ตอบ :  มีอยู่ครั้งหนึ่งมางานศพ หลวงปู่ธรรมชัย ที่วัดเทพศิรินทร์ หลวงปู่มรณภาพวันที่ ๕ ธันวาคม ๒๕๓๐ มรณภาพก่อน หลวงปู่มหาอำพัน ๒ ปีคราวนี้พระผู้ใหญ่ท่านก็มากราบศพหลวงปู่ธรรมชัยกันมาก สมเด็จพระญาณสังวร ตอนนั้นยังไม่ได้เป็นสมเด็จพระสังฆราชก็มา สมเด็จญาณฯ นี่ร่างกายท่านไม่ค่อยแข็งแรงมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว เวลาเดินท่านลากเท้าไปกับพื้นน่ะ ลากแบบถู ๆ ไปกับพื้น ถ้าหากว่าใครใส่รองเท้าในลักษณะนั้นก็คือพังเร็ว
              คราวนี้ ศาลากวีเนรมิตร ที่ตั้งศพหลวงปู่ครูบาธรรมชัยมันจะมียกชั้นขึ้นมาประมาณสักฝ่ามือหนึ่ง แล้วก็จะเป็นพื้นศาลาข้างบน เราก็ตายล่ะวาพระผู้ใหญ่เป็นสิบเป็นร้อยยืนไหว้สมเด็จพระญาณสังวรกันหมด ไม่มีใครไปเตือนท่านสักองค์หนึ่งว่า ตรงนั้นน่ะถ้าลากเท้าต่อในลักษณะนั้นน่ะหน้าทิ่มแน่เลย เราก็เลยพรวดเดียวเข้าไปถึงจับแขนท่านบอกพระเดชพระคุณขอรับ มันเป็นขั้นอยู่นะครับ ยกเท้าขึ้นนิดหนึ่ง ท่านก็ เออ...เออ...ขอบใจนะ แล้วท่านก็ยกเท้าก็เดินไป เราก็ประคองท่านเข้าไปจนกระทั่งท่านกราบหลวงปู่เสร็จเรียบร้อย ประคองท่านนั่งกราบท่านเสร็จแล้วเราก็กลับที่เดิม พระข้างหลังเขาซุบซิบกันว่า พระองค์นั้นมาจากไหนทำไมไม่กลัวสมเด็จ ฯ ท่านเลย เราก็ได้แต่นึกในใจว่าอยู่กับดวงอาทิตย์มาทั้งดวงไปกลัวอะไร (หัวเราะ)
              โอ้โห... อยู่กับหลวงพ่อนี่อกสั่นขวัญแขวนน่ะ ไม่มีใครอยู่กับหลวงพ่อได้อึดกว่าอาตมาอยู่แล้ว นี่กล้ายืนยันเลย เพราะว่า ๖ ปีสุดท้ายเฝ้าหน้าห้องให้หลวงพ่อมาตลอดโดนเข้ากระเจิงหมด เวลาหลวงพ่อด่าแล้วเขาอยู่ไม่ได้ เขารู้สึกมัน... ไอ้ที่เรียกว่าจะขาดใจตายน่ะ ขอเผ่นก่อน ไม่กล้าสู้หน้าหลวงพ่อ ของเราน่ะ....มันคิดอยู่อย่างเดียวว่า หลวงพ่อด่าเพราะอยากให้เราได้ดี ถ้าเราแก้ไขในสิ่งที่เป็นความผิดต่อไปมันจะไม่ผิดอีก แล้วส่วนใหญ่หลวงพ่อด่าท่านจะด่ากลางคนหมู่มาก ด่าให้จำมันจะได้เข็ด เคยโดน... รู้สึกเลยล่ะว่าหัวหูมันร้อนวูบวาบไปหมด แต่ว่าแล้วเราจะจำนานมันจะไม่ผิดอีก
              ตัวอย่างคนอื่นเขาโดนด่าแล้วมันเข็ด เอาใครดีล่ะ... พี่บัญชา สึกไปแล้ว ตอนนั้นประมาณปี ๒๕๒๘ หลวงพ่อท่านจัดการสะเดาะเคราะห์มันจะมีงานลอยกระทง มีคนเข้าไปดูดวงมา พวกพี่เปี๊ยกนี่แหละ พี่เปี๊ยกสมพร บุญยเกียรติเปลี่ยนชื่อเป็น คณิตพร ไปแล้วมั้ง นั่นล่ะ พี่เปี๊ยกแกเป็นครูมโนด้วย ก็ชอบดูหมอด้วยก็ดูราหูจะเข้าทำอย่างไรหลวงพ่อก็แนะนำวิธีรับให้ต้องทำกระทง หลวงพ่อก็แนะนำวิธีรับให้ต้องทำกระทงกี่กระทง ดอกไม้กี่กระทงธูปเทียนธงอะไรเท่าไหร่แล้วเสร็จแล้วก็เอาไปลอย ลักษณะเป็นการบูชาพระเคราะห์ วันแรกมา ๔ กระทง ลูกศิษย์หลวงพ่อทำอะไรมันเห่อตามกัน วันที่สอง ๑๑ กระทง วันที่สาม ศาลานวราช ไม่มีที่พอให้วางกระทง ข่าวมันเร็วขนาดนั้นน่ะ
              คราวนี้ในช่วงก่อนที่จะไปลอยกระทงสะเดาะเคราะห์ หลวงพ่อท่านจะชุมนุมเทวดา เสร็จแล้วก็ถามท่านท้าวมหาราช ท่านว่าใครมีเคราะห์กรรมอะไรที่ต้องแก้ไขเป็นพิเศษบ้าง จะได้สงเคราะห์เขาเป็นรายตัวไป ท้าวมหาราชท่านก็จะบอกหลวงพ่อท่านก็จะบอกเออ.... หมายเลขนั้นนะชื่อนั้นชื่อนั้นต้องทำอย่างนั้น ๆ พิเศษกว่าเขา คราวนี้อ่านไป ๆ ไล่ไปถึงหมายเลข ๑๑ ใครหว่า ? โคตรแม่มันลายมือยังกะไส้เดือน ใครจะไปอ่านของแม่มันออกวะ พี่บัญชาเขาคนเขียน คนมันมาเป็นร้อย ๆ น่ะ แล้วเวลาหลวงพ่อท่านกำลังจะลงรับแขกก็ต้องรีบเขี่ยให้เสร็จใช่ไหม ? พี่ท่านก็คงจะไม่ได้เจตนาให้หลวงพ่ออ่านยากหรอก พอโดนด่าเต็ม ๆ ท่านนั่งหน้าเขียวอยู่ตรงนั้น ทำอะไรไม่ถูกเลยนะจะตายเอาน่ะ โดนแค่นั้นนะไม่ได้โดนด่าแบบเราชนิดจิกหัวด่า หลวงพ่อท่านพูดลอย ๆ น่ะ แกนั่งทำอะไรไม่ถูกอยู่ตรงนั้น
              จนกระทั่งทำพิธีเสร็จ ๔ โมงเย็นหลวงพ่อเลิกจะรับแขกใช่ไหม เห็นว่าขืนปล่อยอยู่ตรงนั้นนี่คืนนี้มันขาดใจตายแน่เลย เดินผ่านว่า เออ...เป็นไงบัญชา วันนี้ขายของได้เท่าไหร่หว่า ? ขายดีไหมลูก ? ขายดีครับ พ่อ เออ...ค่อยหน้ามีสีเลือดขึ้นมาหน่อย ถ้าขืนโดนซ้ำอีกที ตายอยู่ตรงนั้นน่ะ ไม่ต้องไปไหนหรอก
              นั่นน่ะลักษณะนั้นน่ะ แล้วจะกลัวหลวงพ่อกันมากเป็นพิเศษ ถึงว่าถ้าไปได้ถามประวัติวัดท่าซุงนะจะเห็นสังโฆอัปปมาโณ คุณของพระสงฆ์ประมาณไม่ได้ยังไง
              มีโยมบางคนเขามาปรารภ หลวงพี่เจ้าขาไม่ทราบว่าพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณเป็นอย่างไรหรือเจ้าคะ พยายามพิจารณายังไงก็พิจารณาไม่ออก เราเองนั่งอยู่หน้าห้องยามหลวงพ่อ เออโยม เคยเดินรอบวัดหรือยังล่ะ ยังเจ้าค่ะ เออไปเดินนะโยมนะ เดินให้รอบวัดเดี๋ยวก็เห็นเอง เสร็จแล้วโยมเขาไปเดินหายไปสัก ๒ ชั่วโมง กลับมาเหงื่อหยดติ๋งเลย เป็นไงจ๊ะโยม เห็นบ้างหรือยัง ? ยังเจ้าค่ะ เออ... มันโง่ มันน่าเดินอีกรอบหนึ่งนะ บอกโยมลองคิดดูสิว่านี่คือศรัทธาที่ชาวบ้านเขาถวายมาสำหรับพระองค์หนึ่งพระแก่ ๆ องค์หนึ่งเลยน่ะ ถ้าหากว่าท่านไม่ได้สร้างบารมีมาถึงขนาดนี้ใครเขาจะให้ วัดท่าซุงตอนนั้นการก่อสร้าง ๓๐๐ ล้านกว่า ๆ เกือบ ๆ ๔๐๐ ล้านแน่ะ แต่ว่าทางพวกวิศวะเขาไปตีราคาเขาบอกว่าประมาณ ๔ พันล้านบาทเป็นอย่างน้อย ๔ พันล้านนี่ถ้าเป็นงบประมาณของกรมอะไรสักกรมหนึ่งมันก็ไม่มาก ถ้ายิ่งของกระทรวงยิ่งน้อยใหญ่เลย แต่ลองนึกถึงหลวงตาแก่ ๆ องค์หนึ่งอยู่วัดบ้านนอกด้วย มีคนเอาเงินไปถมวัดให้ ๔ พันล้านมันเป็นยังไงล่ะ ? คราวนี้เห็นสังฆคุณบ้างหรือยัง ? ถ้ายังไม่เห็นไปเดินอีกรอบหนึ่ง เอาให้เข็ด
              หลวงพ่อท่านขึ้นพระไง พระชำระหนี้สงฆ์หน้าตัก ๔ ศอก ตอนแรกก็อยู่ข้างศาลา ๒ ไร่ ๒๘ องค์ เสร็จแล้วก็มาใหม่ขึ้นที่ที่ของโยมมา ๑๒๐ องค์ แล้วก็มาขึ้นที่ศาลา ๒ ไร่ ๒๐๙ องค์ แล้วก็ไปขึ้นที่หน้าวิหาร ๑๐๐ เมตร ๖๘ องค์ แล้วตอนนี้ที่รอบที่ธุดงค์ ๑๐๐ ไร่กับที่ห้องกรรมฐาน ๒๕ ไร่ มิปาเข้าไป ๓- ๔๐๐ องค์เหรอ ? ลองคิด ๆ ดูว่าพระประธานหน้าตัก ๔ ศอกน่ะ เป็นพันองค์แล้วนะ หลายวัดในประเทศไทยยังหาพระประธานขนาดนั้นยังไม่ได้เลย
              อาตมาไปทำเป็นพระประธานไว้ที่ ศูนย์ปฏิบัติธรรมเกาะพระฤๅษี เขาบอกพระประธานที่ใหญ่ที่สุดของ อำเภอทองผาภูมิ ไม่มีใครใหญ่กว่านี้อีกแล้ว ของวัดท่าขนุนเขา ๓๐ นิ้ว แล้วคิดดูว่าทั้งชีวิตเขาสร้างกันไม่ได้แต่หลวงพ่อว่าทีละหลายร้อยองค์ อันนี้ต้องถาม ช่างประเสริฐกับช่างจำเนียร อยู่วัดตั้งแต่เพิ่งจะแต่งงานกันใหม่ ๆ จนกระทั่งวันนี้หลานโต แล้วงานยังไม่หมดเลย คราวนี้รู้หรือยังว่า พุทโธ ธัมโม สังโฆ อัปมาโณเป็นยังไง? ไม่งั้นจะไล่มันไปเดินเอาให้เข็ด วิหาร ๑๐๐ เมตร โคมไฟทั้งหมดถ้าจำไม่ผิดรู้สึกว่า ๑๓๗ ช่อมั้ง ช่อหนึ่งแสนสี่หมื่นกว่าบาท บริษัทเขาต้องส่งคนของเขามาทำความสะอาดฟรีให้ทุกปี เขาบอกว่าหลวงพ่อสั่งซื้อเขานี่เขาไม่ต้องสั่งนำเข้าไป ๕ ปีก็ได้ ภายใน ๕ ปีมันจะขายได้ไหม ร้อยสามสิบกว่าช่อเนี่ย ? เขายอมลดให้หลวงพ่อตั้ง ๓๐-๔๐ % เพราะสั่งเขามาก

( เรื่องเป่ายันต์เกราะเพชร)


              ท่านสังเวียน ท่านจะมาสวดปาติโมกข์ให้ประจำ วัดท่าขนุน เขาไม่รู้หรอกว่ามีพิธี แต่เขาบอกว่าเขาฝันเห็นคืนนั้น ว่าเข้ามาในวัดท่าขนุนน่ะ ต้นโพธิ์ใบมันกลายเป็นธรรมจักรหมดเลย แล้วพระทุกองค์ในวัดเหมือนยังกับปิดทองเหลืองอร่ามไปหมด พระสงฆ์นะไม่ใช่พระพุทธแล้วเสร็จแล้วก็เลยบอกเขาว่าเออ... มัน่าจะปิดทองอยู่หรอกเพราะว่าเพิ่งเป่ายันต์ไปนะ เพียงแต่ว่ามันจะรักษาทองไว้ได้นานเท่าไหร่เท่านั้นเอง
              ส่วน พ่อเจ้าอ้อย คนอื่นเขาโดนผีหลอก พ่อไอ้อ้อยโดนพระหลอก รายนี้ก็เมาเช้าเมายันค่ำเหมือนกัน เมาชนิดที่ว่าเราโทรไป เขาวิ่งไปตามแม่เจ้าอ้อย บอกหลวงพ่อโทรมา แม่เจ้าอ้อยถามว่าละเมอหรือเปล่า ? (หัวเราะ) มันเมาซะจนคนเขาไม่เชื่อน่ะ คราวนี้วันนั้นเขาอยู่คนเดียวนี่ แม่เจ้าอ้อยกับน้าเขามาเป่ายันต์ที่วัด เขาได้ยินพระสวดมนต์ที่หิ้งพระ ไอ้เราเคยให้พระไปแกไม่สนใจหรอกแกก็วางกองไว้บนหิ้งนั่นแหละ
              คราวนี้แกได้ยินพระสวดมนต์แกก็ไปหยิบมาฟังทีละองค์ องค์ไหนสวดวะ ? (หัวเราะ) มันฟังซะหมดทั้งหิ้งแล้วสรุปไม่ได้ว่าองค์ไหนสวด (หัวเราะ) บอกเป็นเรื่องที่ตลกมากเลย คนอื่นเขาโดนผีหลอก อีตาอัมพร โดนพระหรอก (หัวเราะ) ดีไม่ดีงานหน้าเขาอาจจะนึกอยากมาเป่ายันต์ก็ได้ แต่อย่างของ ผู้หมวดมนัส นั่นของเขาอัศจรรย์จริง ๆ เพราะว่ากินเหล้ามาตลอดชีวิตเลย แล้วกินหนักขนาดต้องกู้เงินเขามาซื้อกิน ประเภท ๒ วัน เบียร์ ๒ ลัง ไม่พอกิน....เลิกซะเฉย ๆ งั้นล่ะ แต่ว่าแกอธิษฐานเป็นจริง ๆ นะ แกเล่นท้าใครไม่ท้า ... ท้าพระเลย เออ...ถ้ายันต์เกราะเพชรแน่จริงต้องทำให้แกไม่อยากเหล้า ถ้าแกไม่อยากเหล้าแกจะไม่กิน เลิกเอาดื้อ ๆ เล่นเอาคนเขาแตกตื่นกันทั้งอำเภอ ตอนนี้กำลังรอ รอเด็กมันคลอด เพราะว่ามีอยู่ ๒ รายที่ไปเข้าพีธี
      ถาม :  คลอดเมื่อไหร่คะ ?
      ตอบ :  ยังไม่รู้เลย ไม่ได้ถาม เดี๋ยวคลอดเมื่อไหร่ถ้าเป็นผู้ชายเขาก็จะส่งข่าวมาเองแหละว่าลายไหมเดี๋ยวกลับไปจะดูแมวว่าแมวลายหรือเปล่า เพราะไอ้ตัวที่มันเดินแกว่งอยู่ในพิธีมันคลอดแล้ว ๔ ตัว ตามที่อาตมาบอกแป๊ะเลย
      ถาม :  แล้วมันท้องแรกเหรอคะ ?
      ตอบ :  ไม่รู้เหมือนกัน คลอดแล้ว .... หลังงาน ๔ วัน
      ถาม :  สีอะไรบ้างคะ ?
      ตอบ :  ยังไม่ได้ไปดูเลย ท่านพงศ์ เขาเข้าไปดูคนเดียว เพราะว่าแมวนี่ถ้าไปกวนเขามาก ๆ เดี๋ยวมันคาบลูกหนี แปลกเหมือนกัน เผื่อเป็นท้องแรกแล้วมีตัวผู้จะดูซิว่ามียันต์ติดหรือเปล่า ไม่เคยมีในตำรานะ เขามีแต่คนใช่ไหม ? ถ้าเกิดเป็นผู้ชายจะมียันต์ติดตัว ไอ้นี่แมว ตอนทำพิธีมันเดินไปเดินมาอยู่น่ะ มันหาที่คลอด มันเลยไปเข้าพีธีโดยอัตโนมัติ
              เรื่องพระต้องถาม ยายเจี๊ยบ เมื่อวานนี้ เขามานั่งถาม ๆ ปัญหาตรงนี้ ก็ส่งให้ เทพฤทธิ์ เขา ยัยนั่นก็มือไวคว้าหมับไปดูเสร็จ....โอ้โห....พระศักดิ์สิทธิ์จังเลย ก็ยังสงสัยว่าอะไรมันขนลุกทั้งตัวลูบเท่าไหร่ก็ลูบไม่ลง รายนั้นสมาธิเขาดีทรงอารมณ์วิปัสสนาญาณได้เป็นปกติเลย เขาได้อยู่ในระดับที่ว่าอยู่ก็ได้ตายก็ดีน่ะ พร้อมที่จะไปแล้ว
      ถาม :  ทรงฌานเหรอคะ ?
      ตอบ :  อันนั้นเป็นวิปัสสนาญาณจ๊ะ
      ถาม :  ต่างกับทรงฌานยังไง ?
      ตอบ :  ฌานอย่างเดียวน่ะมันบื้อ ถ้าวิปัสสนาญาณปัญญามันมี
      ถาม :  อย่างงั้นก็ต้องยากกว่าใช่ไหมคะ ?
      ตอบ :  ง่ายกว่า ทรงฌานต้องเสียเวลาไปนั่งภาวนา วิปัสสนาญาณเราก็พิจารณาไปเลย
      ถาม :  แล้วทำยังไงถึงจะทำแบบเขาได้ ?
      ตอบ :  ทำแบบเขา....(หัวเราะ) ก็ทำแบบเขา กำปั้นทุบดินดีมั้ย ? เขาเอาใจขึ้นไปกราบพระพุทธเจ้าเป็นปกติ แล้วเสร็จแล้วก็พิจารณาอยู่ตรงนั้นจนกระทั่งใสเป็นแก้วทั้งองค์ แล้วก็ค่อยกราบลาพระลงมา แล้วก็ประคองรักษาอารมณ์นั้นเอาไว้ ตัวนี้แหละคือการใช้มโนมยิทธิที่ถูกต้องตามที่หลวงพ่อต้องการ คนอื่นที่เอาไปดูอดีต ไปดูปัจจุบัน ดูอนาคต ถ้าดูแล้วไปยึดล่ะเจ๊งหมด ทุกรายแหละ แต่ว่ารายนี้เขาทำตรงพอดี เขาจะขึ้นไปกราบพระข้างบนพิจารณาจนกระทั่งใจของเขาใสสว่างสะอาดหมดทั้งดวง แล้วก็ประคับประคองรักษาอารมณ์นั้นเอาไว้ เขาก็เลยสงสัยตอนนี้เขาผิดปกติหรือไง อะไรก็เฉย คนเขาด่าก็ยิ้มเฉย พอมันด่าเสร็จแล้วก็ไป ฟังเขาด่าได้ตลอดโดยที่ไม่คิดอะไรเลยน่ะ มันได้ยินสักแต่ว่าได้ยิน ได้เห็นสักแต่ว่าได้เห็น ไปแล้วรายนี้ถ้าไม่ยั้งไว้อีกไม่นานตายเพราะว่ามันใกล้จุดสุดท้ายเต็มทีแล้ว
      ถาม :  ยั้งเอาไว้ให้ช่วยกัน ...?
      ตอบ :  เขาบอกว่า ตอนนี้ความรู้สึกผูกพันระหว่างครอบครัวมันไม่มี ที่เคยรักก็เฉย ๆ ที่เคยเกลียดก็เฉย ๆ มันไม่รักไม่เกลียดไปแล้ว ถ้าใครฟังปฏิปทาท่านผู้เฒ่าบ่อย ๆ จะจำได้ ตรงจุดนี้จะเป็นสุดท้ายของอารมณ์ที่หลวงพ่อท่านบอก ไม่รักในฐานะที่ควรรัก ไม่เกลียดในฐานะที่ควรเกลียด ไม่ขัดเคืองในฐานะที่ควรขัดเคือง อันนั้นขนาดคนข้างบ้านด่าก็ยืนฟังเขาด่าจนตลอด ประเภทให้กำลังใจมันหน่อยมันด่าแล้ว พอฟังเสร็จเรียบร้อยเขาด่าจบแล้วก็ไป เฉย ๆ ไม่ได้ติดหูมาซักกะคำเดียวเลย ของพวกเราอย่างน้อย ๆ ก็เก็บมาคิด ของเขานี่ตัวความคิดปรุงแต่งมันไม่มีแล้ว มันจบแล้ว ใครเอาอะไรมา ก็กองอยู่ตรงนั้นแหละ
      ถาม :  แล้วไปยืนฟังเขาทำไมล่ะคะ ?
      ตอบ :  ให้กำลังใจมันหน่อย มันอุตสาห์มาด่าแล้ว ถ้าไม่ยืนฟังเดี๋ยวมันไม่มีอารมณ์จะด่า สงสารมันน่ะ นึกออกมั้ย ? ที่พูดมาพวกเราก็ทำได้ แต่ว่าทำแล้วมันไม่ทรงตัวอย่างเขา มันได้แป๊บเดียว มันได้ตอนที่มีสติ พอขาดสติไปไหลตามตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจเมื่อไหร่มันก็ขาดไปด้วย ของเขานี่เขาควบคุมมันได้ เห็นสักแต่ว่าเห็น ได้ยินสักแต่ว่าได้ยิน ได้กลิ่นสักแต่ว่าได้กลิ่น ได้รสสักแต่ว่าได้รส สัมผัสสักแต่ว่าสัมผัส ป้องกันไม่ให้มันเข้ามาในใจ แรก ๆ ต้องระวังป้องกันมันอยู่ พอนานไป ๆ ไม่ต้องระวังแล้วเพราะไม่เก็บเอาไว้เลย ฟังดูง๊าย...ง่าย เนอะ
      ถาม :  แล้วอย่างนี้เวลาเขาก็ทำงานปกติก็เป็นคนประหลาดสิคะ ?
      ตอบ :  ก็ประหลาดไงถึงได้บอกเขาบอกว่า คิดว่าเราทำหน้าที่รอเวลาตายเท่านั้น เพราะฉะนั้นงานของเรา ๆ ก็ทำให้มันดีที่สุด หลังจากนั้นแล้วมันจะเป็นยังไงก็เรื่องของมัน เราก็ไปนิพพานของเรา เมื่อวานลองไล่อารมณ์ให้เขาดูหลายอย่างมันตรงกันหมด ถ้าตรงกันหมดนี่เราก็โอเค ไม่ใช่ว่าโอเคอะไรหรอก โอเคว่าที่เราทำมา เออ.. มันก็คล้าย ๆ เขา นี่ก็พัฒนาการอย่างหนึ่ง คล้าย ๆ พัฒนาการทางจิตน่ะ อ่านแล้วแคะประโยชน์ของมัน
      ถาม :  คนที่ทำแบบนี้ได้แล้วเขาต้องได้อะไรตามมาเยอะ ?
      ตอบ :  เยอะหรือไม่เยอะรายนี้เขาอยู่ ๆ ก็ได้ ทิพจักขุญาณ ขึ้นมาเองแล้วก็ไปเที่ยวไล่ช่วยชาวบ้านเขา แล้วเขาก็ช่วยแบบประเภทที่เรียกว่าไม่รู้อะไรเลยอย่างนี้ อย่างเมื่อวานนี้เล่าให้ฟังว่าเขาไปเจอโยมคนหนึ่งไม่สบาย เสร็จแล้วมาถึงก็บอกว่าเธอได้ตาในไม่ใช่เหรอ ? ดูให้ฉันทีสิฉันเป็นอะไร ? เขาไม่ยอมเล่าอาการให้ฟัง รายนี้พอจับมือเขาเสร็จก็บอกว่าอันนั้นไม่ดี อวัยวะส่วนนั้นบกพร่อง ส่วนนี้บกพร่อง รายโน้นเขาก็บอกว่าจริง เขาเป็นอยู่ตามที่ว่ามา แล้วหมอก็รักษาไม่หายด้วย รายนี้เขาก็มาถามว่าแล้วเขาจะทำยังไงดีบอกแหม .... มันน่าแขกกะบาล คือตัวเขาเองน่ะ หมอชีวกโกมารภัจน์ ท่านมาบอกว่าให้เรียนวิชาหมอแล้วท่านจะช่วย แหม... บรมครูหมอมาขนาดนั้นแล้วน่ะนะ มันก็แค่กำหนดใจถามหมอเอาก็หมดเรื่องแล้วน่ะ คือเขาเองเขาได้แบบซื่อ ๆ อย่างที่หลวงพ่อบอกจริง ๆ
              (เพื่อนพาไปดูรถ) ไอ้ผีตายโหงมันก็บอกให้ยัยนี่รีบห้ามไว้อย่าขับไปเลย เพราะว่ามันอยู่เดี๋ยวจะเกิดอุบัติเหตุ ผีมันก็ดีนะมันอุตสาห์บอกน่ะ เสร็จแล้วถามว่าจะทำยังไง ผีบอกว่าหาพระมาบังสกุลมันจะได้ไปเกิด เพราะว่ารถคันนี้ไปชนมันตาย แล้วเจ้าของมันลงมายืนดูเหมือนอย่างกับเขาเองน่ะเป็นตัวอะไรตัวหนึ่งก็ไม่รู้ แล้วก็ขับรถหนีไปเฉย ๆ ไม่ช่วยอะไรเขาเลย ใจเขามันผูกโกรธมันก็เลยเกาะติดรถคันนั้นมาด้วย เสร็จแล้วก็บอกว่าทำไมไม่บังสกุลให้เขาไป เขาบอกว่าไม่ต้องใช้พระทำเหรอ ? บอกถ้าต้องใช้พระทำก็นึกถึงหลวงพ่อครอบเอ็งลงมา แล้วก็ อนิจจา วต สังขารา ไปมันก็หมดเรื่องแล้ว คือของเขาน่ะมันสักแต่ว่าได้จริง ๆ มันพลิกแพลงใช้ไม่เป็น ซื่อดี ซื่อจนเซ่อเลย (หัวเราะ) รู้แล้วแก้ไขไม่ได้ บางทีก็เอามาแบกไว้ (หัวเราะ) อยากจะช่วยเขาแต่ช่วยไม่เป็น
      ถาม :  แล้วที่เขาได้นี่ตกลงว่าเพราะศึกษาธรรมะของหลวงพ่อหรือเปล่า ?
      ตอบ :  ก็...ไม่รู้เหมือนกัน อยู่ ๆ มันเป็นเอง แล้วแกไปสายลมก็โดนเขาไล่กระเด็นออกมาเพราะท่าทางไม่เหมือนเขาน่ะ ไอ้คนที่เป็นมันจริง ๆ มันได้จริง ๆ มันเฉื่อย มันรักษาด้วยอารมณ์ใจตัวเอง มันไม่ร้อนไม่หนาวอะไรกับใคร คนอื่นเขาประเภทเห็นเข้าพวกกับเขาไม่ได้ก็ดีดมันออกมา อาการอย่างนี้ยังมีอีกเยอะนะ พวกม้าดีดกะโหลกมันยังเยอะ เข้าใกล้มัน ๆ ดีดออกมาหมดน่ะ (หัวเราะ ) คนเรานี่ก็แปลกนะแทนที่จะดูใจเขากลับไปดูตัว พอไปดูตัวความประพฤติไม่เหมือนกันเหมาว่าเป็น คนละพวกกันไป
              มีอยู่สมัยหนึ่งที่หลวงพ่อเอ่ยถึงพระอรหันต์ ๗ องค์ พระอรหันต์ ๗ องค์ที่มีไปฝึกมโนมยิทธิที่วัดท่าซุงมี ๕ หรือ ๖ องค์นะ เสร็จแล้วก็ใช่สไตล์นี้แหละ เห็นว่าวัน ๆ หนึ่งก็ใช้มโนขึ้นนิพพานไปเกาะอยู่หน้าพระอย่างเดียวแล้วอยู่ ๆ ก็หมดกิเลสเอง ถามว่าหมดกิเลสยังไงก็ไม่รู้ เพราะว่ากิเลส ตัณหา อุปาทาน อกุศลกรรมอะไรต่าง ๆ โดยเฉพาะรัก โลภ โกรธ หลง นี่มันกินได้แต่ร่างกาย ใจมันเป็นคนละส่วนกัน พอใจมันเป็นคนละส่วนกัน ถึงเวลาแล้วรู้ว่าราคะจะเกิด วิ่งไปกราบพระบนนิพพาน โทสะจะเกิด วิ่งไปกราบพระบนนิพพาน โมหะจะเกิด วิ่งไปกราบพระบนนิพพาน พอไม่มีใจอยู่คอยปรุงคอยแต่งให้พวกกิเลสต่าง ๆ ก็เกิดไม่ได้ มันก็ดับเองอัตโนมัติ มันเป็นวิธีตัดกิเลสที่สั้นที่สุดแล้วก็ง่ายที่สุดที่หลวงพ่อท่านต้องการ แต่ว่าส่วนใหญ่พอได้แล้วมันไปดูโน่นดูนี่ซะ แล้วดูแล้วแทนที่จะรู้เพื่อละก็รู้แล้วไปยึด คนโน้นเป็นอย่างนั้นกับเรา คนนี้เป็นอย่างนี้กับเรา แทนที่จะหลุดพ้นได้ ก็กลายเป็นมัดกันเป็นพวงอยู่ตรงนั้นแหละไม่ต้องไปไหนมาไหนหรอก เพราะฉะนั้นที่เขาทำน่ะเขาทำถูกโดยบังเอิญ จะเรียกว่าบังเอิญก็ไม่ใช่นะ คนอื่นทำไมไม่บังเอิญอย่างนั้นมั่ง