราได้เขาพระสุเมรทั้งลูกเลย มันใหญ่โตมโหฬารเหลือเกิน พอทำไปทำมาถึงฌาน ๒ ไอ้ฌาน ๑ นั่นมันกระจ้อยเดียว อะไรที่มันยังไม่ชิน มันจะเกิดเป็นความรู้สึกพิเศษทั้งนั้น ส่วนที่ว่าทำไมเขารู้สึกอย่างนั้น มันน่าจะถามเขาเอง ถามคนอื่นบอกว่าทำไมกินแล้วมันรู้สึกอย่างนั้น เราไม่ได้กินก็แย่ซิจะไปรู้ได้อย่างไร
      ถาม :  แล้วที่จริง ข้างบนนี่หนาวมั้ยคะ ?
      ตอบ :  ไม่หนาว ของเขาพอดี ๆ ทุกสภาพ
      ถาม :  มันเป็นความรู้สึกของคนที่ทำ
      ตอบ :  เฉพาะเขาเอง
      ถาม :  คนบางคนเกิดมามีทรัพย์สินเงินทองมากมาย บางคนเกิดมาทำมาหากินด้วยความวิริยะอุตสาหะในการทำงานแต่ว่าก็ไม่เกิดทรัพย์สิน อยากถามว่าคนที่มีแต่ความเพียรอุตสาหะในการทำมาหากินอย่างเดียวแต่ไม่เคยทำทานในชาติก่อนจะเกิดความร่ำรวยได้หรือไม่ ?
      ตอบ :  ยาก ยกเว้นมีโอกาสที่จะได้ทำในครุกรรมฝ่ายกุศลในชาติปัจจุบัน อย่างเช่น ได้ใส่บาตรกับพระที่ออกนิโรธสมาบัติ เพราะอันนี้มันเป็นกรรมในชาติปัจจุบัน เรียกทิฏฐธรรมเวทนียกรรม ที่ให้ผลในชาติปัจจุบันเลยนะ ถ้าจะเอาไอ้ประเภทที่ อัปปราปรเวทนียกรรม ที่ให้ผลในชาติที่ ๒ ที่ ๓ มาอะไรมาอย่างคนอื่นที่เขาทำมานี่ไม่มีทาง มีโอกาสเดียวเท่านั้นซึ่งมันก็คงจะยาก เพราะเรื่องอย่างนั้นมันต้องเป็นคนที่ประเภทเขาทำบุญมาดีเยอะแล้วมันจะมารองรับเหมือนกัน
      ถาม :  อย่างนี้ก็คือ ประกอบกันทั้ง ๒ อย่างคือ มีความขยันในการทำมาหากินด้วย
      ตอบ :  ขณะเดียวกันมันต้องมีทานบารมีเก่าด้วย
      ถาม :  ถ้าคนเอาแผ่นทองไปปิดไว้ด้านหลังพระแล้วเวลาทำความดีแล้วคนอื่นไม่เห็น หรือมองข้ามความสำคัญอย่างนี้ จริงหรือไม่ครับ ?
      ตอบ :  ไม่จริง ปิดทองส่วนไหนขององค์พระก็ตาม อานิสงส์เป็นพุทธบูชาทั้งนั้น อานิสงส์ที่เป็นพุทธบูชานี่ท่านบอกว่า “พุทโธอัปปมาโณ” พระพุทธเจ้าประมาณไม่ได้ เรื่องคนจะไม่เห็นน่ะไม่มี ถึงเวลาถึงวาระบุญมันจะส่งให้เด่นขึ้นไปเอง ดีไม่ได้พวกปิดทองข้างหลังพระนั้นเด่นเป็นพิเศษ ให้คนเขาถีบออกไปไง (หัวเราะ) ในหลวงท่านสร้างพระอยู่รุ่นหนึ่งเรียกว่า “สมเด็จจิตรลดา” เวลาท่านมอบให้บุคคลที่ทำคุณความดีและรับใช้ใกล้ชิดท่านบ้าง ท่านจะบอกว่าให้ปิดทองข้างหลัง
              คุณวสิษฐ์ เดชกุญชร ตอนนั้นเป็นนายตำรวจประจำราชสำนักอยู่ ก็กราบทูลในหลวงว่าปิดทองหลังพระทำแล้วคนอื่นไม่เห็น มันหมดกำลังใจครับ ในหลวงทรงตรัสว่า คุณปิดให้เยอะเข้าไว้เหอะ เดี๋ยวมันก็ล้นไปข้างหน้าเอง (หัวเราะ) จริงมั้ยละ ปิดมันให้เยอะเข้าไว้เดี๋ยวมันก็ล้นมาข้างหน้าเอง
      ถาม :  อย่างนี้ก็เป็นความเชื่อที่ผิด ?
      ตอบ :  ก็เรียกว่าเป็นความเชื่อที่ผิด จริง ๆ แล้วเรื่องอานิสงส์การเป็นพุทธบูชา อย่างเมณฑกเศรษฐีนี่ไม่ใช่หลังพระนะ ก้นส้วมด้วย โอ้โห...รวยซะจนนับไม่ได้เลย