ถาม :  การปฏิบัตินั้น ทำอย่างไรถึงจะทรงตัวและก้าวหน้าคะ ?
      ตอบ :  การปฏิบัติน่ะ พวกเราลืมจุดที่สำคัญไปจุดหนึ่ง ส่วนใหญ่ก็คือว่าพอภาวนาจนอารมณ์ใจทรงตัวแล้ว ลุกแล้วก็ลืม รักษาอารมณ์ไม่เป็น ตัวรักษาอารมณ์ไว้สำคัญที่สุด ต้องประคับประคองอารมณ์นิ่ง อารมณ์สงบอารมณ์เย็นนั้น ให้อยู่กับเราให้นานที่สุดไม่ว่าจะทำอะไรก็ตาม ให้แบ่งกำลังใจส่วนหนึ่งนึกถึงอารมณ์นั้นไว้เสมอ ๆ
        แรก ๆ มันอาจจะได้สักครึ่งชั่วโมงแล้วก็สลายหายไป สังเกตดูทำใหม่ ๆ แหม มันเย็นอยู่ในอก ชื่นอกชื่นใจ ลองรักษามันดูซิว่ามันจะได้นานสักแค่ไหน แล้วนาน ๆ ไป ความเคยชินที่เราประคับประคองมันไว้มันก็จะได้เป็นวัน ๒ วัน ๓ วัน ๕ วัน ๗ วัน ครึ่งเดือน เดือนหนึ่ง หรือถ้าหากว่าใครมีความคล่องตัวมาก ๆ ก็ได้เป็นปีเลย
        ถ้าเราทำต่อเนื่องติดตามกันไปอย่างเนี้ยเรื่อย ๆ กำลังใจมันทรงตัวอยู่ นิวรณ์ห้าเข้าไม่ได้ รัก โลภ โกรธ หลง มันกินใจเราไม่ได้ กำลังของสมาธิที่ทรงตัวอยู่นี้มันจะกดกิเลสตายไปเอง แต่ถ้าหากว่าใครไม่ชอบอย่างนี้ต้องขยันพิจารณา การพิจารณาก็มีอยู่ ๓ แบบ
        แบบแรกตามอริยสัจ คือ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ดูทุกข์ตัวเดียวก็พอ แต่ถ้าหากว่ารู้สึกว่ามันยากเกินไปก็ดูเหตุที่มันกิดทุกข์ แล้วก็อย่าสร้างเหตุนั้น ทุกข์มันก็จะดับ ถ้าทุกข์ดับเขาเรียกว่านิโรธ ไอ้การที่เราทำเขาเรียกว่ามรรค เพราะฉะนั้น มรรคกับนิโรธ นี่ไม่ต้องไปแตะมัน อย่างเก่งก็ดูทุกข์ตัวเดียว ถ้าเก่งน้อยหน่อยก็ดูสมุทัยคือเหตุเกิดทุกข์ด้วย
        เส้นทางที่สองก็คือดูตามแนวเส้นทางของไตรลักษณ์ ลักษณะความเป็นจริง ๓ อย่าง คือ ทุกอย่างไม่เที่ยง ทุกอย่างเป็นทุกข์ ทุกอย่างไม่มีอะไรที่เป็นตัวเป็นตนยึดถือมั่นหมายไม่ได้ในที่สุดก็ตายก็พังหมด ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็ตามเห็นทุกสิ่งทุกอย่างในลักษณะนี้หมด
        อย่างที่สามดูตามแนววิปัสสนาญาณ ๙ อย่างตามนัยวิสุทธิมรรคในคู่มือปฏิบัติกรรมฐานจะมี เริ่มตั้งแต่อุทยัพยานุปัสสนาญาณ ดูการเกิดและดับ เห็นให้มันเป็นปกติ เห็นเด็กเมื่อกี้นี้ใช่ไหม เออ ไอ้นี่เกิดแล้วนะ เดี๋ยวมันก็แก่ เดี๋ยวมันก็เจ็บ เดี๋ยวมันก็ตาย หรือไม่ก็ภังคานุปัสสนาญาณ ดูเฉพาะความดับ ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้นในที่สุดก็พังหมด ไม่มีอะไรเหลือ ไล่ไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งถึงตัวนิพพิทาญาณ คือ เบื่อหน่าย โดยเฉพาะเบื่อในร่างกายนี้ ในที่สุดก็เป็นสังขารุเปกขาญาณ คือ รู้จักปล่อยวางเห็นธรรมดาของมัน
       คำว่า “ธรรมดา” สำคัญที่สุด ถ้าเราคลำจุดนี้เจออาศัยกินได้ตลอดชีวิตเลย แต่ว่่าธรรมดาของมันก็มีระดับของมันอยู่ ธรรมดาแบบผู้ทรงฌานทำกำลังใจได้ระดับหนึ่ง ธรรมดาของผู้เป็นพระโสดาบันทำได้ระดับหนึ่ง พระอนาคามีอีกระดับหนึ่ง พระอรหันต์นี่ธรรมดาที่สุด เห็นทุกอย่างเป็นไปตามปกติไม่มีอะไรกระทบใจของตัวเอง เพราะว่าปกติของมันเป็นอย่างนั้น ใช่ไหม ? ปกติของเด็กมันต้องดื้อต้องซน ปกติของเราเกิดมามันต้องทุกข์ ปกติของการอยู่้ร่วมกับคนอื่นต้องมีการกระทบกระทั่งเป็นธรรมดา จะเห็นธรรมดาไปหมด ท่านก็เลยเลิกแบกแล้วก็ปล่อย
        เพราะฉะนั้นตัวรักษาอารมณ์ของการปฏิบัติเนี่ยสำคัญที่สุด ต้องประคับประคองให้อยู่กับเราให้ยาวนานที่สุดเท่าที่จะพึงเป็นไปได้ เพื่อที่เราจะได้มีความสุขจิตใจไม่ว้าวุ่นไม่ขุ่นมัวไปตามกิเลสตัณหาอุปทานและอกุศลกรรม สติจดจ่ออยู่เฉพาะหน้าไม่ไปในอดีตและไม่ไปในอนาคต ไม่ว่าจะคิดเรื่องอดีตที่ผ่านมาหรือว่าเรื่องอนาคตที่มาไม่ถึงมันทุกข์ทั้งคู่ คนเราจะไปนิพพานได้หรือไม่ได้ก็อยู่กับปัจจุบันนี้เท่านั้น อดีตไปไม่ได้แน่ถ้าไปได้ไม่มานั่งอยู่อย่างงี้ อนาคตยังมาไม่ถึงจะไปได้อย่างไร มันก็ต้องตอนนี้ เดี๋ยวนี้ อยู่กับลมหายใจเฉพาะหน้าเท่านั้น ประคับประคองอารมณ์อยู่อย่างนั้น รักษาความสงบเยือกเย็นอยู่อย่างนั้น
        คอยสังเกตในแต่ละวันว่านิวรณ์ ๕ อย่างกินใจเราได้ไหม ไอ้เครื่องกั้นความดี ๕ อย่างประกอบไปด้วย กามฉันทะ-ความพอใจในรูปสวย เสียงเพราะ กลิ่นหอม รสอร่อย สัมผัสระหว่างเพศ พยาบาท โกรธ เกลียด อาฆาตแค้นคนอื่นเขา ตัวโกรธน่ะมันโกรธเป็นปกติอยู่แล้วแต่อย่าพยาบาท พยาบาทคือผูกโกรธ ไม่รู้จักลืม คิดอยู่เสมอ ตัวนี้ใช้ไม่ได้ แต่ไอ้ที่โกรธน่ะ มันโกรธปกติโกรธไปเถอะไม่มีใครเขาว่าหรอก พระโสดาบันก็ยังโกรธ พระสกิทาคามีก็ยังโกรธ หมดโกรธต้องเป็นพระอนาคามีขึ้นไป โกรธแต่อย่าผูกโกรธ ถีนมีทธ-ความง่วงเหงาหาวนอนในระหว่างปฏิบัติและไอ้ตัวชวนให้ขี้เกียจตัวเดียวกันเลย อุทธัจจะ-อารมณ์ฟุ้งซ่านไม่ตั้งมั่น แล่นไปสู่อารมณ์อื่น หลุดจากการภาวนา หลุดจากการประคองอารมณ์เฉพาะหน้า วิจิกิจฉา-ลังเลสงสัย ไอ้ตัวนี้จริง ๆ แล้วกินเราได้น้อย เพราะว่าถ้าสงสัยเราไม่มานั่งทำ วัน ๆ ดูแค่นี้พอ ถ้าจิตใจของเราไม่มีนิวรณ์ ๕ แสดงว่า อารมณ์ใจตอนนั้นอยู่ในระดับที่ดีน่าพอใจ แต่อย่าไปยึดถือมั่นหมายมันว่ามันจะดีอย่างนั้นตลอด
        การทำแต่ละวันไม่เท่าเทียมกัน วันนี้กำลังใจทรงตัวถ้าร่างกายดีไม่เจ็บไข้ได้ป่วยหรือไม่เหน็ดเหนื่อยมาก ไม่หิวมาก อารมณ์ใจทรงตัวอาจจะภาวนาได้ แหม สดชื่นสบาย ๓๐ นาทีแล้วยังต่อได้อีก ดีไม่ดีชั่วโมง ๒ ชั่วโมงเลย เอ้า ได้เท่านั้นเราทำเท่านั้น พรุ่งนี้แค่ ๓ นาทีก็ประสาทจะกินแล้ว เพราะว่าสิ่งที่มารบกวนมีมากเหลือเกิน แต่อย่าลืมว่า ๓ นาทีไปรวมกับชั่วโมงหนึ่งเมื่อวานเป็นหนึ่งชั่วโมงกับสามนาที เราไม่ได้น้อยลงนะ แต่มากขึ้น เพียงแต่ผลงานในแต่ละวันเราอาจจะดูว่าน้อยไปหน่อย แต่ ๒ วันรวมกันมันได้ชั่วโมงกับสามนาที
        เพราะฉะนั้นเราต้องรู้จักทำกำลังใจของเราให้พอใจอยู่กับสิ่งที่เราได้ ได้นาทีหนึ่งเอานาทีหนึ่งได้ ได้ชั่วโมงหนึ่งเอาชั่วโมงหนึ่ง สะสมไปเรื่อย ๆ ไม่ได้อะไร พุทโธคำเดียวก็เอา วันไหนจิตใจฟุ้งซ่านมาก ๆ ไปไม่รอดนั่งมองพระประธานก็เอา ไม่รู้จะทำยังไงพระพุทธรูปอยู่ตรงหน้าอย่างน้อย ๆ ก็เอาแค่นี้แหละ อตีตังสญาณ-รู้อดีต-ไม่เอา อนาคตังสญาณ-รู้อนาคต-ไม่เอา ยถากรรมมุตาญาณ-รู้กรรม-ไม่เอา ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ-ระลึกชาติ-ไม่เอา จุตูปปาตญาณ-รู้ว่าคนและสัตว์เกิดแล้วไปไหนตายแล้วไปไหน-ไม่เอา เอาปัจจุบันนังสญาณคือตอนนี้ เดี๋ยวนี้ เรานั่งมองพระอยู่พระพุทธเจ้าอยู่ตรงหน้าเราคือเราเห็นท่านอยู่กับท่านน่ะ ตีขลุมให้มันเป็นแล้วจะสบายใจ เอามันง่าย ๆ สะดวก ๆ
        พระพุทธเจ้าท่านไม่เคยสอนอะไรยาก คนสมัยใหม่มันสอนให้ยากเอง รักษาอารมณ์ไว้อย่างเนี้ยได้มากเอามาก ได้น้อยเอาน้อย ได้เท่าไหร่ถือว่าเป็นเท่านั้น ทุกสิ่งทุกอย่างจะรวมตัวมากขึ้นไปเรื่อย ๆ ตัวที่ได้มากเรารับไว้มาก ได้น้อยเรารับไว้น้อยไม่ดิ้นรนไม่อะไรไม่อยากจนเกินพอดีมันเป็นตัวอุเบกขาในการปฏิบัติ การปฏิบัติทุกระดับถ้าไม่มีตัวอุเบกขาในอารมณ์ ก้าวหน้ายากมาก แต่ถ้ามีตัวอุเบกขาในอารมณ์ลักษณะนี้จะก้าวหน้าได้ง่ายและได้เร็ว
        เรื่องของธรรมะมันปฏิภาคผกผันแปลก ๆ ถ้าเราอยากอยู่มันจะไม่ค่อยได้หรอก แต่ถ้าหมดอยากเมื่อไหร่มันไหลมาเทมา ฟังดูน่าจะง่ายใช่ไหม ? เก็บเอาไว้จำด้วยนะ เคล็ดลับแบบนี้เขาไม่บอกกันง่าย ๆ หรอก จำแล้วก็ทำด้วย ถ้าเราฟังเทปหลวงพ่อจะได้ยินอยู่เสมอว่าฟังแล้วจำ จำแล้วคิด คิดแล้วนำไปปฏิบัติด้วย แทบทุกม้วนจะย้ำอย่างนี้ พวกเราส่วนใหญ่ฟังแล้วไม่ค่อยจำก็เลยไม่ต้องคิด ปฏิบัติก็ไม่ค่อยจะทำ
      ถาม :  นิวรณ์ ๕ มันชอบมากวนใจ
      ตอบ :  พอมันกวนใจปุ๊บเราโดดไปอยู่กับลมหายใจเข้าออก ทุกสิ่งทุกอย่างไม่ว่าจะรัก โลภ โกรธ หลง แบบไหนก็ตาม ถ้าเราเป็นสุกขวิปัสสโกโดดไปอยู่กับลมหายใจเข้าออก ถ้าเราอยู่กับลมหายใจเข้าออกสิ่งกวนใจอื่น ๆ จะไม่มี
          ถ้าหากว่าได้มโนมยิทธิหรือว่าได้อภิญญาเผ่นไปนิพพานเลย เราไปอยู่เฉพาะพระพักตร์ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรงนั้นเป็นเขตปลอดกิเลส นิพพานทั้งหมดเป็นเขตปลอดกิเลสโดยสิ้นเชิง เราอยู่ตรงนั้นนิวรณ์กินใจเราไม่ได้ รัก โลภ โกรธ หลง กินใจเราไม่ได้ เพราะว่ารัก โลภ โกรธ หลง เป็นสมบัติของร่างกายนี้ ถ้ามีเราอยู่ไปคอยปรุงแต่งมัน แหม มันจะรัก จะโลภ จะโกรธ จะหลง อย่างมีรสชาติมากเป็นพิเศษ แต่ถ้าเราไม่อยู่ปรุงแต่งมัน มันเหมือนกินก๋วยเตี๋ยวไม่ได้ใส่เกลือ ใส่น้ำปลา ใส่น้ำส้มอะไรมันไม่มีรสชาติหรอกมันเบื่อไปเอง
          เราไปอยู่ข้างบนจิตอยู่ข้างบนไม่มาปรุงแต่งอยู่กับรัก โลภ โกรธ หลง ที่เป็นสมบัติของร่างกาย ไม่มีใครมาเพิ่มเชื้อให้มัน ๆ ไม่สามารถจะลุกลามต่อไปได้ อย่างเก่งก็ ๓ นาที ๕ นาที มันก็ตายไปเอง แล้วเราก็ลงมาแบบระมัดระวัง คอยจ้องมันไว้ มาเมื่อไหร่หนีมันอีก นี่แหละคือตัวมโนมยิทธิที่สำคัญที่สุด ว่าเรารู้จักนิพพานและหนีกิเลสได้ มันเป็นวิธีตัดกิเลสที่ลัดที่สุด เพราะอยู่ตรงนั้นกิเลสไม่มีอยู่แล้ว ลงมาในร่างกายเมื่อไหร่ถึงจะโดนมันเล่นงานเอา
          เราค่อย ๆ ทำในลักษณะนี้ ตัวประโยชน์ใหญ่ที่สุดของมโนมยิทธิก็คือว่าไปนิพพานได้ รู้จักนิพพาน ขณะเดียวกันตัดกิเลสอัตโนมัติได้ ถ้าทำอย่างนี้ได้ตัวมโนมยิทธิจะมีประโยชน์มหาศาล แต่ถ้าไปทำอย่างที่ว่า ๆ มา คือ ไปดูโน่นดูนี่ดูนั่น แทนที่จะละก็ไปติดไปยึดมันก็โทษมหันต์เหมือนกัน
          พระพุทธเจ้าท่านบอกว่าระยะหลัง ๆ ไป สัญญา ปัญญา ของคนมันเสื่อมลงไปเรื่อย ๆ เพราะงั้นก็เลยไม่ค่อยจะได้อะไรยังไม่พอ ทำไม่ค่อยจะรู้เรื่องอีกต่างหาก ผ่านมาแล้วเห็นโทษของมัน ไม่อยากให้คนอื่นเขาเป็นก็เลยได้แต่นั่งมองว่าคนที่ยังอยากอยู่เราห้ามเขาไม่ได้ แต่ถ้ามีโอกาสก็จะสะกิดให้ว่าไอ้ที่เขาทำนั่นน่ะมันไปคาอยู่ตรงไหน มันไปพลาดอยู่ตรงไหน ถ้าไม่ดื้อมากก็ไปได้เร็ว
          ไอ้สมัยของเรานี่ปล้ำเอง แหม...เหนื่อยเหงื่อหยดติ๋งเลย หลวงพ่อท่านสอนพระได้ดีมากวิเศษเหลือเกิน พระวัดท่าซุงหลวงพ่อสอนให้ช่วยตัวเองทั้งหมด ไปบิณฑบาตนี่แทบจะไม่มีลูกศิษย์ตามต้องหิ้วปิ่นโตเองด้วยน่ะ ถึงขนาดนั้น ท่านบอกว่าหนังสือมี เทปมี พวกท่านไปอ่านเอา ฟังเอา แล้วปฏิบัติตามนั้น ติดขัดตรงไหนแล้วมาถามผม ผมจะบอกให้ ไอ้ของเรามันโตมาด้วยวิธีนี้มันก็เลยเคยชิน ถึงเวลาไอ้เรื่องที่จะมาถึง เอ้า กินซะลูก ไม่มีหรอก โยนชามข้าวให้ ๑ ใบ อาหารพร้อมแล้วนี่ไม่รู้จักตักกินเองปล่อยให้มันหิวซะให้เข็ด ตรงนี้เลยไม่ค่อยเอาใจใครล่ะจ้ะ ไปวัดเหมือนกันบอกเขาแล้วว่าถ้าจะมาเที่ยววัดมาได้ แต่ถ้าจะเอากฐินเอ้าผ้าป่ามาไปถามซะก่อนด้วยถ้าไม่ถามก่อนว่าต้องการหรือเปล่าไปถึงโดนไล่กลับห้ามบ่นนะ
      ถาม :  นึกว่าถึงวัดแล้วก็
      ตอบ :  ไม่มี ถึงวัดแล้วนั่นแหละไล่กลับมาแล้ว