ถาม :  บุคคลที่รู้สึกว่าตัวเองเหมือนถูกขัง คือว่าเราฟังธรรมะ รู้หัวข้อธรรมต่าง ๆ การปฏิบัติจะต้องมีสติระลึกรู้ในสิ่งต่าง ๆ คราวนี้สมมติว่าเรารู้แล้ว แต่ว่ากำลังใจที่ละในสิ่งต่าง ๆ มันไม่สูงเพียงพอ ?
      ตอบ :  มันยังแค่จำได้
      ถาม :  มันจะรู้สึกมั้ยว่า ตัวเองถูกขังไว้ไม่สามารถที่จะออกไปในสิ่งต่าง ๆ ไม่พ้นจากสิ่งต่าง ๆ นั้นไปได้ มันยิ่งทรมานยิ่งกว่าผู้ที่ไม่รู้ ?
      ตอบ :  ก็น่าจะเป็นอย่างนั้น ประเภทน้ำชาล้นถ้วยไง คุณด็อกเตอร์เขาไปหาอาจารย์เซ็น อาจารย์เซ็นก็รินน้ำชาให้ รินไปเรื่อย ๆ ๆ ล้นแล้วครับ ล้นแล้วครับ เอ....ก็รู้อยู่มันก็เหมือนกับคุณนั่นแหละ
      ถาม :  คราวนี้เขารู้แล้ว เขาก็รู้ด้วยว่ามันเป็นอยู่ เขาทุกข์ทรมานแต่เป็นเพราะเหตุใดเขาถึงยังไม่สามารถที่จะหลุดพ้นจากสิ่งเหล่านั้นไปได้ ?
      ตอบเขาไม่ยอมทิ้งในสิ่งที่เขายึดอยู่ ถ้าหากว่าเขาทิ้งทั้งหมดที่เขารู้มาโดยที่ไม่มีมานะทิฐิ ตัวถือตัวถือตนอยู่ว่าเขารู้มาแล้ว ยอมรับฟังแล้วก็ตั้งใจคล้อยตามในตัวธรรมะนั้น ๆ เขาก็จะได้ไปเลย แต่ว่าส่วนใหญ่ที่เขาโดนขังอยู่เป็นเพราะเขาไปยึดเอง เขาจะลากมันออกจากกรงมันไม่ยอม มันเกาะซี่กรงอยู่นั่นแหละ
      ถาม :  ที่ผมถามก็คือ ผมก็มีอารมณ์อย่างนี้อยู่เหมือนกัน อยากทราบว่าทุกคนนี่มีอารมณ์อยู่ตรงนี้มั้ย ?
      ตอบ :  ส่วนใหญ่แล้วจะเป็น เคยอ่านกำลังภายในอยู่เรื่องหนึ่ง อาจารย์เขาพาพระเอกเข้าไปในห้องตำรา ชี้ให้ดูหนังสือกองท่วมหัวเลย ทั้งหมดนี่ใช้เวลาอ่านนานเท่าไหร่ ? พระเอกมองซ้ายมองขวาเสร็จ อ่านแล้วต้องจำหรือเปล่าครับ ? ต้องจำให้ได้ทั้งหมดด้วย มองเสร็จเรียบร้อยก็บอกประมาณปีครึ่งอ่านหมดจำได้ด้วยนะ ไม่รู้กี่หมื่นกี่แสนตัวอักษรแล้วถ้าต้องลืมหมดล่ะ ? พระเอกนั่งคำนวณอยู่พัก น่าจะถึง ๓ ปีครับ ตกลงว่าไอ้เวลาลืมมันนานกว่าเวลาจำอีก แล้วเขาก็ถามว่าทำไมต้องลืมด้วย ? ปัญหาเดียวของคุณนั่นล่ะ ถ้าไม่ลืมมันจะไม่เข้าถึงแก่นแท้
      ถาม :  อย่างนี้บุคคลที่ชอบมีปัญหาเยอะ มักถามที่มันไม่ค่อยจะเกี่ยวกับการปฏิบัติบางครั้งอาจจะเกี่ยวแล้วมันมีหลายสายหลายทางทำให้เขาปฏิบัติได้ยากยิ่งขึ้น ?
      ตอบ :  ยิ่งรู้มากก็ยิ่งยากขึ้น แบบเดียวกับมโนมยิทธิ ถ้าทำตัวเป็นเด็กว่าง่าย ๆ คล้อยตามไปครั้งเดียวก็ได้แล้ว ประมาณสิบกว่านาทีก็ได้ ถ้าประเภทรู้มากถึงเวลาแล้วต้องตอบอย่างนี้ ถ้าเห็นอย่างนี้แล้วต้องบอกอย่างนี้ มัวแต่ไปยึดถือของเดิมอยู่ก็เจ๊งไม่เป็นท่า มันกอดต้นเสาอยู่ แล้วมันก็บอกว่ามันจะไปเชียงใหม่ เมื่อไหร่มันจะถึง
      ถาม :  แล้วบุคคลที่เขาสร้างกำลังใจน่ะครับ ตอนนี้เราจะสร้างกำลังใจ สมมติเรามีสติที่จะรู้ในสิ่งต่าง ๆ คราวนี้พอเรามีสติแล้ว เราจะทำกำลังใจเพื่อที่จะทำในสิ่งต่าง ๆ เพื่อให้สำเร็จในสิ่งต่าง ๆ ?
      ตอบ :  กำลังใจมันก็ต้องกำลังกายด้วยก็ต้องใช้ตัวภาวนาเป็นหลัก ยิ่งอารมณ์ทรงเป็นฌานได้มากเท่าไหร่ ความเข้มแข็งของกำลังใจก็จะมีเท่านั้น ถ้าหากว่าความเข้มแข็งของอารมณ์ใจคือทรงฌานได้ทรงตัว ไฟของเรามันก็จะสม่ำเสมอ มันไม่ใช่ไฟไหม้ฟางวูบเดียวหมด เพราะฉะนั้นก็ต้องตั้งหน้าตั้งตาภาวนาเลย กำลังใจมันจะทรงตัวมากเท่าไหร่ มันก็จะหนักแน่นมั่นคงต่อกิจที่เราทำมากเท่านั้น
      ถาม :  นี่หมายถึงทุกกิจเลยใช่มั้ยครับ ?
      ตอบ :  ทุกอย่างเลย รวมทั้งทางปฏิบัติด้วยรวมทั้งทางโลกด้วย
      ตอบ :  อย่างความหวาดกลัว ถ้าเกิดทรงฌานแล้วยังมีความหวาดกลัวอยู่ แต่ว่า....?
      ถาม :  อันนี้กลัวตายแน่ ๆ อาตมายืนยัน เพราะเจอมาเองแล้ว
      ตอบ :  แล้วถ้าเกิดว่า ผู้ที่บรรลุธรรมอย่างนี้จะมีความกลัว ?
      ถาม :  ถ้าหากว่าบรรลุธรรม ก็ต้องถามว่าบรรลุขั้นไหน ถ้าเป็นพระอรหันต์นี่ไม่กลัวแน่นอน ถ้าต่ำกว่านั้นยังมีความกลัวอยู่
      ตอบ :  ถ้าอย่างนี้หายกลัวแมลงสาบ ?
      ถาม :  (หัวเราะ) หายกลัวแมลงสาบเหรอกินมันซะ เห็นโทรทัศน์มันฉายให้ดูมันใส่ปากเคี้ยวเลย
      ตอบ :  ถ้าคนที่เขาไม่ปฏิบัติตามอะไรแบบนี้ เป็นคนบ้าบิ่นไม่กลัวอะไรคนพวกนี้เป็นเพราะว่าเขามีฌานอยู่แล้ว
      ตอบ :  ไม่แน่เหมือนกันว่า ชาติก่อนเขาอาจจะทำได้ซะจนเหลือเกินแล้ว ชาตินี้มันลืมไปแป๊บเดียว
      ถาม :  แล้วอารมณ์เก่าไม่ลืมใช่มั้ยคะ ?
      ตอบ :  อยู่....ถึงเวลางมเจอเมื่อไหร่ก็เมื่อนั้น ระวังนะนั่งคุยคนเดียวเขาจะว่าบ้า
      ถาม :  แล้วอย่างนี้เวลาที่เราภาวนา กับเวลาที่เราสัมผัส ....(ไม่ชัด)....?
      ตอบสวดมนต์ก็คือการภาวนา ให้เราตั้งสมาธิเอาไว้ตรงหน้าเลย ตั้งใจว่าทั้งหมดที่เราสวดมนต์เราถวายเป็นพุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชา สิ่งที่เราทำนี่ตั้งความปรารถนาที่เดียวคือพระนิพพาน เอาจิตเกาะนิพพานไว้ข้างบนก็ได้ ตั้งใจไปกราบเอาแทบเท้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าข้างบน สวดถวายท่านบนนั้นเลย ตายตรงนั้นก็ไปนิพพานเดี๋ยวนั้นเลย ดีกว่าจะมานั่งภาวนาอยู่ตั้งนานเนกาเล
              ถ้าจะซ้อมตัวมโนมยิทธิด้วยก็ตั้งใจนึกไป สวดภาวนาอิติปิ โส ภะคะวา ก็ให้ตัวหนังสือขึ้นมาเป็นตัว ๆ ไปเลย เห็นตัวหนังสือชัดเท่าไหร่ ทิพจักขุญาณก็ชัดเท่านั้น มันอยู่ที่ว่าเราทำเป็นมั้ย ? ถ้าเขาถามว่าสวดมนต์ได้อะไร ? บอกไม่ถูกมันได้ตั้งแต่เบื้องล่างเล็ก ๆ ขึ้นไปยังนิพพานเลย แล้วแต่ว่าเราทำถูกมั้ย ? ทำเป็นมั้ย ? บางคนก็บอกว่าสวดมนต์มันไม่ได้อะไร ลองสวดอย่างที่ว่าดูสิ ดีไม่ดีก็ไปนิพพานเอาดื้อ ๆ อย่างนั้น เอ๊ะ ! ทำไมอยากจะกลับแล้วมันไม่กลับวะ (หัวเราะ) ไอ้ข้างล่างมันตายไปแล้ว
      ถาม :  การสวดมนต์อย่างนี้ครับ บางทีเราทำไปถึงจุดหนึ่งแล้วรู้สึกว่าควรจะทำใหม่เป็นประจำทั้งเช้าและเย็นแต่ก็ยังขี้เกียจอยู่ ก็ยังรู้สึกผิดเล็ก ๆ ว่าไม่ได้ทำ ?
      ตอบ :  อ้อ ! อย่างงั้น กิเลสมันยังชนะอยู่ ถ้าหากว่าทำตามที่ตัวเองว่าป่านนี้มันทรงฌานไปแล้ว เพราะว่าความรู้สึกที่ว่าถึงเวลาไม่ได้ทำแล้วมันรู้สึกผิดหรือว่ารู้สึกว่ามันยังไม่ได้ทำกิจที่เราควรจะทำ อย่างนั้นเขาเรียกว่าทรงฌานคืออยู่ในอารมณ์ที่เคยชิน ไม่ต้องไปเสียเวลานั่งภาวนาก็เป็น
      ถาม :  แล้วเวลานอนสวดกับนั่งสวด ?
      ตอบ :  ตีลังกาสวดก็ได้ มันสำคัญอยู่ตรงรักษาอารมณ์ใจ ถ้ารักษาอารมณ์ใจได้เท่ากันอานิสงส์ก็เท่ากัน ยกเว้นว่า นอนสวด อิติปิโส ไม่ทันจะ ภะคะวา ก็ไปซะแล้ว
      ถาม :  อย่างนี้ให้ผลเท่ากันมั้ยครับ ?
      ตอบ :  ก็ดูสิ เขาดูกำลังใจตรงสูงสุด นายบัญชีเขาจะจดตอนกำลังใจสูงสุด กำลังใจยังไงเรียกว่าสูงสุด ก็เกาะพระนิพพานไปเลยง่ายดี
      ถาม :  .................................
      ตอบ :  ทำไงจะเห็นได้บ้าง ? ตั้งใจอันดับแรกขอขมาพระก่อน เพราะว่าการที่เราไปจับไปทดลองลักษณะนั้น เป็นการปรามาสพระรัตนตรัย คือเราไม่เชื่อมันเราถึงไปลอง
              เพราะฉะนั้นขอขมาก่อน แล้วตั้งใจขอบารมีท่านให้สงเคราะห์ว่า พุทธานุภาพ ที่บรรจุอยู่ในองค์พระนี้ จะเป็นไปในลักษณะไหนขอให้โปรดให้แสดงออกให้ทราบด้วย แล้วก็เอาพระกำไว้ในมือเบา ๆ ก็ได้สบาย ๆ ทำตัวเหมือนยังกับว่าง ๆ เปล่า ๆ เหมือนกระดาษขาว ๆ ใบหนึ่งตั้งใจภาวนาว่า สุนักขัตตัง สุมังคะลังไปเรื่อย ๆ เดี๋ยวอาการมันออกเอง ถ้าดิ้นไม่รู้จักเลิกก็รีบปล่อยพระนะเดี๋ยวเหนื่อยตาย
              สุนักขัตตัง สุมังคะลัง มันเป็นวิธีสร้างสมาธิที่ดีอย่างหนึ่งเหมือนกัน สมัยก่อนหลวงพ่อท่านเคยบอกให้ ท่านจะบอกวิธีหลาย ๆ อย่างด้วยกันในการทดสอบพลังงานของพระ แต่ว่าต้องขอขมาพระก่อนท่านบอกว่ากำลังใจเหล่านี้มันเป็นเบื้องต้นของอภิญญา ถ้าเราทำจนชินแล้วจะไปฝึกสมาธิเพื่ออภิญญาเพื่อฌานสมาบัติอะไรมันจะได้ง่าย
      ถาม :  แล้วอย่างนี้เราจะรู้ได้ไงครับว่าหลวงพ่อองค์ไหนเป็นอย่างไร ?
      ตอบ :  อาการที่แสดงออกจะบอกเอง ประเภทที่ดิ้นตึง ๆ ๆ ๆ ส่วนใหญ่จะออกไปในทางประเภทอยู่ยงคงกระพัน พวกนั้นจะตีกับชาวบ้านเขาท่าเดียว บางอันอย่างสมเด็จวัดระฆัง ดึงตัวพุ่งขึ้นข้างบนไปเลย ลักษณะถ้าหากว่าอย่างนี้ถ้าเราตั้งใจปฏิบัติธรรมแล้วก็ขอให้พระท่านช่วยนี่กำลังใจจะทรงตัวได้เร็วมาก เพราะว่าเจตนาจะทำเพื่อให้สงเคราะห์กับคนปฏิบัติธรรมให้ก้าวหน้า
              ถ้าหากว่าของหลวงปุ่บุดดานี่ ลักษณะจะออกไปทางเมตตาสูงมาก เพราะว่ามือไม้ไปหมด เราเอาพระพนมไว้ในมือ ๆ มันไปอย่างนี้ นิ่มมากเลยนิ่มจริง ๆ ดูแล้วสวยดี เพราะฉะนั้นเราจะดูอาการก็รู้ว่าพระองค์นั้นจะมีอานุภาพไปทางด้านไหน ลอง ๆ ดูได้แต่ถ้ามันเหนื่อยทนไม่ไหวก็เอาพระออก ถ้าไม่เอาออกก็ดิ้นอยู่นั่นแหละ ถ้าตอนนั้นกำลังใจมันจะเปิดรับนะ
              แต่ว่าหลังจากนั้นที่ทำไประยะหนึ่งเราจะเคยชินกับอารมณ์ใจตรงจุดนั้น คราวนี้มันจะแย่ตรงที่ว่า แค่นึกมันก็ดิ้นแล้ว ไม่ต้องมีอะไรหรอก แค่นึกมันก็ดิ้นแล้ว เพราะมันกลายเป็นว่าเราสามารถรับพลังงานได้แล้ว
              ตอนสมัยก่อนที่หลวงพ่อท่านสอนก็สามารถที่จะจับได้ ตอนระยะหลัง ๆ นี่ทำไม่ได้แล้ว เพราะว่าหลังจากที่เลิกทำมาเนื่องจากว่าไม่ว่าจะเป็นรูปพระที่จะเป็นเศษกระดาษเป็นอะไรก็ตามพอเราจับเข้ามาปุ๊บความรู้สึกของเราก็จะบอกก่อนเลยว่านี่เป็นรูปพระพุทธเจ้า ความเคารพที่เต็มเข้ามาในใจของเรา ภาพนั้นจะกลายเป็นของขลังที่ใช้ได้ไปเลย จะมีพลังงานที่ใช้ได้ทันทีเดี๋ยวนั้นเลย เพราะฉะนั้นไม่สามารถจะจับอะไรได้อีก หยิบอะไรขึ้นมาก็ใช้ได้หมดแล้ว ทดสอบเขาไม่ได้แล้ว ลอง ๆ ทำดูสนุกดีเหมือนกัน แต่อย่าไปทำเพื่อสนุกนะ ทำเพื่อการศึกษาเพราะอยากรู้จริงและทำแล้วต้องขอขมาพระทุกครั้งด้วย
      ถาม :  แต่อย่างเห็นแสงนี่คือ ..............?
      ตอบ :  ก็แล้วแต่ ถ้าหากว่าเห็นแสงก็ไปแยกแยะอีกสีเขียว สีแดงก็จะออกไปทางอิทธิฤทธิ์ สีเหลืองก็เมตตา เขาจะมีของเขาอยู่ไปสอบถามคนที่เขารู้เคยทำแล้วกัน
      ถาม :  พี่ชายถาม บอกว่าทำยังไงจะต้องทำยังไงถึงจะเห็นแสง ?
      ตอบ :  อย่างน้อย ๆ ก็ต้องภาวนาไประยะหนึ่ง คือมันต้องมีสมาธิด้วย ตัวเห็นแสงนี่มันแค่อุปจารสมาธิ เท่านั้นแหละ แต่สำหรับคนไม่เคยทำอุปจารสมาธิเราก็รู้สึกว่ามันเต็มกลืนแล้ว อันนั้นบอกเขาบอกพยายามภาวนาหน่อย ดีเหมือนกันเผื่อจะเลี้ยวเข้ามาทั้งตัวเลย
      ถาม :  อยากถามว่าทำอะไรดี ?
      ตอบ :  ขายยาบ้า (หัวเราะ) รวยง่ายที่สุดเลย ระยะนี้ถ้าหากว่าใครมีงานประจำก็ค่อยยังชั่วหน่อย ถ้าหากว่าเป็นกิจการส่วนตัวนี่จะลำบาก เพราะสภาพเศรฐกิจมันผันผวนเอาอะไรแน่นอนไม่ได้ แล้วก็อย่าลืมว่าปีหน้ามันหนักกว่านี้ ปีหน้าเศรษฐกิจมันยังกับกราฟหัวใจขึ้นปุ๊ด ๆ ๆ แล้วก็ลง ช่วงจังหวะที่เราคิดว่าจะดีมันก็ร่วงซะแล้ว ตอนที่คิดว่าไม่ดี ๆ อยู่ ๆ มันก็พุ่งขึ้นเฉยเลย
              ฉะนั้นปีหน้าสภาพมันจะผันผวนมาก แล้วพอใกล้ ๆ กลางปีปลายไตรมาสที่สองเป็นต้นไป สภาวะสงครามมันจะขยายตัวขึ้น ปลาย ๆ ปีก็พวกกูพวกมึงตีกันให้ยุ่งแล้ว ไม่ต้องวิตกนะ เรื่องนี้เป็นเรื่องโกหกฝันเฟื่องเรื่องโกหกหลอกเขาไปวัน ๆ ถ้ามันตรงก็ถือว่าฟลุ๊คเราคิดว่าเรามีวันนี้แค่วันเดียวนะ เราอาจจะไม่พ้นวันนี้ก็ตายลงไปก่อนก็ได้ เพราะฉะนั้นถ้ามันตายลงไปวันนี้เราก็ขอไปนิพพานดีกว่า ภาวนาจับภาพพระไปเลย เรื่องปีหน้ามันอีกตั้งนานอยู่ไม่ถึงหรอกตายก่อนแน่ ๆ เลย
      ถาม :  แล้วอย่างพวกที่เป็นตุ๊ดเป็นเกย์นี่เขาอยู่ด้วยกันจะเป็นบาปมั้ย ?
      ตอบ :  ถ้าหากว่าพ่อแม่อนุญาตไม่เป็นไร ผู้ปกครองอนุญาตไม่เป็นไรเพราะว่าจริง ๆ แล้วมันก็เป็นธรรมชาติธรรมดาของเขา
      ถาม :  .....................ก็คือกว่าจะได้ ต้องเริ่มจากการนั่งสมาธิ ?
      ตอบ :  พื้นฐานใหญ่คือ ศีล สมาธิ ปัญญา ๓ ตัวรวมกันทีพระพุทธเจ้าท่านเรียกว่ามรรคแปด แต่ว่ามันจะมาเข้มข้นตรงที่ว่าพอเรารักษา ศีลบริสุทธิ์นี่เราตั้งหน้าตั้งตาทำสมาธิ สมาธิจะทรงตัวได้ดี ยิ่งได้สมาธิสูงเท่าไหร่เรื่องฤทธิ์เรื่องอภิญญาก็ยิ่งเป็นเรื่องง่ายเท่านั้น