ถาม :  ที่ท่านสร้างนิกายนี่ถือว่าเป็นสังฆเภทมั้ยครับ ?
      ตอบ :  ต้องดูเจตนาของท่าน สมัยนั้นนี่องค์การสงฆ์นี่มันเละจริง ๆ ขนาดระดับพระผู้ใหญ่ชนิดที่เรียกว่าระดับเจ้าคุณระดับสมเด็จโดนจับปาราชิกเข้า สังฆราชโดนจับสึกอย่างนี้ เคยอ่านประวัติศาสตร์ช่วงนั้นมั้ย ?
              คราวนี้ท่านทนไม่ไหว ในเมื่อท่านทนไม่ไหวท่านก็ประเภทที่ว่าทำอย่างไรจะหาพระที่มีศีลาจารวัตรเป็นที่งดงามเป็นที่เชื่อถือของชาวบ้าน เพื่อที่ชาวบ้านจะได้ศรัทธาพระศาสนาใหม่ ก็ไปเจอว่าพระมอญยังเคร่งครัดอยู่ ก็เลยดึงเอาการปฏิบัติแบบพระมอญเข้ามาก็เลยกลายเป็นธรรมยุติกนิกายขึ้นมา ถ้าหากว่าดูเจตนาแล้วของท่านก็ไม่ได้เจตนาที่จะทำให้เป็นสังฆเภท ส่วนตายแล้วไปไหนอันนี้ต้องใช้ความสามารถเอง
      ถาม :  แล้วทีนี้ก็ลองใช้ปัญญาของตัวเองลองเปรียบเทียบกับเพื่อน ๆ ตาม....(ไม่ชัด).....?
      ตอบ :  พอเลยเรื่องนี้เลิกพูดได้เลย ตราบใดที่เราเข้าไม่ถึงพระนิพพานจริง ๆ พูดไปเมื่อไหร่ก็ผิดต่อให้เข้าถึงจริง ๆ พูดแล้วก็ยังผิด เพราะว่าสภาวะความเป็นทิพย์ไม่ต้องนิพพานหรอกแค่เทวดาพรหมก็แย่แล้ว สิ่งที่เราเห็น ภาษามนุษย์หรือภาษาหนังสือมันหยาบเกินไปที่จะอธิบายได้
              สมมติว่าเราไปเที่ยววัดพระแก้วแล้ว เสร็จแล้วเราก็ไปบอกคนไม่เคยไปว่าวัดพระแก้วสวย ๆ ๆ สวยยังไงอธิบายให้เขาฟังได้มั้ย ? มันก็ได้สวยแค่คำเดียวใช่มั้ย ? เออ....ภาษามนุษย์มันหยาบเกินไป ภาษาเขียนก็หยาบเกินไป แต่เรื่องของธรรมะพอปฏิบัติไปถึงแล้ว พระพุทธเจ้าท่านใช้คำว่าปัจจัตตัง คือผู้ที่ปฏิบัติจะรู้เองเห็นเอง การรู้เห็นทางใจนี่มันจะเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนจนกระทั่งอธิบายเป็นคำพูดได้ยาก
              เท่าที่พบ ๆ มาก็คือหลวงพ่อท่านอธิบายธรรมะจากยากให้เป็นง่ายได้ดีที่สุด แต่ว่าถึงท่านทำได้ดีขนาดนั้นแล้ว ขอยืนยันว่ามันไม่ได้หนึ่งในร้อยของความเป็นจริง ท่านบอกว่าถ้าหากว่าเราจะเข้าถึงการทรงฌานพอถึงสุขมันจะสุขเยือกเย็นอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน นึกออกมั้ยเป็นยังไงถ้าเราไม่เจอเอง ภาษามนุษย์มันหยาบเกินไป
      ถาม :  อย่างนี้ต้องไปอธิบายคืน ?
      ตอบ :  ไม่ต้องไปอธิบายคืนหรอก เถียงกันไปก็ยิ่งผิด เลิกเถียงซะมันก็ผิดน้อยหน่อย หลวงพ่อท่านเคยว่าเป็นกลอนไว้ว่าพระนิพพานมีสภาพอย่างนี้
              รูปสดับสุรศัพท์พร้อม             คำขาน
              พอกล่าวว่าพระนิพพาน          สุขแท้
              เป็นศิวาลัยสถาน                  เลอเลิศ
              หายากหากเปรียบแม้            ว่าด้าว แดนใด
              รูป เสียงท่านใช้คำว่าพร้อม รูปสดับสุรศัพท์พร้อม คำขาน พอกล่าวว่าพระนิพพาน สุขแท้ สัมผัสได้ทุกอย่างเพียงแต่ว่ามันเป็นทิพย์พิเศษที่ต่างหากออกไป
      ถาม :  เคยไปอ่านในพระไตรปิฎก......(ไม่ชัด)......
      ตอบ :  ก็ไม่มี ขณะเดียวกันท่านก็ไม่ได้ยืนยันไว้ แบบเดียวกับกรรมบถ ๑๐ กรรมบถ ๑๐ ไม่มีข้อห้ามเรื่องสุรา แต่กรรมบถ ๑๐ นี่จรงิ ๆ แล้วเป็นคุณสมบัติของพระสกิทาคามี บุคคลที่ทรงความดีขนาดนั้นย่อมรู้อยู่แล้วว่าการดื่มสุราเมรัยไม่ใช่ของดีก็ไม่ไปล่วงละเมิดเอง
              แต่คนก็จะมากล่าวหาว่า เอ้ย...อย่างงั้นกรรมบถ ๑๐ ก็กินเหล้าได้น่ะสิ ตะแบงข้างไปจนได้เพราะฉะนั้นเอาเรื่องของคนตั้งใจจะละกิเลสกับเรื่องของคนมีกิเลสมาชนกันเมื่อไหร่ก็เละเมื่อนั้น ยิ่งเถียงไปกิเลสก็ยิ่งงอกงาม
      ถาม :  จากประสบการณ์ที่เจอ ๆ มานี่พุทธศาสนนิกชนส่วนใหญ่นี่ คือในลักษณะของความเชื่อเรื่องนิพพานเป็นสูญ ถ้าคนนี่เทียบเป็นเปอร์เซ็นต์นี่เทียบได้มั้ย ?
      ตอบ :  เทียบยาก ตีซะว่าปัจจุบันนี้ คนไทยตอนนี้ ๖๒ ล้านคน ผู้ชาย ๓๐ ล้านเศษ ผู้หญิง ๓๑ ล้านเศษ ผู้ชายน้อยกว่าผู้หญิงล้านกว่าแล้ว ก่อนนี้น้อยกว่าประมาณสองแสนเอง (หัวเราะ) น้อยกว่าเป็นล้านยังไม่พอ ยังหนีไปบวชซะอีกสามแสนได้ ยิ่งน้อยหนักเข้าไปอีก เราตีว่า ๖๒ ล้านคน ถ้าหากว่านับถือศาสนาพุทธสัก ๕๐ ล้านที่เหลือให้เป็นครัสต์เป็นอิสลามอะไรไป ๕๐ ล้านนี่มีตั้งหน้าตับงตาปฏิบัติจรงิ ๆ และรู้จักนิพพานไม่เกินสามแสนคน คุณว่ากี่เปอร์เซ็นต์ล่ะ ๓๐ ล้านก็ยังนึกเป็นเปอร์เซ็นต์ได้ว่า มันซัก ๑ เปอร์เซ็นต์ได้มั้ย ? นี่มันตั้ง ๕๐ ล้าน
              เพราะฉะนั้นลำบากหน่อย เรื่องของพระนิพพานเป็นเรื่องของปรมัตถบารมีจริง ๆ คนที่จะสร้างบารมีมาถึงขนาดปรมัตถบารมีเกิด ๆ ตาย ๆ กันจนนับกันไม่ถ้วน
              พระพุทธเจ้าตรัสกับพระนางกีสาโคตมีว่าหยาดน้ำตาของเธอที่ต้องร้องไห้เพราะสูญเสียคนรักไปในแต่ละชาติถ้ารวมกันแล้วมากกว่ามหาสมุทรทั้งสี่เป็นไหน ๆ เกิดมาเท่าไหร่แล้วล่ะ ? แต่ละชาติถ้าเสียคนรักไปทีร้องไห้ที จนมาถึงชาติปัจจุบันน้ำตารวมกันนี้มากกว่ามหาสมุทรทั้งสี ๗๐ เปอร์เซ็นต์ของพื้นโลกมันเป็นน้ำใช่มั้ย ? เกิด ๆ ตาย ๆ มานี่น้ำตามากกว่าน้ำนั้นอีก เกิดกันจนลืมไปข้างหนึ่ง
      ถาม :  ...............................
      ตอบ :  ไปเมืองจีนต้องขยันอุทิศส่วนกุศล เทวดาแถวนั้นเขาหิวบุญเจ้าที่เจ้าทางแถวนั้นเขาหิวบุญ เพราะว่าคนจีนถึงขยันทำบุญก็จริง มันมี ๒ อย่าง อย่างแรกคือทำผิดประเภทเผากระดาษเงินกระดาษทองเผากงเต็กไปให้ อย่างที่สองก็คือทำถูกแต่อุทิศส่วนกุศลไม่เป็น เพราะฉะนั้นถ้าคุณไปก็ให้ดะไปเลย คราวนี้ลำบากอะไรบอกให้เขาช่วย คราวนี้คล่องมากเลย
      ถาม :  พ่อชอบเผากระดาษเงินกระดาษทองเยอะ ๆ ค่ะ ?
      ตอบ :  ก็ให้เขาเผาไปสิ
      ถาม :  บอกเขาแล้วเขาบอกว่า .............?
      ตอบ :  ไม่ต้องบอกเพียงแต่ว่าแนะนำให้เขาทำอันนี้เพิ่มขึ้น ถ้าหากว่าเราไปค้านความเชื่อเก่าเขาไม่สำเร็จ พระพุทธเจ้าไม่เคยค้านใคร พระพุทธเจ้ามีแต่บอกว่าของเก่าที่เขาทำนะดี แต่ตถาคตมีวิธีที่ดีกว่าและก็บอกวิธีเพิ่มให้
              เพราะฉะนั้นถ้าเราค้านนี่ผิดวิธี เพียงแต่ถ้าบอกว่า เออ.....ถวายสังฆทานเพิ่มซะนิดหนึ่งนะป๊าก็สบายแล้ว ที่เหลือก็ควักกระเป๋าเพิ่มอยากจะเผารถเบนซ์อีกคันหนูก็ซื้อให้ได้แต่ที่เหลือขอให้มาถวายสังฆทานแล้วกัน
      ถาม :  เคยเอาพระบรมสารีริกธาตุ พ่อบอกว่าลื้อไปเอากระดูกอะไรมาก็ไม่รู้บอกว่าโอ้โหเสียวเลย บอกไม่อยากจะบอกพ่อเลย ?
      ตอบ :  (หัวเราะ) ก็เขาไม่รู้จริง ๆ
      ถาม :  เขาบอกว่าคนจีนเขาถือนะ ซี้ซั้วเอาของจากวัดมาอย่างนี้ ?
      ตอบ :  ก็คราวหน้าก็อย่าบอกสิ คราวหน้าเชิญเข้าไปเฉย ๆ
      ถาม :  ....................................
      ตอบ :  ถ้ามีเวลาไปล่องแยงซีเกียงซะวันหนึ่ง เสียดายต้าซานเสีย สร้างเสร็จนี่พวกทิวทัศน์สวย ๆ ของแยงซีเกียงมันจะเสียหมดเสียหมดเลย น้ำท่วมหมด เขื่อนยักษ์ที่ใหญ่ที่สุดในโลกไม่มีเขื่อนที่ไหนใหญ่เท่านั้นอีกแล้ว ฮูเวอร์ที่ใหญ่ที่สุดในโลกปัจจุบันนี้ ถ้าต้าซานเสียสร้างเสร็จนี่ไม่มีทางใหญ่กว่าได้เด็ดขาดเลย
      ถาม :  .................(ไม่ชัด).................จมไปในน้ำ ?
      ตอบ :  มันไม่ถึงกับจมไปในน้ำ พวกทิวทัศน์ต่าง ๆ ที่มีชื่อเสียงอย่างประตูมังกรจมเลย สมัยก่อนเขามีคำกล่าวกันว่า "ปลาหลี่ฮื้อผ่านสามด่านกลายเป็นมังกร" ทางมันลำบากขนาดไหน ? ขนาดปลาไปนี่ยังแทบตายเลย ซาเกี๊ยบช่องเขาสามแห่งมันจะบีบเข้ามาจากแม่น้ำใหญ่ ๆ กลายเป็นช่องนิดเดียว และมันเป็นหินแท้ ๆ ด้วย
              เพราะฉะนั้นเวลาน้ำพุ่งผ่านตรงนั้นมันจะแรงมหาศาลแล้วปลาก็ต้องทวนน้ำขึ้นไปเพื่อวางไข่ ถึงได้ว่าถ้าหากว่าปลามันสมารถผ่านสามด่านได้ก็เป็นมังกรไปเลย (หัวเราะ) ความเชื่อเขาเชื่อกันขนาดนั้น เขื่อนยักษ์ต้าซานเสียโครงการเขาจะเสร็จปี ๒๕๔๗ จะเริ่มกักน้ำ กักน้ำใหม่ ๆ นี่ข้างล่างก็คงแห้งไปพักหนึ่ง เห็นเขาว่าบ้านของขงเบ้งดีไม่ดีก็โดนจมไปด้วย
      ถาม :  ..................................
      ตอบ :  ธรรมดา กำลังมันยังไม่พอ ถ้ากำลังมันยังไม่พอนี่เราสู้แค่เสมอตัวกับชนะ อย่าไปอยู่ให้แพ้ รู้ว่าไม่ไหวให้หลบจากตรงนั้นไปเลย
      ถาม :  บางครั้งมันเกิดภาวการณ์แบบว่าเราไม่ผิด แต่ความรู้สึกยังน้อยใจทำให้เกิดว่าไปโกรธเขาอีก ?
      ตอบ :  ก็ธรรมดา ถ้าหากว่าไม่รู้ว่าตัวเองผิดตรงไหนก็ให้คิดซะว่าผิดตั้งแต่เกิดแล้ว เสือกทะลึ่งเกิดมา นั่นเป็นข้อผิดที่ร้ายแรงที่สุด ในที่สุดเราก็หาความผิดได้สบายใจ (หัวเราะ) เรื่องจริง ๆ นะ ไม่ได้พูดเล่น
              เคยมีอยู่หลายทีสมัยก่อนพยายามพิจารณาแล้วว่าเราผิดตรงไหนอย่างชนิดไม่เข้าข้างตัวเอง แล้วมันก็หาไม่ได้ ไล่ไปไล่มาในที่สุดก็เจอโจทย์ มึงผิดตั้งแต่เกิดแล้ว เสือกทะลึ่งเกิดมา โทษมันไปเต็ม ๆ เลย
      ถาม :  เห็นหลวงพ่อที่วัดบ่อทองยกย่องว่าหลวงพ่อเป็นยอดเนื้อนาบุญ ?
      ตอบ :  แล้วไงจ๊ะ ไม่น่าเชื่อเนอะ
      ถาม :  ไม่น่าเชื่อหลวงพ่อยังหนุ่มอยู่เลย ?
      ตอบ :  อะไรก็ตาม ที่มันยังไม่คุ้นเคยยังไม่ได้สัมผัสกับระยะยาว ๆ อย่าเพิ่งไปเชื่อ ตามพิสูจน์ไปเรื่อย ๆ ของแท้เขาไม่กลัวการพิสูจน์ ตามดูไปเรื่อย ๆ อย่าเพิ่งไปเชื่อซะทีเดียว
              ที่พระพุทธเจ้าเจ้าถามพระสารีบุตรว่าสิ่งที่พระองค์เทศนาไปพระสารีบุตรเชื่อมั้ย ? พระสารีบุตรบอกว่ายังไม่เชื่อก่อนพระเจ้าข้า พระปุถุชนโกรธไฟแลบเลย (หัวเราะ) อวดดีว่าเป็นพระอัครสาวกแล้วไม่เชื่อพระศาสดาหรือ....แต่พระพุทธเจ้าท่านทราบท่านก็ถามต่อว่าแล้วเธอคิดอย่างไร พระสารีบุตรบอกว่าต้องให้ปฏิบัติตามก่อน ถ้าหากว่าปฏิบัติแล้วได้ผลตามนั้นถึงจะเชื่อ
      ถาม :  ถ้าเชื่อแล้วพิสูจน์ไม่ได้ถึงจะแย่ ถ้าไม่เชื่อแล้วพิสูจน์ไม่ได้นี่ก็แย่มันลำบาก ?
      ตอบ :  จริง ๆ วิธีพิสูจน์มันเยอะ ยิ่งสมัยนี้ฝึกมโนมยิทธิได้พิสูจน์ง่ายออก
      ถาม :  เห็นว่า ร.๖ จะมาเกิด เมื่อไหร่จะมาดูแล ?
      ตอบ :  รอก่อน เพราะว่าถ้าตามที่หลวงพ่อท่านบอกก็ต้องอายุ ๓๒ ก็เหลืออีกประมาณ ๒๐ ปี
      ถาม :  ..................................................
      ตอบ :  ตอนนี้ก็เป็นชาวบ้านธรรมดา ๆ แต่ว่าเมื่อถึงเวลานั้นเล่นการเมืองเล่นอะไรขึ้นไปมีชื่อมีเสียงมีอะไรขึ้นมาคงจะเป็นผู้นำได้
      ถาม :  เป็นพุทธภูมิหรือเปล่า ?
      ตอบ :  ส่วนใหญ่พระมหากษัตริย์จะเป็นพุทธภูมิทั้งนั้น คำทำนายอันนี้ก็คือว่าบุคคลที่มาหาหลวงพ่อตั้งแต่ปี ๒๕๑๕ ถึง ๒๕๓๔ ในระยะเวลา ๒๐ ปีนี้ถ้าตั้งใจปฏิบัติจริง ๆ จะสามารถเข้าถึงพระนิพพานในชาตินี้ได้ ๑๗๕,๓๐๐ คน หลังจากปี ๒๕๓๔ เป็นต้นไปจะเป็นเรื่องของฤทธิ์ของอภิญญา บุคคลจะได้ฤทธิ์ได้อภิญญามาก แต่ว่าเรื่องของการเข้าถึงมรรคผลจะเหลือน้อยจะเหลือพระอนาคามี ๓๖ องค์ พระสกิทาคามี ๑๔๗ องค์ แล้วก็พระโสดาบันประมาณ ๓,๐๐๐ ถ้าถึงเวลาแล้วส่วนใหญ่จะไปติดอยู่แค่ดาวดึงส์ เพราะว่าอานิสงส์ของการถวายสังฆทาน เฉพาะสายหลวงพ่อจะบรรลุมรรคผลเมื่อพระศรีอาริยเมตตรัยขึ้นไปเทศน์โปรดพุทธมารดา ๗ แสนกว่า ประมาณ ๗๓๐,๐๐๐ คน
      ถาม :  แสดงว่าในสายหลวงพ่อนี่เยอะ ?
      ตอบ :  ก็เยอะ แ ต่ว่ามันจะมีเด็กฝากเยอะ เด็กฝากนี่ไล่ตั้งแต่สมเด็จองค์ปัจจุบันลงมา ท่านปู่พระอินทร์ พระศรีอาริยเมตตรัย คือท่านจะฝาก ๆ เอาไว้ว่าบางอันก็ให้วางพื้นฐานให้ บางอันก็ประเภทที่ท่านเองเข้านิพพานไปแล้ว เด็กของท่านก็ยังไปไม่ได้ซะทีก็ต้องมาเคี่ยวเข็ญกัน
      ถาม :  ท่านบอกว่าคนที่เกิดในยุคนี้มีทั้งเฮงมีทั้งซวย ตอนหลังนี้ท่านบอกว่าถ้าใคร....(ไม่ชัด).... พระพุทธเจ้าทั้ง ๕๐ พระองค์ ?
      ตอบ :  ส่วนใหญ่ถ้าก้าวเข้ามาในจุดของความดีขนาดนี้แล้วละเมิดความดีได้หมายความว่ากำลังใจมันแย่จริง ๆ ในเมื่อแย่จริง ๆ ลงข้างล่างไปนี่ พระพุทธเจ้ากัปนี้ไปหมดแล้ว ก็ไม่มีโอกาสได้เจอแน่เลย เพราะเวลาข้างล่างมันนานเหลือเกิน
      ถาม :  ๕๐ พระองค์ที่จะตรัสรู้ข้างหน้าลงมากราบหลวงพ่อหมดแล้ว ?
      ตอบ :  อันนี้ไม่ทราบเหมือนกันไม่ได้สอบถามไว้ แต่ว่าในช่วงที่หลวงพ่อลงรับแขกที่วัดจะมีบุคคลทั้งพระและฆราวาสที่มั่นใจว่าตัวท่านเองปราถนาพระโพธิญาณก็มาอธิษฐานต่อหน้าหลวงพ่อกันมาก
      ถาม :  มีฝรั่งอยู่คนหนึ่ง ผมก็เลยเอ้ย.....ทำไมมีฝรั่งด้วย ก็เลยเปิดไปอ่านเขาบอกเขาฝึกมโนมยิทธิครึ่งกำลังที่โน่นใครไปสอนจำไม่ได้แล้วครับ ฝึกเสร็จฝึกไม่ได้กลัวจะไปรบกวนคนอื่นเขาก็เลยนั่งภาวนาไปเองเรื่อย ๆ กลายเป็นแบบ่ออกเต็มกำลังไปเฉยเลย ?
      ตอบ :  แสดงว่าครูฝึกเก่งสู้ไม่ได้ ลูกศิษย์เก่งกว่า
      ถาม :  แล้วพอออกไปเสร็จ ผมก็นั่งอ่านตามแล้วผมก็แบบ เขาก็บอกว่าเขาขึ้นไปข้างบนเห็นพระจุฬามณีเป็นเหมือนพระปฐมเจดีย์แล้วเป็นองค์ทองทั้งองค์เลย ผมก็เฮ้ย...เห็นเหมือนเราเลยเว้ย เราก็เห็นอย่างนี้
              พอเขาเห็นเสร็จเขาก็นึกยังไงไม่รู้ เขาก็เข้าไปข้างในพอเขาเข้าไปข้างในเขาก็ไปเจอหลวงพ่อ ไปเจอพระพุทธเจ้า ไปเจอพระอินทร์อะไรอย่างนี้ครับ ผมก็แบบเออเว้ย...ผมก็เลยตามเข้าไปด้วย เสร็จแล้วพอผมเข้าไปด้วยเขาก็กำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่เลย แล้วผมก็อ่าน ๆ ไปสักพัก เอะ...ทำไมมันง่ายอย่างนี้วะ ทำไมอยู่ ๆ มันง่ายขนาดนี้เรารู้สึกมันง่ายจังเลย แล้วก็เห็นหลวงพ่อชัดมากเลยแล้วตาก็ยังลืมอยู่เลย ผมก็ เอ๊ ! มันไม่น่าง่ายขนาดนี้ สงสัยมันง่ายไปต้องไม่ใช่แน่เลย ?
      ตอบ :  ก็ไปหาเรื่องยาก ๆ ทำเอาก็แล้วกัน (หัวเราะ)
      ถาม :  เขาเหมือนมันตก ๆ ?
      ตอบมโนมยิทธิถ้าหากว่าเราทำถูกมันง่าย ส่วนใหญ่แล้วมันทำกลายเป็นของยาก เพราะมันทำเกิน ตรงช่วงพอดีมันมีนิดเดียว ส่วนหใญ่ที่ทำมันไม่ขาดก็เกิน มันก็เลยไปไม่ได้ถ้าทำพอดีไปง่าย
      ถาม :  แบบ....อะไรก็ไม่รู้เหมือนกับรีบเก็บตังค์ขนาดนั้น ผมว่าอย่างที่ผมได้หลาย ๆ ทีนี่มันเหมือยกับตอนนั้นเรามันไม่มีสติรึเปล่า เราถึงได้ไม่รู้ว่าอารมณ์ตอนนั้นมันยังไง ทำไมมันถึงจะจำได้แม่น ๆ ?
      ตอบ :  คือมันไม่ได้ตั้งสติที่จะดูไว้ ในเมื่อไหม่ได้ตั้งสติที่จะดูที่จะจำมันก็เลยจับไม่ได้ซะทีว่ตอนไปมันไปยังไง หาเหตุไม่เจอผลก็เลยไม่เกิด
      ถาม :  เหมือนกับอ่าน ๆ หนังสืออยู่ ๆ มันก็ตามไปเฉยเลย เราก็ไม่ได้นึกเลยว่ามันตั้งใจแล้วมันไม่เคยได้ ?
      ตอบ :  บอกแล้วว่า ตั้งใจมากไม่ได้ ตัวตั้งใจเป็นอุทธัจจกุกกุจจะ มันพาให้ฟุ้งซ่าน ทำสบายๆ คิดว่าเราทำเพื่อจะไปนิพพานไม่ว่าจะไปไหนก็คิดไว้ แล้วก็ลืมซะ ตั้งใจภาวนาอย่างเดียว
      ถาม :  ....(ไม่ชัด).....จริงซะที ไม่ทราบว่าคิดผิดรึเปล่าครับที่คิดว่าตัวเองไม่มีทางลำบาก ?
      ตอบ :  คิดไม่ผิดหรอก พอถึงเลาลาบากเข้ามันจะได้รู้ว่าเป็นไง
      ถาม :  มันเหมือนกับพอถึงเวลาแล้วจะมีคนขี่ม้าขาวมาช่วยทุกทีเลย ?
      ตอบ :  มี ๆ ๆ ถ้าทำบุญเอาไว้ดีต้องมีแน่นอน
      ถาม :  แต่ผมคิดอย่างนั้นตั้งแต่ผมยังไม่สนใจพุทธศาสนา ผมคิดตั้งแต่ผมยังเด็ก ๆ เลยแหละว่า แบบผมแบบมันมีคนช่วยตลอด ?
      ตอบ :  ถ้เป็นนักปฏิบัติเขาถือว่าประมาทมาก
      ถาม :  ..........................................
      ตอบคนที่ทำสมาธิสูงเกินกว่าอุปจารสมาธิจะไม่สามารถที่จะเห็นความเป็นทิพย์ต่าง ๆ ได้จนกว่าจะเป็นฌานสี่ไปเลย มันก็เลยเหมือนกับว่ามีห้องสองห้อง ห้องหนึ่งอยู่ใต้ถุน ห้องหนึ่งอยู่หลังคา สองห้องนี้เครื่องประดับตกแต่งทุกชิ้นเหมือนกันหมด ยกเว้นอยู่อย่างเดียวว่าคุณจะมาข้างล่างหรือไปข้างบนเท่านั้น
              คราวนี้สมาธิที่แน่นแต่ว่าลดกำลังไม่เป็นหรือว่าขึ้นไม่ถึงสูงสุด โอกาสที่จะได้อะไรมันจะไม่มีเลย เพราะว่ามันเหมือนกับว่าอยู่ระหว่างกลางบันได ห้องบนก็ไม่เห็น ห้องล่างก็ไม่เห็น ดังนั้นต้องบอกเขาว่าให้เขาซ้อมสมาธิให้หนักแน่นกว่านี้ แต่ขณะเดียวกันให้ลดกำลังใจมาให้เป็นด้วย ถ้าลดกำลังใจคล่องถึงเวลาลงอุปจารสมาธิปุ๊บก็เริ่มเห็นได้เลย
      ถาม :  แล้วลักษณะที่เขาเห็นเป็นแสงคือนั้นเป็นฌานสี่ ?
      ตอบ :  ตรงนั้นแหละอุปจารสมาธิเริ่มเห็น ต่อให้เห็นเทวดา เห็นพรหม เห็นนิพพานก็ยังเป็นอุปจารสมาธิอยู่จนกว่าเราจะไปถึงที่นั้นได้ถึงจะเป็นกำลังของฌานสี่..... อารมณ์ใจนี่มันตัดมันตัดจริง ๆ นะ
              สมัยก่อนนั่งอยู่ข้าง ๆ หลวงพ่อสังเกตมั้ย ท่านคุยเรื่อง ๆ หนึ่งไปถึงกำลังสนุกเลยมีคนขัดคอปุ๊บ ท่านก็ไปว่าเรื่องของเขาเสร็จแล้วก็หันมาถามว่าไปถึงไหนแล้ว นั่นตัดเกลี้ยงโดยสิ้นเชิงเลย จะเหลือแต่เฉพาะหน้าจริง ๆ ในเมื่อตัดเกลี้ยงขนาดนั้นก็เลยไม่มีเรื่องอะไรที่มันยุ่งยากอยู่ในใจของท่านเลย คิดเฉพาะตอนอยู่ตรงหน้าเลิกแล้วเลิกกัน ไม่ได้เก็บงานเอาไปคิดตอนนอน พวกเราเก็บไปคิดตอนนอนด้วย
      ถาม :  ลักษณะที่เขาเคยทำได้ค่ะ แต่ว่าตอนหลังนี่ทำไม่ได้เพราะว่าสมาธิเขาจะสั้น ?
      ตอบ :  เขาทิ้งมันนานเกินไป ฝึกใหม่ยังจะง่ายกว่า คนที่ทำได้แล้วทิ้งนี่กว่าจะได้เหมือนเดิมนี่ลำบากยากเข็ญแสนสาหัสเลย กระแสโลกนี่มันเหมือนกับน้ำ ถ้าหากว่าเราจะต่อต้านกระแสโลกเราต้องว่ายน้ำทวนขึ้นไป คราวนี้พอเราว่ายทวนน้ำไปทวนน้ำไป ถึงเวลาก็ปล่อยไหลตามน้ำ กว่าจะว่ายทวนน้ำอีกทีหนึ่งคราวที่แล้วก็เหนื่อยแล้ว ตอนนี้จะเอาเรี่ยวเอาแรงที่ไหนมา มันก็ไปยาก ต้องทำให้ต่อเนื่อง จะบอกเขาบอกว่ากัดฟันหน่อยกัดลิ้นด้วยก็ดีนะ ใช้ความพยายามให้มันมากกว่าเดิมนิดหนึ่ง
              หลังจากที่ฟันฝ่าอยู่ระยะหนึ่ง พอความสามารถเดิมคืนมาได้คราวนี้อย่าเผลอปล่อยให้หลุดเชียว หลุดเมื่อไหร่แย่เมื่อนั้น ให้เขาพยายามจุดไฟให้ลุกให้ได้ ไฟก็คือตัวฉันทะ มันต้องพอใจที่จะทำก่อน พอเขาพอใจที่จะทำ คราวนี้ก็จะทำอย่างจริง ๆ จัง ๆ แล้วถ้าหากว่าตัวพอใจที่ทำยังไม่มีนี่ลำบากมากเลย
      ถาม :  การที่จะทำจริง ๆ จัง ๆ นี่จะต้องวางทางโลกหมดเลยรึเปล่าคะ ?
      ตอบ :  ไม่จำเป็นต้องวาง แต่ว่าให้มันมีเวลาเป็นของเขาโดยเฉพาะ ซักช่วงหนึ่ง อย่างตอนเย็น ๆ ซักชั่วโมงหรือเช้า ๆ ซักชั่วโมงอย่างนี้
      ถาม :  ต้องให้ต่อเนื่องกัน ?
      ตอบ :  ทำแล้วพยายามรักษาอารมณ์ที่ทำได้ให้ต่อเนื่อง ให้อยู่ในช่วงของวันเวลาให้มากที่สุดอย่างเช่นว่า ๒๔ ชั่วโมง ถ้าเราสามารถรักษาอารมณ์ต่อเนื่องได้สัก ๘ ชั่วโมง ๑๐ ชั่วโมง ไม่ขาดทุนมากก็โอเค คือถึงเวลาพอเราเลิกภาวนาแล้วอารมณ์ใจมันทรงตัวอยู่ระดับไหนให้ประคับประคองอารมณ์นั้นให้อยู่กับเราให้นานที่สุด
      ถาม :  แต่คราวนี้มันพอเขาอยากจะทรงอารมณ์ตรงนั้น พอได้แค่ช่วงเดียวมันก็จะเกิดอาการทุกข์ ?
      ตอบ :  มันทุกข์ยังไง ?
      ถาม :  มันก็จะไม่สามารถทำได้ต่อไป ?
      ตอบ :  ไม่สามารถทำได้ต่อไป ถึงเวลาเราไปนั่งเสร็จก็ไปขยับใหม่อีก ทำลักษณะนั้นไปเรื่อย ๆ และระยะเวลามันจะยาวขึ้นมากขึ้น จากชั่วโมงก็เป็นสองชั่วโมง สามชั่วโมงเป็นครึ่งวันเป็นวันหนึ่งไล่ไปเรื่อย
      ถาม :  ไม่จำเป็นต้องนั่ง ?
      ตอบ :  ไม่จำเป็นจะ ยืน เดิน นั่ง นอน รักษาอารมณ์นั้นได้เหมือนกันหมด ประคับประคองอารมณ์นั้นไว้ ไปเปิดดูกรรมฐาน ๔๐ก็ได้ บทที่ ๗ เรื่องการทรงฌาน หน้า ๔๐ พอดีนั้นแหละ แล้วจะได้รู้ว่าการรักษาอารมณ์ฌานคือการประคองอารมณ์นั้นแหละ ต้องใช้ยังไงบ้าง ทำยังไงบ้างหลวงพ่อบอกไว้ละเอียดเลย
      ถาม :  ก็อย่างที่บางครั้งนี่เผลอ ๆ ก็จะเห็นแสงแวบเข้ามาแป๊บเดียวค่ะเสี้ยววินาที ?
      ตอบ :  ตอนนั้นกำลังใจของเราตอนเผลอมันมักจะเป็นตอนที่กำลังใจลงล็อคพอดี บอกแล้วว่าถ้าตั้งใจมากแล้วมันจะเกิน ขณะเดียวกันไม่ตั้งใจมันก็ขาด ปัจจุบันนี้มันมีแต่เกินกับขาดซะเยอะ พอดีมันน้อย ถ้าพอดีเมื่อไหร่มันก็เห็นได้เมื่อนั้น แล้วส่วนใหญ่ก็คือพอเห็นปุ๊บก็ไปให้ความสนใจมันแล้วมันก็หายจ้อยและก็ต้องรอรอบใหม่