ถาม :  ผู้ที่มีบารมีมาก ๆ ที่ไม่ตกนรก เพราะว่าเขาสามารถบังคับจิตใจให้อยู่ในกองกุศลได้ตลอดใช่มั้ย ?
      ตอบเรียกว่าตลอดก็ไม่ใช่นะ แต่ตอนวาระสำคัญนี้สามารถทำได้ ระวังไว้ก็แล้วกันติดหนี้เขาเยอะ ถึงเวลาถ้ามันทวงทีเดียวอาจจะหมดตัว
      ถาม :  ค่อนข้างจะไม่เห็นด้วยที่บอกว่าเราสามารถบังคับตัวเองได้ให้อยู่ในศีลตลอด การบังคับตัวเอง นั่นก็ดี....(ไม่ชัด)....ใช่ว่ามีตัณหาอย่างเดียว เพราะฉะนั้นศีล....(ไม่ชัด).....?
      ตอบ :  ก็ไม่ได้หมายความตัวของเขาเองทำชั่วแล้วจะพ้นจากความชั่วนั้นโดยที่ไม่มีความดีมาช่วย อย่าลืมว่า เขาใช้คำว่าเขาทำบุญทำกุศลและจิตใจเขายึดโยงในส่วนที่เป็นกุศลอยู่ สิ่งที่เขาทำเป็นกรรมชั่วมันมีกำลังน้อยกว่า มันยังตามไม่ทัน แต่ไม่ได้หมายความว่ามันจะเล็ก มันยังตามอยู่ตลอดเวลา ถึงวาระถึงเวลาเมื่อไหร่มันจะสนองทันที เมื่อครู่ถึงบอกเขาว่าระวัง มันทวงทีเดียวหมดตัวเลยแหละ
      ถาม :  ฉะนั้นจะใช้คำว่าบังคับแล้วไม่ตรง ไม่น่าจะใช้ได้
      ตอบ :  จริง ๆ แล้วมันใช้ได้ แล้วตรงไปตรงมาที่สุดด้วย คือว่าถ้าหากว่ากำลังใจของเขาในตอนช่วงนั้น มันไม่เศร้าหมอง จิตของเขามีที่ยึดที่เกาะแปลว่าเขาต้องผ่านการฝึกฝนมาอย่างหนัก อย่างหนักชนิดที่เรียกว่าของเราเองทำไมถึงแต่ของเขาทำถึง ในเมื่อเขาสามารถทำถึงตรงจุดนั้น ตัวนั้นก็จะเป็นกุศลส่งผลให้เขาพ้นไปก่อนชั่วคราว แต่ไม่ได้พ้นตลอดหรอก เดี๋ยวก็เสร็จ
      ถาม :  แต่มีเงื่อนไขว่าก็แค่ชั่วคราว ใช่มั้ยคะ ?
      ตอบ :  ใช่ ถึงเวลาที่กุศลมันขาดช่วงเมื่อไหร่ก็เรียบร้อยแหละ เขาทวงที่นี้ก็ยาวเลย
      ถาม :  แต่ถ้าเขาทำมาจนชินแล้วก็เกิดใหม่ เขาสามารถจะทำอย่างนั้นต่อไป ?
      ตอบ :  ได้จ้ะ พระที่เข้านิพพานทุกองค์ไม่มีใครใช้หนี้หมด เพียงแต่ว่าสภาพจิตของตัวเองพอถึงเวลาบริสุทธิ์แล้วก็เป็นอันว่าจัดเป็นอโหสิกรรมต่อกันไป มันเหมือนกับว่าน้ำกับน้ำมันที่แยกตัวจากกันโดยเด็ดขาด ไม่สามารถจะปะปนกันได้แล้ว ไม่เหมือนน้ำกับนมจะเทลงไปเมื่อไหร่ก็ละลายรวมกันเลย
      ถาม :  อย่างเวลาพวกพุทธภูมิตายจากสภาพความเป็นมนุษย์ ถ้าไม่ลงนรก ขึ้นไปบนสวรรค์เขาว่าจะเป็นพรหมเทวดา แล้วเขาจะมีเวลา.....หมายความว่าช่วงระยะเวลาหรือจะมีคนมาเตือนว่าให้ลงมาเกิดอีกหรือเปล่าครับ ?
      ตอบ :  ก็ต้องดูด้วยนะ ว่าของเราเองมีเพื่อนฝูงที่รักกันขนาดนั้นหรือเปล่า ? ถ้าหากว่าไม่มีเขาก็ไม่มาเรียกเตือนคุณหรอก คุณอยากสร้างบารมีคุณก็ตะเกียกตะกายของคุณเองก็แล้วกัน
      ถาม :  แล้วลงมาจุติได้ตลอดเวลาหรือเปล่าครับ ?
      ตอบ :  ถ้าหากว่าเป็นพระโพธิสัตว์ ท่านจะขยันเกิด ในเมื่อท่านจะขยันเกิดนี่ส่วนใหญ่ท่านจะไม่อยู่นานหรอก มันเสียเวลาสร้างบารมีของท่าน
      ถาม :  สามารถลงมาเกิดได้เลย ?
      ตอบ :  กำลังของคุณสูง ต้นทุนของคุณมี คุณจะซื้อตั๋วใส่กระเป๋าไปเพื่อจะเดินทางเมื่อไหร่ก็ได้คนมีตังค์น่ะ
      ถาม :  ไม่ทราบว่าเข้าใจถูกหรือเปล่า อย่างคนที่ตายแล้วจิตเศร้าหมองหรือว่ามีกรรมหนักมาก นี่ก็คือจิตมันตกอยู่ในตรงนั้น มันก็เลยลงนรกแน่นอน แต่ถ้าเกิดคนที่แบบทำกรรมความชั่วด้วยนี่ถึงจะหักล้าง อย่างพระยายมราชท่านมีเมตตา ท่านก็เลยส่งคนมาดักแล้วเอาไป แล้วพยายามให้นึกถึงความดีที่ก่อมา ?
      ตอบ :  อันนี้เป็นไปตามที่เราเข้าใจ ที่เราว่ามาน่ะใช่เลย พระยายมไม่ได้มีหน้าที่เอาใครลงนรกแต่พระยายมกันคนไม่ให้ลงนรก เพราะฉะนั้นบรรดาคนที่ตายนะ พอถึงเวลารู้ตัวว่าตาย ต่อให้ไม่มีคนมารับก็พยายามจะตะกายไปหาท่าน
      ถาม :  เคยเห็นวิญญาณ เป็นแพตัวดำ ๆ สูง ๆ ใหญ่ ๆ แล้วก็ถือดาบใ่ส่ผ้าสีแดง ๆ ๒ คน จับคู่กันไม่ทราบว่าเป็นอะไร (แล้วเขามารับเราหรือเปล่าคะ) เปล่าแต่เขามาให้เห็น ?
      ตอบ :  ไม่แน่พวกนั้นอาจจะเป็นพวกที่เขามาดูแลรักษาเราก็ได้ อาจจะเป็นเพื่อนเป็นฝูงหรือเคยเป็นบริวารเก่ามาก็ได้ ถามแสงชัยซิ อาตมากับน้องชาย ๒ คนนอนอยู่ด้วยกัน กลางคืนตื่นขึ้นมาตัวเท่าตึกนุ่งหยักรั้งสีแดงมานอนเบียด เขามาช่วยรักษาเรา แต่เราเป็นเด็กอยู่ ๆ ตัวใหญ่มานอนเบียดด้วย ก็ตกใจร้องไห้กลางคืนบ่อย ๆ พ่อแม่รำคาญฟาดเอาเจ็บตัวไป แล้วเขาก็ตามอยู่เรื่อย ลักษณะเขาตามดูแล แต่ตอนนั้นเราไม่รู้จริง ๆ ว่า เขามาดูแลเรา พอถึงเวลาอย่างเช่นว่าจะไปเก็บฝรั่งกัน ก็ไปนั่งห้อยขาบนต้นฝรั่งตัวเท่าตึก แล้วยังมีหน้ามาหัวเราะใส่เราอีก เด็ก ๆ เห็นกันทุกคนวิ่งกันตีนพลิกเลย สาปส่งฝรั่งต้นตั้นไปไม่มีใครกล้าขึ้นอีกเลย....กลัวผี
      ถาม :  แล้วทำไมเขาไม่มาแบบสวย ๆ (หัวเราะ) ?
      ตอบ :  นั่นเขามาในชุดทำงานของเขาแล้ว หน้าที่ของเขานี่ ทำงานไม่แต่งเครื่องแบบเดี๋ยวโดนเจ้านายปรับ จริง ๆ เขาไม่ได้มาน่าเกลียดน่ากลัวอะไรหรอกเพียงแต่ว่าตัวเขาใหญ่ ของเราเองพอเห็นคนตัวใหญ่ ๆ แปลกหน้าด้วย ก็ตกใจวิ่งเท่านั้นเอง
      ถาม :  ส่วนใหญ่คิดว่าผี ?
      ตอบ :  ใช่ ส่วนใหญ่คิดว่าผีไว้ก่อน
      ถาม :  อย่างตานึกไปอย่างนี้ ยังเล็ก ๆ อยู่เลย มีคนมาฉุดมือขึ้นไปน่ะ
      ตอบ :  โบราณเขาเรียกว่า “แม่ซื้อ” “แม่ซื้อ” คือเทวดาประจำตัว ส่วนใหญ่จะเป็นพ่อแม่หรือไม่ก็ญาติพี่น้อง หรือครูบาอาจารย์ หรือว่าเพื่อนฝูงกันในอดีต คราวนี้ท่านทั้งหลายเหล่านี้พอตายแล้วไปเป็นเทวดา เมื่อตายแล้วเป็นเทวดาเขายังจำเราได้อยู่ ยังมีความผูกพันอยู่จะพยายามที่จะตามสงเคราะห์เรา อะไรที่ไม่เกินกฎของกรรมท่านพยายามช่วย ลักษณะนั้นล่ะ โบราณเขาเรียกว่า “แม่ซื้อ” ที่ประเภทไปทำพิธีร่อนกระด้ง ๓ วัน ลูกผี ๔ วัน ลูกคน ลูกของใครรับไปเน้อ แม่ก็รีบบอกลูกของฉันจ้า ผีเลยอดเลย (หัวเราะ)
      ถาม :  ไม่ทำพิธีดีกว่าใช่มั้ยคะ ?
      ตอบ :  เขาเชื่อถืออย่างนั้น เขาก็ทำอย่างนั้น เรื่องอย่างนี้ไม่ใช่น่าตำหนิ กำลังใจของใครแค่ไหนก็พูดแค่นั้นทำแค่นั้น
      ถาม :  พูดถึงเรื่องคนตาย เวลาคนตายจิตที่อยากจากร่างไปน่ะ จิตจะเหลืออะไรอยู่บ้าง ?
      ตอบอันดับแรกความรู้ความจำของเขา อันดับที่สองสิ่งนั้นจริง ๆ เป็นของปกติของเขาอยู่แล้ว แต่ว่าในสภาพของมนุษย์ที่เป็นกายหยาบประกอบไปด้วยกิเลส ตัณหาเป็นปกติ ก็จะโดนกดทับเอาไว้ สิ่งนั้นคือ “ความเป็นทิพย์” ความเป็นทิพย์นี่สามารถรู้เห็นในสิ่งที่มนุษย์ทั่ว ๆ ไปไม่สามารถรู้เห็นได้ อย่างเช่นว่า ถ้าเขามองออกไปข้างนอกนี่จะมองเห็นยาวตลอดไปเลย จะไม่มีตึกรามบ้านช่องมาขวางเขา ในสายตาของเขาก็เหมือนกับที่โล่งไปเลยอย่างนี้
      ถาม :  เอ๊ะ ทำไมเป็นอย่างนั้น ?
      ตอบ :  บอกแล้วว่าเขาอยู่ในความเป็นทิพย์ ในเมื่อความเป็นทิพย์ลักษณะก็เหมือนกับคลื่นพลังงาน เพราะฉะนั้นคลื่นพลังงานที่เจาะทะลุทะลวงไปอยู่ตลอดเวลา อย่างปัจจุบันนี้รอบข้างตัวของเราก็เป็นอยู่อย่างนี้ เขาก็ไม่เห็นจะต้องไปหลบไปหลีกตึกรามบ้านอะไรที่ไหน
      ถาม :  คือหมายความว่าเขาเห็นสภาพ คือตัวนี้จะพูดถึงการรับรู้ใช่มั้ยคะ ? มีการรับรู้ เพราะฉะนั้นที่การรับรู้ตัวนี้ เห็นเป็นนึกเป็นอาคารมั้ยคะ ?
      ตอบ :  ถ้าหากต้องการจะรับรู้ลักษณะนั้นก็รับรู้ แต่ถ้าหากเขาไม่ต้องการจะรู้ เขาสามารถเดินทะลุไปเฉย ๆ เลย เพราะว่าในสภาพของเขาแล้วสิ่งเหล่านี้ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเขา เหมือนอย่างกับว่าอยู่คนละคลื่นความถี่กันน่ะ แล้วอันดับต่อไปก็คือ “ตัวเวทนา” คือการเสวยอารมณ์ ก็ยังรับรู้ความสุขความทุกข์ได้เป็นปกติ
      ถาม :  จะเกิดจากอะไร ในเมื่อไม่มีร่างกาย ?
      ตอบ :  เกิดจากในสิ่งที่ตัวเองยังไม่ได้ในสิ่งที่ต้องการ อย่างเช่นว่า อยู่ในสภาพนั้น ถ้าอุปาทานยังยึดถืออยู่ว่า ความรู้สึกทั้งหมดยังเป็นคนอยู่ ถ้าหากว่าไม่มีของกินก็หิว ความรู้สึกตัวนี้จะเกิดของมันเอง เป็น “จิตตสังขาร” ที่ปรุงแต่งขึ้นมาทำให้เกิดความรู้สึกนั้นขึ้นมา ก็ต้องไปเสาะแสวงหาหากิน ถ้าหาไม่ได้ก็ต้องมาเที่ยวเสาะหาเอาตามญาติตัวเอง ต้องพยายามแสดงให้เขารู้เห็น ด้วยการทำให้เกิดเสียงบ้าง เข้าฝันบ้าง อะไรบ้าง เพื่อจะบอกกล่าวว่าเขาขาดอันส่วนไหน
      ถาม :  เหมือนกับบอกว่าเขาปรุงแต่งขึ้นมาเอง ถ้าอย่างนั้นนี่การหิวมีจริง เกิดขึ้นจริงมั้ย ?
      ตอบ :  ถ้าหากว่าเขาปรุงแต่งขึ้นมาก็เกิดขึ้นจริงสำหรับเขา ต้องใช้คำว่า “เกิดขึ้นสำหรับเขา”
      ถาม :  แต่ไม่ได้หิวจริง ?
      ตอบ :  จริง ๆ แล้วถ้าหากว่าของเขาเอง จิตของเขาประกอบไปด้วยบุญ เขาก็ไม่จำเป็นต้องไปปรุงแต่งตรงส่วนนั้น เขาก็จะไม่เกิดความรู้สึกอันนี้ขึ้น
      ถาม :  คือกุศลเข้าไปหล่อเลี้ยง ?
      ตอบ :  ใช่ ทำให้ความรู้สึกอันนั้นไม่เกิด แต่ถ้าหากว่าเขาขาดตรงส่วนนี้ จิตของเขาจะปรุงแต่งทำให้เขาเกิดความรู้สึกนี่ขึ้นมา ก็ต้องไปเสาะแสวงหาส่วนที่ตัวเองขาดต่อไป...