ถาม :  ............(เรื่องพระเครื่อง)...........
      ตอบหลวงพ่อเงิน วัดดอนยายหอม ท่านเปรียบเอาไว้ว่า กำลังใจของคนที่เกาะพระ ถ้ากำลังใจเข้มแข็งสูงสุดท่านเปรียบว่าถ้าเป็นอาวุธปืนจะยิ่งไม่ออก โบราณเขาเรียกว่า  มหาอุตม์   รองลงมาหน่อยหนึ่งยิงออกแต่ไม่ถูกจะเป็น แคล้วคลาด รองลงมาอีกหน่อยหนึ่งยิงถูกแต่ไม่เข้าเป็น คงกระพัน  ยิงถูกแต่ไม่เข้านี่เฮงซวยแล้วในความหมายของท่าน ลดลงไปอีกหน่อยหนึ่งยิงเข้าแต่ไม่ตาย ก็ถือว่าคุณเฮง โชคดีไป ที่แย่จริง ๆ คือถ้าหากว่านึกถึงพระแล้วแต่กำลังใจมันแย่มากเลย ถึงตายก็ไปสวรรค์เพราะเกาะพระอยู่ เพราะฉะนั้นรีบ ๆ ไปสวรรค์ซะจะได้ไม่ลำบากนาน
      ถาม :  มีไว้ก่อนก็ไม่เสียหาย ?
      ตอบ :  จ้ะ... แต่คราวนี้บางคนเขาไม่เข้าใจ  เรื่องของพระเครื่องต่าง ๆ มันเป็นการตัดเคราะห์กรรมให้กับคนที่ตั้งใจอาราธนาบูชาอยู่ จากหนักก็เป็นเบา จากที่เบาก็เป็นหาย เพราะฉะนั้นบางคนว่า อ๊ะ! ทำไมว่าคนนั้นเอาไปใช้แล้วมีผลมากเลย นั่นของเขากรรมมันเบา แต่ขณะเดียวกันของเราเอาไปใช้โดนรถชนเสียเดี้ยงเลย เออ...คุณไม่ตายก็เฮงแล้วนะ บางคนจะไม่เข้าใจในจุดนี้ จากหนักจะเป็นเบา จากเบาเป็นหาย
      ถาม :  ถ้าคนที่ได้ไปเหมือนกัน ถ้าคนที่ศรัทธาเยอะ คนนั้นก็จะ ....?
      ตอบ :  จะได้ผลมากกว่า อย่างโบราณนี่กำลังใจเขาเข้มแข็งมาก  เสด็จในกรมหลวงชุมพร รัชกาลที่ ๖ ถามท่านว่าไปเที่ยวสักเนื้อสักตัวร่ำเรียนวิชาอยู่ยงคงกระพันมานี่ตั้งใจจะก่อการกบฏหรือ ? พี่น้องกันเขาถามกันตรง ๆ ลูก รัชกาลที่ ๕   เหมือนกัน ....ใช่ไหม ? เสด็จในกรมท่านบอกว่าท่านสามารถที่จะสาบานต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์และครูบาอาจารย์ที่เคารพนับถือได้ว่าจิตใจที่คิดจะปรารถนาในราชบัลลังก์ไม่มีแม้แต่นิดเดียว
              ถ้าหากว่าท่านผิดจากคำพูดนี้ขอสิ่งศักดิ์สิทธิ์อย่าได้คุ้มครองเลย เสร็จแล้วท่านก็ควักปืนยิงเข้าปากเหนี่ยวจนหมดโม่ไม่ลั่นสักนัดหนึ่ง เป็นเรา....เรากล้าอมปืนยิงตัวเองไหมล่ะ ? นั่นแหละ เพราะฉะนั้นกำลังมันต่างกันตรงนั้น ถ้ากำลังใจเข้มแข็งขนาดนั้นมันยิงไม่ออกหรอก ถ้ารองลงมาหน่อยก็ยิงออกไม่ถูก แย่ ๆ ลงมายิงถูกแต่ไม่เข้า แหม... ปลื้มใจกันใหญ่ ที่ไหนได้กำลังใจห่วยแตก (หัวเราะ)
      ถาม :  แล้วที่อาจารย์ให้พระหางมากกับพวกพลอยนี่ ?
      ตอบ :  เอา พระหางหมาก เป็นหลักจ้ะพลอยนั้นจริง ๆ ก่อนหน้านั้นที่ทำก็คือว่าบางคนนะที่มาที่นี่ไม่ใช่ศาสนาพุทธ คริสต์ก็มี อิสลามก็มี แล้วขณะเดียวกันพวกผู้หญิงเยอะ วัตถุมงคลบางอย่างทำในลักษณะของเครื่องประดับศาสนาอื่นเขาใช้ได้ลักษณะว่าไม่ต้องไปตะขิดตะขวงใจ ไม่ต้องไปงัดข้อกับศาสนาตัวเอง อีกอย่างหนึ่งสิ่งที่สวยงามผู้หญิงเขาชอบอยู่แล้วติดตัวเป็นวัตถุมงคลด้วยก็ยิ่งดี
      ถาม :  ธรรมของพระพุทธเจ้าบางอย่าง เป็นเรื่องยากที่ปุถุชนทั่วไปจะเข้าใจ (.....ไม่ชัด.....) ถ้าเราใช้ความรู้สึก เราจะเข้าใจได้อย่างไรคะ ว่าพระพุทธเจ้าสอนเราว่าอย่างไร ?
      ตอบ พระพุทธเจ้าสอนอยู่ ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ หัวข้อใด หัวข้อหนึ่งก็ไปนิพพานได้แล้วไม่จำเป็นต้องไปศึกษาทั้งหมด   โดยเฉพาะในส่วนที่ยากมันมีอยู่สองจุด ก็คือว่าพระอภิธรรม ๔๒,๐๐๐ พระธรรมขันธ์กับมหาสติปัฏฐานสูตร พระอภิธรรมนี่ท่านสอนพรหม สอนเทวดา มหาสติปัฏฐานสูตรสอนชาวกัมมาสะธัมมะนิคมที่เป็นพวกอุตระกุรุทวีป  พวกนี้ปัญญาเขาสูงมาก
              ถ้าเราไปอ่านสติปัฏฐานสูตร จะรู้สึกว่าละเอียด ถ้าหากว่าสำหรับคนทั่ว ๆ ไปที่ไม่มีพื้นฐานการปฏิบัติมาเจอสติปัฏฐานเข้านี่เหมือนแบกช้างทั้งตัวเลยนะ ส่วนอันอื่น ๆ สำหรับคนทั่ว ๆ ไป เราจับอันไหนที่เราถนัดตั้งหน้าตั้งตาทำอันนั้นให้เกิดผล ถ้ามันเกิดผลเสียหัวข้อหนึ่งแล้วหัวข้ออื่นมันก็ง่าย แต่ถ้าหากว่ามันไม่เกิดผลอย่างที่เคยเปรียบเทียบให้ฟังว่าเหมือนกับขุดบ่อแล้วไม่ได้น้ำ เราทำอันนี้เหมือนเราขุดบ่อลงไปซัก ๕ เมตร ๑๐ เมตรยังไม่ถึงน้ำเลยก็เปลี่ยนไปทำอย่างอื่นอีก แล้วก็ไปขุดอีกบ่อหนึ่งอีก ยังไม่ได้น้ำก็ย้ายไปขุดอีกบ่อหนึ่ง ตกลงว่ามันเสียเวลาปฏิบัติอยู่ ทำอันเดียวให้มันได้ไปเลยแล้วอันอื่นมันจะง่าย
      ถาม :  อย่างคนที่ไปปฏิบัติเดินจงกรมแล้วนั่งสมาธิจะได้ผลยังไง ?
      ตอบ :  ถ้าหากว่าตั้งใจทำจริง ๆ จะมากจะน้อยมันจะได้แต่คราวนี้ว่ามันได้เท่าไรต่างหากล่ะ ?
      ถาม :  แล้วไม่ทราบว่าเดินไปเพื่ออะไรคะ ?
      ตอบ :  เขาต้องรู้ว่าทำไปเพื่ออะไรสิ ถ้าเขาไม่รู้เขาจะไปทำไม ใช่ไหม ? เขาต้องรู้ว่าทำเพื่ออะไรอานิสงส์ของการเดินจงกรมก็คือว่าสมาธิได้จะคลายตัวได้ยากหนึ่ง   ทำให้เป็นคน  เดินทน  เดินแล้วไม่ค่อยเหนื่อยกับใคร เพราะเดินจงกรมเขาว่ากันเป็นชั่วโมง ๆ ทำให้ อาหารย่อยสลายได้ง่าย ลำไส้มีการเคลื่อนไหว อานิสงส์ของมันอยู่ แล้วอีกอย่างก็คือว่าเวลาเรานั่งอย่างเดียวมันเครียดต้องเปลี่ยนอิริยาบถไปเดินแทน
      ถาม :  โดยทั่วไปจำเป็นไหมที่ทุกคนต้องปฏิบัติเดินจงกรม ?
      ตอบ :  ไม่จำเป็น เพราะว่า๔ อิริยาบถ เราถนัดอันไหน เดิน ยืน นั่ง นอน ทำอันนั้น
      ถาม :  ถนัดนอน ?
      ตอบ :  ถนัดนอนนั้นดี ไม่เหนื่อยมาก
      ถาม :  แต่กลัวหลับ ?
      ตอบ :  อย่าหลับสิ พยายามรักษาสติเอาไว้ ถ้าเราประคองสติอยู่ได้ก็สบาย
      ถาม :  แล้วอย่างเดินจงกรมกับเดินช้อปปิ้งนี่มันเหมือนกันไหมคะ ?
      ตอบ :  ถ้าคุณเดินช้อปปิ้งอย่างมีสติมันก็เหมือนกันแต่ช้อปปิ้งแบบไร้สติก็เดินจงกรมดีกว่า
      ถาม :  ...........(เรื่องสติ)............
      ตอบ :  ความจำไม่ดีไม่แน่ว่าจะขาดสติ แต่ขณะเดียวกันจะเรียกว่าขาดสติก็ได้ แต่จริง ๆ แล้วสมาธิมันน้อยไปหน่อย ถ้าสมาธิน้อยไปหน่อยความจำจะไม่ค่อยดี แต่ว่าอย่าให้มีกรรมแบบ ท่านจุลปันถก   ท่านเองนี่แค่อิติปิโสภควา ๆ สวด ๓ เดือนไม่จบ ในอดีตเคยทำกรรมไว้ไปหัวเราะพระท่านสวดมนต์แล้วไม่ได้ ถ้าอย่างนั้นเป็นเรื่องของผลต่างหากออกไป แต่ทั่ว ๆ ไป   ความจำไม่ดีถ้าไม่ดีถ้าไม่ใช่ประสาทร่างกายมันเกิดจากสมาธิน้อยไปหน่อย ตั้งใจทำสมาธิให้ทรงตัวความจำจะดีไปเอง 
      ถาม :  แล้วจะแก้ยังไง ?
      ตอบ :  ไม่ต้องแก้หรอกให้คอมพิวเตอร์มันจำแทน สมัยนี้ถึงเวลาก็รีเสิร์ชเอา สงสารเด็กสมัยนี้ถ้าคอมพิวเตอร์มันพังจะไม่เหลืออะไรในสมองเลย ปัจจุบันก็สมาธิสั้น ไม่ชอบใจกดรีโมทเปลี่ยนช่อง หน่วยจำเขาเลยกระจัดกระจายไม่ต่อเนื่องสมาธิก็จะสั้นไปด้วย สังเกตดูเด็กสมัยนี้คุยกับเราเรื่องนี้ถามเราตอบมันยังไม่ทันจะจบเรื่องเลยมันไปอีกแล้วเป็นแบบนั้น กระโดดไปกระโดดมา
      ถาม :  แล้วถ้าคนที่มีกรรมไปหัวเราะพระอย่างในอดีตชาติแล้วเราไม่รู้ต้องทำอย่างไง ?
      ตอบ :  เป็นพระอรหันต์เสียแล้วจะหาย เป็นพระอรหันต์แล้วกรรมนั้นจะหมด พระจุลปันถก พอท่านเป็นอรหันต์แล้วกรรมนั้นก็สิ้นสุดลง ความเป็นพระอรหันต์กรรมเก่านี่มันอโหสิกรรมไปเลย อัตโนมัต เพราะว่าท่านดีจนมันตามไม่ทันแล้ว  
      ถาม :  ยกเว้นกรรมใหญ่ ๆ ?
      ตอบ ไม่มีการเว้น กรรมทุกอย่างเป็นอโหสิกรรมไปหมด ยกเว้นเศษกรรมบางอย่างถ้ามีร่างกายอยู่มันก็ยังมีการทวง แต่ว่าในสิ่งที่ท่านทำ มันไม่ทีสิทธิ์ทำท่านให้ลงอบายภูมิแล้วมันจบแค่นั้น
      ถาม :  ร่างกายนี่ ถ้าหากว่าเราบอกว่าไม่สนใจมัน ช่างมันนี่คะ หมายความว่าปล่อยแล้ว สิ่งที่เข้ามาแทรกซ้อน.....อย่างกรรมเก่านี่จะเข้ามาแทรกซ้อนไหม ?
      ตอบ :  กรรมนี่มันไม่เกี่ยว เราปล่อยหรือไม่ปล่อยนี่มันก็เอาอยู่แล้ว   ลักษณะการปล่อยร่างกายนี่ หมายความว่าเรามีปัญญารู้เท่าทันมัน รู้เท่าทันมันว่าร่างกายที่ไม่ดีจริงอย่างนี้เราไม่ต้องการมันอีก เราขอมีมันแค่ชาตินี้ชาติเดียว ระหว่างที่มีชีวิตอยู่ก็บำรุงดูแลรักษามันไปตามหน้าที่ กายนี้เป็นสมบัติที่เรายืมโลกมาใช้ มารยาทในการยืมก็คือดูแลรักษาให้ดีที่สุดเพื่อให้ถึงเวลาแล้วจะได้ส่งคืนเขาในสภาพที่ดีที่สุดไม่ใช่ว่ายืมของเขามาใช้แล้วก็พังมันไปเลย เพราะฉะนั้นเรายังมีหน้าที่ดูแลรักษาเขาอยู่เพื่อว่าในปัจจุบันเราจะได้อยู่โดยไม่ลำบากนัก แต่ขึ้นชื่อว่าร่างกายที่เต็มไปด้วยความทุกข์อย่างนี้เราไม่ต้องการมีมันอีก ชาตินี้ขอให้เป็นชาติสุดท้าย ไม่ใช่ประเภททิ้ง ๆ ขว้าง ๆ ไม่สนใจ ๗ วัน ไม่อาบน้ำสักที เดี๋ยวคนรอบข้างเขาจะด่าเอา
      ถาม :  เขาบอกว่าถ้าเราพิจารณานี่ก็ให้คิดพิจารณาไปเลยไม่ต้องมาแบบว่าภาวนาเกี่ยวกับลมหายใจ แล้วไม่เข้าใจคะ ?
      ตอบ :  คือ โดยถ้าหากว่า เราเริ่มคิดพิจารณาไปเรื่อย ๆ พออารมณ์พิจารณามันทรงตัวมันจะเป็นภาวนาโดยอัตโนมัต คือ มันจะเป็นสมาธิของมันเอง การพิจารณาได้เรียบกว่าตรงนี้ว่า พอถึงเวลาแล้วมันจะเป็นภาวนาของมันเอง แต่การภาวนาถ้าเราทำไปถึงจุดของมันแล้ว มันไปต่อไม่ได้ถ้าเราไม่บังคับให้มันพิจารณาอย่างที่เราต้องการ มันคิดเองนี่มันจะคิดฟุ้งซ่านไปเรื่องรัก โลภ โกรธ หลง เลย การคิดพิจารณาก็คิดอยู่ในแบบของ ไตรลักษณ์ คือ เห็น อนิจจังความไม่เที่ยงของร่างกาย ของโลก ของคน สัตว์ วัตถุ สิ่งของ ทุกข์ขัง ความเป็นทุกข์ของทั้งหมดนั้นแหละ แล้วก็ อนันตาไม่มีอะไรคงอยู่ได้ สูญสลายไปหมด นี่เป็นด้านหนึ่ง อีกด้านหนึ่งก็ดู ทุกข์ ใน อริยสัจอย่างเดียวเกิดทุกข์ขึ้นได้อย่างเราไม่ทำสาเหตุนั้นทุกข์ก็ดับลง อีกอย่างหนึ่งก็คิดตามนัย วิปัสสนาญาณ ๙ อย่าง เริ่มตั้งแต่ดูการเกิดและดับ ดูเฉพาะการดับ ดูว่าเป็นทุกข์เป็นภัย ดูว่ามันเป็นของน่ากลัว
      ถาม :  ...............(เรื่องสังฆทาน).............
      ตอบ :  คือ ถ้าหากว่าให้เขาเตรียมมาเองของมันแพงมาก ผ้าไตรชุดหนึ่งก็ตั้งแปดเก้าร้อยแล้วเราไม่มีสิทธิ์จะทำอย่างนั้นได้ คราวนี้ว่าที่นี้เขาจัดหาไว้ให้แล้ว แต่ว่าเราจะบริจาคเป็นเงินเท่าไรถือว่าสังฆทานชุดนั้นเป็นสิทธิของเรานะ พอเขาถวายเสร็จเขาจะช่วยยกเก็บให้ด้วย
      ถาม :  แล้วถวายเป็นเงินได้หรือเปล่า ?
      ตอบ :  ถ้าหากว่าถวายเป็นเงินตั้งใจเป็นสังฆทานก็ได้ แต่ว่ากำลังใจบางคนเขาจะยึดอยู่ว่าต้องมีของ ก็ยกสักหน่อยจะได้เหนื่อย
      ถาม :  แล้วอย่างว่างานศพนี่ แจกเงินไม่ถือว่าเป็น....?
      ตอบ :  จริง ๆ แล้วผิดจ้ะ แต่คราวนี้ตั้งแต่วันบวชมาหลวงพ่อให้ปฏิบัติญาณตนว่าข้าพเจ้าจะรับเงินและทองที่ผู้มีจิตศรัทธาถวาย แต่จะใช้ในสิ่งที่สมควรแก่สมณสารูปเท่านั้น ส่วนที่เหลือจะเข้าร่วมในกองบุญการกุศลเพื่อเพิ่มกุศลให้แก่ผู้ที่ถวายเรา เพราะว่าเรื่องของพระเรารับเงินเองก็ดีคนอื่นรับไว้ก็ดีถ้าเราอยู่ก็โดนอาบัติเท่ากัน คือศีลขาดเหมือนกัน เพราะฉะนั้นไม่ต้องเสียเวลาให้คนอื่นรับแทนหรอก รับแทนหรอก รับแทนหรือว่ารับเองมันก็โดนเท่ากัน ถ้างั้นก็รับเองเสียก็แล้วกัน
              คราวนี้มันมีอยู่ตรงจุดที่ว่าเรารับเองแต่ว่ากำลังใจเราอย่าไปยึดว่าสิ่งนี้เป็นของเรา หลวงพ่อท่านสอนเสมอว่าเงินของปีนี้อย่าให้ใช้ถึงปีหน้า ถ้าหากว่าเงินมันเหลือให้คิดหางานที่ใหญ่กว่าเงินไว้เสมอ อย่างเช่นว่าเราเหลือเงินอยู่แสนหนึ่งก็พยายามคิดทำอะไรที่มันเกินแสนไว้ เวลาเงินใหม่มันเข้ามามันจะไม่นึกว่าเป็นของเราท่านบอกไว้ว่า พระเราเสียง่ายที่สุด ๒ อย่าง อย่างแรก คือ เงิน อย่างที่ คือ ผู้หญิง เราต้องระมัดระวังตัวเองอยู่เสมอ เงินทุกบาททุกสตางค์เรารับมาจากใครจ่ายไป ในเรื่องอะไรทำบัญชีไว้ในละเอียด ถึงเวลาถ้าเขามีการตรวจสอบได้ชี้แจงเขาได้ ท่านป้องกันไว้ให้หมดแล้วเพียงแต่ว่าเราจะทำตามได้แค่ไหน เพราะฉะนั้นถ้าเป็นพระสายหลวงพ่อนี่จับสตางค์เป็นปกตินะ
              แต่ว่าตอนไปอยู่กับหลวงปู่พระมหาอำพัน ท่านเป็นธรรมยุติท่านไม่จับเงิน ถึงเวลาโยมมาถวายก็บอกโยมวางไว้ตรงนั้นแหละจ้ะ โยมเขาวางไว้พอเขาหันหลังออกไปเราก็หยิบหมับ หลวงปู่ท่านยิ้ม หลวงปู่ท่านรู้อยู่ว่าเราจับเงินเป็นปกติอยู่แล้ว แต่หลวงปู่ท่านอยู่ร่วมกับเขาจับไม่ได้ เพราะว่ามันจะเป็นตัวอย่างที่ไม่ดีกับคนอื่น เขาจะอ้างได้ว่าหลวงปู่ยังจับอย่างนี้ คราวนี้ของเราเราอยู่กับเขาเราก็ต้องรักษารูปแบบของเขาไว้ โยมให้ก็อย่ารับ ลับหลังโยมเราก็จับ แต่แกล้งเขาไม่ได้นะ
              ที่วัดท่าซุงส่วนใหญ่เขา หลัง ๆ จะมีพระธรรมยุติไปเยอะเพราะว่าเขารู้ว่าเราไม่รังเกียจเขา เขาไปบางคนไปซื้อวัตถุมงคล เขาควักย่ามออกมาตั๋วแลกเงิน ๓ เล่มเขาไม่จับเงิน แต่เขาถือทีละ ๓๐,๐๐๐ เราคนจับเงินมีไม่เท่าเขา เสร็จแล้วถึงเวลาก็ฉีกตั๋วแลกเงินให้ เราไปถามเขา ตอนนั้นเพิ่งไปรับหน้าที่ใหม่ ๆ ยังไม่เข้าใจเขาจัดการกันอย่างไร ก็ไปกราบถามหลวงพี่ชัยศรี ตอนนั้นดูแลศาลานวราช อยู่ ก็ถามว่า หลวงพี่ครับทำยังไงนี่ ท่านก็บอกว่ารับขึ้นมาแล้วก็ทอนเงินให้เขาตามปกติ บอกแล้วนี่ละครับ เดี๋ยวคุณก็เซ็นชื่อตัวเองแล้วไปเบิกที่ไปรษณีย์ก็เท่านั้นแหละ พอดี หลวงตาวัชรชัยเดินเข้ามาถึง หลวงตาบอกว่าอะไรวะ ก็ส่งตั๋วแลกเงินให้ท่านดู บอกว่าพระท่านไม่จับเงิน ท่านใช้ตั๋วแลกเงิน หลวงตาดูเสร็จ ไอ้ห่า......มันก็เงินเหมือนกันล่ะวะ
              ปรากฏว่าพระท่านเห็นเราเข้าไปนานเกินไปท่านเลยเดินตามมา เอาห่าไปเต็มสองรูหูเลย ยืนตีหน้าบอกไม่ถูก แล้วทีหลังหลวงตาท่านขึ้นไปจำหน่ายวัตถุมงคลเองพระท่านก็ล้วงซองใส่หน้าอกมา อันนี้พกเงินไม่ใช่ตั๋วแลกเงิน แต่ว่าใส่ซองไว้ เสร็จแล้วท่านก็เอาไม้เขี่ยออกมา คราวนี้มันห้าร้อยกว่าท่านก็เขี่ยออกมาสองใบแบงก์ห้าร้อยก็หนึ่งเป็นพัน หลวงตาท่านก็ทอนเงินให้ หลวงตาทอนเงินท่านทอนแต่แบงก์ย่อย พอวางแบงก์ย่อยลงหลวงตาก็รูดพรืดกระจายเสียเต็มหลังตู้ แล้วหลวงตาก็เดินหายเข้าส้วมไปเลย ปรากฏว่าท่านมองซ้ายมองขวาไม่รู้จะหาใครช่วย จะใช้ไม้เขี่ยก็ไม่ไหวตั้งกี่ใบก็ไม่รู้ ท่านก็รวบหมับ หลวงตาวัชรชัยท่านก็หัวเราะ
              สมัยบวชใหม่ ๆ หลวงตาร้ายนะ ท่านแกล้งคนไว้เยอะ (หัวเราะ) วันนี้เผาพี่ท่านเอง เรื่องนี้มันเป็นเรื่องที่เรียกว่ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกสำหรับพระหลายองค์ ตัวอย่างที่ชัดที่สุดก็คือหลวงปู่บุดดา ท่านเป็นพระธรรมยุติแต่ท่านจับเงิน แล้วไม่มีพระธรรมยุติองค์ไหนกล้าว่าหลวงปู่บุดดาทั้ง ๆ ที่พระธรรมยุติท่านจะเคร่งครัดมาก เวลาญาติโยมผู้ชายนวดหลวงปู่บุดดาอยู่ญาติโยมผู้หญิงก็มองตาละห้อยอยากจะนวดหลวงปู่มั่ง หลวงปู่ก็ยื่นเท้าให้เฉยเลย ไม่มีพระธรรมยุติองค์ไหนกล้าว่าหลวงปู่ คือหลวงปู่ท่านปฏิบัติดีปฏิบัติชอบเสียจนกลายเป็นปาปมุติคือภาษาพระแปลว่าผู้เหนือบุญเหนือบาปแล้ว พ้นจากบาปแล้วโดยสิ้นเชิง ทำจนกระทั่งว่าทุกคนเชื่อมั่นว่าอย่างนั้นก็เลยไม่มีใครกล้าติฉินนินทาหลวงปู่เลยแม้แต่นิดเดียว
              ปี ๒๕๑๗ - ๒๕๑๘ - ๒๕๑๙ วัดท่าซุงเริ่มก่อสร้างโบสถ์ หลวงปู่บุดดาพร้อมด้วยหลวงปู่หลวงพ่ออีกประมาณ ๑๐ องค์ก็ไปช่วยงาน หลวงพ่อท่านนิมนต์ไปก็พักอยู่ที่วัดท่าซุง คราวนี้พวกเรามันเคยชินกับคำว่าทำบุญเอาแก้วสารพัดนึกก็คือเงินไว้ก่อน หลวงปู่บุดดาท่านก็ทำไง เอาถุงก๊อบแก็บวางไว้ตรงหน้าพวกเราก็ใส่เงิน ใส่เงิน พอถึงเวลาโยมทำบุญเสร็จเรียบร้อยลูกศิษย์ก็ผูกปากถุงส่งให้ หลวงปู่บุดดาก็แหวกย่ามเสียกว้างเชียวนะกลัวจะกระทบเงิน ลูกศิษย์ก็หย่อนใส่ย่าม หลวงพ่อหันมาพอดี อ๋อ! ....ไม่อยากได้ใช่ไหม คว้าหมับเลย หลวงปู่บุดดาสองมือตะครุบหมับ จับแล้วครับ บอกหน้าตาเฉยเลย จับแล้วครับ หลวงพ่อบอกเออ ! มันต้องอย่างนั้นซิ กะอีแค่ธาตุสี่ ดิน น้ำ ไฟ ลม ปล่อยให้มันเกาะใจได้ก็อย่าเอาเลย ผมเอาเองก็ได้ ตั้งแต่นั้นมาหลวงปู่บุดดาจับเงินมาตลอดแล้วไม่มีพระธรรมยุติองค์ไหนกล้าว่าหลวงปู่ นั่นแหละคือหลวงพ่อท่านทำให้รู้ว่าเรื่องทั้งหลายเหล่านี้ จริง ๆ แล้วมันสำคัญตรงใจ แต่ว่าสิ่งใดก็ตามที่พระพุทธเจ้าท่านห้ามเอาไว้เราต้องเคารพและปฏิบัติตาม เพียงแต่ว่าก่อนที่พระพุทธเจ้าท่านจะปรินิพพานได้ตรัสกับพระอานนท์ว่า “อานันทะ ดูก่อนอานนท์ หลังจากตถาคตนิพพานไปแล้ว สิกขาบทไหนที่ไม่เหมาะสมกับยุคสมัยให้สงฆ์พร้อมใจกันสวดเพิกถอนสิกขาบถนั้นได้”   คือว่าศีลข้อไหนถ้ามันไม่เหมาะกับยุคสมัยให้พระพร้อมใจกันถอดทิ้งได้ แต่คราวนี้ว่าพระทั้งหมดเคารพพระพุทธเจ้าก็ไม่มีใครกล้าแตะต้องมาตลอด
              หลวงพ่อบอกว่าฉันดูมาตลอดแล้วสองร้อยยี่สิบเจ็ดข้อมีข้อจับเงินข้อเดียวที่มันน่าถอนทิ้งที่สุด เพราะว่าพระไปไหนมันจำเป็นนะ ขึ้นรถขึ้นรามันก็จำเป็น ซื้อข้าวซื้อของซื้ออาหารก็ต้องใช้เงิน เจ็บไข้ได้ป่วยไปหาหมอก็ต้องใช้เงิน อย่างนี้ว่าพอพระท่านเคารพพระพุทธเจ้าไม่มีใครเพิกถอน หลวงพ่อเองท่านเลยให้พระวัดท่าซุง....ไม่ทราบว่ารุ่นอื่นเป็นยังไงแต่รุ่นอาตมาบวช ๓๖ องค์ รุ่นนั้นท่านให้ปฏิญาณตัวเลยว่ารับ เพียงแต่ว่าท่านใช้คำว่าเราจะจับเงินและทอง บอกเลยว่าไม่ให้ก็จะเอานะ (หัวเราะ) ที่ผู้มีจิตศรัทธาถวายแต่จะใช้ในสิ่งที่สมควรแก่สมณสารูปเท่านั้น ส่วนที่เหลือจะผลักเข้ากองบุญกุศลเพื่อเพิ่มบุญให้แก่ผู้ที่มาถวาย บอกชัดเลยจ้ะ เพราะฉะนั้นอาตมาจะรับเงินอย่างสบายใจที่สุด
      ถาม :  แล้วมีข้อจำกัดไหมครับ ?
      ตอบ :  คืออย่าพกเงินเกิน ๕ ล้าน มันหนัก (หัวเราะ).....มีข้อจำกัดไหม....ไม่มี
      ถาม :  พกบัตรก็ได้ไหมครับ ?
      ตอบ :  จริง ๆ บัตรก็ได้นะสะดวกกว่านะ เพราะบัตรมันก็คือเงินใช่ไหม เสียอยู่อย่างเดียวแหละ อาจารย์ยันตระ แกไปรูดผิดที่เล่นเอาเสียหายหมดเลย พระองค์อื่นจะพกบัตรตามท่านก็เลยหมดอารมณ์ไปเลย
      ถาม :  ตอนนั้นไปกราบหลวงพ่อบุดดา คือว่าเราไปถูกเนื้อต้องตัวท่านคะ ตอนนั้นท่านอาพาธอยู่ ก่อนที่ท่านจะสิ้น ผิวท่านสวยมากไปกราบแล้วก็ไปโดนเนื้อท่านด้วยจะยังไปไหมคะ ก็โดนกันหลายคนอาจารย์พาไปกราบ
      ตอบ :  บาปมากเลย ไปนิพพานแน่เลย .....ก็โดนไปเถิดไม่เป็นไรหรอก ของท่านเองท่านก็เลิกคิดแล้วส่วนเราถือเป็น อนุสติพระที่มีความบริสุทธิ์ถึงขนาดนั้นเรามีโอกาสได้แตะเนื้อต้องตัวท่านถือว่าเป็นอนุสติแล้วกัน นึกถึงเมื่อไรให้นึกถึงตรงจุดนี้ว่าเราได้จับต้องของที่มีคุณค่าเสียยิ่งกว่าเพชรกว่าทองอีก เพราะฉะนั้นเป็น สังฆานุสติ สำหรับเรา คิดเสียว่าสิ่งที่เราทำมาทั้งหมดเป็นบุญเป็นกุศลทั้งหมดแล้วชาตินี้ก็หวังนิพพานอย่างเดียว หลวงปู่ท่านไปนิพพานแล้วเราก็ตาม ตอนจับก็น่าจะมัดติดไว้เลย (หัวเราะ)
      ถาม :  ตอนไปโดนก็ตกใจคะ แต่หลวงพ่อท่านก็ยิ้ม
      ตอบ :  หลวงปู่ท่านไม่ตกใจหรอก เฉย ๆ ของอาตมานี่เคยโดนเด็กมันเล่นมันสนุก เราไม่ห้ามมัน เด็กผู้หญิงมันปีนขึ้นหัวเล่นเอาพ่อแม่ช็อคไปเลย