ถาม :  บางทีสังเกตดูเวลาออกมาบรรยากาศมันจะไม่เหมือนกัน ?
      ตอบ :  ขึ้นอยู่กับตัวเรา บอกแล้วว่ากำลังใจของเราตอนนั้นมันเป็นยังไง ถ้าเราพิจารณาวิปัสสนาญาณได้ชัดเจนแจ่มใส บรรยากาศทุกอย่างก็จะโปร่งโล่งสบาย แต่ถ้าหากว่าขาดการพิจารณาบางทีมันก็มืด มันก็มัว มันก็ตึง แล้วตัวที่ชัดเจนที่สุดอีกตัวหนึ่งก็คือว่า ถ้าหากว่าเราออกในลักษณะมโนเต็มกำลัง สัมผัสทุกอย่างเหมือนกับตัวนี้เองเลย ลมพัดกระทบตัวก็รู้สึกว่ามันกระทบตัว ถ้าหากว่าเดินไปบนถนนรถวิ่งมาก็เผลอกระโดดหลบ มันชัดเหมือนกับเอาตัวนี้ไปจริง ๆ ให้สังเกตตรงจุดนี้ไว้
      ถาม :  แต่ที่สงสัยคือว่าเดิมทีผมมีความเข้าใจว่า ถ้าสมมุติว่าเวลาเราหลับนี่ ถ้าอยู่ ๆ จะออกมามันสามารถจะออกมาได้มั้ย?
      ตอบ :  กำลังของมันพอแล้ว เพียงแต่ว่าเวลาที่เราต้องการจะไปนั่นจิตเรามุ่งมั่นจนเกินไป พอมุ่งมั่นเกินไปกำลังมันเกินมันไปไม่ได้ แต่ว่าตอนที่เรานอนลงนั่น จิตมันผ่อนคลายก็ไปได้ ถ้าหากดูประวัติ พระอานนท์ พระอานนท์เร่งเดินจงกรมคืนยันรุ่งเลย เพื่อที่จะให้บรรลุมรรคผลจะได้ทันสังคายนาพระไตรปิฏก เพราะว่าพระที่ร่วมสังคายนาพระไตรปิฏก ๔๙๙ องค์ท่านเป็นพระอรหันต์ปฏิสัมภิทาญาณล้วน ๆ กำลังรอท่านอยู่องค์เดียว เดินจนกระทั่งจวนสว่างก็ไม่ได้มรรคไม่ได้ผลซะที ก็เออ...ช่างมันเถอะนอนดีกว่า พอเอนตัวลงครึ่งนั่งครึ่งนอนยกเท้าพ้นพื้นขึ้นข้างหนึ่งก็ได้ตอนนั้นเลย เพราะจิตมันคลายออกมันตรงร่องพอดี ถ้าหากว่าดูประวัติ หลวงปู่ จันทา ถาวโร วัดป่าเขาน้อย อำเภอ วังทรายพูน พิจิตรนั่น ของท่านก็เหมือนกันนั่งสู้กับมันวันยันค่ำคืนยันรุ่งนั่งไปจนกระทั่งก้นจะทะลุตัวจะแตกเป็นชิ้น ๆ มันก็ไม่ได้ซะที เบื่อขึ้นมาก็นั่งค้ำคาง พอค้ำลงปุ๊บได้เลย...
      ถาม :  ทีนี้มีเรื่องจะเรียนถาม พอมันออกมาปุ๊บสภาพ... (ไม่ชัด)...แต่พอนึกจะไปสวรรค์ตัวนั้นมันก็จะพุ่งไป แต่พอไปถึงสว่างมันก็จะหยุด... (ไม่ชัด)...อยากจะรู้ว่าตัวมันเป็นอะไร... (ไม่ชัด)...?
      ตอบ :  เป็นสภาพจิตใจที่แท้จริงของเรา คนเราจริง ๆ ที่บอกว่าไม่กลัว ๆ อาตมาเจอกับตัวเองมาแล้ว ไม่กลัวผีหรอก ผีมาคุยกับมันได้ด้วย ตัวไหนมาไม่ดีตีกับมันได้ด้วย แต่ขณะเดียวกันรู้สึกสันหลังเย็นวาบ ๆ ขนลุกเกรียวเป็นปกติ
              เวลาไปธุดงค์อยู่ในถ้ำงูใหญ่มาตัวซักประมาณแค่นี้ได้มั้ง ? พอมันโอบรัดรอบตัวเองนี่แข็งทื่อเป็นหินไปเลย หลับตาตัวเย็นเฉียบ ไล่ตามดูอารมณ์ใจตอนนั้นก็รู้เลยว่า ในใจเรายังกลัวอยู่แต่มันกลัวแบบมีสติ กลัวไม่หนี กลัวพร้อมที่จะแก้ไขเหตุการณ์ถ้าแก้ได้ ถ้าแก้ไม่ได้ก็ยอมรับมันไปเลย ไม่ใช่ไม่กลัวนะ ตราบใดที่ยังไม่ไช่พระอรหันต์ก็ยังกลัวอยู่ ลองไล่ดูเถอะไล่ไปไล่มาจะลงตรงกลัวตายทั้งนั้น เข้าไปอยู่ในป่ากลัวเสือกัด กัดเป็นอย่างไร? ตาย ผีหลอก ๆ มันทำยังไง? แลบลิ้น แหกอก บีบคอ มันบีบคอแล้ว เป็นยังไงล่ะ? ตาย กลัวงูกัด กลัวงูรัด งูกัดเป็นยังไง? งูรัดเป็นยังไง ตาย ไล่ไปไล่มาจะลงตัวตายหมด ตราบใดที่เรายังกลัวตายอยู่ ตราบนั้นความกลัวนั้นจะฝังลึกอยู่ข้างใน ในเมื่อฝังลึกอยู่ข้างในพอถึงเวลามันจะเป็นตัวยับยั้งของมันเอง
              คนที่ฝึกมโนมยิทธิเต็มกำลังจะติดอยู่ที่ส่วนนี้เยอะมากเลย
มันเต้นปั้บ ๆ พร้อมที่จะไปแล้ว แต่ใจกลัวก็เลยรั้งเอาไว้ ยิ่งรั้งไว้ก็ยิ่งดิ้นใหญ่เพราะกำลังมันพอแล้วนี่ กำลังมันพอแล้วจะไปแล้วลึก ๆ มันกลัว ก็ชักคะเย่อกันไปชักคะเย่อกันมา บางคนหกล้มตีลังกา ๓-๔ ตลบก็มี ดูแล้วสงสารไม่รู้จะช่วยยังไง คำสอนของครูบาอาจารย์ที่บอกว่าสู้แค่ตาย สู้แค่ตายนั่นลองดูเถอะตายจริง ๆ ตายฟรีด้วย เพราะว่าตอนนั้นขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของปัญญาตัวเองจริง ๆ ถ้าปัญญาไม่พอยังกลัวอยู่มันไม่เอาด้วยหรอก ไปเมื่อไหร่ก็เด้งกลับ ไปเมือ่ไหร่ก็เด้งกลับ บางคนออกไปไม่ได้พิจารณา ออกไปลักษณะที่คุณว่านี่แหละออกไปมืดตึ๊ดตื๋อเลย ประเภทที่เหมือนอย่างกับหลับตาอยู่ยื่นมือออกไปไม่เห็นนิ้วทั้ง ๕ เลย วนไปวนมาอยู่พักหนึ่งไปไหนไม่ถูกก็วืดกลับตัวตามเดิม มันจะเป็นอยู่ลักษณะนี้
      ถาม :  แล้วถ้าสมมุติเราออกมาจะช่วงสว่างหรือไม่สว่างนี่จะ... (ไม่ชัด)...?
      ตอบ :  ตั้งใจนึกถึงพระ ขอบารมีพระจะไป ถ้านึกขอบารมีพระปุ๊บนี่มันจะสว่างขึ้นเดี๋ยวนั้นเลย บางทีก็เหมือนกับท่านทดสอบ อย่างเช่นว่าตั้งใจจะไปพระจุฬามณี ทั้ง ๆ ที่ยืนอยู่เชิงบันไดจุฬามณีแล้วนะ ตัวมันพุ่งไปอย่างกับเอฟ ๑๖ น่ะ แต่...แหม ! มันผ่านบันไดไปไม่รู้จักหมดเสียที คือสภาพจุฬามณีจริง ๆ ใหญ่โตมโหฬารขนาดไหนล่ะ? เทวดาทั่ว ๆ ไปอัตภาพอย่างน้อยสามคาวุต ไอ้สามคาวุตนี่ ๑๒ กิโลนะ อย่างเล็ก ๆ ของเขานะ แล้วเราตัวน้อยหนึ่งจะไปเปรียบกับเขาได้อย่างไรล่ะ เลยวิ่งเท่าไหร่ไม่รู้จักถึงซะที บางทีเบื่อกลับเองเลย แต่ถ้าหากว่าเรานึกถึงว่าจะไปหาพระในจุฬามณีบางทีวืบเดียวถึงเลย พอคล่องตัวขึ้นมาก็จะไม่มีอาการอย่างนั้น แต่บางคนไม่คล่องตัวนี่วิ่งฝ่าอากาศของมันไปเรื่อย บางทีโอ้โห...เร็วจริง ๆ รู้สึกหลังเหมือนมันแสบไปหมด เนื้อมันจะไหม้เอาเร็วขนาดนั้นน่ะ แต่ว่าขณะเดียวกัน ความรู้สึกลัวลึก ๆ ก็ยังมีอยู่
              เพราะฉะนั้นต้องเกาะพระให้มั่งคง นึกว่าอย่างน้อยเราก็ไปนิพพานแล้ว ไปอยู่กับพระพุทธเจ้าแล้วตัดสินใจได้ด้วยปัญญาขนาดนั้นก็จะไปได้ถึงที่ ๆ เราต้องการ
ถ้าปัญญาไม่พอตัดสินใจไม่ได้มันก็ชักคะเย่อกันไป เข้า ๆ ออก ๆ อยู่อย่างนั้นแหละ
      ถาม :  แล้วอย่างนี้ขณะเวลาที่ออกไปแล้วไม่มีวิญญาณในตัวแล้ว...?
      ตอบวิญญาณมันอยู่กับตัว จิตมันไม่อยู่ หลวงพ่อท่านสอนให้ทำน้ำมนต์ด้วยอิติปิโสทั้งบท แล้วก็พรมเอาไว้ก่อนเพื่อเป็นการกัน แต่ว่าถ้าอย่างของเราเองทำไม่เป็น ก่อนไปก็อาราธนาบารมีท่านท้าวมหาราชให้ช่วยสงเคราะห์ ถ้าหากว่ามีผีมีอะไรจะมายืมร่างนี้ใช้ก็ขอให้ช่วยกันให้ด้วย
      ถาม :  อย่างนี้มันก็สามารถเข้ามาได้?
      ตอบ :  เข้าได้ทันทีเลย ถ้าหากว่าดวงเราตกนี่มันยืมร่างของเราไปใช้เลย ตัวเราก็ลอยเท้งเต้งไปซิ หาตัวเข้าไม่ได้
      ถาม :  พอดีมีอยู่ครั้งหนึ่ง เป็นตอนกลางคืนพอออกมาปุ๊บเราก็ไม่ได้ดูตัวเองว่าเป็นอะไร แล้วมีความรู้สึกว่าเหมือนมีผู้เชายคนหนึ่งแล้ว มันเหมือนกับไม่ใช่ตัวเราที่พูดออกมา มันพูดเหมือนกับว่ามันรู้ว่าจะไปไหน มันมีความรู้สึกนึกคิดแล้วมันก็ไป แล้วพอแป๊บเดียวกับกลับมา แล้วมันก็เหมือนกับว่าผู้ชายคนนั้นมาทับร่างอยู่แล้วมันก็บอกว่าท่านมาทับร่างเราทำไมไม่ขึ้นมา พูดเหมือนกับว่าไม่มีตัวแต่ตอนั้น... (ไม่ชัด)...?
      ตอบ :  คือนตอนนั้นเราออกไปด้วยกำลังของฌานสมาบัติ กำลังของฌานสมาบัติกำลังเราจะเท่ากับพรหม มันกลัวคนอื่นยาก แต่ว่าเคยลองดูแล้ว ถึงเวลาขึ้นไปพระนิพพานขอเห็นตามสภาพความเป็นจริง กำลังบุญของเราที่ว่าออกด้วยกำลังของฌาน ๔ นี่อย่างเก่งก็สูงแค่ครึ่งแข้งพระพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นของเราเองมันยืดกับคนอื่นได้หมดแหละ แต่อย่าไปยืดกับพระบนนิพพาน ไม่สำเร็จหรอก ตั้งแต่สุทธาวาสพรหมขึ้นไป พรหมอนาคมีขึ้นไปนี่บารมีท่านสูงกว่าเราเยอะ ส่วนเทวดาจะมีบรรดาท่านที่เป็นพระโพธิสัตว์ ท่านที่เป็นพระอริยเจ้า ลักษณะอย่างของเราอยู่ในฐานะที่ว่าออกไปด้วยกำลังของฌานกำลังของเราเท่ากับพรหม เราก็ไม่ต้องไปกลัวใคร ดีไม่ดีก็ลากคอมาตีเข่าซะชุดหนึ่งก่อน
      ถาม :  เวลาถ้าทำสมาธิบทถ้ามันจะได้ มันจะเข้าไปจนทุกอย่างเงียบไปหมด แล้วมันเหมือนกับว่า มันตกปล่องมันก็เลื่อนลงมาแล้วพอถึงจุด ๆ หนึ่ง มันก็เหมือนกับว่ามันไม่รู้จะไปตรงไหนต่อ เราจะคิดให้มันหยุด มันก็หยุดได้ จะให้มันไปมันก็ไม่รู้ว่าจะไปไหนอยากรู้วิธีแก้ไขต้องแก้ยังไง?
      ตอบ :  ไม่ต้องแก้ไข กำหนดใจให้รู้ไว้เฉย ๆ ลักษณะที่บางสำนักให้ภาวนาว่า รู้หนอ ๆ ถ้าตอนนั้นยังมีลมหายใจอยู่ให้จับลมหายใจเป็นปกติ ถ้าตอนนั้นยังมีคำภาวนาอยู่ ให้จับคำภาวนาอยู่ ถ้าลมหายใจขาดคำภาวนาขาดให้กำหนดจิตรู้ตามไปเรื่อย ๆ อย่างเดียว จะไปถึงไหน อย่างไรเรื่องของมันเรากำลังทำความดีอยู่ ถ้าตายตอนนี้เราก็ไปดีอยู่แล้ว ถ้ากำหนดใจตามไปลักษณะอย่างนี้เดี๋ยวมันก็ไปถึงที่สุดของมันเอง
      ถาม :  แต่มันจะมีปัญหาอยู่จุดหนึ่งคือ ถ้าเราต้องการอยากจะเลิกแล้วแต่ว่ามันเลิกไม่ได้?
      ตอบถ้ากำลังใจของมันดิ่งลึกจริงๆ นี่บางทีมันสลัดไม่หลุด อาตมาเองเคยหลับ ๆ แล้ววิ่งไปรับโทรศัพท์ หลับสมาธิลึกมากเลย แต่คราวนี้เฝ้าไข้หลวงปู่มหาอำพันอยู่ ลูกศิษย์...ยายตายตอนตี ๒ มันก็โทรมารายงานพระแก่ตอนตี ๒ พอโทรศัพท์กริ๊ง ความเคยชินของเราก็พรวดออกไปรับไว้ก่อน ไม่งั้นเดี๋ยวหลวงปู่ตื่น พรวดไปถึงคว้าหูขึ้นมาอ้าวนี่กูยังหลับอยู่นี่หว่า หลับลึกมากด้วย มันรู้ตัวเองอยู่ตลอดยังหลับอยู่หลับลึกมากด้วย แงะยังไงก็แงะไม่ออก งัดยังไงก็งัดไม่ขึ้น ไอ้นั่นก็ฮัลโหล ๆ ๆ มันอยู่นั่นแหละ ไอ้เราก็พยายามขยับแล้วขยับอีก ดิ้นแล้วดิ้นอีก จนกระทั่งกำลังใจหลุดออกมาอุปจารสมาธิได้ก็ถามว่า อะไร มันก็บรรยายว่าตอนนี้ยายของมันม่องเท่งแล้วไปไหน ไม่เตะเอาก็บุญแล้ว ลักษณะเดียวกันว่าถ้าสมาธิลึกจริง ๆ มันจะดำเนินงานตามหน้าที่ของมันเอง เราจะบังคับก็บังคับยากแล้ว
      ถาม :  ตอนนี้ถ้าพูดถึงวิธีที่เราจะบังคับมันล่ะครับ?
      ตอบต้องหัดเข้าฌานแบบชนิดที่เรียกว่า สลับฌานให้คล่องตัว สมัยที่ทำอยู่จะใช้นั่ง ๆ นอน ๆ เป็นไอ้บ้าอยู่อย่างนั้น พอลุกพรวดขึ้นมา สมาธิก็คลายพรึบออกมา พอนั่งตัวตรงก็เป็นอุปจารสมาธิ พอนอนลงก็ ๑,๒,๓,๔,๕,๖,๗,๘ แล้วแต่ว่าทำได้อันไหน สลับกันไปสลับกันมาสนุกอยู่คนเดียว แต่ถ้าคนอื่นเห็นเขาก็ว่าเราบ้า ลุก ๆ นั่ง ๆ นอน ๆ อยู่คนเดียวนั่นแหละ ต้องใช้ลักษณะนี้จนกระทั่งคล่องตัวทีเดียว พอคล่องตัวแล้ว เราต้องการอยู่ในอารมณ์ไหน อยู่ในลักษณะไหนก็สามารถทำได้ทันที จะถอนออกจากจุดนั้นเมื่อไหร่ก็ได้ จะเข้าไปเมื่อไหร่ก็ได้ จะข้ามขั้นก็ได้ จะสลับขั้นก็ได้
      ถาม :  กสิณนี่ถ้า...(ไม่ชัด)...ได้แต่พอจะจับจริง ๆ มันก็หลุดจับไม่ได้อย่างนี้ก็แสดงว่ามันน่าจะได้หมดแล้ว ปัญหาก็คือว่าเราจะ... (ไม่ชัด)...?
      ตอบ :  มี ๒ อย่าง อย่างแรกใช้คาถารวมของหลวงพ่อมันมีอยู่ ๒ บท คือ สัมปจิตฉามิ กับ โสตัตตะภิญญา ถ้าใช้ สัมปจิตฉามิ ให้ตั้งนะโม ๓ จบ พุทธังสรณังคัฉฉามิ ทุติยัมปิ ตะติยัมปิ แล้วก็ท่องบทสรรเสริญพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ (สวดอิติปิโส สวากขาโต สุปฏิปันโน) แล้วก็น้อมจิตตั้งใจภาวนา สัมปจิตฉามิไป อีกบทหนึ่งก็คือ โสตัตตะภิญญา
              ถ้าหากว่าภาวนา ๒ บทนี้จะฟื้นกำลังของกสิณ ๑๐ ทั้งหมดคืนมา ถ้าทำได้คล่องต้วเมื่อไหร่ก็จะใช้กำลังเดิมได้ทั้งหมด แต่ว่าตามที่เคยทดสอบมาแล้ว โสตัตตะภิญญา จะมีผลที่เข้มแข็งมากกว่า แน่นมากกว่า ถึงเวลากำลังใจรวมตัวกันมันรวมเปรี๊ยะแบบสลัดไม่ออกเลย แต่ว่ามีข้อแม้อยู่นิดหนึ่งว่า ถึงเวลาภาวนาไป ภาวนาไปเคล็ดลับตรงนี้คนไม่ค่อยรู้ ภาวนาไปจะเห็นแสงสว่างก่อน บางทีมาเป็นริ้ว ๆ เหมือนกับคลื่น บางทีก็ วิ่งมาเป็นเส้นเป็นสาย บางทีมาเป็นแผ่นเป็นผืน บางทีก็สว่างโร่มาเลย ให้กำหนด เอาแสงสว่างนั้นเข้ามารวมกันในอกของเรา พอมารวมกันอยู่ในอกจนกระทั่งสว่างสดใสดีแล้ว ตัวเราจะลอยขึ้น ขั้นตอนนี้ต้องใช้สติควบคุมด้วยความระมัดระวัง ค่อย ๆ ลอยอยู่ในห้องก่อน ขยับตรงนี้ ขยับตรงโน้นให้มันชินก่อนขึ้น ลง ต่ำ หมุนไปรอบ ๆ ก่อนอะไรก็ได้ พอมันชินมันคล่องตัวแล้วค่อยออกไปที่อื่นแต่อย่าไกลนักล่ะ ไม่งั้นเดี๋ยวสมาธิคลายขึ้นมาเดินอานเลย เพราะมันไปไกลเกินไป ทำจนกระทั่งคล่องตัวอย่างนี้ทำได้อย่างนี้แล้วจะเริ่มเหาะได้ เราก็อธิษฐานใช้ผลอย่างอื่นได้ตามแบบของกสิณ
              ส่วนอีกวิธีหนึ่ง ก็เริ่มต้นจับกสิณใหม่ไปหานิมิตกสิณ ของที่เราเคยได้แล้วมันจะจับเป็นปฏิภาคนิมิตเร็วมาก อุคหนิมิตนี่บางทีแค่มองปุ๊บมันจำได้เลย เพราะเวลาปกติเราก็นึกติดตาได้แล้วใช่มั้ย
              ทีนี้พอถึงเวลาปฏิภาคนิมิตเสร็จของเรานี่ก็พยายามจับภาพให้มันสว่างสดใสเจิดจ้าให้ได้ เมื่อสว่างไสวเจิดจ้าเต็มที่แล้วก็อธิษฐานให้เลยได้ให้ใหญ่ก็ได้ หายไปก็ได้ มาเมื่อไหร่ก็ได้อะไรอย่างนี้ ถ้าอย่างนี้ก็เริ่มอธิษฐานใช้ผลกสิณเป็นกอง ๆ ไป ก่อนที่จะทำกองต่อไปก็ฟื้นของเก่าให้เต็มที่แล้วก็จับกองใหม่ ถ้าได้ ๒ กอง ก็ฟื้น ๒ กองเก่าเต็มที่แล้วจับกองที่ ๓ ต่อไปให้ทำลักษณะนี้ แต่ถ้าใช้คาถารู้สึกว่าง่ายกว่าเยอะ ไม่ต้องไปเสียเวลาจับภาพภาวนามาก ของเราเองอาจจะเคยชินกับการภาวนา พอหลวงพ่อบอกวันนั้น ภาวนาปุ๊บนี่มันเป็นกระแสสีทองเหมือนกับคลื่นกระเพื่อมเต็มทั้งห้องเลย เราก็ยังโง่ปล่อยให้มันกระเพื่อมอยู่อย่างนั้นแหละ ลักษณะเหมือนกับมันกดเราติดพื้นแน่นเปรี๊ยะเลย แล้วดิ้นอย่างไรก็ดิ้นไม่หลุด มาทีหลังหลวงพ่อเห็นว่าเราโง่มากแล้ว ท่านเลยบอกอธิษฐานดึงมันเข้ามาในอกซิ พอมันรวมกันในอกแล้วตัวมันจะลอง ลองทำตามมันลอยจริง ๆ แต่ว่าตอนลอยมันเร็วไปหน่อยมันลอยพรืดขึ้นไปทั้งตัว เรานอนอยู่นี่มันไปอัดแบนแต๊ดแต๋อยู่บนเพดาน มันหายใจไม่ออก จมูกมันบี้...(หัวเราะ) ต้องค่อย ๆ บังคับให้ลอยไปรอบ ๆ ห้องก่อน
              ถ้าลักษณะอย่างนั้น ไม่ต้องเปิดประตูไม่ต้องเปิดหน้าต่างนึกจะออกไปข้างนอกมันออกไปทั้งตัวเลย ไม่รู้มันออก ไปทางไหนด้วย คราวนี้โยมสุภาภรณ์โอ้โห...แสนรู้เลยนั่นน่ะ พระทำอะไรระวังให้ดีนะ แกรู้หมดจริง ๆ ด้วย พอเราทำลักษณะนั้นเสร็จ แกมาเตือนหลวงพี่ระวังนะคะ ถ้าตอนที่มันกำลังออกไปซะครึ่งตัวแล้วจิตมันคลายมันก็ติดเด่อยู่ตรงนั้นแหละแหม... ดันมาขู่เราซะได้ยังไม่เคยเป็นเลย แล้วก็มีลูกศิษย์หลวงพ่อคนหนึ่ง อันนั้น หนักกว่าเขาภาวนาเสร็จแล้วมันลอยขึ้น ไม่ลอยแต่ตัวลอยไปทั้งเตียงเลย เสร็จแล้วมันก็ไป ๆ ป่า ไปดง ไปเรื่อยเลย กลับมาถึงถ้าห่มเปียกโชกเลย เพราะมันดึกแล้วนี่ น้ำค้างลง เป็นไงสนุกมั่ยล่ะ?
      ถาม :  รบกวนถามเรื่องคนทรง คือ มีญาติอยู่คนหนึ่งเดิมทีเขาก็ไม่ได้จะทรง แต่อยู่ ๆ เขาก็มีลางสังหรณ์อะไรพิเศษ... (ไม่ชัด)...จนสุดท้ายเขาก็พยายามไม่ยอมรับ ไม่ใช่แน่ จนมาสุดท้ายอยู่ ๆ ก็มีอะไรเข้ามาจนเชื่อ?
      ตอบ :  พวกนี้ส่วนใหญ่จะเป็นพวกของพระ ของพรหม ของเทวดา แล้วที่สำคัญที่สุด การจะทรงใครนั้นต้องมีกรรมเนื่องกันมา ถ้าไม่เคยมีกรรมเนื่องกันมาก่อนนี่ทรงเขาไม่ได้ ถึงมีกรรเนื่องกันมาก็ตาม กฎของกรรมมันจะบังคับ คุณไม่ได้อยู่ในภพนี้ในภูมินี้คุณจะไปยุ่งกับเขาไม่ได้ ถ้าเจ้าของร่างไม่ยอม ทำให้ตายก็ไปบังคับเขาไม่ได้ แต่ว่าเขาอาจจะใช้วิธีบังคับว่าทำให้เจ็บปะหงับ ๆ อยู่ ถ้ายอมรับเป็นร่างทรงเมื่อไหร่หายทันที หรืออาจจะทำให้ฐานะทางบ้านเรือนเดือดร้อนไปหมด ถ้ายอมรับเป็นร่างทรงเมื่อไหร่หายทันทีอย่างนี้ เคยต่อรองให้เขามาแล้ว ต่อรองในลักษณะที่ว่า จะให้รับเป็นร่างทรงก็ได้แต่
              ข้อที่ ๑ อย่าให้มีอาการอะไรผิดปกติจนทำให้เขาและครอบครัวของเขาต้องอับอายขายหน้าคนอื่น เขาก็รับปาก โอเค
              ข้อที่ ๒ สิ่งที่คุณบอกเขาว่าช่วยได้ขอให้มีผลตามนั้น อย่าหลอกกันนะ เขาก็โอเค รับปากเรื่องของผี ของเทวดานี่เขาไม่โกหกกันบอกว่ารับปากคือรับปาก
              ข้อที่ ๓ ถ้าคุณจะใช้เขาชนิดหัวไม่วาง หางไม่เว้นจนเขาทำงานไม่ได้ คุณต้องทำให้เขารวยก่อน ชะงักไปหน่อยแล้วก็ โอเค รับปาก เอ้า...สบาย อย่าลืมว่า เทวดาเขาไม่โกหก ต้องต่อรองให้เป็น ต่อรองเป็นสบายเลย ใช้วิธีนี้แหละอนุญาตให้เอาไปใช้ได้ แต่ถ้าเขาไล่เตะก็ตัวใครตัวมันนะ
      ถาม :  เราไม่รู้วัตถุประสงค์การมาของเขา?
      ตอบ :  ถามเขา เขามาอย่างนี้เราถามได้ อย่างรายนั้นก็เหมือนกัน มาถึงก็มาเอะอะโวยวายอยู่ตรงนี้กูยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก ไม่มีใครใหญ่กว่ากูอีกแล้ว บอก เออ นั่งลงเถอะถ้าขืนยืนใหญ่อยู่ตรงนั้นเดี๋ยวจะโดนพระเตะเอา ก็เลยยอมนั่งลง คนอื่นนี่กระจายหมดแล้ว ถ้าอาตมาไม่อยู่วันนั้นตรงนี้ไม่มีคนเหลือหรอก พอดีคนกำลังแน่นเลย เสร็จแล้วก็ถามเขาว่า มาเพราะอะไร? ต้องการอะไร? แล้วก็ต่อรอง
      ถาม :  แล้วถ้าเขาพูดไม่ได้ พูดไม่ออกล่ะคะ?
      ตอบ :  พูดไม่ได้ ถ้าหากว่าเราถามเขา เขาก็ต้องจะสื่อสารเราได้ บอกกับเขาว่าถ้าไม่ยอมสื่อสารกับเรา เป็นตายอย่างไร เราก็จะไม่ยอมให้ใช้ร่างนี้ ดีไม่ดีก็ไปหาพระไปหาหมอผีที่มีความสามารถพิเศษมาขับไล่กันเลยล่ะ แต่ถ้าต้องการอะไรให้บอก มีอยู่รายหนึ่งอยู่ที่ปักธงชัย นครราชสีมา รายนั้นอยู่ ๆ ก็นั่งนิ่งไปเฉย ๆ ๒ วันกว่าพอวันที่ ๓หลวงพี่บรรจงไปถึง พอญาติโยมรู้ว่ามีลูกศิษย์สายหลวงพ่อวัดท่าซุงไป เขาเห็นเป็นผู้วิเศษ ลูกศิษย์หลวงพ่อน่ะ ไปถึงก็นิมนต์ให้ช่วยไล่ผีให้ด้วยเจ้าข้าหลวงพี่จงก็ไปบอกรู้สึกตะหงิด ๆ ตั้งแต่ไปแล้ว จะใช่ผีรึ? ว่าอย่างนั้นไปถึงเดินเข้าไปในบ้านมันก็นั่งอยู่มองตาขวาง บอกท่านไม่ต้องยุ่ง หลวงพี่ก็ชะงัก ก็จะถอยใช่มั้ย? โยมก็ประเภทจับให้ขึ้นหน้า แกก็เอื้อมมือจับมีดหมอในย่าม พอจับมีดหมอปุ๊บมันก็บอกท่านไม่ต้องยุ่ง หลวงพี่จงบอกว่าไม่ใช่แล้วล่ะ
              ลักษณะอย่างนี้ ถ้าหากเป็นผีเข้าจริง ๆ นะ คนที่พกมีดหมอหลวงพ่อ ถ้าอาราธนาเป็นปกตินี่ พอเหยียบหัวกระไดบ้านผีเผ่นเลยไม่อยู่หรอก ประเภทที่แตะมีดหมอมื่อไหร่แล้วมันรู้แล้ว แถมบอกไม่ต้องยุ่งนี่ไม่เสี่ยงด้วยดีกว่า ปรากฏว่าเขาเองเขาก็บอกว่าเขาไม่ช่ผีหรอก เป็นรุกขเทวดา ไอ้นั่นมันไม่เคารพนับถือไม่ว่า ไปเยี่ยวรดต้นไม้เขาด้วย มันเมาเหล้าแล้วดันไปเยี่ยวรดต้นไม้เขาด้วย จะดัดสันดานมันหน่อยทรมานมันซัก ๓ วันเท่านั้นแหละ เดี๋ยวพอถึงเวลาเย็นก็เป็นอันว่าเลิกกัน ตกลงพอครบเย็นเขาก็เลิกไป ปล่อยให้อดข้าวซะ ๓ วันหัวโตไปเลย
              ของอาตมาเองก็เจอ รายนี้เมาแล้วซ่าไปพังศาล ไปพังศาลก็เจอในลักษณะนี้แหละ ถึงเวลาก็นั่งบื้ออยู่ พอเอาข้าวไปให้กิน บอกขอช้อนเท่านั้นคันเท่านี้คัน บอกพวกมาเยอะต้องให้ เสร็จแล้ว พวกป่าไม้ก็ลากมาหา ปรากฏว่าอยู่ในลักษณะนั้นมา ๔ วัน ๕ วันแล้ว พอรู้ว่าจะไปหาพระ ลุกขึ้นอาบน้ำแต่งตัว โกนหนวด หวีผมอย่างดีเลย กินข้าวกินปลาเรียบร้อย เดินยิ้มแย้มแจ่มใสมาบอกรู้แล้วว่าจะต้องมาหาพระ แล้ว ถามว่าทำไมล่ะ? เขาบอกว่ามันเมาแล้วมันไปพังศาลผมครับ แล้วจะแก้ยังไงล่ะ? ก็บอกว่าให้ตัวเขาหรือญาติพี่น้องของเขาสร้างศาลคืนมา แล้วก็ให้ทำบายศรีขอขมาด้วยเขาถึงจะยอม แหม ! ไอ้นี่แสนรู้จริง ๆ ตัวอยู่บางปลาม้าโน้น มันรู้ว่าทางนี้มาหาพระ พอญาติมาถึงขึ้นรถมาแต่โดยดี
              ลักษณะของผีเข้าอย่างหนึ่ง ลักษณะของการทรงอย่างหนึ่ง ถ้าเรารู้สึกว่าคนดี ๆ อยู่ๆ ผิดปกติไปนี่ถ้าไม่จำเป็นจริง ๆ อย่าไปขับอย่าไปไล่เขา ถ้าต่อรองกันได้ ให้ต่อรองกันก่อน ถ้าไม่เกินวิสัยจริง ๆ ทำอะไรให้เขา ๆ ก็จะไป เพราะว่าพวกผีเขาไม่โกหก แต่ว่ารายที่ว่านี่บอกเขาบอกว่าพรุ่งนี้ต้องให้เขาหายนะก็รับปาก
              ปรากฏว่ารุ่งขึ้น ตอนเช้าพวกปล้ำกันเอะอะโวยวายมากันอีกแล้ว เราก็อะไรวะผีไม่เคยโกหกทำไมมันมาอีก เลยรดน้ำมนต์ให้มัน ๆ ก็นิ่ง ให้มันนอนอยู่บนเตียงนั่นแน่ะ มันนอนไป ๆ เราก็รับสังฆทานไปเรื่อย สักบ่าย ๒ มานั่งพิงตรงคุณนั่งน่ะ พิงเสร็จมันก็มองอยู่ มันก็นั่งมองไปมาองมาซักครึ่งชั่วโมงก็ลุกขึ้นกราบ หลวงพี่ครับผมไม่ได้ฝันใช่มั้ย? บอกเออ ตอนนี้เอ็งอยู่ตามสภาพความเป็นจริง มันบอกว่าตอนก่อนหน้านี้น่ะผมรู้สึกเหมือนกับฝัน ฝันร้ายมากด้วย ไม่รู้ว่าตัวเองทำอะไรต่ออะไรไปบ้างแล้ว อยู่ ๆ ก็หายเอาดื้อ ๆ ผมตื่นขึ้นมาเหมือนเพิ่งตื่นลุกขึ้นมารู้สึกตัวเต็มที่เหมือนกับผมยังฝันอยู่ เห็นหลวงพี่ก็เหมือนก็ยังอยู่ในฝัน ผมก็เลยนั่งมองดูก่อน เห็นรับสังฆทานเห็นพูดเห็นอะไรลักษณะนี้ไม่ใช่ฝันก็เลยถามดู แล้วคุณรู้มั้ยล่ะว่าคุณเป็นอะไร? เขาบอกว่า เขาไปเชิญผีถ้วยแก้ว แต่ปรากฏว่า ไปเจอประเภทที่มีเวรมีกรรมผูกพันกันมาก่อน แทนที่จะลงแก้ว มันลงตัวเลย แล้วมันรับปาก มันก็รับปากจริง ๆ บอกพรุ่งนี้จะปล่อยให้เป็นปกติ เราลืมบอกว่าเวลาไหน มันล่อซะบ่าย ๓ หือ...? น่ารักมั้ย ผีเขาไม่โกหกจริง ๆ แต่ถ้าเราไม่รอบคอบมันเอา
              เมื่อวันเป่ายันต์เกราะเพชรบอก ยายเขียว ยังไง ๆ ต้องหาเงินให้ได้ล้านหนึ่งนะ ยายผีก็รับปากบอกได้เจ้าค่ะ จริง ๆ เขาบอกเรื่องหาเงิน เรื่องของพระไม่เกี่ยวกับฉัน บอกแกมาอยู่กุฏิฉันอยู่เฉย ๆ ไม่ได้ต้องทำประโยชน์ให้ด้วยก็โอเค รับปากปรากฏว่าในงานมันได้ ๕๐๐,๐๐๐ กว่า บอกอะไรวะผีไม่เคยโกหก บอกว่าได้ล้านหนึ่งบอกได้สิ แต่ปรากฏว่าพอตัดยอดบัญชีได้ล้านกว่า เอายอดทางกรุงเทพมารวมด้วย เราไม่รอบคอบเอง
              ยายเขียวแกเป็นผีน่ารักมากเลย อายุ ๙๔ แล้วตาย พอเสร็จแล้วไปให้หวยลูกหลานตัวเอง ลูกหลานเอาแต่หวยแต่มันกลัว เพราะว่าแกไปวน ๆ เวียน ๆ อยู่ให้เขาเห็นง่าย ๆ ด้วย เลยเอามาฝากพระไว้ เราเองเคยรู้จักมักคุ้นกันมาก่อนเลยรับไว้ เอากระดูกแกวางไว้บนชั้นวางของนั่น ทีนี้แกอยู่ชั้นกลาง ชั้นบนคือพระ วันนั้นรีบ ๆ ร้อน ๆ จะเข้าห้องน้ำจะไปกิจนิมนต์นี่จะเข้าห้องน้ำก่อน ขืนไปบ้านโยมจะเข้าห้องน้ำลำบาก จะสะพายย่ามเข้าส้วมก็ลำบากเลยยัดย่ามไว้ข้างล่างแป๊บเดียว ยายเขียวร้องจ๊ากเผ่นแน่บไปเลย เราก็ลืมไปนึกขึ้นมาได้ มีดหมออยู่ข้างล่างไปยัดอยู่ใต้กระดูก เราก็บอกเรื่องอะไรอยู่ ๆ มาเล่นสนุกอะไรอีก