สนทนากับพระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
เดือนตุลาคม ๒๕๔๔
ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ

      ถาม :  คนที่ฆ่าตัวตายนี่จำเป็นต้องลงนรกทุกคนหรือไม่ครับ ?
      ตอบ :  ส่วนใหญ่แล้วจะลงนรก ถ้าหากว่าตามประวัติที่รอดมาได้จริง ๆ ก็คือ พระโคธิกะไปนิพพานเลย แต่ว่าฆ่าแบบพระโคธิกะกับฆ่าแบบคนทั่วไปมันต่างกันมหาศาล ฆ่าแบบพระโคธิกะเพราะเห็นทุกข์เห็นโทษของร่างกายมันจริง ๆ แต่ฆ่าอย่างคนส่วนเพราะจิตใจเศร้าหมอง น้อยใจคนอื่น ต้องการประชดชีวิต ต้องการประชดชีวิตคนอื่น คนที่จิตใจเศร้าหมองแล้วไปทำกรรมที่กรรมใหญ่ขนาดนั้นนี่รอดนรกยาก
      ถาม :  ถึงแม้เขาจะทำบุญที่มีอนิสงส์มาก ?
      ตอบ :  คราวนั้นกรรมมันตัดแล้ว เพราะว่าเรื่องของบุญของกรรมนี่ให้วาระให้เวลาของการสนองที่มันต่างกัน สลับกันไปสลับกันมาอย่างนี้ ถ้าช่วงวาระของกรรมมันเข้าบุญก็ต้องถอย
      ถาม :  พระโคธิกะนี่ท่านบรรลุก่อนที่จะเชือด จะทำ....?
      ตอบ :  คือท่านตัดสินใจเด็ดขาดแล้วท่านก็เชือด เพราะว่า ตัวตัดสินใจเด็ดขาดมันน่าจะจบกันไปตรงนั้นแล้ว มีเหมือนกันนะคนอยากเป็นแบบพระโคธิกะแต่ทำไม่ได้ แล้วไม่กล้าเชือดเองให้คนอื่นเชือดให้ มีลูกศิษย์หลวงพ่อรุ่น ๆ เดียวกับอาตมานี่แหละ ผู้หญิงด้วย จริง ๆ แล้วจะว่าใจคอเข้มแข็งก็ไม่ใช่หรอก คือตอนที่อยู่เขาก็เรียกว่ายายเพี้ยน (หัวเราะ) ตอนแรกมันตั้งใจจะอดข้าวตายแล้วทำไม่สำเร็จ ไปกลั้นใจตาย ก็ไม่สำเร็จ ก็บอกว่าสองอย่างนี่มันเหลวไหล คนอดข้าวตายสำเร็จนี่ต้องกำลังใจขนาดพระพุทธเจ้า คือกำลังใจพระโพธิสัตว์บารมีเข้มเลยอย่างนั้นได้ ไม่อย่างนั้นมันหิวมาก ๆ ทนไม่ไหวก็ตะกายไปหากินเอง ให้กลั้นใจตายนี่มันเหลวไหลหนักเข้าไปอีกเพราะระบบร่างกายมันทำงานอัตโนมัติ พอขาดออกซิเจนมันก็กระตุกให้หายใจเอง มาตอนหลังให้เพื่อนเชือดคอให้ ตอนแรกไม่ตาย ตอนหลังนี่ตายสมใจอยาก
      ถาม :  หลวงพ่อฤๅษีท่านบอกว่าคนที่บอกว่าตัวเองไม่กลัวตาย แต่ตัวเองไม่เป็นพระอรหันต์ หลวงพ่อท่านบอกว่าพูดไม่จริง ?
      ตอบ :  ไม่จริง บุคคลที่ไม่กลัวภัยจริง ๆ ท่านบอกว่ามีม้าอาชาไนย ช้างศึกที่กำลังออกสงคราม พระเจ้าจักรพรรดิราชเพราะรู้ว่าไม่มีศัตรู แล้วก็พระอรหันต์เพราะว่าไม่เป็นศัตรูกับใคร
      ถาม :  การฝึกวิชามโนมยิทธิ ถ้าไม่มีพื้นฐานเลยเข้าไปฝึกเลยจะได้มั้ยคะ ?
      ตอบ :  คำว่าพื้นฐานนี่หมายถึงว่าในชาติปัจจุบันนี้ไม่เคยฝึก ชาติก่อนเคยฝึกอยู่จะได้ คือว่าพื้นฐานของมโนมยิทธิ จริง ๆ แล้วเป็นการเอาของเก่ามาใช้ ไปพื้นของเก่าของเราเอง อยู่ ๆ มีเงินอยู่ในกระเป๋าสตางค์ใช้ไม่เป็น เขาบอกวิธีเปิดกระเป๋าล้วงเงินมาใช้แค่นั้น ถ้าหากคนไม่เคยได้มโนมยิทธิมาในชาติก่อนนี้จะฝึกไม่ได้ เพราะฉะนั้นพื้นฐานนี่ ถ้าเป็นพื้นฐานในชาติปัจจุบันยิ่งไม่เคยฝึกอะไรมายิ่งได้ง่าย มันฟุ่งซ่านมากไปติดของเก่าอยู่ แต่ถ้าหากว่าพื้นฐานในอดีตไม่มีต่อให้ปัจจุบันมีแค่ไหนนี่ เป็นแสนชาติกว่าจะได้
      ถาม :  ของเก่าที่ว่านี่ ?
      ตอบ :  ของเก่า คือเราเคยได้มาก่อนเอาเป็นอันว่าถ้าหากว่าคนไหนอยา่ก ส่วนใหญ่มันจะมีของเก่ามาก่อน คือได้ยินแล้วอยากฝึกเหลือเกินอะไรอย่างนั้น พวกนี้ส่วนใหญ่มักจะได้ง่าย ของเก่าเขาตุนไว้พอแล้ว
      ถาม :  ก็คือหมายความว่าถ้าอยากฝึกแสดงว่าเคยฝึกมาก่อน แต่ถ้าฝึกแล้วมันไม่สำเร็จล่ะคะ ?
      ตอบ :  อันนั้นบางทีก็คือความอยากมากเกินไป ตัวอยากมากเกินไปมันจะบังหน้าอยู่ ขณะเดียวกันอาจวางกำลังใจไม่ถูกด้วย ของพวกนี้มันมีเคล็ดลับอะไรเล็ก ๆ น้อย ๆ ของมันอยู่ ถ้าวางกำลังใจตรงปั๊บนี่มันได้ง่าย ๆ เลย แต่ขณะเดียวกันบางคนความพยายามสูงมาก แต่มันอยากเกินไป หน้าต่างมันอยู่ตรงนี้อยากดูมากยืดคอยืดอกเสียเกินหน้าต่างมันจะเห็นมั้ย ? ไม่ได้เห็นหรอก ต้องพอดี ๆ
      ถาม :  เขาบอกว่าการแก้กฏแห่งกรรมให้คลายตัวนี้ให้ท่องอิติปิโส ๑๐ จบ อิติปิโสนี่หมายถึงห้องต้นใช่มั้ยคะ่ ?
      ตอบ :  ถ้าหากว่าเป็นของหลวงพ่อนี่ ๓ ห้องรวมกัน อิติปิโสท่านต้องครบเลย คืออิติปิโส สวากขาโต สุปฏิปันโนด้วย
      ถาม :  แล้วหลวงพ่อบอกว่าฌานนี่ขึ้นอยู่กับกายไม่เหมือนกับวิปัสสนาขึ้นอยู่กับอารมณ์ ถ้าร่างกายไม่ดี ตัวฌานก็จะสูงไม่ได้ อย่างนี้หมายความว่าอย่างไรคะ ?
      ตอบ :  คือว่าเรื่องของฌานสมาบัติเรื่องการของการปฏิบัติภาวนา ถ้าร่างกายไม่ดีอย่างเช่นว่า เหนื่อยมาก ๆ หิวมาก ๆ เจ็บไข้ได้ป่วยสมาธิมันจะไม่ทรงตัว เพราะกำลังมันจะขึ้นอยู่กับกำลังร่างกายด้วย แต่ว่าเรื่องของวิปัสสนานี่มันขึ้นอยู่กับกำลังใจ ถ้ากำลังใจมันละแล้วมันละเลย มันจะไม่มีการขึ้น ๆ ลง ๆ อีก เพราะฉะนั้นตัวสมาธิตัวสมาบัตินี่มันขึ้นอยู่กับร่างกายมาก แต่ว่าตัววิปัสสนาขึ้นอยู่กับใจอย่างเดียว
      ถาม :  ถ้างั้นวิปัสสนากับกรรมฐานต่างกันอย่างไร ?
      ตอบ :  กรรมฐานเป็นคำรวม กรรมฐานคือพื้นฐานของการกระทำแยกออกได้ ๒ อย่าง คือสมถกรรมฐาน คือการทำใจให้สงบมี ๔๐ วิธี ด้วยกัน และวิปัสสนากรรมฐาน คือการทำให้เกิดปัญญา ก็จะมีหลักใหญ่ ๆ ว่าพิจารณาตามอริยสัจ หรือพิจารณาตามไตรลักษณ์ หรือพิจารณาตามวิปัสสนาญาณ ๙ เพราะฉะนั้นกรรมฐานเป็นคำรวม แต่แยกออกได้เป็นสมถะกรรมฐาน คือการทำใจให้สงบ และวิปัสสนากรรมฐาน การทำให้ปัญญาเกิด
      ถาม :  การบนเพื่อขออย่างใดอย่างหนึ่งให้กับตัวเองหรือผู้อื่น เป็นการฝืนกฏแห่งกรรมหรือเปล่า ?
      ตอบ :  ไม่ฝืนจ้ะ การบนนี่เป็นการตั้งใจว่าเราจะทำความดีเป็นการตอบแทนเมื่อได้สิ่งนั้นมา คราวนี้ว่าการบนนี้ถ้าหากว่าสิ่งที่เราต้องการมันขาดมาก สมมติว่าอันนี้ใส่น้ำอยู่มันมีน้ำอยู่แค่นี้เท่านั้น การบนของเราเราต้องการจะเติมน้ำแต่นี้มันก็ไม่อาจสำเร็จไปได้ แต่ถ้าหากว่าเราขาดอยู่แค่นี้เราบนว่าจะเติมแค่นี้สิ่งนั้นจะสำเร็จ เพราะฉะนั้นการบนก็คือตั้งใจว่าเราจะทำบุญในสิ่งที่เป็นบุญ ในเมื่อเราทำในสิ่งนั้นขึ้นมามันสามารถที่จะเสริมกุศลเก่าของเราเหมือนกับเติมจำนวนเงินให้เพียงพอ เราต้องการซื้อของชิ้นหนึ่งราคามันร้อยยี่สิบ เรามีเงินอยู่ร้อยหนึ่ง เราก็ตั้งใจว่าเราจะหาเงินยี่สิบนี้มา ถ้าหากว่าได้ของสิ่งนั้นมาเราจะหาเงินยี่สิบใช้เขา เสร็จแล้วเราก็ไปใช้เขาคนที่มีเงิน คือบนต่อผู้ที่สามารถให้กับเราได้ ในเมื่อผู้นั้นเห็นว่ามันเล็กน้อย มันสามารถให้เขา จึงทำให้เราสำเร็จตามใจของเรา แล้วเราก็ไปใช้หนี้
      ถาม :  กองทานกับสังฆทานนี่ต่างกันอย่างไรค่ะ ?
      ตอบสังฆทานนี่เป็นทานที่ไม่จำกัด หมายเอาพระพุทธเจ้าเป็นประธานจนถึงหมู่สงฆ์ทั้งหมด เพราะฉะนั้นคำว่า  สังฆะ คือหมู่สงฆ์ทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นพระผู้ใหญ่ พระเด็ก พระเล็ก ตลอดถึงภิกษุสามเณร พระใหม่ก็ตาม จะมีส่วนร่วมในนั้นทั้งหมดเป็นบุญที่ไม่จำกัด ขณะเดียวกัน กองทาน  ก็คือ เราตั้งใจขึ้นมาว่าจะเอาทานนั้นไปทำอะไร คำว่า กองทานก็คือสิ่งที่เรามีอยู่ทั้งหมด เรียกว่ากองทานที่เราตั้งใจทำบุญ  
      ถาม :  แล้วอานิสงส์อันไหนจะมากกว่า ?
      ตอบ :  อานิสงส์จริง ๆ กองทานก็คือว่าสิ่งที่เราตั้งใจจะให้ทาน ถ้าเราแค่ตั้งใจให้ยังไม่ได้ให้มันมีอานิสงส์แค่มโนกรรมมผลมันก็ยังน้อยอยู่จนกว่าจะได้ให้ กายกรรมคือได้ทำไปแล้วถึงจะมีผล ส่วน สังฆทานนี่อานิสงส์จะสูงมากเพราะว่าเป็นทานสืบอายุพระพุทธศาสนา  ปกติแล้วคนทั่ว ๆ ไปจะเลือกบุคคลที่มั่นใจว่าบุญแน่ อย่างของเราก็เลือกทำกับ หลวงปู่คูณ   อย่างนี้เพราะมั่นใจว่าท่านดีแน่ ในเมื่อเราเลือกทำเฉพาะคน พระหนุ่มเณรน้อยอื่น ๆ ในสังฆะมณฑลสมมติว่า เมืองไทยของเราประมาณ ๓๐๐,๐๐๐ องค์ ถ้าเราเลือกจะทำอย่างพระหลวงพ่อคุณจะมีสักกี่องค์ล่ะ ดีไม่ดีไม่ถึงร้อยเสียด้วยซ้ำไป ที่เหลือก็ตายหมด แทนที่ว่าสังฆทานทุกองค์มีส่วนร่วมกินร่วมใช้เสมอกันหมด ถ้าหากว่ามาอยู่ในสถานที่นั้นก็จะแบ่งปันให้เหมือนกันหมด ในเมื่อแบ่งปันให้ ทุกคนสามาถร่วมกินร่วมใช้ ก็สามารถจะดำรงอยู่ได้ก็กลายเป็นทานสืบทอดอายุพระศาสนา  เพราะฉะนั้นสังฆทานจะมีผลมากกว่าทานปกติเป็นแสนเท่า
      ถาม :  แล้วพระอาจารย์อย่างที่เป็นเกจิอาจารย์ที่บอกว่าท่านจะละสังขารเพื่อช่วยประเทศ ?
      ตอบ :  เพราะว่าติดหนี้ชาวบ้าน กินข้าวเขาไปเยอะ ไหน ๆ จะตายทั้งทีก็ตายให้ได้ประโยชน์มากที่สุด ก็หาจังหวะหาเวลามันฉุกเฉินคับขันจำเป็นจะต้องมีอะไรบางอย่างเป็นการทดแทนได้ ท่านก็อาจเลือกไปในเวลานั้น
      ถาม :  อยากให้บอกชื่อพระเกจิอาจารย์หน่อยจะได้ทำบุญได้ก่อนที่ท่านจะละสังขาร ?
      ตอบ :  ถึงเวลาก็จ้องเอาก็แล้วกัน เอาเป็นว่าบอกให้สักองค์หนึ่ง หลวงพ่ออุตตมะใกล้ไปเต็มที่แล้ว ความจริงท่านหมดอายุแล้ว แต่ท่านติดหนี้อาตมาอยู่ยังไม่ได้ใช้ก็เลยต้องทนอยู่ต่อ แล้วสร้างพระรุ่นนี้ที่ให้จองนี่ก็เพื่อสร้างให้ท่านใช้หนี้ จะขอให้ท่านช่วยทำพิธีให้สักส่วนหนึ่ง ถ้าทำเสร็จแล้วปุ๊บปั๊บไปเลยไม่ต้องมาโทษอาตมานะ ไม่ใช่เราไปทำให้ท่านตาย แต่ว่าท่านหมดอายุแล้วจริง ๆ อายุท่านแค่เก้าสิบ นี่เลยเก้าสิบมาจะขึ้นเก้าสิบเอ็ดอยู่แล้ว คือตอนแรกเราก็จะแกล้งดึงเกมเอาไว้ คือว่าไง ๆ พระอย่างท่านถ้าอยู่ไปก็จะเป็นที่พึ่งของชาวบ้านได้มาก คราวนี้ร่างกายไม่ไหวจริง ๆ เห็นท่านทรมานมาก ถ้าขืนต่อ ๆ ไปถ้าเราโดนทรมานแบบนั้นบ้างก็แย่เหมือนกัน ก็เลย......เอ้า !เป็นอันว่าดีไม่ดีท่านจะไม่อยู่ให้เราใช้หนี้เสียด้วยซ้ำไป พอรู้ว่าเราโอเคแล้วท่านก็ไปเลย ยังกลัวว่าพระจะสร้างเสร็จไม่ทันเสียด้วยซ้ำ
      ถาม :  แล้วพระองค์อื่นล่ะคะ ?
      ตอบ :  เอาแค่นั้นก็พอจ้ะ บอกมากไม่ได้ผิดมารยาท ปกติเขาไม่บอกกัน เรื่องนี้จะเป็นเรื่องพระพุทธเจ้าพยากรณ์มรรคผลเท่านั้น แต่ว่าที่กล้่าบอกเพราะว่าอย่างหลวงพ่ออุตตมะนี่หลวงพ่อท่านเคยบอกเอาไว้?ในเมื่อหลวงพ่อท่านเคยบอกครูบาอาจารย์ท่านเคยบอก เป็นลูกศิษย์ก็แค่เอาคำครูบาอาจารย์มาพูดต่อเท่านั้นเอง อันนี้โทษคงเกิดกับเราน้อยเต็มที เอาสักองค์หนึ่งก็แล้วกันนะจะให้ไม่ไกลมาก
      ถาม :  แล้วพระคำข้าวกับพระหางหมากนี่ต่างกันอย่างไร ?
      ตอบ :  จริง ๆ แล้วมีผลทางลาภมากที่สุด แต่ว่าพระคำข้าวจะแสดงผลทางลาภชัดเจน พระหางหมากจะหนักไปทางป้องกัน อานุภาพนี่คือว่าปลอดโรค ภาวะบรรดาโรคต่าง ๆ ถ้าเราตั้งใจภาวนาให้ป้องกันจริง ๆ ไม่ว่าเป็นเชื้อโรคที่เกิดจากประเภทที่เรียกว่าระเบิดสารเคมี ระเบิดเชื้อโรค อาวุธเชื้อโรค หรือว่าโรคต่าง ๆ อย่างโรคเอดส์ อย่างนี้กันได้ ให้ลาภก็คือว่าถ้าหากอาราธนาอยู่ประจำ ๆ ต้องการเรื่องลาภผลเรื่องเกี่ยวกับหน้าที่การงานความสะดวกต่าง ๆ ก็จะได้ง่าย แล้วก็ศัตรูทำอันตรายไม่ได้ ถ้าเราตั้งใจอาราธนาอยู่ เขาตั้งใจจะทำเรา เขาจะแพ้ภัยไปเอง
      ถาม :  เมื่อกี้ที่พูดมามันต้องผ่านกรรมฐานก่อนถึงจะขึ้นมาวิปัสสนาได้ ?
      ตอบ :  จริง ๆ แล้วจะเริ่มจากวิปัสสนาเลยก็ได้ พอเริ่มพิจารณาไปเรื่อย ๆ อารมณ์ทรงตัวเป็นสมาธิมันจะเป็นสมถะไปเอง แต่ว่าคนที่ทำสมถะเริ่มต้นด้วยการภาวนาก่อน ถ้าถึงเวลาอารมณ์มันเต็มที่ของมันแล้ว เราไม่พิจารณามันจะฟุ้งซ่านไปเลย คือพอมันถอยออกมามันจะไปฟุ้งซ่านแทน เพราะฉะนั้นต้องคอยระวังให้ดี คนทำวิปัสสนานี่ถ้าปัญญาดีจริง ๆ มันจะได้เปรียบ แต่ถ้าปัญญาไม่ถึงมันต้องอาศัยกำลังของสมถะเข้าช่วยก่อน ทำให้ใจมันนิ่งก่อน ใจมันนิ่งแล้วมันก็เหมือนกับน้ำที่นิ่ง ก้มเมื่อไรก็เห็นหน้าสามารถใช้ส่องหน้าตัวเองได้ อันนั้นก็ใช้ส่องหากิเลสเพื่อไล่ฆ่ามันให้ได้
      ถาม :  ช่วงนี้เป็นช่วงกลียุคหรือเปล่าคะ ?
      ตอบ :  กลียุค.... ยัง กลียุคตามคำทำนายโน้นมันปลาย ๆ พระศาสนานั่นแหละเหลือช่วงไม่กี่ร้อยปีอย่างนั้นแหละ ช่วงนี้ยังเรียกอย่างนั้นได้ไม่เต็มปากหรอก
      ถาม :  คำอาราธนาพระหางหมากว่ายังไงคะ ?
      ตอบ “อิทธิฤทธิ พุทธนิมิตตัง ขอเดชะ เดชัง ขอเดชเดชะ จงมาเป็นที่พึ่งแก่ มะอะอุ นี้เถิด” ได้ทุกอย่างที่เป็นพระเครื่องของสายหลวงพ่อ ไม่ว่าจะเป็นพระคำข้าวหรือหางหมาก
      ถาม :  แล้วคาถานี้หลวงพ่อบอกว่าถ้าท่องแล้วอย่าไปแช่งใคร ?
      ตอบ :  จริง ๆ แล้ว บุคคลที่ปฏิบัติในทาน ศีล ภาวนา อย่าไปแช่งใครเพราะว่าคนที่มั่นคงใน ทาน ศีล ภาวนา กำลังมันจะแรง น้องชายอาตมาเองคือแสงชัย แช่งคู่ต่อสู้ตายแหงแก๋ไปแล้ว รายนั้นหมอผีด้วย เขาเล่นอ้างกุศลบารมีที่สมสร้างมาแต่ปางบรรพ์ หมอผีตายแหงไปเลย อันนั้นจะไปว่าเขาฆ่าก็ไม่ได้ เพราะเรื่องของคนมันมีกรรมผูกพันมันเนื่องกันมาพอดี มาทำให้ไม่ถูกใจไม่ถูกอารมณ์ ก็เล่นอธิษฐานยังงั้นก็เสร็จเขา
      ถาม :  แล้วเวลาที่หลวงพ่อบอกว่าให้ท่อง สัมปจิตฉามิ   ถ้าใครเล่นคุณไสยก็ให้ย้อนกลับคืนเจ้าของ ?
      ตอบ :  อันนั้นเขาทำของเขาเอง ของเราแค่ตั้งใจนึกถึงบารมีพระให้ช่วยสงเคราะห์คุ้มครองก็ว่ากันไป มันจะย้อนกลับหรือไม่ย้อนกลับเราก็ไม่ได้ทำเขา เขาทำของเขาเอง มันเหมือนกับคนเตะฟุตบอลอัดใส่ข้างฝา ตัวเองหลบไม่ทันก็หงายท้องเอง มันเด้งกลับเอง ของเราเพียงแต่ตั้งข้างฝาให้มันแข็งแรงหน่อย นึกถึงพระให้มั่นคงไว้
      ถาม :  “อิทธิฤทธิ” นี่ใช้เฉพาะสายหลวงพ่อฤๅษี ถ้าเป็นพระหลวงพ่อ.............มีมัยครับ ?
      ตอบ :  ของเขาเองมีคำอาราธนาตามสายของเขาเอง มี แต่ว่าสายหลวงพ่อจะใช้ “อิทธิฤทธิฯ” ในการอาราธนาพระทุกชนิด ยกเว้นบางอย่าง เช่น  ธงมหาพิชัยสงคราม   จะมีใช้เฉพาะก็คือ   พุท ธะ สัง มิ   พุท ธะ สัง มิ นี่เป็นหัวใจไตรสรณาคมน์ ย่อมาจาก “พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ” พุท ธะ สัง มิ นี่ตัดมาคำเดียว พุทธัง ธัมมัง สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ”
      ถาม :  แล้วอย่างนี้เราต้องอาราธนาพระรัตนตรัยขอขมาพระรัตนตรัย ก่อนหรือเปล่า ?
      ตอบ :  ทำได้ก็ดีจ้ะ เวลาไม่พอก็ว่าคาถาไปก่อนเรื่องอื่นว่ากันทีหลังรีบ ๆ เขย่าท่านให้ตื่นก่อน
      ถาม :  อันนี้ควรจะบูชาทุกวันมั้ยคะ ?
      ตอบ :  จ้ะ ต้องทำทุกวัน เช้า- เย็น ได้ยิ่งดี เผื่อไว้เดี๋ยวบอกตอนเช้าถึงตอนเย็นลืมขึ้นมา (หัวเราะ) การปลุกพระนี่เป็นการปลุกตัวเรานะ เมื่อกี้จำได้มั้ย จริง ๆ แล้วพระกริ่งพิชัยสงคราม นี่ท่านให้ทำน้อยมากเลย เพราะว่ามันขึ้นอยู่กับกำลังใจของคนเอาไปใช้ ถ้าคนเอาไปใช้กำลังใจไม่ดีมันเหมือนกับวิทยุโทรทัศน์ ถ้าเครื่องส่งส่งเต็มที่แล้วเครื่องรับมันไม่เปิดมันเอาไปใช้แล้วไม่มีผลมันจะด่าเราเอง คราวนี้ก็เลยบอกว่าคนเราถ้ามันไม่ได้มันเสียกำลังใจ ก็เลยต่อรองว่าขอทำเท่าจำนวนจอง